ตอนที่ 314. ใจมนุษย์สุดลึกล้ำ
โจโฉกินโต๊ะเสพสุรากับที่ปรึกษาและขุนนางข้าราชการแล้วครึ้มใจใคร่เห็นฝีมือทหารจึงปักเป้าไว้กลางสนามระยะห่างยี่สิบห้าวา ให้ทหารพวกที่เป็นญาติและทหารพวกที่ไม่ใช่ญาติประลองฝีมือกัน โดยมีเสื้อคลุมสีแดงตัวโปรดของโจโฉเป็นรางวัลเกียรติยศ
เมื่อแบ่งทหารเป็นสองพวกดังนั้นแล้วโจโฉจึงให้เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นพวกละสี พวกที่เป็นญาติแต่งตัวด้วยชุดสีแดงทั้งเสื้อและหมวก พวกที่ไม่ใช่ญาติแต่งตัวด้วยชุดสีน้ำเงินทั้งเสื้อและหมวก ซึ่งได้กลายเป็นต้นแบบของการกำหนดสีในการแข่งขันชกมวยในกาลต่อมา ให้ฝ่ายที่เป็นต่อเป็นฝ่ายแดงอยู่มุมแดง ฝ่ายที่เป็นรองเป็นฝ่ายน้ำเงินอยู่มุมน้ำเงินในกาลต่อมา
พอทหารทั้งสองพวกแต่งตัวเสร็จ โจโฉจึงสั่งให้ทหารทั้งสองพวกออกไปยืนในสนามข้างหน้า ฝ่ายแดงอยู่ทางซ้าย ฝ่ายน้ำเงินอยู่ทางขวา แล้วประกาศกติกาว่าให้แต่ละฝ่ายขี่ม้ายิงเกาทัณฑ์ไปที่เป้า โดยให้ฝ่ายแดงยิงก่อน ใครยิงผิดเป้าให้ดื่มน้ำเปล่าจอกหนึ่ง ใครยิงถูกเป้าได้แม่นยำที่สุดจะได้เสื้อคลุมเป็นรางวัลเกียรติยศ
บรรดาทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็โห่ร้องด้วยความสนุกสนาน โจโฉเองก็หัวเราะเป็นที่ครื้นเครงพอได้คลายความทุกข์ ทหารทั้งสองฝ่ายฟังกติกาแล้วจึงพากันขี่ม้าแล้วกลับมายืนม้าเข้าแถวประจำที่
โจฮิวฝ่ายแดงขี่ม้าออกไปวนข้างหน้าสามรอบแล้วเล็งเกาทัณฑ์ยิงไปที่เป้าถูกตรงใจดำ ทหารที่สนับสนุนฝ่ายแดงจึงพากันโห่ร้องดีใจ
บุนเพ่งฝ่ายน้ำเงินขี่ม้าปราดออกไปข้างหน้าไม่พูดพล่ามทำเพลงก็น้าวเกาทัณฑ์ยิงไปถูกใจดำของเป้าอย่างแม่นยำ ทหารพวกฝ่ายน้ำเงินก็พากันโห่ร้องบ้าง
โจหองจากฝ่ายแดงไม่รอให้สิ้นเสียงโห่ร้องก็ขี่ม้าออกไปข้างหน้ายิงเกาทัณฑ์เข้าเป้าตรงใจดำอีกคนหนึ่ง เตียวคับฝ่ายน้ำเงินรีบควบม้าออกไปข้างหน้าแต่ไม่หันหน้าไปทางเป้ากลับใช้วิธีเอี้ยวตัวแล้วยิงเกาทัณฑ์ไปถูกกลางใจดำของเป้า เสียงปรบมือโห่ร้องแสดงความชื่นชมจึงก้องกระหึ่ม
ในกลางใจดำของเป้าบัดนี้จึงมีดอกเกาทัณฑ์ปักติดอยู่ถึงสี่ดอกตรึงติดกันเป็นรูปสี่เหลี่ยม แฮหัวเอี๋ยนญาติสนิทของโจโฉคนสำคัญเห็นดังนั้นจึงชักม้าออกไปเอี้ยวตัวแบบเตียวคับแล้วกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า ข้าพเจ้าจะยิงให้พิสดารกว่าทุกคนแล้วเหลียวหลังยิงเกาทัณฑ์ไปปักอยู่กลางเกาทัณฑ์ทั้งสี่ดอกนั้น
