ตอนที่ 316. อุบาย "ยืมทางตีเมือง"

  เทียหยกที่ปรึกษาของโจโฉแก้กลการเมือง “ชิงนั่งบนภู ดูเสือกัดกัน” ของ เตียวเจียว และวางกลอุบาย “สลับบ่าวเป็นนาย” ให้ซุนกวนและเล่าปี่ผิดใจกัน แล้วจะซ้ำเติมเอาในภายหลัง จิวยี่ไม่ทันกลการเมืองพอได้รับพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองลำกุ๋นก็ให้โลซกมาทวงเมืองเกงจิ๋ว แต่โลซกต้องกลขงเบ้งกลายเป็นเห็นใจเล่าปี่ที่ถูกเร่งรัดเอาเมืองเกงจิ๋วก่อนกำหนด

            ครั้นขงเบ้งเห็นโลซกมีน้ำใจคิดช่วยเหลือเล่าปี่และจะไปว่ากล่าวกับซุนกวน ดังนั้นจึงว่าบัดนี้เล่าปี่นายเราก็เป็นน้องเขยของซุนกวน หากท่านว่ากล่าวด้วยเหตุและผลแลความเมืองข้างรักษาสันติในดินแดนภาคใต้แล้ว ซุนกวนนายท่านย่อมมีน้ำจิตเมตตาอนุเคราะห์แก่เล่าปี่เป็นมั่นคง ท่านจงเตรียมถ้อยคำว่ากล่าวกับซุนกวนให้จงดีเถิด 

            โลซกมีน้ำใจซื่อตรง เห็นว่าเล่าปี่กำลังตกทุกข์ได้ยาก ไม่มีที่จะอาศัย การจะทวงเอาเมืองเกงจิ๋วจากเล่าปี่ก่อนกำหนดในสัญญาออกจะไม่เป็นธรรมแก่เล่าปี่ และในฐานะที่เล่าปี่เป็นน้องเขยของซุนกวน หากไม่มีถิ่นที่จะอาศัยก็จะได้ความลำบากจึงมีน้ำใจสงสาร ทั้งในทางความเมืองนั้น โลซกก็เห็นว่าความมีไมตรีระหว่างเล่าปี่กับซุนกวนจะปกป้องให้แดนกังตั๋งปลอดจากภัยสงคราม ดังนั้นโลซกจึงรับคำขงเบ้ง แล้วคำนับลาเล่าปี่และขงเบ้งลงเรือกลับไปเมืองฉสองกุ๋น

            พอถึงเมืองฉสองกุ๋น โลซกจึงเข้าไปหาจิวยี่และรายงานความซึ่งได้เจรจากับเล่าปี่  ขงเบ้ง ให้จิวยี่ฟังทุกประการ

            จิวยี่ได้ฟังรายงานจากโลซกแล้วก็โกรธโลซก กระทืบเท้าแล้วตำหนิโลซกด้วยโทสะว่าตัวท่านเสียรู้ขงเบ้งอีกแล้ว ท่านจะเชื่อถือคำเจรจาของเล่าปี่ ขงเบ้ง อยู่อีกหรือ อันเล่าปี่นั้นเจรจาหาเหมือนดังใจไม่ เมื่อครั้งเล่าปี่อาศัยอยู่กับเล่าเปียวก็คิดร้ายต่อเล่าเปียว จะชิงเอาเมืองเกงจิ๋ว เวลาบัดนี้เล่าปี่ก็คงคิดมิดีมิร้ายกับเล่าเจี้ยงแห่งเมืองเสฉวนอยู่แล้ว แต่น้ำใจยังบิดพลิ้วไม่ยอมคืนเมืองเกงจิ๋วแก่เรา ตัวท่านซึ่งเป็นนายประกันก็จะพลอยรับภาระผิดชอบด้วย

            โลซกได้ฟังจิวยี่ต่อว่าดังนั้นก็เสียน้ำใจ มิรู้ที่จะทำประการใดก็ก้มหน้าสลดนิ่งเฉยอยู่

