ตอนที่ 318. สิ้นบุญจิวยี่
จิวยี่วางกลอุบายยืมทางตีเมืองเพื่อจะยึดเอาเมืองเกงจิ๋ว แต่ขงเบ้งกลับแก้กลอุบายของจิวยี่วางกลขัดแร้วดักเสือรับมือกับกองทัพของจิวยี่ที่กำลังยกมา แล้วพาเล่าปี่ขึ้นไปสังเกตการณ์บนยอดเขานอกเมือง และให้บิต๊กออกไปรับหน้าจิวยี่ที่เมืองแฮเค้าเพื่อล่อเสือเข้าแร้ว
บิต๊กฟังคำจิวยี่ที่บอกให้บิต๊กรีบล่วงหน้ากลับไปแจ้งให้เล่าปี่จัดแจงเสบียงไว้ให้พร้อม และจิวยี่จะยกตามไปแล้วก็มีความยินดี จึงคำนับลาจิวยี่แล้วขึ้นจากเรือ พาทหารติดตามยกกลับเมืองเกงจิ๋วตามทางบก
จิวยี่จึงให้กองทัพเรือเคลื่อนออกจากปากอ่าวเมืองแฮเค้าถึงปากอ่าวกั๋งอันหน้าเมืองเกงจิ๋ว เห็นที่ท่าเรือเงียบสงบไม่มีผู้คนหรือทหารเดินไปเดินมาแม้แต่สักคนเดียว จิวยี่ก็รู้สึกประหลาดใจจึงให้แล่นเรือเข้าไปตามลำน้ำใกล้กำแพงเมือง ก็ยังคงเห็นเหตุการณ์เงียบสงบ ไม่มีผู้คนหรือทหารเหมือนกับที่ปากอ่าวก็สงสัย จึงให้ทหารขึ้นจากเรือไปสอดแนม
ครู่หนึ่งทหารสอดแนมก็กลับมารายงานว่า ประตูเมืองเกงจิ๋วนั้นปิดอยู่ ไม่เห็นผู้คนแม้แต่สักคนเดียว บนเชิงเทินก็ไม่เห็นธงทิวหรือทหารรักษาการณ์ มีแต่ธงสีขาวปักอยู่สองอัน มิรู้ว่ามีความหมายประการใด
จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็ประหลาดใจ จึงสั่งให้จอดเรือรบที่ชายฝั่งแล้วยกพลขึ้นบก ตัวจิวยี่ขึ้นขี่ม้าพากำเหลง ชีเซ่ง เตงฮอง และทหารสามพันยกเข้าไปที่หน้าเชิงเทิน ส่วนทหารที่เหลือให้ตั้งมั่นอยู่ที่ริมฝั่ง
เมื่อจิวยี่พาทหารไปถึงประตูเมืองหน้าเชิงเทินจึงให้ทหารร้องเรียกว่าผู้ใดอยู่ในเมืองบ้าง ให้รีบเปิดประตูเมืองโดยไว
มีทหารคนหนึ่งออกมายืนที่หน้าเชิงเทินแล้วร้องถามกลับลงมาว่า ท่านนี้ชื่อใดหรือ มีกิจธุระสิ่งใดจึงมาร้องเรียกให้เปิดประตูเมืองดังนี้
ทหารของจิวยี่ก็ร้องตอบไปว่า พวกเราเป็นทหารของเมืองกังตั๋ง จิวยี่เป็นแม่ทัพยกมาด้วยตนเอง ให้รีบเปิดประตูเมืองเถิด
ในทันใดนั้นเสียงกลองรบก็ดังขึ้นทั้งสี่ด้านของกำแพงเมือง ธงทิวประจำกองทัพเล่าปี่สีเหลืองขอบแสดถูกชูขึ้นตามแนวกำแพงทั้งสี่ด้าน จูล่งและทหารพร้อมอาวุธก็ลุกขึ้นประจำหน้าที่บนเชิงเทินพร้อมกัน
จูล่งยืนอยู่บนเชิงเทินร้องตอบกลับไปตามที่ขงเบ้งได้กระซิบสั่งว่า จิวยี่ท่านยกกองทัพมาครั้งนี้จะไปที่แห่งหนตำบลใดหรือ
จิวยี่เห็นจูล่งร้องถามมาดังนั้นจึงตอบไปว่า เราสัญญากับเล่าปี่นายท่านจะยกไปตีเมืองเสฉวนให้เล่าปี่แล้วจะคืนเอาเมืองเกงจิ๋ว ท่านไม่รู้ความหรืออย่างไร
จูล่งแสร้งหัวเราะและกล่าวตอบตามที่ขงเบ้งกระซิบสั่งต่อไปว่า “ท่านคิดกลอุบายอย่างพระเจ้าจิ้นเฮียนก๋งยืมทางเจ้าเมืองหงีไปตีเมืองเค๊กนั้นหรือ ขงเบ้งก็แจ้งอยู่แล้ว จึงให้เราคุมทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินคอยท่าท่านอยู่ ซึ่งท่านจะยกไปตีเมืองเสฉวนนั้นก็ให้รีบยกไปเถิด แม้เมืองเสฉวนเป็นอันตรายแล้ว เล่าปี่นายเราก็จะไม่พ้นความอาย เพราะเล่าเจี้ยงกับเล่าปี่เป็นเชื้อสายติดพันกันอยู่ จึงสั่งเราไว้ให้บอกท่านว่าแม้ท่านได้เมืองเสฉวนสมความคิดแล้ว เล่าปี่กับขงเบ้งก็จะคืนเมืองเกงจิ๋วให้ แล้วก็จะพาทหารอพยพไปอยู่ป่า ไม่คิดอ่านทำการสงครามสืบไปเลย”