เสียงโห่ร้องปรบมือด้วยความชื่นชมจึงดังกึกก้องขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
แฮหัวเอี๋ยนเห็นว่าตัวยิงเข้าใจกลางดอกเกาทัณฑ์ทั้งสี่ดอกเแล้วย่อมไม่มีใครสามารถทำใด้เสมอเหมือนอีกต่อไป จึงควบม้าจะไปเอาเสื้อซึ่งแขวนกิ่งสนอยู่นั้น
พลันมีเสียงร้องดังมาจากข้างขวาว่าช้าก่อน แล้วเสียงเกาทัณฑ์ก็ฝ่าอากาศหวูวิ้วถูกกิ่งสนซึ่งแขวนเสื้อคลุมขาดลง กลายเป็นซิหลงฝ่ายน้ำเงินหันหลังแล้วยิงเกาทัณฑ์ ในขณะที่แฮหัวเอี๋ยนเหลียวหลังกลับมาดูนั้น ซิหลงได้ควบม้าแซงหน้าไปรับเอาเสื้อคลุมซึ่งกำลังร่วงลงเอาไว้ได้แล้วจะเข้าไปคำนับโจโฉ คนทั้งปวงก็โห่ร้องปรบมือชื่นชมเสียงดังสนั่นว่าซิหลงมีฝีมือเกาทัณฑ์ที่ยอดเยี่ยม
ในพลันนั้นเคาทูได้ชักม้าออกไปสกัดหน้าม้าซิหลงไว้แล้วว่าท่านอย่าเพิ่งเอาเสื้อไป ให้ข้าพเจ้าได้แสดงฝีมือก่อน ซิหลงไม่ฟังคำจะเลี่ยงม้าไปหาโจโฉ เคาทูเห็นดังนั้นจึงชักม้าเข้าประชิดตัวซิหลงแล้วจะชิงเอาเสื้อ ซิหลงจึงเอาคันเกาทัณฑ์ตีเคาทู
เคาทูเอามือรับคันเกาทัณฑ์ได้แล้วกระชากโดยแรงหวังจะให้ซิหลงพลัดตกลงจากหลังม้า ซิหลงไม่ทันระวังตัวจึงถูกกระชากเสียหลักพลัดลงจากหลังม้า ในขณะนั้นซิหลงจึงปล่อยมือจากคันเกาทัณฑ์เพื่อให้เคาทูพลัดตกลงจากหลังม้าบ้าง เคาทูกระชากเกาทัณฑ์ด้วยกำลังแรงพอซิหลงปล่อยมือเคาทูก็เสียหลักตามแรงกระชากพลักลงจากหลังม้าเช่นเดียวกัน
พอลุกขึ้นได้เคาทูก็วิ่งเข้าไปชิงเอาเสื้อจากซิหลง ต่างฝ่ายต่างแย่งชิงปลุกปล้ำกันจนเสื้อคลุมนั้นขาดออกเป็นสองส่วน ต่างฝ่ายต่างเกิดโทสะจึงชกต่อยกันต่อหน้าโจโฉแลคนทั้งปวง
โจโฉเห็นเรื่องสนุกสนานกำลังผกผันกลายเป็นวิวาทจึงสั่งทหารให้เข้าไปแยกเคาทูและซิหลงออกจากกันแล้วเรียกมาที่ข้างหน้า สองนายทหารเห็นดังนั้นก็ได้คิดรู้สึกละอายใจแล้วก้มหน้านิ่ง
โจโฉเห็นสองนายทหารมีอาการสำนึกตัวจึงหัวเราะแล้วปลอบใจว่า พวกเราร่วมเป็นตายมาด้วยกันไยจะมาผิดใจกันด้วยเรื่องเสื้อผ้าเล่า สองนายทหารได้ยินคำโจโฉจึงกล่าวพร้อมกันว่าพวกเราสำนึกผิด ท่านอัครมหาเสนาบดีโปรดให้อภัย
โจโฉเห็นดังนั้นก็ยินดีสั่งให้เอาสุรามารินให้สองนายทหารและยกจอกดื่มพร้อมกัน คนทั้งนั้นก็พากันโห่ร้องด้วยความยินดี
