ตอนที่ 321. ผ้าขี้ริ้วห่อทอง
ขงเบ้งเดินทางมาเคารพศพจิวยี่โดยมีเป้าหมายเพื่อถอดถอนความรู้สึกที่พยาบาทในใจของบรรดาแม่ทัพนายกองและทหารเมืองกังตั๋ง เพื่อทำให้ยุทธศาสตร์สามก๊กขั้นที่สองดำเนินไปอย่างราบรื่น โดยเชื่อว่าจะไม่มีผู้ใดรู้เท่าทัน ครั้นได้ยินเสียงที่ดังตามหลังมาเปิดเผยแผนการความคิดจนกระจ่างแจ้งก็ตกใจ
ขงเบ้งเหลียวหลังกลับมามองเห็นเป็นบังทองเพื่อนร่วมสำนักก็ค่อยคลายใจ จึงหัวเราะแล้วว่า ได้พบท่านวันนี้ก็ดีแล้ว เชิญลงไปสนทนากันในเรือก่อนเถิด ว่าแล้วขงเบ้งจึงจูงมือบังทองลงไปในเรือ ไต่ถามสารทุกข์สุขดิบและความเป็นไปที่บังทองได้มาอยู่แดนเมืองกังตั๋ง และเล่าความที่ได้ไปทำราชการอยู่กับเล่าปี่จนสิ้นแล้ว ขงเบ้งจึงชวนบังทองให้ไปทำราชการอยู่กับเล่าปี่ เพื่อกอบกู้ฟื้นฟูพระราชวงศ์ฮั่นสืบไป
บังทองก็ว่าเมื่อมีท่านอยู่ผู้หนึ่งแล้วการจะกอบกู้แผ่นดินของเล่าปี่ย่อมสำเร็จได้ดังปรารถนา หาจำเป็นที่ตัวเราจะต้องไปร่วมให้มากคนไม่ และตั้งใจไว้ว่าจะตั้งหลักปักฐานอยู่ที่เมืองกังตั๋งนี้
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็สำคัญว่าบังทองมีความปรารถนาจะรับราชการอยู่ด้วยซุนกวน หรือมิฉะนั้นก็ยังคงต้องการแสวงหาเจ้านายอยู่ จึงว่าตัวท่านนั้นมีสติปัญญาเป็นอันมาก เกิดมาเป็นกุนซือของแผ่นดิน ซึ่งจะร่อนเร่พเนจรอยู่ดังนี้หามีค่าคุ้มกับที่ได้เกิดมาเป็นคนไม่ ตัวท่านก็ย่อมต้องแสวงหานายที่ต้องใจ แต่เมื่อในวันนี้ท่านยังไม่ปลงใจไปอยู่ด้วยเล่าปี่ก็ช่างเถิด แต่ถ้าวันใดขัดสนไม่เห็นคนผู้ใดจะเป็นนายใช้สอย ก็จงตัดสินใจไปร่วมงานกับข้าพเจ้าทำการกับเล่าปี่
ว่าแล้วขงเบ้งจึงเขียนหนังสือฉบับหนึ่งปิดผนึกมอบแก่บังทอง แล้วว่า “ถ้าซุนกวนมิได้เอาท่านไว้ทำราชการ ไม่สมความคิดประการใดแล้ว ก็เชิญท่านไป ณ เมืองเกงจิ๋ว ช่วยกันทำราชการ ทำนุบำรุงเล่าปี่เถิด เบื้องหน้าไปเล่าปี่ก็จะได้เป็นใหญ่ ไม่เสียทีท่านได้เรียนความรู้มาด้วยกัน ถ้าท่านไปข้าพเจ้ามิได้อยู่ ก็ให้เอาหนังสือนี้ออกไปให้เล่าปี่เถิด”
บังทองรับหนังสือมาจากขงเบ้งแล้วว่า ความปรารถนาดีของท่านซาบซึ้งแก่ใจข้าพเจ้านัก ถ้าหากเมื่อหน้าสืบไปขัดสนประการใดแล้ว ข้าพเจ้าก็จะไปหาเล่าปี่ตามคำท่าน แล้วบังทองจึงคำนับลาขงเบ้งขึ้นมาจากเรือ ขงเบ้งจึงให้ออกเรือล่องกลับไปเมืองเกงจิ๋ว
ทางด้านเมืองกังตั๋งเมื่อได้ตั้งการพิธีศพจิวยี่ตามธรรมเนียมแล้ว ซุนกวนจึงให้โลซกนำศพไปที่ตำบลอูบาวซึ่งเป็นบ้านเกิดของจิวยี่ โดยซุนกวนคุมขบวนเซ่นไหว้จากเมืองลำชีไปคอยต้อนรับศพด้วยตัวเอง
ครั้นศพจิวยี่มาถึงที่สุสาน ซุนกวนจึงให้แต่งการพิธีเซ่นไหว้ศพเป็นครั้งสุดท้าย แล้วร้องไห้อาลัยรักจิวยี่เป็นอันมาก หลังจากฝังศพจิวยี่ตามบรรดาศักดิ์แล้ว ซุนกวนจึงเอาตัวจิวซุนและจิวอิ๋นบุตรทั้งสองของจิวยี่กลับไปเลี้ยงชุบอุปถัมภ์ไว้ที่เมืองลำชี