ความลับอันขงเบ้งกระซิบสั่งจูล่งไว้อันได้ประจักษ์ในการโต้ตอบดังนี้ก็คือการบอกจิวยี่ให้แจ้งว่าอันความคิดซึ่งจิวยี่วางกลอุบายนั้นขงเบ้งกระจ่างแจ้งสิ้นแล้ว จึงท้าทายให้จิวยี่รีบยกไปตีเมืองเสฉวน มาตรแม้นสำเร็จสมปรารถนาเล่าปี่ก็จะมอบเมือง เกงจิ๋วให้ แล้วจะพาทหารไปอยู่ป่าไม่สู้หน้าผู้คนอีกต่อไป นี่คืออาวุธที่ร้ายแรงอีกชนิดหนึ่งในบรรดาอาวุธทั้งปวงโดยมิต้องอาศัยคมหอกดาบ และนี่คือหนึ่งในห้าสุดยอดวิชาขันทีคือวิชาใช้วาจาเป็นอาวุธประหัตประหารผู้คน ซึ่งเกือบจะหายสาบสูญไปแล้วนั่นเอง
จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็รู้ว่ากลอุบายซึ่งคิดจะจับเล่าปี่นั้นถูกขงเบ้งจับได้ไล่ทันและวางอุบายซ้อนกลลวงมาถึงที่หน้าเมืองเกงจิ๋วนี้ โดยที่ได้จัดแจงทหารป้องกันรักษาเมืองไว้อย่างเข้มแข็งก็ตกใจ รีบควบม้าพาทหารถอยออกจากกำแพงเมืองจะกลับไปยังกองทัพเรือ
ในพลันนั้นได้ยินเสียงทหารเป็นอันมากโห่ร้องก้องมาจากทั้งสี่ทิศ เป็นกองทหารของกวนอู เตียวหุย ฮองตงและอุยเอี๋ยน ซึ่งขงเบ้งให้ยกไปตั้งซุ่มอยู่ในป่าร้องพร้อมกันดังลั่นมาว่าให้ช่วยกันจับจิวยี่ให้จงได้
จิวยี่ทั้งตกใจทั้งเสียใจที่เสียคิด เสียทีแก่ขงเบ้ง พิษเกาทัณฑ์ก็กำเริบขึ้น จิวยี่ร้องขึ้นได้คำหนึ่งก็พลัดตกลงจากหลังม้าสิ้นสติสมประดี
ทหารเมืองกังตั๋งเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบอุ้มจิวยี่พยุงกลับไปลงเรือ และช่วยกันแก้ไข จิวยี่จนฟื้นขึ้น
พอจิวยี่ฟื้นขึ้นทหารก็ได้รายงานว่าได้ไปลาดตระเวนที่เชิงเขานอกเมืองเกงจิ๋ว เห็นเล่าปี่และขงเบ้งขึ้นไปนั่งเสพสุราอยู่บนยอดเขา ให้มโหรีบรรเลงกล่อมเป็นที่สบายใจยิ่งนักราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
จิวยี่ได้ฟังก็ขึ้งแค้น คิดจะยกทหารบุกขึ้นไปบนยอดเขา จับเล่าปี่และขงเบ้งฆ่าเสียแต่ก็ได้คิดว่าอันการซึ่งเล่าปี่ ขงเบ้ง ขึ้นไปนั่งเสพสุราฟังดนตรีอยู่บนยอดเขาดังนี้น่าจะมีกองทหารซุ่มคอยทำร้ายอยู่ และมิรู้ว่าขงเบ้งจะวางกลอุบายประการใดไว้รับมืออีก ทั้งคำจูล่งที่ปรามาสว่าหากจิวยี่ไปตีเมืองเสฉวนได้ เล่าปี่และขงเบ้งก็จะพาทหารหนีไปอยู่ป่าก็หวนก้องดังขึ้นในโสตจิวยี่จึงมีมานะพลุ่งขึ้น กล่าวกับทหารทั้งปวงว่าเล่าปี่และขงเบ้งทำการทั้งนี้ดูหมิ่นเหยียดหยามปรามาสเรายิ่งนัก เยาะเย้ยว่าเราไม่สามารถตีเมืองเสฉวนได้ ดังนั้นเราจำจะยกไปตีเมืองเสฉวนให้เล่าปี่และขงเบ้งประจักษ์ในฝีมือของทหารเมืองกังตั๋ง
พอจิวยี่กล่าวสิ้นคำ ทหารรักษาการณ์ก็มารายงานว่าบัดนี้ซุนกวนได้ให้ซุนยี่ยกกองทัพเรือมาหนุน จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้ทหารไปเชิญซุนยี่มาที่เรือธงแล้วเล่าความทั้งปวงให้ซุนยี่ฟัง
จากนั้นจิวยี่จึงสั่งให้เคลื่อนกองทัพเรือไปตามแม่น้ำจะยกไปรบเอาเมืองเสฉวนตามคำท้าของจูล่ง
ครั้นกองทัพเรือเมืองกังตั๋งยกล่วงไปถึงตำบลปาชิวต้นแม่น้ำทางที่จะไปยังเมืองเสฉวน เห็นกองทัพเมืองเกงจิ๋วตั้งค่ายมั่นสกัดอยู่แต่ไม่มีทีท่าว่าจะสู้รบ และทหารลาดตระเวนได้เข้ามารายงานแก่จิวยี่ว่าบัดนี้ขงเบ้งให้เล่าฮองและกวนเป๋งยกกองทัพมาตั้งสกัดไว้ข้างหน้า และให้ทหารถือหนังสือของขงเบ้งมามอบแก่ท่าน รายงานแล้วทหารนั้นก็ส่งหนังสือของขงเบ้งแก่จิวยี่