โจโฉเข้าไปในปราสาทแล้วสั่งคนรับใช้ให้เอาเสื้อผ้าแพรพรรณเป็นอันมากมาแจกจ่ายแก่คนทั้งปวงเป็นกำนัลขวัญแลกำลังใจ แล้วปรารภว่าเรามาที่ปราสาทหลังนี้มีความสุขเป็นอันมาก อันฝีมือทหารทั้งปวงในฝ่ายบู๊ก็ได้ชมเล่นเป็นขวัญตาแล้ว บัดนี้เป็นเวลาเย็นจึงใคร่อยากฟังบทกวีอันไพเราะในฝ่ายบุ๋นบ้าง ท่านทั้งปวงล้วนชำนาญการอักษรกลอนกาพย์สิ้นจะให้แต่ละคนต่างแต่งก็จะแก่งแย่งเป็นวิวาทไปเปล่า ๆ จงคัดเลือกเอาแต่เพียงสี่คนแล้วร่วมกันแต่งบกวีให้เราดูสักหน่อยหนึ่ง
บรรดาขุนนางทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงคัดเลือกอองลอง จงฮิว อองซัน และตันหลิม รวมสี่คนซึ่งเป็นที่ยอมรับนับถือพร้อมกันว่ามีความรู้แลชำนาญการกวีเป็นผู้แทน
แล้วโจโฉจึงว่าอันการแต่งบทกวีแต่ผู้เดียวนั้นเป็นเรื่องง่าย ด้วยสามารถเยื้องย้ายปลายพู่กันไปตามจินตนาการอันไร้ขอบเขตได้ตามใจปรารถนา ถึงมาตรว่าจะไพเราะแลลึกซึ้งประการใดก็เพราะคนแต่คนเดียว เราจะให้พวกท่านร่วมกันแต่งคนละวรรครวมกันเข้าเป็นบทเดียวกัน ให้สอดคล้องกลมกลืนทั้งอรรถะพยัญชนะถูกต้องตามกฎเกณฑ์แห่งฉันทลักษณ์ งดงามทั้งเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด ซึ่งยากยิ่งยากกว่าการซึ่งจะแต่งแต่ผู้เดียว
คนทั้งปวงได้ยินดังนั้นก็พากันสรรเสริญความคิดริเริ่มของโจโฉเป็นอันมาก
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าผู้คงแก่เรียนทั้งสี่คนแต่งกวีคนละบท ส่วนฉบับสมบูรณ์ระบุว่าขุนนางทุกคนแต่งคนละบท ในขณะที่ฉบับภาษาจีนระบุว่าบัณฑิตทั้งสี่คนร่วมกันแต่ง แต่ความจริงก็คือบทกวีที่แต่งนั้นมีบทเดียว แม้ในสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ก็บรรยายบทกวีซึ่งอองลอง จงฮิว อองซันและตันหลิมแต่งเพียงบทเดียวว่า “มหาอุปราชมีความชอบต่อแผ่นดินเป็นอันมาก ทั้งน้ำใจก็เมตตาแก่ราษฎรทั้งปวง แล้วสร้างปราสาทตำบลนี้สนุกดังเมืองสวรรค์หาผู้ใดเสมอมิได้ ควรที่มหาอุปราชจะได้สำเร็จราชการแผ่นดิน”