อยู่มาวันหนึ่งโลซกจึงไปหาซุนกวนที่เมืองลำชี แล้วเสนอแก่ซุนกวนว่า ซึ่งท่านได้แต่งตั้งให้ข้าพเจ้าว่าราชการแทนที่จิวยี่นั้น คุณมีแก่ข้าพเจ้าหาที่สุดมิได้ แต่ตัวข้าพเจ้านี้มีสติปัญญาน้อย จะคิดอ่านช่วยราชการท่านไม่ได้ตลอดรอดฝั่ง ข้าพเจ้ารู้จักบัณฑิตผู้มีปัญญาความสามารถล้ำเลิศอยู่ผู้หนึ่งมีชื่อว่าบังทอง เป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกันกับขงเบ้ง ซึ่งทั้งจิวยี่และขงเบ้งต่างนับถือสติปัญญาความคิดของบังทองเป็นอันมาก
ซุนกวนจึงถามว่าบังทองผู้นี้มีพื้นเพอยู่แห่งหนตำบลใด และบัดนี้อยู่ที่ไหนเล่า
โลซกจึงรายงานว่าจำเดิมมาบังทองมีเคหะสถานอยู่ที่แดนเมืองซงหยง ครั้นโจโฉกรีฑาทัพลงใต้ ราษฎรต่างอพยพหลบหนีภัย บังทองก็ได้อพยพมาอยู่ที่แดนกังตั๋ง
ซุนกวนได้ฟังดังนั้นจึงว่าอันนามบังทองผู้นี้ เราก็เคยได้ยินกิตติศัพท์เลื่องลือว่ามีสติปัญญามาช้านานแล้ว แต่ไม่เคยได้พบพานรู้จักหน้าค่าตามาก่อนเลย ท่านจงไปเชิญมาพบเราสักหน่อยเถิด
โลซกได้ยินซุนกวนอนุญาตและใคร่พบบังทองก็มีความยินดี จึงคำนับลาซุนกวนแล้วออกเดินทางไปหาบังทอง เชิญเข้ามาพบกับซุนกวน
โลซกพาบังทองเข้ามาคำนับซุนกวนตามธรรมเนียมแล้ว ซุนกวนจ้องมองบุคลิกหน้าตากิริยาท่าทางของบังทอง “เห็นคิ้วใหญ่ จมูกโด่ง หน้าดำ หนวดสั้น รูปนั้นวิปริตนัก” ก็ไม่พอใจ เพราะเพียงเท่ารูปลักษณ์อันเป็นนรลักษณ์ที่ปรากฏแต่ครั้งแรกที่ได้พบก็ไม่สบอารมณ์ความรู้สึก ทำให้ความศรัทธาในกิตติศัพท์ของนามบังทองที่เคยได้ยินมาถูก ลบเลือนไปจนสิ้น
อันวิสัยคนเราบางทีก็คล้ายกับมีสันนิวาสที่ประหลาด กับบางคนที่แม้พบเพียงครั้งแรกก็อาจมีความรู้สึกพึงใจ ไว้ใจ วางใจ กระทั่งมีความรักสมัครสมาน ราวกับว่ารู้จักมานานปี จะทำการสิ่งใดก็ต้องใจไปสิ้น ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้พูดจากันแม้แต่สักคำเดียว แต่กับบางคนเพียงครั้งแรกที่พบก็รู้สึกขัดใจ หมั่นไส้ ชิงชัง รังเกียจ ไม่อยากข้องแวะเกี่ยวข้อง บ้างถึงขนาดอยากเข่นฆ่าให้อาสัญ ปรากฏการณ์ดังนี้หาเหตุผลต้นปลายมิได้ โบราณจึงเรียกโดยนิยมว่าเป็นแต่บุพเพสันนิวาส คือการได้ร่วมชาติกันมาแต่ก่อน ว่าเป็นมิตรหรือศัตรู หรือคู่รักคู่แค้นประการใด
เมื่อซุนกวนไม่พึงใจบังทองตั้งแต่ครั้งแรกเห็น อากัปกิริยาท่าทางก็ส่อไปตามความรู้สึกนึกคิด เอ่ยวาจาไต่ถามบังทองแบบเสียไม่ได้ว่า อันวิชาความรู้ที่ท่านได้เล่าเรียนมานั้น มีสิ่งใดเป็นหลักเป็นฐาน หรืออุดมการณ์ที่ยึดมั่นบ้าง
บังทองเห็นอาการซุนกวนดังนั้นก็ไม่ต้องใจ อันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองตามกฎธรรมชาติที่ว่า “กิริยาย่อมเท่ากับปฏิกิริยา” ดังนั้นจึงตอบแบบหยิ่งผยองว่าสรรพสิ่งใด ๆ ในโลกล้วนผันแปร การจะยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดเป็นหลักเป็นฐานนั้นไม่สมควร จะทำการสิ่งใดย่อมต้องผันแปรไปตามสถานการณ์จึงจะควร
ซุนกวนได้ฟังคำบังทองตอบแบบยอกย้อนจึงถามต่อไปว่า ซึ่งปัญญาวิชาการอันท่านได้ร่ำเรียนมานี้ หากเปรียบเทียบกับจิวยี่แล้วใครจะเหนือล้ำกว่ากัน