จิวยี่รับหนังสือของขงเบ้งแล้วเปิดออกอ่านดู เป็นเนื้อความว่า “ขงเบ้งอวยพรมาถึงจิวยี่ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาผู้ใหญ่ในเมืองกังตั๋ง ด้วยข้าพเจ้าแต่จากท่านมาก็ช้านาน ยังคิดถึงไมตรีท่านทุกวันมิได้ขาด บัดนี้ข้าพเจ้าแจ้งว่าท่านจะยกกองทัพไปตีเมืองเสฉวน ก็คิดวิตกถึงท่านนัก ด้วยเมืองเสฉวนนั้นเสบียงอาหารแลไพร่พลก็มั่งคั่งบริบูรณ์อยู่ ถึงมาตรว่าเล่าเจี้ยงมีสติปัญญาน้อย ก็เห็นจะรักษาเมืองได้ แลท่านจะยกไปนั้นทางก็ไกล ถึงจะส่งเสบียงอาหารก็ขัดสน อนึ่งโจโฉจำเดิมแต่เสียทหารแปดสิบสามหมื่นครั้งนั้นก็คิดจะแก้แค้นอยู่มิได้ขาด แม้รู้ว่าท่านทิ้งเมืองเสียฉะนี้ก็จะยกกองทัพมาตีเมืองกังตั๋ง ซุนกวนสู้โจโฉไม่ได้เมืองกังตั๋งก็จะเสียแก่โจโฉเป็นมั่นคง ตัวข้าพเจ้ากับท่านก็มีไมตรีต่อกันอยู่ ครั้นจะนิ่งให้ท่านทำการผิดก็หาควรไม่ จึงช่วยเตือนสติท่าน”
น้ำเนื้อแห่งความตามหนังสือลับของขงเบ้งนี้ดูประหนึ่งเปี่ยมด้วยน้ำใจไมตรีเอื้ออาทรต่อจิวยี่ ชี้ให้เห็นถึงทางทั้งปวงว่าแม้นเล่าเจี้ยงจะมีสติปัญญาน้อยแต่ก็จะรักษาเมืองเอาไว้ได้ จิวยี่จะไม่มีทางตีเมืองเสฉวนได้สำเร็จ เพราะเมืองเสฉวนเสบียงอาหารและไพร่พลก็พร้อมบริบูรณ์ จิวยี่ต้องเดินทัพแต่ทางไกลการขนส่งลำเลียงเสบียงอาหารก็ขัดสน ย่อมต้องเสียทีแก่เล่าเจี้ยงคนไร้ปัญญาเป็นมั่นคง การเดินหน้าทางเมืองเสฉวนจึงปิดตัน แม้ยังขืนดึงดันโจโฉรู้ข่าวก็จะยกมาตีเมืองกังตั๋ง ซุนกวนย่อมไม่อาจต่อสู้เพราะมิใช่คู่มือของโจโฉ เมืองกังตั๋งก็จะเสียแก่โจโฉอีก จิวยี่ไม่มีทางอื่นใดนอกจากต้องยกทัพกลับเมืองกังตั๋ง เนื้อความอันปรากฏภายนอกเป็นดังนี้ แต่เนื้อความอันซ่อนอยู่ภายในนั้นเล่า…อำมหิตนัก เพราะการกลับคืนกังตั๋งในลักษณะเช่นนี้มีหรือคนทรนง อย่างจิวยี่จะสามารถสู้หน้าใครใดได้อีก เพราะความอัปยศอดสูที่จิวยี่เสียรู้เสียทีและเสียคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้บดขยี้สำนึกที่ทะนงในศักดิ์ศรีของชายชาติทหารจนวอดวายสิ้นแล้ว ที่บากหน้ากรีฑาทัพจะยกไปตีเมืองเสฉวนนั้นก็ด้วยแรงมานะประการเดียวโดยหามีความมั่นใจแม้แต่น้อยนิด ซึ่งจิวยี่ก็ประหวั่นพรั่นใจ ครั้นถูกขงเบ้งชี้แจงประหนึ่งว่าได้หยั่งเข้าไปถึงห้วงใจลึกราวกับว่านั่งอยู่ในหัวใจของจิวยี่เสียเอง หัวใจของจิวยี่จึงแตกสลายในบัดนั้น
จิวยี่อ่านหนังสือลับของขงเบ้งไปหน้าก็นิ่ว คิ้วก็ขมวด ใจก็ยิ่งเคียดแค้น พิษเกาทัณฑ์ซึ่งกลุ้มรุมสุมอยู่ในใจและกำเริบต่อเนื่องถึงสามครั้งสี่คราก็กำเริบแรงขึ้นอีกคราหนึ่ง จิวยี่เซถลามาข้างหลังสองก้าวแล้วล้มลงสิ้นสติสมประดี
จิวยี่ต้องศรแห่งวาทศิลป์อันเป็นสุดยอดวิชาฆ่าคนของขันทีล้มลงท่ามกลางความตกตะลึงของบรรดาทหารทั้งปวง ทหารเมืองกังตั๋งจึงช่วยกันแก้จิวยี่ จนพ้นยามแรกจิวยี่จึงฟื้นคืนสติสมประดีขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