            จิวยี่เห็นดังนั้นจึงว่า แต่เอาเถิด ข้าพเจ้าได้รับคำว่าจะคิดอ่านช่วยท่านให้พ้นโทษ ท่านแวะมาเมืองฉสองกุ๋นแจ้งความให้ข้าพเจ้าทราบดังนี้ก็ดีแล้ว อย่าเพิ่งกลับไปเมืองลำชีรายงานแก่ซุนกวนเลย เพราะแม้นหากซุนกวนได้ฟังรายงานจากปากท่าน เห็นท่านจะไม่พ้นผิด ข้าพเจ้าได้คิดอุบายอย่างหนึ่งจะย้อนกลขงเบ้งแล้วชิงเอาเมืองเกงจิ๋วให้จงได้

            โลซกได้ฟังคำจิวยี่ที่ทุกข์ร้อนด้วยหัวอกตัว ใบหน้าค่อยแช่มชื่น แล้วถามว่ากลอุบายของท่านเป็นประการใด 

            จิวยี่จึงว่าท่านจงกลับไปเมืองเกงจิ๋วอีกครั้งหนึ่ง แล้วบอกเล่าปี่และขงเบ้งว่า “ซึ่งเล่าปี่ไม่ไปตีเมืองเสฉวน ด้วยเล่าเจี้ยงเป็นแซ่เดียวกันกับเล่าปี่ กลัวคนทั้งปวงจะนินทาก็ชอบอยู่แล้ว บัดนี้ซุนกวนปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่าจะยกไปรบเมืองเสฉวน ถ้าได้แล้วก็จะยกให้เล่าปี่ จะขอเอาเมืองเกงจิ๋วคืน”

            โลซกได้ฟังดังนั้นก็สำคัญว่าจิวยี่คิดอ่านจะไปตีเมืองเสฉวนแทนเล่าปี่ ได้เมืองเสฉวนแล้วจึงค่อยแลกเอาเมืองเกงจิ๋วคืน จึงท้วงว่าการซึ่งท่านคิดอ่านจะยกไปตีเอาเมืองเสฉวนนั้นเห็นจะสำเร็จได้โดยยาก เพราะเมืองเสฉวนเป็นทางไกลจากแดนเมืองกังตั๋ง ทั้งขัดสนทุรกันดาร การลำเลียงเสบียงอาหารก็ยากลำบาก หากท่านยกไปคงเสียทีแก่ข้าศึก

            จิวยี่หัวเราะแล้วว่า น้ำใจโลซกท่านนี้ช่างซื่อนัก ความซึ่งข้าพเจ้าจะยกไปตีเมืองเสฉวนนั้นเป็นแต่กลอุบายเพื่อจะชิงเอาเมืองเกงจิ๋วเท่านั้น จะยกไปทำการจริงนั้นหามิได้ เมื่อเรายกกองทัพจะไปตีเมืองเสฉวนนั้น จะต้องผ่านหน้าเมืองเกงจิ๋ว ครั้นไปถึงเมืองเกงจิ๋วเราก็จะขอให้เล่าปี่ช่วยจัดเสบียงอาหาร เพราะเราไปทำการครั้งนี้เพื่อประโยชน์ของเล่าปี่ ฝ่ายเล่าปี่คิดเห็นแก่ไมตรีเชื่อว่าเราจะไปตีเมืองเกงจิ๋วโดยจริงก็จะออกมาต้อนรับเลี้ยงดูและมอบเสบียงอาหารให้ เราจะอาศัยโอกาสนั้นจับเอาตัวเล่าปี่ฆ่าเสีย แล้วชิงเอาเมืองเกงจิ๋ว คงจะได้โดยง่าย จะได้ทั้งเมืองเกงจิ๋ว และจะได้แก้แค้นขงเบ้งที่คิดอ่านหลอกลวงเรามา ทั้งตัวท่านเล่าก็จะพ้นความผิดทั้งปวง

            โลซกได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วยกับแผนการความคิดของจิวยี่ คำนับลาจิวยี่กลับไปที่พัก พอรุ่งขึ้นโลซกก็ลงเรือเดินทางไปเมืองเกงจิ๋วอีกครั้งหนึ่ง