ซุนกวนตั้งแต่กำเนิดเกิดมาไม่เคยเห็นผู้ใดมีสติปัญญาเลิศล้ำเสมอด้วยจิวยี่ แม้ในคราวสงครามเซ็กเพ็กซึ่งโจโฉกรีฑาทัพอันมีกิตติศัพท์ว่ากว่าร้อยหมื่นลงแดนใต้ จิวยี่ซึ่งมีทหารน้อยกว่ามากก็สามารถคิดอ่านการสงครามเอาชัยชนะแก่โจโฉได้ จึงมั่นใจว่าในแผ่นดินนี้นอกจากขงเบ้งแล้วย่อมไม่มีผู้ใดมีสติปัญญาล้ำเลิศกว่าจิวยี่ จึงตั้งคำถามหวังเอาสติปัญญาของจิวยี่เป็นหลัก เพื่อให้บังทองเปรียบเทียบตัวเองกับจิวยี่ ว่ายังห่างชั้นกับจิวยี่สักเพียงไหน
แต่บังทองได้ฟังคำซุนกวนแล้วตีสีหน้าเฉยเมย เชิดหน้าขึ้นมองเบื้องบน แล้วว่าอันสติปัญญาความรู้ของจิวยี่นั้น ข้าพเจ้าไม่เห็นมีสิ่งใดเป็นสำคัญ อันปัญญาวิทยาคุณซึ่งข้าพเจ้าร่ำเรียนมาผิดแผกแตกต่างจากจิวยี่เป็นอันมาก เปรียบเทียบกันไม่ได้
ซุนกวนได้ฟังคำบังทองดังนั้นก็ไม่พอใจ สำคัญความซึ่งบังทองกล่าวว่าเป็นถ้อยคำลบหลู่จิวยี่ซึ่งเป็นผู้ที่ซุนกวนนับถือ และเห็นว่าถ้อยคำบังทองเป็นแต่คำโอ้อวดที่หามูลความจริงมิได้ แต่ซุนกวนก็ยังคงรักษามารยาทข่มความรู้สึกไว้แล้วกล่าวกับบังทองว่า เมื่อท่านมีสติปัญญาดังนี้ก็จงกลับไปก่อนเถิด วันเวลาข้างหน้าหากมีราชการข้าพเจ้าก็จะเชิญท่านมาปรึกษา
บังทองได้ฟังดังนั้นก็รู้ว่าซุนกวนตัดไมตรี จึงคำนับลาแล้วเดินทอดใจใหญ่กลับออกไป
โลซกนั่งฟังคำเจรจาว่ากล่าวโต้ตอบระหว่างซุนกวนกับบังทองก็ไม่สบายใจ ครั้นบังทองคำนับลากลับไปแล้ว โลซกจึงถามซุนกวนว่าเหตุไฉนท่านจึงไม่เชิญบังทองเข้ารับราชการด้วยเมืองกังตั๋งเล่า
ซุนกวนจึงว่า “เราพิเคราะห์ดูรูปร่างก็ไม่สมที่ว่ามีสติปัญญา แล้วพูดจาพลุ่มพล่าม ถึงเอาไว้ก็ไม่เห็นจะได้ราชการ”
โลซกได้ฟังคำซุนกวนเห็นพิจารณาคุณค่าคนแต่รูปลักษณ์ภายนอก จึงท้วงว่าเมื่อครั้งสงครามเซ็กเพ็กนั้น บังทองได้ช่วยจิวยี่คิดอ่านวางแผนลวงให้โจโฉเอาเรือรบทั้งปวงผูกติดกันเป็นแพขนาน ทำให้จิวยี่สามารถเอาเพลิงเผากองทัพเรือของโจโฉให้พินาศวอดวายสิ้น โจโฉจึงพ่ายแพ้ในสงครามเซ็กเพ็ก ความชอบในการสงครามครั้งนี้ของบังทองเพียงประการเดียวก็มีคุณค่าควรที่ท่านจะเชิญไว้รับราชการแล้ว ขอท่านได้ทบทวนใคร่ครวญจงดี
ซุนกวนได้ยินคำโลซกยกย่องบังทองดังนั้นก็ยิ่งขัดใจ เถียงว่า “โจโฉทำการครั้งนั้นเป็นความคิดของโจโฉเอง จะเป็นความคิดบังทองนั้นหาไม่ เราไม่ชอบใจ ไม่เอาไว้แล้ว”
ซุนกวนยกเหตุผลโต้แย้งโลซกพอเป็นพิธี แต่ที่ตัดบทว่าไม่ชอบใจจึงไม่เอาไว้ใช้ในราชการนั้นเป็นคำขาด และเป็นเหตุผลหลักในการตัดสินใจของซุนกวน โลซกเห็นดังนั้นก็สิ้นปัญญาที่จะว่ากล่าวเกลี้ยกล่อมซุนกวนต่อไป จึงคำนับลาซุนกวนแล้วตามไปหาบังทอง
ครั้นพบบังทองแล้ว โลซกจึงว่าข้าพเจ้าได้ช่วยเจรจาว่ากล่าวกับซุนกวนให้เชิญท่านเข้าทำราชการกับเมืองกังตั๋ง ได้ยกเหตุผลเป็นอันมาก แต่ซุนกวนไม่ฟังคำ ดังนั้นท่านจงรักษาตัวไว้คอยท่าโอกาสที่จะมาใหม่ ข้าพเจ้าจะช่วยเจรจาว่ากล่าวอีกครั้งหนึ่ง
บังทองได้ฟังดังนั้นก็ทอดถอนใจใหญ่ ก้มหน้านิ่งแต่มิได้พูดจาว่ากล่าวประการใด
โลซกเห็นอาการบังทองดังนั้นก็สังหรณ์ว่าบังทองจะไม่อยู่ในแดนกังตั๋งสืบไป จึงถามว่าอาการของท่านทั้งนี้เหมือนหนึ่งว่าท่านจะเดินทางจากแดนกังตั๋งไปเมืองอื่น ซึ่งก็ควรแก่ท่าน ก็แลตัวท่านนี้มีสติปัญญาเป็นอันมาก ให้พิเคราะห์ดูจงควรเถิดว่าจะไปบ้านเมืองใด จึงจะเป็นประโยชน์แก่ท่าน แล้ววานช่วยแจ้งให้ข้าพเจ้าทราบ