จิวยี่ฟื้นคืนสติแล้วให้ปวดร้าวไปทั้งตัว โดยเฉพาะทั่วหัวอกนั้นประหนึ่งว่าคมเกาทัณฑ์นับหมื่นแสนแล่นเข้าเสียบแน่นอยู่ในอก จะหายใจก็มิคล่อง จะกล่าวคำก็ไม่สะดวก ก็รู้สึกตัวว่าอาการครั้งนี้ผิดแต่ที่เคยเป็นมา เห็นชีวิตจะไม่รอดข้ามราตรีนี้ไปได้ จิวยี่ก็ยิ่งเสียใจหนัก คิดถึงการข้างเมืองกังตั๋งแล้วให้วิตกกังวล มิรู้ที่จะทำประการใด จิวยี่ก็ร้องไห้
จิวยี่รำลึกถึงซุนกวนเจ้านายซึ่งเป็นธงชัยแห่งความภักดีของตัว ซึ่งอ่อนแก่ความสงครามนักก็ยิ่งวิตก รำลึกถึงเตียวเจียวเล่าก็เป็นพวกลัทธิยอมจำนน ยามอยู่ในวิกฤตก็คิดแต่จะยกเมืองให้เป็นสิทธิแก่คนอื่น ไม่อาจวางใจให้เป็นหลักชัยแห่งกังตั๋งได้ เห็นก็แต่โลซกซึ่งเป็นคนซื่อ แม้ว่าสติปัญญาด้านการสงครามยังอ่อนด้อย แต่สติปัญญาด้านความเมืองเรื่องรักษาเมืองกังตั๋งไว้ให้เป็นสมบัติแก่ตระกูลซุนสืบไปก็ยังพอตั้งความหวังไว้ได้
จิวยี่รำลึกดังนี้จึงให้ทหารเอาหมึก พู่กัน และกระดาษมาเขียนหนังสือลับขึ้นฉบับหนึ่ง แล้วเรียกแม่ทัพนายกองผู้ใหญ่เข้ามาพร้อมกัน แล้วว่า “เราทำการทั้งนี้ตั้งใจจะทำนุบำรุงซุนกวนโดยสุจริต บัดนี้ความตายมาถึงตัวเราแล้ว ท่านทั้งปวงอยู่ข้างหลังจงช่วยกันทำนุบำรุงนายเราให้สำเร็จตามที่คิดไว้จงได้”
จิวยี่กล่าวความกระท่อนกระแท่นเพราะแน่นขึ้นในอก จึงส่งหนังสือลับนั้นให้ทหารคนสนิทและสั่งด้วยน้ำเสียงอ่อนอิดโรยเต็มทีว่า ท่านจงเอาหนังสือของเรานี้ไปมอบแก่ซุนกวนให้จงได้ แล้วบอกซุนกวนเถิดว่าจิวยี่คนบุญน้อยไม่มีวาสนาได้มาพบซุนกวนอีกแล้ว จะขอคำนับอำลา ณ บัดนี้
พอทหารรับเอาหนังสือจากมือของจิวยี่ พิษเกาทัณฑ์ก็กำเริบกลุ้มหัวใจขึ้นมาอีก จิวยี่ก็สลบสิ้นสติไปอีกครั้งหนึ่ง
บรรดาทหารที่ดูอาการจิวยี่อยู่นั้นจึงช่วยกันพยาบาลแก้ไขจนจิวยี่ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
จิวยี่ตื่นฟื้นขึ้นมารู้สึกตัวว่านอนอยู่บนที่นอน รำลึกความก่อนสิ้นสติได้ก็ยิ่งเคียดแค้น แหงนหน้าดูฟ้าแล้วร้องว่า “เทียนกังแชยี่ ฮ้อปิ๊ดแชเหลียง” ซึ่งแปลความว่าฟ้าให้จิวยี่มาเกิดแล้ว ไฉนจึงให้จูกัดเหลียงมาเกิดด้วยเล่า จิวยี่ร้องอยู่ดังนี้สองสามครั้งด้วยความเคียดแค้นสุดขีด พิษเกาทัณฑ์ก็กำเริบรุมเร้า จิวยี่ก็สิ้นใจ ณ บัดนั้น
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) บรรยายว่า “จิวยี่แหงนหน้าขึ้นดูฟ้าแล้วร้องว่าเทพยดาองค์ใดหนอซึ่งให้เราเกิดมาแล้ว เหตุใดจึงให้ขงเบ้งเกิดมาด้วยเล่า”
จิวยี่ยอดวีรชนแห่งกังตั๋งแม้ว่าจะมีความคิดจิตใจที่ไร้ความซื่อตรงต่อผู้คนทั้งปวง แต่น้ำใจจงรักภักดีต่อผู้เป็นนายนั้นมิมีสักธุลีหนึ่งที่จะอ่อนด้อยถอยค่า จวบจนเวลาวาระสุดท้ายแห่งชีวิตก็มิได้ครุ่นคิดถึงเรื่องอื่นหรือครอบครัวตน คงกังวลคิดอ่านแต่จะสนองคุณผู้เป็นนาย แล้วใช้เวลาวาระที่เหลือยามจะสิ้นลมเขียนจดหมายลับไว้ให้ซุนกวน หวังให้เป็นเกราะคุ้มกันเมืองกังตั๋งหลังแต่สิ้นชีวิตตัวให้รอดปลอดภัย ฉะนี้จิวยี่จึงนับเป็นแบบฉบับยอดวีรบุรุษผู้ภักดีคนหนึ่งในประวัติศาสตร์
ขณะเมื่อจิวยี่ถึงแก่ความตายนั้นอายุได้สามสิบหกปี และเป็นช่วงเวลาเดือนยี่ปลายเจี้ยนอันศกปีที่สิบห้า.