            ฝ่ายเล่าปี่กำลังสนทนาปรึกษาความอยู่กับขงเบ้ง ครั้นได้รับทราบรายงานจากทหารรักษาการณ์ว่าโลซกจะมาขอพบอีกครั้งหนึ่งก็แปลกใจ เพราะโลซกเพิ่งอำลากลับไปเพียงวันเดียวเท่านั้น ไฉนจึงรีบร้อนย้อนกลับมาอีก

            เล่าปี่จึงปรึกษาด้วยขงเบ้งว่าโลซกเดินทางย้อนกลับมาทั้งนี้ท่านมีความคิดเห็นว่าเป็นเพราะเหตุอันใดหรือ

            ขงเบ้งจึงว่าเมื่อคำนวณดูระยะทางและวันเวลาที่โลซกเพิ่งอำลากลับไปแล้วหวนย้อนคืนมาบัดนี้ เห็นทีว่าโลซกจะยังไม่ไปถึงซุนกวนที่เมืองลำชี กรณีน่าจะเป็นว่าโลซกเดินทางกลับจากเมืองเกงจิ๋วแล้วแวะไปหาจิวยี่ก่อน แล้วจิวยี่อาจคิดกลอุบายประการใดประการหนึ่งซึ่งหวังจะลวงท่านเป็นมั่นคงจึงได้ย้อนกลับมา ดังนั้นแม้นโลซกจะเจรจาว่ากล่าวประการใดท่านอย่าเพิ่งรับคำ ให้ดูท่วงทีสีหน้าของข้าพเจ้าก่อน แล้วค่อยว่ากล่าวสืบไป

            เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ผงกศีรษะรับคำ แล้วสั่งทหารให้ไปเชิญโลซกเข้ามาพบ โลซกเข้ามาคำนับเล่าปี่ ขงเบ้ง ตามธรรมเนียมแล้วจึงว่า “ข้าพเจ้ากลับไปเมืองกังตั๋งแจ้งความทุกข์ร้อนของท่านให้ซุนกวนฟังทุกประการ ซุนกวนก็มีความยินดีสรรเสริญท่านว่ามีสติปัญญา รู้ผิดแลชอบ ซุนกวนจึงให้หาขุนนางทั้งปวงมาปรึกษา จะยกกองทัพไปช่วยตีเมืองเสฉวนให้ท่าน เมื่อได้เมืองเสฉวนแล้วจะได้ขอเมืองเกงจิ๋วคืน ขุนนางทั้งปวงก็เห็นพร้อมกันสิ้น ซุนกวนจึงให้ข้าพเจ้ากลับมาหาท่านว่าเมื่อจะยกไปตีเมืองเสฉวนนั้นเป็นทางกันดาร แม้ขัดสนด้วยเสบียงอาหารสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ดี ให้ท่านอนุเคราะห์เป็นธุระด้วย”

            เล่าปี่ได้ฟังคำโลซกก็ตระหนักว่าน่าจะเป็นกลอุบายของจิวยี่ดังที่ขงเบ้งได้คะเนการไว้ จึงชำเลืองสายตามองหน้าขงเบ้ง เห็นขงเบ้งพยักหน้าเป็นทีให้รับคำ เล่าปี่เห็นสัญญาณดังนั้นจึงยกมือคำนับโลซกแล้วกล่าวขอบคุณโลซกที่มีน้ำใจเมตตาช่วยเจรจาว่ากล่าวกับ  ซุนกวนจนยอมยากลำบากจะยกไปตีเมืองเสฉวนให้เสียเอง

            ขงเบ้งจึงกล่าวหนุนขึ้นว่าซุนกวนนี้มีน้ำใจอารีต่อเล่าปี่นายเราผู้เป็นน้องเขยนัก เมื่อเห็นน้องเขยได้ความเดือดร้อนไม่มีที่จะอาศัยก็มีน้ำใจแบกรับทุกข์ร้อนเอาเป็นภาระตัว ซึ่งซุนกวนต้องการเสบียงในการยกไปตีเมืองเสฉวนนั้นท่านอย่าได้วิตกเลย “แม้ซุนกวนจะยกกองทัพมาเมื่อใด เราจะยกครอบครัวออกไปคอยรับอยู่นอกเมือง” ให้ท่านกลับไปบอกซุนกวนให้วางใจเถิดว่าเล่าปี่นายเราจะจัดเตรียมเสบียงแลอาหารไว้ให้พร้อม มิให้กองทัพเมืองกังตั๋งได้ความขัดสน