บังทองได้ฟังดังนั้นก็ใคร่ลองใจโลซก จึงบอกว่าข้าพเจ้าคิดว่าจะเดินทางไปเมืองหลวงขอทำราชการด้วยโจโฉ ท่านจะเห็นประการใด
โลซกได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ รีบท้วงว่า “ท่านมีสติปัญญาดุจแก้วอันงาม ซึ่งจะไปอยู่ด้วยโจโฉนั้นเหมือนอยู่ในที่มืดที่ลับไม่สมควร ขอท่านไป ณ เมืองเกงจิ๋ว อยู่ด้วยเล่าปี่ เห็นจะเป็นประโยชน์แก่ท่าน”
โลซกประจักษ์แล้วซึ่งสติปัญญาความสามารถของบังทองจึงคิดว่าหากบังทองไปอยู่ด้วยโจโฉ เมืองกังตั๋งก็จักเป็นอันตราย ดังนั้นหากไม่บอกทางออกอื่นใด บังทองไปอยู่ด้วยโจโฉแล้วจะแก้ไขก็ขัดสน
โลซกจึงจำใจต้องแนะนำให้บังทองไปอยู่ด้วยเล่าปี่ เพราะเห็นว่าเล่าปี่นั้นไม่ว่าประการใดก็ไม่เป็นภัยแก่เมืองกังตั๋ง
บังทองได้ฟังดังนั้นจึงว่า ที่แจ้งแก่ท่านว่าข้าพเจ้าจะไปอยู่ด้วยโจโฉนั้น เป็นแต่ลองน้ำใจท่าน น้ำใสใจจริงของข้าพเจ้าก็เหมือนดังหนึ่งคำท่านแนะนำ
โลซกได้ฟังดังนั้นก็ยินดี จึงเขียนหนังสือฝากฝังบังทองถึงเล่าปี่ฉบับหนึ่ง มอบแก่บังทองแล้วว่า ขอท่านจงไปทำนุบำรุงเล่าปี่ ช่วยเจรจาว่ากล่าวอย่าให้เล่าปี่กับซุนกวนผิดใจกัน แล้วจะได้ร่วมกันคิดอ่านกำจัดโจโฉเสีย เมื่อไปถึงเล่าปี่แล้วท่านจงเอาหนังสือฉบับนี้ให้เล่าปี่ เล่าปี่ก็จะรับท่านไว้ในราชการ
โลซกมอบหนังสือให้แก่บังทองแล้ว จึงคำนับลาบังทองกลับไป บังทองก็จัดแจงข้าวของแล้วลงเรือข้ามไปยังแดนเมืองเกงจิ๋ว
ในขณะนั้นขงเบ้งออกจากเมืองเกงจิ๋วไปตรวจราชการยังเมืองเลงเหลง เมืองบุเหลง เมืองฮุยเอี๋ยงและเมืองเตียงสา ดังนั้นเมื่อบังทองไปถึงเมืองเกงจิ๋วแล้วไม่พบขงเบ้งจึงไปหาเล่าปี่ที่จวน แล้วบอกแก่นายประตูว่าบังทองมาแต่เมืองกังตั๋งจะมาขอพบเล่าปี่
เล่าปี่เคยได้ยินแต่นามฮกหลงและฮองซูว่ามีสติปัญญาสามารถกอบกู้แผ่นดินได้สำเร็จ โดยที่ไม่รู้ว่าฮองซูคือผู้ใด ดังนั้นเมื่อนายประตูเข้ามารายงานว่ามีชายแปลกหน้าชื่อว่าบังทองมาขอพบ เล่าปี่จึงให้เชิญแขกแปลกหน้าเข้ามาพบที่ห้องรับรอง
เล่าปี่เห็นแขกแปลกหน้าเดินเข้ามาแล้วยืนนิ่งเฉยโดยมิได้คำนับก็มิได้คำนับตอบตามอย่างธรรมเนียม ทั้งได้พิเคราะห์ดูรูปนรลักษณ์ของบังทองแล้ว “เห็นรูปร่างวิปริต” จึงไม่ชอบใจ ไม่เลื่อมใสศรัทธา แต่กล่าวด้วยมารยาทว่าเสียดายที่ท่านเดินทางมาแต่ไกล แต่เรานี้ไม่มีธุระสิ่งใดที่จะว่ากล่าวด้วยท่าน
บังทองเห็นอากัปกิริยาวาจาของเล่าปี่มิได้เชื่อถือศรัทธาไว้วางใจก็รู้สึกน้อยใจ แต่ด้วยความทรนงในปัญญาวิทยาคุณของตน จึงไม่เอาหนังสือฝากฝังของขงเบ้งและโลซกให้แก่เล่าปี่ และกล่าวตอบไปตามทางมารยาทว่า “ได้ยินลือว่าอาพระเจ้าเหี้ยนเต้เกลี้ยกล่อมผู้มีสติปัญญาแลทหาร ข้าพเจ้าจึงอุตส่าห์มาหาท่าน”
บังทองหรือฮองซูผู้มีปัญญาวิทยาคุณอันเป็นเลิศในแผ่นดิน แต่มีนรลักษณ์ที่รูปชั่วตัวดำอัปลักษณ์ ดูภายนอกใครเห็นก็น่าหมั่นไส้ จึงคล้ายดั่งผ้าขี้ริ้วที่ห่อทอง ดังนั้นผ้าขี้ริ้วจึงปิดบังคุณค่าแห่งทองนั้นไว้จนสิ้น.