บิต๊กฟังคำจิวยี่ที่บอกให้บิต๊กรีบล่วงหน้ากลับไปแจ้งให้เล่าปี่จัดแจงเสบียงไว้ให้พร้อม และจิวยี่จะยกตามไปแล้วก็มีความยินดี จึงคำนับลาจิวยี่แล้วขึ้นจากเรือ พาทหารติดตามยกกลับเมืองเกงจิ๋วตามทางบก
จิวยี่จึงให้กองทัพเรือเคลื่อนออกจากปากอ่าวเมืองแฮเค้าถึงปากอ่าวกั๋งอันหน้าเมืองเกงจิ๋ว เห็นที่ท่าเรือเงียบสงบไม่มีผู้คนหรือทหารเดินไปเดินมาแม้แต่สักคนเดียว จิวยี่ก็รู้สึกประหลาดใจจึงให้แล่นเรือเข้าไปตามลำน้ำใกล้กำแพงเมือง ก็ยังคงเห็นเหตุการณ์เงียบสงบ ไม่มีผู้คนหรือทหารเหมือนกับที่ปากอ่าวก็สงสัย จึงให้ทหารขึ้นจากเรือไปสอดแนม
ครู่หนึ่งทหารสอดแนมก็กลับมารายงานว่า ประตูเมืองเกงจิ๋วนั้นปิดอยู่ ไม่เห็นผู้คนแม้แต่สักคนเดียว บนเชิงเทินก็ไม่เห็นธงทิวหรือทหารรักษาการณ์ มีแต่ธงสีขาวปักอยู่สองอัน มิรู้ว่ามีความหมายประการใด
จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็ประหลาดใจ จึงสั่งให้จอดเรือรบที่ชายฝั่งแล้วยกพลขึ้นบก ตัวจิวยี่ขึ้นขี่ม้าพากำเหลง ชีเซ่ง เตงฮอง และทหารสามพันยกเข้าไปที่หน้าเชิงเทิน ส่วนทหารที่เหลือให้ตั้งมั่นอยู่ที่ริมฝั่ง
เมื่อจิวยี่พาทหารไปถึงประตูเมืองหน้าเชิงเทินจึงให้ทหารร้องเรียกว่าผู้ใดอยู่ในเมืองบ้าง ให้รีบเปิดประตูเมืองโดยไว
มีทหารคนหนึ่งออกมายืนที่หน้าเชิงเทินแล้วร้องถามกลับลงมาว่า ท่านนี้ชื่อใดหรือ มีกิจธุระสิ่งใดจึงมาร้องเรียกให้เปิดประตูเมืองดังนี้
ทหารของจิวยี่ก็ร้องตอบไปว่า พวกเราเป็นทหารของเมืองกังตั๋ง จิวยี่เป็นแม่ทัพยกมาด้วยตนเอง ให้รีบเปิดประตูเมืองเถิด
ในทันใดนั้นเสียงกลองรบก็ดังขึ้นทั้งสี่ด้านของกำแพงเมือง ธงทิวประจำกองทัพเล่าปี่สีเหลืองขอบแสดถูกชูขึ้นตามแนวกำแพงทั้งสี่ด้าน จูล่งและทหารพร้อมอาวุธก็ลุกขึ้นประจำหน้าที่บนเชิงเทินพร้อมกัน
จูล่งยืนอยู่บนเชิงเทินร้องตอบกลับไปตามที่ขงเบ้งได้กระซิบสั่งว่า จิวยี่ท่านยกกองทัพมาครั้งนี้จะไปที่แห่งหนตำบลใดหรือ
จิวยี่เห็นจูล่งร้องถามมาดังนั้นจึงตอบไปว่า เราสัญญากับเล่าปี่นายท่านจะยกไปตีเมืองเสฉวนให้เล่าปี่แล้วจะคืนเอาเมืองเกงจิ๋ว ท่านไม่รู้ความหรืออย่างไร
จูล่งแสร้งหัวเราะและกล่าวตอบตามที่ขงเบ้งกระซิบสั่งต่อไปว่า “ท่านคิดกลอุบายอย่างพระเจ้าจิ้นเฮียนก๋งยืมทางเจ้าเมืองหงีไปตีเมืองเค๊กนั้นหรือ ขงเบ้งก็แจ้งอยู่แล้ว จึงให้เราคุมทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินคอยท่าท่านอยู่ ซึ่งท่านจะยกไปตีเมืองเสฉวนนั้นก็ให้รีบยกไปเถิด แม้เมืองเสฉวนเป็นอันตรายแล้ว เล่าปี่นายเราก็จะไม่พ้นความอาย เพราะเล่าเจี้ยงกับเล่าปี่เป็นเชื้อสายติดพันกันอยู่ จึงสั่งเราไว้ให้บอกท่านว่าแม้ท่านได้เมืองเสฉวนสมความคิดแล้ว เล่าปี่กับขงเบ้งก็จะคืนเมืองเกงจิ๋วให้ แล้วก็จะพาทหารอพยพไปอยู่ป่า ไม่คิดอ่านทำการสงครามสืบไปเลย”