            ถ้อยคำขงเบ้งซึ่งเจรจาว่ากล่าวกับโลซกดังนี้ โลซกมิได้สังเกตเห็นความนัยแห่งถ้อยคำที่ว่า “แม้ซุนกวนจะยกกองทัพมาเมื่อใด เราจะยกครอบครัวออกไปคอยรับอยู่นอกเมือง” ซึ่งเป็นนัยท้าทายอย่างทรนงว่าพร้อมจะยกครอบครัวออกไปให้จิวยี่จับ อันสะท้อนถึงการอ่านเกมกลของจิวยี่กระจ่างประดุจนิ้วในฝ่ามือ เพราะทีท่าของเล่าปี่ ขงเบ้ง สองนายและกุนซือคู่นี้สอดคล้องสอดรับประสานกันแนบเนียนจนหาพิรุธอันใดมิได้  โลซกได้ฟังคำเล่าปี่และขงเบ้งดังนั้นก็ดีใจ สำคัญว่าเล่าปี่และขงเบ้งหลงกลของจิวยี่ แล้วจะได้เมืองเกงจิ๋วคืนโดยง่าย จึงกล่าวกับเล่าปี่ว่าตัวท่านกับซุนกวนนายข้าพเจ้าก็เป็นดองกัน การซึ่งพี่เมียห่วงหาอาทรน้องเขยแล้วช่วยรับภาระร้อนดังนี้ก็เป็นประเพณีที่ชอบอยู่แล้ว ท่านอย่าได้เกรงใจเลย

            เล่าปี่เห็นดังนั้นจึงสั่งให้แต่งโต๊ะเลี้ยงโลซก ทำทีว่าขอบคุณที่โลซกได้ช่วยเจรจาว่ากล่าวกับซุนกวน จนซุนกวนตกลงใจจะยกไปตีเมืองเสฉวนให้ บรรยากาศแห่งไมตรีและปรีดาดำเนินไปตามควรแล้ว โลซกจึงคำนับลาเล่าปี่และขงเบ้งกลับไปเมืองฉสองกุ๋น

            เล่าปี่ในขณะที่ตอบถ้อยเจรจากับโลซกว่ายินดีที่ซุนกวนจะยกไปตีเมืองเสฉวนให้ก็หาได้รู้ความนัยแห่งความคิดของขงเบ้งไม่ จึงลังเลสงสัยอยู่ แต่กระนั้นก็เชื่อมั่นว่าขงเบ้งย่อมมีแผนการที่จะรับมือกับกลอุบายของจิวยี่โดยไม่พลาดพลั้ง จึงรับบทว่ากล่าวกับโลซกราวกับว่าได้กระจ่างแจ้งในแผนการของขงเบ้งแล้ว ดังนั้นพอโลซกกลับออกไปเล่าปี่จึงถามขงเบ้งว่า ความอันโลซกกล่าวนั้น ท่านมีความคิดเห็นเป็นประการใด

            ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ จ้องหน้าเล่าปี่แล้วว่า ครานี้จิวยี่ถึงทีตายแล้ว อันความคิดจิวยี่ที่คิดกลอุบาย “ยืมทางตีเมือง” ลวงท่านว่าจะไปตีเมืองเสฉวนครั้งนี้ควรที่เป็นความคิดสำหรับลวงเด็กเลี้ยงโค ไม่สมควรที่จะคิดอ่านมาลวงข้าพเจ้า

            เล่าปี่ได้ฟังคำขงเบ้งซึ่งเป็นประหนึ่งคำพิพากษาลิขิตชีวิตของจิวยี่ว่าถึงทีตายก็ประหลาดใจ จึงถามว่าจิวยี่มีความคิดอ่านทั้งนี้เป็นประการใด

            ขงเบ้งจึงว่าความคิดของจิวยี่ครั้งนี้เหมือนกับครั้งเลียดก๊กที่พระเจ้าจิ้นเฮียนก๋งคิดจะยกไปตีเมืองเค็กซึ่งต้องเดินทัพผ่านเมืองหงี ในครั้งนั้นพระเจ้าจิ้นเฮียนก๋งได้ปรึกษาหารือที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่าการซึ่งจะยกกองทัพไปตีเมืองเค็กนั้น เมื่อเดินทัพผ่านเมืองหงีอาจถูกกองทัพเมืองหงียกมาโจมตีก็จะเสียการไป จะคิดอ่านประการใด