ขงเบ้งเหลียวหลังกลับมามองเห็นเป็นบังทองเพื่อนร่วมสำนักก็ค่อยคลายใจ จึงหัวเราะแล้วว่า ได้พบท่านวันนี้ก็ดีแล้ว เชิญลงไปสนทนากันในเรือก่อนเถิด ว่าแล้วขงเบ้งจึงจูงมือบังทองลงไปในเรือ ไต่ถามสารทุกข์สุขดิบและความเป็นไปที่บังทองได้มาอยู่แดนเมืองกังตั๋ง และเล่าความที่ได้ไปทำราชการอยู่กับเล่าปี่จนสิ้นแล้ว ขงเบ้งจึงชวนบังทองให้ไปทำราชการอยู่กับเล่าปี่ เพื่อกอบกู้ฟื้นฟูพระราชวงศ์ฮั่นสืบไป
บังทองก็ว่าเมื่อมีท่านอยู่ผู้หนึ่งแล้วการจะกอบกู้แผ่นดินของเล่าปี่ย่อมสำเร็จได้ดังปรารถนา หาจำเป็นที่ตัวเราจะต้องไปร่วมให้มากคนไม่ และตั้งใจไว้ว่าจะตั้งหลักปักฐานอยู่ที่เมืองกังตั๋งนี้
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็สำคัญว่าบังทองมีความปรารถนาจะรับราชการอยู่ด้วยซุนกวน หรือมิฉะนั้นก็ยังคงต้องการแสวงหาเจ้านายอยู่ จึงว่าตัวท่านนั้นมีสติปัญญาเป็นอันมาก เกิดมาเป็นกุนซือของแผ่นดิน ซึ่งจะร่อนเร่พเนจรอยู่ดังนี้หามีค่าคุ้มกับที่ได้เกิดมาเป็นคนไม่ ตัวท่านก็ย่อมต้องแสวงหานายที่ต้องใจ แต่เมื่อในวันนี้ท่านยังไม่ปลงใจไปอยู่ด้วยเล่าปี่ก็ช่างเถิด แต่ถ้าวันใดขัดสนไม่เห็นคนผู้ใดจะเป็นนายใช้สอย ก็จงตัดสินใจไปร่วมงานกับข้าพเจ้าทำการกับเล่าปี่
ว่าแล้วขงเบ้งจึงเขียนหนังสือฉบับหนึ่งปิดผนึกมอบแก่บังทอง แล้วว่า “ถ้าซุนกวนมิได้เอาท่านไว้ทำราชการ ไม่สมความคิดประการใดแล้ว ก็เชิญท่านไป ณ เมืองเกงจิ๋ว ช่วยกันทำราชการ ทำนุบำรุงเล่าปี่เถิด เบื้องหน้าไปเล่าปี่ก็จะได้เป็นใหญ่ ไม่เสียทีท่านได้เรียนความรู้มาด้วยกัน ถ้าท่านไปข้าพเจ้ามิได้อยู่ ก็ให้เอาหนังสือนี้ออกไปให้เล่าปี่เถิด”
บังทองรับหนังสือมาจากขงเบ้งแล้วว่า ความปรารถนาดีของท่านซาบซึ้งแก่ใจข้าพเจ้านัก ถ้าหากเมื่อหน้าสืบไปขัดสนประการใดแล้ว ข้าพเจ้าก็จะไปหาเล่าปี่ตามคำท่าน แล้วบังทองจึงคำนับลาขงเบ้งขึ้นมาจากเรือ ขงเบ้งจึงให้ออกเรือล่องกลับไปเมืองเกงจิ๋ว
ทางด้านเมืองกังตั๋งเมื่อได้ตั้งการพิธีศพจิวยี่ตามธรรมเนียมแล้ว ซุนกวนจึงให้โลซกนำศพไปที่ตำบลอูบาวซึ่งเป็นบ้านเกิดของจิวยี่ โดยซุนกวนคุมขบวนเซ่นไหว้จากเมืองลำชีไปคอยต้อนรับศพด้วยตัวเอง
ครั้นศพจิวยี่มาถึงที่สุสาน ซุนกวนจึงให้แต่งการพิธีเซ่นไหว้ศพเป็นครั้งสุดท้าย แล้วร้องไห้อาลัยรักจิวยี่เป็นอันมาก หลังจากฝังศพจิวยี่ตามบรรดาศักดิ์แล้ว ซุนกวนจึงเอาตัวจิวซุนและจิวอิ๋นบุตรทั้งสองของจิวยี่กลับไปเลี้ยงชุบอุปถัมภ์ไว้ที่เมืองลำชี
อยู่มาวันหนึ่งโลซกจึงไปหาซุนกวนที่เมืองลำชี แล้วเสนอแก่ซุนกวนว่า ซึ่งท่านได้แต่งตั้งให้ข้าพเจ้าว่าราชการแทนที่จิวยี่นั้น คุณมีแก่ข้าพเจ้าหาที่สุดมิได้ แต่ตัวข้าพเจ้านี้มีสติปัญญาน้อย จะคิดอ่านช่วยราชการท่านไม่ได้ตลอดรอดฝั่ง ข้าพเจ้ารู้จักบัณฑิตผู้มีปัญญาความสามารถล้ำเลิศอยู่ผู้หนึ่งมีชื่อว่าบังทอง เป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกันกับขงเบ้ง ซึ่งทั้งจิวยี่และขงเบ้งต่างนับถือสติปัญญาความคิดของบังทองเป็นอันมาก