ความลับอันขงเบ้งกระซิบสั่งจูล่งไว้อันได้ประจักษ์ในการโต้ตอบดังนี้ก็คือการบอกจิวยี่ให้แจ้งว่าอันความคิดซึ่งจิวยี่วางกลอุบายนั้นขงเบ้งกระจ่างแจ้งสิ้นแล้ว จึงท้าทายให้จิวยี่รีบยกไปตีเมืองเสฉวน มาตรแม้นสำเร็จสมปรารถนาเล่าปี่ก็จะมอบเมือง เกงจิ๋วให้ แล้วจะพาทหารไปอยู่ป่าไม่สู้หน้าผู้คนอีกต่อไป นี่คืออาวุธที่ร้ายแรงอีกชนิดหนึ่งในบรรดาอาวุธทั้งปวงโดยมิต้องอาศัยคมหอกดาบ และนี่คือหนึ่งในห้าสุดยอดวิชาขันทีคือวิชาใช้วาจาเป็นอาวุธประหัตประหารผู้คน ซึ่งเกือบจะหายสาบสูญไปแล้วนั่นเอง
จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็รู้ว่ากลอุบายซึ่งคิดจะจับเล่าปี่นั้นถูกขงเบ้งจับได้ไล่ทันและวางอุบายซ้อนกลลวงมาถึงที่หน้าเมืองเกงจิ๋วนี้ โดยที่ได้จัดแจงทหารป้องกันรักษาเมืองไว้อย่างเข้มแข็งก็ตกใจ รีบควบม้าพาทหารถอยออกจากกำแพงเมืองจะกลับไปยังกองทัพเรือ
ในพลันนั้นได้ยินเสียงทหารเป็นอันมากโห่ร้องก้องมาจากทั้งสี่ทิศ เป็นกองทหารของกวนอู เตียวหุย ฮองตงและอุยเอี๋ยน ซึ่งขงเบ้งให้ยกไปตั้งซุ่มอยู่ในป่าร้องพร้อมกันดังลั่นมาว่าให้ช่วยกันจับจิวยี่ให้จงได้
จิวยี่ทั้งตกใจทั้งเสียใจที่เสียคิด เสียทีแก่ขงเบ้ง พิษเกาทัณฑ์ก็กำเริบขึ้น จิวยี่ร้องขึ้นได้คำหนึ่งก็พลัดตกลงจากหลังม้าสิ้นสติสมประดี
ทหารเมืองกังตั๋งเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบอุ้มจิวยี่พยุงกลับไปลงเรือ และช่วยกันแก้ไข จิวยี่จนฟื้นขึ้น
พอจิวยี่ฟื้นขึ้นทหารก็ได้รายงานว่าได้ไปลาดตระเวนที่เชิงเขานอกเมืองเกงจิ๋ว เห็นเล่าปี่และขงเบ้งขึ้นไปนั่งเสพสุราอยู่บนยอดเขา ให้มโหรีบรรเลงกล่อมเป็นที่สบายใจยิ่งนักราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
จิวยี่ได้ฟังก็ขึ้งแค้น คิดจะยกทหารบุกขึ้นไปบนยอดเขา จับเล่าปี่และขงเบ้งฆ่าเสียแต่ก็ได้คิดว่าอันการซึ่งเล่าปี่ ขงเบ้ง ขึ้นไปนั่งเสพสุราฟังดนตรีอยู่บนยอดเขาดังนี้น่าจะมีกองทหารซุ่มคอยทำร้ายอยู่ และมิรู้ว่าขงเบ้งจะวางกลอุบายประการใดไว้รับมืออีก ทั้งคำจูล่งที่ปรามาสว่าหากจิวยี่ไปตีเมืองเสฉวนได้ เล่าปี่และขงเบ้งก็จะพาทหารหนีไปอยู่ป่าก็หวนก้องดังขึ้นในโสตจิวยี่จึงมีมานะพลุ่งขึ้น กล่าวกับทหารทั้งปวงว่าเล่าปี่และขงเบ้งทำการทั้งนี้ดูหมิ่นเหยียดหยามปรามาสเรายิ่งนัก เยาะเย้ยว่าเราไม่สามารถตีเมืองเสฉวนได้ ดังนั้นเราจำจะยกไปตีเมืองเสฉวนให้เล่าปี่และขงเบ้งประจักษ์ในฝีมือของทหารเมืองกังตั๋ง
พอจิวยี่กล่าวสิ้นคำ ทหารรักษาการณ์ก็มารายงานว่าบัดนี้ซุนกวนได้ให้ซุนยี่ยกกองทัพเรือมาหนุน จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้ทหารไปเชิญซุนยี่มาที่เรือธงแล้วเล่าความทั้งปวงให้ซุนยี่ฟัง
จากนั้นจิวยี่จึงสั่งให้เคลื่อนกองทัพเรือไปตามแม่น้ำจะยกไปรบเอาเมืองเสฉวนตามคำท้าของจูล่ง
ครั้นกองทัพเรือเมืองกังตั๋งยกล่วงไปถึงตำบลปาชิวต้นแม่น้ำทางที่จะไปยังเมืองเสฉวน เห็นกองทัพเมืองเกงจิ๋วตั้งค่ายมั่นสกัดอยู่แต่ไม่มีทีท่าว่าจะสู้รบ และทหารลาดตระเวนได้เข้ามารายงานแก่จิวยี่ว่าบัดนี้ขงเบ้งให้เล่าฮองและกวนเป๋งยกกองทัพมาตั้งสกัดไว้ข้างหน้า และให้ทหารถือหนังสือของขงเบ้งมามอบแก่ท่าน รายงานแล้วทหารนั้นก็ส่งหนังสือของขงเบ้งแก่จิวยี่