            ในครั้งนั้นซุนเซงซึ่งเป็นขุนนางที่ปรึกษาได้กราบทูลเสนอว่า เจ้าเมืองหงีเป็นคนโลภในทรัพย์สมบัติ มิรู้จักผิดชอบชั่วดี ขอให้พระองค์แต่งของบรรณาการพร้อมด้วยแก้ววิเศษประจำเมืองเอาไปมอบแก่เจ้าเมืองหงี เพื่อขอผ่านทางไปตีเมืองเค็ก เจ้าเมืองหงีเห็นทรัพย์สมบัติดังนี้ก็จะมีความโลภแล้วให้ผ่านทางได้โดยสะดวก พระองค์ก็จะตีเมืองเค็กได้โดยง่าย

            พระเจ้าจิ้นเฮียนก๋งสงสัยว่าจะสูญเสียแก้ววิเศษประจำเมืองจึงติงว่า อันแก้ววิเศษสำหรับเมืองนี้เป็นของมีคุณค่าควรเมืองสืบทอดมาแต่ครั้งบรรพกาลหาค่ามิได้ การจะยกแก้ววิเศษนี้ให้แก่เจ้าเมืองหงีมิคุ้มค่ากับค่าของเมืองเค็ก ดังนั้นแม้นว่าจะได้เมืองเค็กมาแต่กลับต้องสูญเสียแก้ววิเศษไป ไม่เพียงแต่จะไม่ได้กำไร แต่จะกลับขาดทุนเสียอีก

            ซุนเซงได้กราบทูลแก้ว่าการมอบแก้ววิเศษประจำเมืองดังนี้หาควรที่วิตกแต่ประการใดไม่ เพราะเป็นเพียงการย้ายสมบัติจากคลังหนึ่งไปอยู่อีกคลังหนึ่งเท่านั้น ก็แลเมื่อพระองค์ยกกองทัพไปตีได้เมืองเค็กแล้ว หวนย้อนยกมาตีเอาเมืองหงีก็จะได้โดยง่าย แก้ววิเศษประจำเมืองและเครื่องบรรณาการทั้งปวงก็จะกลับคืนสู่พระองค์ ทั้งจะได้เมืองหงีเป็นกำไรอีกเล่า

            ในครั้งนั้นหันแหล่งซึ่งเป็นที่ปรึกษาอีกคนหนึ่งได้แย้งว่า แม้ว่าเจ้าเมืองหงีจะเป็นคนโลภแต่การจะดูหมิ่นเจ้าเมืองหงีนั้นไม่สมควร ด้วยก๋งจีกี๋ซึ่งเป็นกุนซือของเจ้าเมืองหงีก็มีสติปัญญาหลักแหลม เห็นจะแจ้งกลอุบายในครั้งนี้ แล้วทัดทานเจ้าเมืองหงีมิให้ท่านเดินทัพผ่านหรือแสร้งลวงให้ท่านเดินทัพผ่านแล้วยกเข้าตีเอาในภายหลังก็จะเสียทีในการสงคราม จะเสียทั้งแก้ววิเศษและข้าวของบรรณาการทั้งปวง

            ซุนเซงได้แก้ว่าอันก๋งจีกี๋แม้จะมีสติปัญญาหลักแหลมก็จริงอยู่ แต่กุนซือผู้มีปัญญาเมื่ออยู่กับเจ้านายที่โง่เขลาแลโลภในทรัพย์สมบัติก็มิอาจเปล่งอานุภาพประกายแห่งปัญญาได้ เหมือนแก้วมณีอันวิเศษเมื่ออยู่กับไก่ก็ไร้ค่าฉะนั้น ดังนั้นระหว่างทรัพย์สมบัติกับคำท้วงของกุนซือ เจ้าเมืองหงีย่อมรักทรัพย์สมบัติอันบรรณาการนั้นมากกว่า ท่านอย่าได้ปรารมภ์เลย.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