ซุนกวนจึงถามว่าบังทองผู้นี้มีพื้นเพอยู่แห่งหนตำบลใด และบัดนี้อยู่ที่ไหนเล่า
โลซกจึงรายงานว่าจำเดิมมาบังทองมีเคหะสถานอยู่ที่แดนเมืองซงหยง ครั้นโจโฉกรีฑาทัพลงใต้ ราษฎรต่างอพยพหลบหนีภัย บังทองก็ได้อพยพมาอยู่ที่แดนกังตั๋ง
ซุนกวนได้ฟังดังนั้นจึงว่าอันนามบังทองผู้นี้ เราก็เคยได้ยินกิตติศัพท์เลื่องลือว่ามีสติปัญญามาช้านานแล้ว แต่ไม่เคยได้พบพานรู้จักหน้าค่าตามาก่อนเลย ท่านจงไปเชิญมาพบเราสักหน่อยเถิด
โลซกได้ยินซุนกวนอนุญาตและใคร่พบบังทองก็มีความยินดี จึงคำนับลาซุนกวนแล้วออกเดินทางไปหาบังทอง เชิญเข้ามาพบกับซุนกวน
โลซกพาบังทองเข้ามาคำนับซุนกวนตามธรรมเนียมแล้ว ซุนกวนจ้องมองบุคลิกหน้าตากิริยาท่าทางของบังทอง “เห็นคิ้วใหญ่ จมูกโด่ง หน้าดำ หนวดสั้น รูปนั้นวิปริตนัก” ก็ไม่พอใจ เพราะเพียงเท่ารูปลักษณ์อันเป็นนรลักษณ์ที่ปรากฏแต่ครั้งแรกที่ได้พบก็ไม่สบอารมณ์ความรู้สึก ทำให้ความศรัทธาในกิตติศัพท์ของนามบังทองที่เคยได้ยินมาถูก ลบเลือนไปจนสิ้น
อันวิสัยคนเราบางทีก็คล้ายกับมีสันนิวาสที่ประหลาด กับบางคนที่แม้พบเพียงครั้งแรกก็อาจมีความรู้สึกพึงใจ ไว้ใจ วางใจ กระทั่งมีความรักสมัครสมาน ราวกับว่ารู้จักมานานปี จะทำการสิ่งใดก็ต้องใจไปสิ้น ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้พูดจากันแม้แต่สักคำเดียว แต่กับบางคนเพียงครั้งแรกที่พบก็รู้สึกขัดใจ หมั่นไส้ ชิงชัง รังเกียจ ไม่อยากข้องแวะเกี่ยวข้อง บ้างถึงขนาดอยากเข่นฆ่าให้อาสัญ ปรากฏการณ์ดังนี้หาเหตุผลต้นปลายมิได้ โบราณจึงเรียกโดยนิยมว่าเป็นแต่บุพเพสันนิวาส คือการได้ร่วมชาติกันมาแต่ก่อน ว่าเป็นมิตรหรือศัตรู หรือคู่รักคู่แค้นประการใด
เมื่อซุนกวนไม่พึงใจบังทองตั้งแต่ครั้งแรกเห็น อากัปกิริยาท่าทางก็ส่อไปตามความรู้สึกนึกคิด เอ่ยวาจาไต่ถามบังทองแบบเสียไม่ได้ว่า อันวิชาความรู้ที่ท่านได้เล่าเรียนมานั้น มีสิ่งใดเป็นหลักเป็นฐาน หรืออุดมการณ์ที่ยึดมั่นบ้าง
บังทองเห็นอาการซุนกวนดังนั้นก็ไม่ต้องใจ อันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองตามกฎธรรมชาติที่ว่า “กิริยาย่อมเท่ากับปฏิกิริยา” ดังนั้นจึงตอบแบบหยิ่งผยองว่าสรรพสิ่งใด ๆ ในโลกล้วนผันแปร การจะยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดเป็นหลักเป็นฐานนั้นไม่สมควร จะทำการสิ่งใดย่อมต้องผันแปรไปตามสถานการณ์จึงจะควร
ซุนกวนได้ฟังคำบังทองตอบแบบยอกย้อนจึงถามต่อไปว่า ซึ่งปัญญาวิชาการอันท่านได้ร่ำเรียนมานี้ หากเปรียบเทียบกับจิวยี่แล้วใครจะเหนือล้ำกว่ากัน
ซุนกวนตั้งแต่กำเนิดเกิดมาไม่เคยเห็นผู้ใดมีสติปัญญาเลิศล้ำเสมอด้วยจิวยี่ แม้ในคราวสงครามเซ็กเพ็กซึ่งโจโฉกรีฑาทัพอันมีกิตติศัพท์ว่ากว่าร้อยหมื่นลงแดนใต้ จิวยี่ซึ่งมีทหารน้อยกว่ามากก็สามารถคิดอ่านการสงครามเอาชัยชนะแก่โจโฉได้ จึงมั่นใจว่าในแผ่นดินนี้นอกจากขงเบ้งแล้วย่อมไม่มีผู้ใดมีสติปัญญาล้ำเลิศกว่าจิวยี่ จึงตั้งคำถามหวังเอาสติปัญญาของจิวยี่เป็นหลัก เพื่อให้บังทองเปรียบเทียบตัวเองกับจิวยี่ ว่ายังห่างชั้นกับจิวยี่สักเพียงไหน