จิวยี่รับหนังสือของขงเบ้งแล้วเปิดออกอ่านดู เป็นเนื้อความว่า “ขงเบ้งอวยพรมาถึงจิวยี่ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาผู้ใหญ่ในเมืองกังตั๋ง ด้วยข้าพเจ้าแต่จากท่านมาก็ช้านาน ยังคิดถึงไมตรีท่านทุกวันมิได้ขาด บัดนี้ข้าพเจ้าแจ้งว่าท่านจะยกกองทัพไปตีเมืองเสฉวน ก็คิดวิตกถึงท่านนัก ด้วยเมืองเสฉวนนั้นเสบียงอาหารแลไพร่พลก็มั่งคั่งบริบูรณ์อยู่ ถึงมาตรว่าเล่าเจี้ยงมีสติปัญญาน้อย ก็เห็นจะรักษาเมืองได้ แลท่านจะยกไปนั้นทางก็ไกล ถึงจะส่งเสบียงอาหารก็ขัดสน อนึ่งโจโฉจำเดิมแต่เสียทหารแปดสิบสามหมื่นครั้งนั้นก็คิดจะแก้แค้นอยู่มิได้ขาด แม้รู้ว่าท่านทิ้งเมืองเสียฉะนี้ก็จะยกกองทัพมาตีเมืองกังตั๋ง ซุนกวนสู้โจโฉไม่ได้เมืองกังตั๋งก็จะเสียแก่โจโฉเป็นมั่นคง ตัวข้าพเจ้ากับท่านก็มีไมตรีต่อกันอยู่ ครั้นจะนิ่งให้ท่านทำการผิดก็หาควรไม่ จึงช่วยเตือนสติท่าน”
น้ำเนื้อแห่งความตามหนังสือลับของขงเบ้งนี้ดูประหนึ่งเปี่ยมด้วยน้ำใจไมตรีเอื้ออาทรต่อจิวยี่ ชี้ให้เห็นถึงทางทั้งปวงว่าแม้นเล่าเจี้ยงจะมีสติปัญญาน้อยแต่ก็จะรักษาเมืองเอาไว้ได้ จิวยี่จะไม่มีทางตีเมืองเสฉวนได้สำเร็จ เพราะเมืองเสฉวนเสบียงอาหารและไพร่พลก็พร้อมบริบูรณ์ จิวยี่ต้องเดินทัพแต่ทางไกลการขนส่งลำเลียงเสบียงอาหารก็ขัดสน ย่อมต้องเสียทีแก่เล่าเจี้ยงคนไร้ปัญญาเป็นมั่นคง การเดินหน้าทางเมืองเสฉวนจึงปิดตัน แม้ยังขืนดึงดันโจโฉรู้ข่าวก็จะยกมาตีเมืองกังตั๋ง ซุนกวนย่อมไม่อาจต่อสู้เพราะมิใช่คู่มือของโจโฉ เมืองกังตั๋งก็จะเสียแก่โจโฉอีก จิวยี่ไม่มีทางอื่นใดนอกจากต้องยกทัพกลับเมืองกังตั๋ง เนื้อความอันปรากฏภายนอกเป็นดังนี้ แต่เนื้อความอันซ่อนอยู่ภายในนั้นเล่า…อำมหิตนัก เพราะการกลับคืนกังตั๋งในลักษณะเช่นนี้มีหรือคนทรนง อย่างจิวยี่จะสามารถสู้หน้าใครใดได้อีก เพราะความอัปยศอดสูที่จิวยี่เสียรู้เสียทีและเสียคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้บดขยี้สำนึกที่ทะนงในศักดิ์ศรีของชายชาติทหารจนวอดวายสิ้นแล้ว ที่บากหน้ากรีฑาทัพจะยกไปตีเมืองเสฉวนนั้นก็ด้วยแรงมานะประการเดียวโดยหามีความมั่นใจแม้แต่น้อยนิด ซึ่งจิวยี่ก็ประหวั่นพรั่นใจ ครั้นถูกขงเบ้งชี้แจงประหนึ่งว่าได้หยั่งเข้าไปถึงห้วงใจลึกราวกับว่านั่งอยู่ในหัวใจของจิวยี่เสียเอง หัวใจของจิวยี่จึงแตกสลายในบัดนั้น
จิวยี่อ่านหนังสือลับของขงเบ้งไปหน้าก็นิ่ว คิ้วก็ขมวด ใจก็ยิ่งเคียดแค้น พิษเกาทัณฑ์ซึ่งกลุ้มรุมสุมอยู่ในใจและกำเริบต่อเนื่องถึงสามครั้งสี่คราก็กำเริบแรงขึ้นอีกคราหนึ่ง จิวยี่เซถลามาข้างหลังสองก้าวแล้วล้มลงสิ้นสติสมประดี
จิวยี่ต้องศรแห่งวาทศิลป์อันเป็นสุดยอดวิชาฆ่าคนของขันทีล้มลงท่ามกลางความตกตะลึงของบรรดาทหารทั้งปวง ทหารเมืองกังตั๋งจึงช่วยกันแก้จิวยี่ จนพ้นยามแรกจิวยี่จึงฟื้นคืนสติสมประดีขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
จิวยี่ฟื้นคืนสติแล้วให้ปวดร้าวไปทั้งตัว โดยเฉพาะทั่วหัวอกนั้นประหนึ่งว่าคมเกาทัณฑ์นับหมื่นแสนแล่นเข้าเสียบแน่นอยู่ในอก จะหายใจก็มิคล่อง จะกล่าวคำก็ไม่สะดวก ก็รู้สึกตัวว่าอาการครั้งนี้ผิดแต่ที่เคยเป็นมา เห็นชีวิตจะไม่รอดข้ามราตรีนี้ไปได้ จิวยี่ก็ยิ่งเสียใจหนัก คิดถึงการข้างเมืองกังตั๋งแล้วให้วิตกกังวล มิรู้ที่จะทำประการใด จิวยี่ก็ร้องไห้
จิวยี่รำลึกถึงซุนกวนเจ้านายซึ่งเป็นธงชัยแห่งความภักดีของตัว ซึ่งอ่อนแก่ความสงครามนักก็ยิ่งวิตก รำลึกถึงเตียวเจียวเล่าก็เป็นพวกลัทธิยอมจำนน ยามอยู่ในวิกฤตก็คิดแต่จะยกเมืองให้เป็นสิทธิแก่คนอื่น ไม่อาจวางใจให้เป็นหลักชัยแห่งกังตั๋งได้ เห็นก็แต่โลซกซึ่งเป็นคนซื่อ แม้ว่าสติปัญญาด้านการสงครามยังอ่อนด้อย แต่สติปัญญาด้านความเมืองเรื่องรักษาเมืองกังตั๋งไว้ให้เป็นสมบัติแก่ตระกูลซุนสืบไปก็ยังพอตั้งความหวังไว้ได้
จิวยี่รำลึกดังนี้จึงให้ทหารเอาหมึก พู่กัน และกระดาษมาเขียนหนังสือลับขึ้นฉบับหนึ่ง แล้วเรียกแม่ทัพนายกองผู้ใหญ่เข้ามาพร้อมกัน แล้วว่า “เราทำการทั้งนี้ตั้งใจจะทำนุบำรุงซุนกวนโดยสุจริต บัดนี้ความตายมาถึงตัวเราแล้ว ท่านทั้งปวงอยู่ข้างหลังจงช่วยกันทำนุบำรุงนายเราให้สำเร็จตามที่คิดไว้จงได้”
จิวยี่กล่าวความกระท่อนกระแท่นเพราะแน่นขึ้นในอก จึงส่งหนังสือลับนั้นให้ทหารคนสนิทและสั่งด้วยน้ำเสียงอ่อนอิดโรยเต็มทีว่า ท่านจงเอาหนังสือของเรานี้ไปมอบแก่ซุนกวนให้จงได้ แล้วบอกซุนกวนเถิดว่าจิวยี่คนบุญน้อยไม่มีวาสนาได้มาพบซุนกวนอีกแล้ว จะขอคำนับอำลา ณ บัดนี้
พอทหารรับเอาหนังสือจากมือของจิวยี่ พิษเกาทัณฑ์ก็กำเริบกลุ้มหัวใจขึ้นมาอีก จิวยี่ก็สลบสิ้นสติไปอีกครั้งหนึ่ง
บรรดาทหารที่ดูอาการจิวยี่อยู่นั้นจึงช่วยกันพยาบาลแก้ไขจนจิวยี่ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
จิวยี่ตื่นฟื้นขึ้นมารู้สึกตัวว่านอนอยู่บนที่นอน รำลึกความก่อนสิ้นสติได้ก็ยิ่งเคียดแค้น แหงนหน้าดูฟ้าแล้วร้องว่า “เทียนกังแชยี่ ฮ้อปิ๊ดแชเหลียง” ซึ่งแปลความว่าฟ้าให้จิวยี่มาเกิดแล้ว ไฉนจึงให้จูกัดเหลียงมาเกิดด้วยเล่า จิวยี่ร้องอยู่ดังนี้สองสามครั้งด้วยความเคียดแค้นสุดขีด พิษเกาทัณฑ์ก็กำเริบรุมเร้า จิวยี่ก็สิ้นใจ ณ บัดนั้น
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) บรรยายว่า “จิวยี่แหงนหน้าขึ้นดูฟ้าแล้วร้องว่าเทพยดาองค์ใดหนอซึ่งให้เราเกิดมาแล้ว เหตุใดจึงให้ขงเบ้งเกิดมาด้วยเล่า”
จิวยี่ยอดวีรชนแห่งกังตั๋งแม้ว่าจะมีความคิดจิตใจที่ไร้ความซื่อตรงต่อผู้คนทั้งปวง แต่น้ำใจจงรักภักดีต่อผู้เป็นนายนั้นมิมีสักธุลีหนึ่งที่จะอ่อนด้อยถอยค่า จวบจนเวลาวาระสุดท้ายแห่งชีวิตก็มิได้ครุ่นคิดถึงเรื่องอื่นหรือครอบครัวตน คงกังวลคิดอ่านแต่จะสนองคุณผู้เป็นนาย แล้วใช้เวลาวาระที่เหลือยามจะสิ้นลมเขียนจดหมายลับไว้ให้ซุนกวน หวังให้เป็นเกราะคุ้มกันเมืองกังตั๋งหลังแต่สิ้นชีวิตตัวให้รอดปลอดภัย ฉะนี้จิวยี่จึงนับเป็นแบบฉบับยอดวีรบุรุษผู้ภักดีคนหนึ่งในประวัติศาสตร์
ขณะเมื่อจิวยี่ถึงแก่ความตายนั้นอายุได้สามสิบหกปี และเป็นช่วงเวลาเดือนยี่ปลายเจี้ยนอันศกปีที่สิบห้า.