แต่บังทองได้ฟังคำซุนกวนแล้วตีสีหน้าเฉยเมย เชิดหน้าขึ้นมองเบื้องบน แล้วว่าอันสติปัญญาความรู้ของจิวยี่นั้น ข้าพเจ้าไม่เห็นมีสิ่งใดเป็นสำคัญ อันปัญญาวิทยาคุณซึ่งข้าพเจ้าร่ำเรียนมาผิดแผกแตกต่างจากจิวยี่เป็นอันมาก เปรียบเทียบกันไม่ได้
ซุนกวนได้ฟังคำบังทองดังนั้นก็ไม่พอใจ สำคัญความซึ่งบังทองกล่าวว่าเป็นถ้อยคำลบหลู่จิวยี่ซึ่งเป็นผู้ที่ซุนกวนนับถือ และเห็นว่าถ้อยคำบังทองเป็นแต่คำโอ้อวดที่หามูลความจริงมิได้ แต่ซุนกวนก็ยังคงรักษามารยาทข่มความรู้สึกไว้แล้วกล่าวกับบังทองว่า เมื่อท่านมีสติปัญญาดังนี้ก็จงกลับไปก่อนเถิด วันเวลาข้างหน้าหากมีราชการข้าพเจ้าก็จะเชิญท่านมาปรึกษา
บังทองได้ฟังดังนั้นก็รู้ว่าซุนกวนตัดไมตรี จึงคำนับลาแล้วเดินทอดใจใหญ่กลับออกไป
โลซกนั่งฟังคำเจรจาว่ากล่าวโต้ตอบระหว่างซุนกวนกับบังทองก็ไม่สบายใจ ครั้นบังทองคำนับลากลับไปแล้ว โลซกจึงถามซุนกวนว่าเหตุไฉนท่านจึงไม่เชิญบังทองเข้ารับราชการด้วยเมืองกังตั๋งเล่า
ซุนกวนจึงว่า “เราพิเคราะห์ดูรูปร่างก็ไม่สมที่ว่ามีสติปัญญา แล้วพูดจาพลุ่มพล่าม ถึงเอาไว้ก็ไม่เห็นจะได้ราชการ”
โลซกได้ฟังคำซุนกวนเห็นพิจารณาคุณค่าคนแต่รูปลักษณ์ภายนอก จึงท้วงว่าเมื่อครั้งสงครามเซ็กเพ็กนั้น บังทองได้ช่วยจิวยี่คิดอ่านวางแผนลวงให้โจโฉเอาเรือรบทั้งปวงผูกติดกันเป็นแพขนาน ทำให้จิวยี่สามารถเอาเพลิงเผากองทัพเรือของโจโฉให้พินาศวอดวายสิ้น โจโฉจึงพ่ายแพ้ในสงครามเซ็กเพ็ก ความชอบในการสงครามครั้งนี้ของบังทองเพียงประการเดียวก็มีคุณค่าควรที่ท่านจะเชิญไว้รับราชการแล้ว ขอท่านได้ทบทวนใคร่ครวญจงดี
ซุนกวนได้ยินคำโลซกยกย่องบังทองดังนั้นก็ยิ่งขัดใจ เถียงว่า “โจโฉทำการครั้งนั้นเป็นความคิดของโจโฉเอง จะเป็นความคิดบังทองนั้นหาไม่ เราไม่ชอบใจ ไม่เอาไว้แล้ว”
ซุนกวนยกเหตุผลโต้แย้งโลซกพอเป็นพิธี แต่ที่ตัดบทว่าไม่ชอบใจจึงไม่เอาไว้ใช้ในราชการนั้นเป็นคำขาด และเป็นเหตุผลหลักในการตัดสินใจของซุนกวน โลซกเห็นดังนั้นก็สิ้นปัญญาที่จะว่ากล่าวเกลี้ยกล่อมซุนกวนต่อไป จึงคำนับลาซุนกวนแล้วตามไปหาบังทอง
ครั้นพบบังทองแล้ว โลซกจึงว่าข้าพเจ้าได้ช่วยเจรจาว่ากล่าวกับซุนกวนให้เชิญท่านเข้าทำราชการกับเมืองกังตั๋ง ได้ยกเหตุผลเป็นอันมาก แต่ซุนกวนไม่ฟังคำ ดังนั้นท่านจงรักษาตัวไว้คอยท่าโอกาสที่จะมาใหม่ ข้าพเจ้าจะช่วยเจรจาว่ากล่าวอีกครั้งหนึ่ง
บังทองได้ฟังดังนั้นก็ทอดถอนใจใหญ่ ก้มหน้านิ่งแต่มิได้พูดจาว่ากล่าวประการใด
โลซกเห็นอาการบังทองดังนั้นก็สังหรณ์ว่าบังทองจะไม่อยู่ในแดนกังตั๋งสืบไป จึงถามว่าอาการของท่านทั้งนี้เหมือนหนึ่งว่าท่านจะเดินทางจากแดนกังตั๋งไปเมืองอื่น ซึ่งก็ควรแก่ท่าน ก็แลตัวท่านนี้มีสติปัญญาเป็นอันมาก ให้พิเคราะห์ดูจงควรเถิดว่าจะไปบ้านเมืองใด จึงจะเป็นประโยชน์แก่ท่าน แล้ววานช่วยแจ้งให้ข้าพเจ้าทราบ
บังทองได้ฟังดังนั้นก็ใคร่ลองใจโลซก จึงบอกว่าข้าพเจ้าคิดว่าจะเดินทางไปเมืองหลวงขอทำราชการด้วยโจโฉ ท่านจะเห็นประการใด
โลซกได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ รีบท้วงว่า “ท่านมีสติปัญญาดุจแก้วอันงาม ซึ่งจะไปอยู่ด้วยโจโฉนั้นเหมือนอยู่ในที่มืดที่ลับไม่สมควร ขอท่านไป ณ เมืองเกงจิ๋ว อยู่ด้วยเล่าปี่ เห็นจะเป็นประโยชน์แก่ท่าน”
โลซกประจักษ์แล้วซึ่งสติปัญญาความสามารถของบังทองจึงคิดว่าหากบังทองไปอยู่ด้วยโจโฉ เมืองกังตั๋งก็จักเป็นอันตราย ดังนั้นหากไม่บอกทางออกอื่นใด บังทองไปอยู่ด้วยโจโฉแล้วจะแก้ไขก็ขัดสน
โลซกจึงจำใจต้องแนะนำให้บังทองไปอยู่ด้วยเล่าปี่ เพราะเห็นว่าเล่าปี่นั้นไม่ว่าประการใดก็ไม่เป็นภัยแก่เมืองกังตั๋ง
บังทองได้ฟังดังนั้นจึงว่า ที่แจ้งแก่ท่านว่าข้าพเจ้าจะไปอยู่ด้วยโจโฉนั้น เป็นแต่ลองน้ำใจท่าน น้ำใสใจจริงของข้าพเจ้าก็เหมือนดังหนึ่งคำท่านแนะนำ
โลซกได้ฟังดังนั้นก็ยินดี จึงเขียนหนังสือฝากฝังบังทองถึงเล่าปี่ฉบับหนึ่ง มอบแก่บังทองแล้วว่า ขอท่านจงไปทำนุบำรุงเล่าปี่ ช่วยเจรจาว่ากล่าวอย่าให้เล่าปี่กับซุนกวนผิดใจกัน แล้วจะได้ร่วมกันคิดอ่านกำจัดโจโฉเสีย เมื่อไปถึงเล่าปี่แล้วท่านจงเอาหนังสือฉบับนี้ให้เล่าปี่ เล่าปี่ก็จะรับท่านไว้ในราชการ
โลซกมอบหนังสือให้แก่บังทองแล้ว จึงคำนับลาบังทองกลับไป บังทองก็จัดแจงข้าวของแล้วลงเรือข้ามไปยังแดนเมืองเกงจิ๋ว
ในขณะนั้นขงเบ้งออกจากเมืองเกงจิ๋วไปตรวจราชการยังเมืองเลงเหลง เมืองบุเหลง เมืองฮุยเอี๋ยงและเมืองเตียงสา ดังนั้นเมื่อบังทองไปถึงเมืองเกงจิ๋วแล้วไม่พบขงเบ้งจึงไปหาเล่าปี่ที่จวน แล้วบอกแก่นายประตูว่าบังทองมาแต่เมืองกังตั๋งจะมาขอพบเล่าปี่
เล่าปี่เคยได้ยินแต่นามฮกหลงและฮองซูว่ามีสติปัญญาสามารถกอบกู้แผ่นดินได้สำเร็จ โดยที่ไม่รู้ว่าฮองซูคือผู้ใด ดังนั้นเมื่อนายประตูเข้ามารายงานว่ามีชายแปลกหน้าชื่อว่าบังทองมาขอพบ เล่าปี่จึงให้เชิญแขกแปลกหน้าเข้ามาพบที่ห้องรับรอง
เล่าปี่เห็นแขกแปลกหน้าเดินเข้ามาแล้วยืนนิ่งเฉยโดยมิได้คำนับก็มิได้คำนับตอบตามอย่างธรรมเนียม ทั้งได้พิเคราะห์ดูรูปนรลักษณ์ของบังทองแล้ว “เห็นรูปร่างวิปริต” จึงไม่ชอบใจ ไม่เลื่อมใสศรัทธา แต่กล่าวด้วยมารยาทว่าเสียดายที่ท่านเดินทางมาแต่ไกล แต่เรานี้ไม่มีธุระสิ่งใดที่จะว่ากล่าวด้วยท่าน
บังทองเห็นอากัปกิริยาวาจาของเล่าปี่มิได้เชื่อถือศรัทธาไว้วางใจก็รู้สึกน้อยใจ แต่ด้วยความทรนงในปัญญาวิทยาคุณของตน จึงไม่เอาหนังสือฝากฝังของขงเบ้งและโลซกให้แก่เล่าปี่ และกล่าวตอบไปตามทางมารยาทว่า “ได้ยินลือว่าอาพระเจ้าเหี้ยนเต้เกลี้ยกล่อมผู้มีสติปัญญาแลทหาร ข้าพเจ้าจึงอุตส่าห์มาหาท่าน”
บังทองหรือฮองซูผู้มีปัญญาวิทยาคุณอันเป็นเลิศในแผ่นดิน แต่มีนรลักษณ์ที่รูปชั่วตัวดำอัปลักษณ์ ดูภายนอกใครเห็นก็น่าหมั่นไส้ จึงคล้ายดั่งผ้าขี้ริ้วที่ห่อทอง ดังนั้นผ้าขี้ริ้วจึงปิดบังคุณค่าแห่งทองนั้นไว้จนสิ้น.