โจโฉรับบทกวีที่บัณฑิตผู้คงแก่เรียนทั้งสี่คนได้ร่วมกันแต่งมาอ่านดูแล้วมีความยินดีเป็นอันมากเพราะเป็นเนื้อความยกย่องสรรเสริญบุญญบารมีและคุณูปการต่อบ้านเมืองและราษฎรเป็นล้นพ้น แต่โจโฉนั้นแม้รักคำชมตามวิสัยแห่งปุถุชนแต่ยึดมั่นในแนวทางการเมืองว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่ชี้นำทุกสิ่งและชี้ขาดความสำเร็จหรือล้มเหลวทั้งปวง มิใช่คนแบบนักการเมืองบางคนที่ชอบคำยอพ้อคำลวงจนเหมือนกับคนไร้สติ ดังนั้นพอโจโฉเห็นเนื้อความที่ยุยงให้ชิงราชสมบัติซึ่งขัดกับแนวทางการเมืองที่กำหนดแน่วแน่มาแต่ครั้งตั้งตัวว่าจะต้องครองอำนาจรัฐภายใต้พระปรมาภิไธยของฮ่องเต้จึงคิดยับยั้งแนวความคิดของบัณฑิตเหล่านั้นมิให้ขยายตัวลุกลามต่อไป
โจโฉคิดดังนั้นแล้วจึงว่าอันบทกวีที่พวกท่านร่วมรังสรรค์ขึ้นนี้เป็นที่ไพเราะเสนาะล้ำ แต่ความอันสรรเสริญนั้นเกินตัวเรานักรับไว้มิใคร่จะได้
แล้วโจโฉจึงพรรณาความในใจอันจับใจขุนนางทั้งปวงว่า “แต่ก่อนเราก็เป็นคนมีปัญญาน้อย ถือเอาความสัตย์แลกตัญญูเป็นที่ตั้ง มาเมื่อครั้งพระเจ้าเลนเต้ได้เสวยราชสมบัติ แผ่นดินเป็นจลาจลต่าง ๆ เราจึงปลูกเรือนอยู่นอกเมืองเจากุ๋นข้างทิศตะวันออกไกลเมืองทางห้าร้อยเส้น ครั้นเทศกาลร้อนแลฤดูฝนเราก็ดูขนบธรรมเนียมต่างๆ ครั้นเทศกาลหนาวจึงไปเที่ยวไล่เนื้อ ในน้ำใจคิดว่าแผ่นดินเป็นสุขราบคาบแล้วจะเข้าทำราชการเป็นขุนนาง ไม่รู้ว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้จะจำเพาะให้เราเป็นนายทหารฉะนี้ บัดนี้เรามีใจกตัญญูต่อพระมหากษัตริย์คิดจะปราบปรามให้แผ่นดินเป็นสุข ความชอบจะได้ปรากฎไปภายหน้าว่าเราได้เป็นนายทหารช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินครั้งพระเจ้าเหี้ยนเต้ ก็สมความคิดอยู่แล้ว เราก็ได้คิดอ่านปราบปรามกำจัดศัตรูราชสมบัติเสียเป็นอันมาก แต่ครั้งเตียวก๊กโจรโพกผ้าเหลืองนั้นมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ตั้งให้เราเป็นมหาอุปราชใหญ่กว่าขุนนางทั้งปวงอยู่แล้ว เราจะได้คิดอ่านเอายศศักดิ์ให้ยิ่งกว่านี้หามิได้ แต่เราคิดอยู่ว่าได้ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินแล้วก็จะทำให้ตลอด อนึ่งแผ่นดินพระเจ้าเหี้ยนเต้นี้ถ้าหาเราไม่ก็จะมีผู้โอหังตั้งตัวเป็นเจ้าทุกตำบล คนทั้งปวงซึ่งหาปัญญาไม่มิได้คิดถึงคุณเรา เห็นว่าเราได้เป็นใหญ่ว่ากล่าวสิ่งใดสิทธ์ขาด ก็คิดสงสัยเราเปล่าๆหาต้องการไม่ ก็จะแพ้ภัยตัวเอง ทุกวันนี้เราคิดตั้งใจทำราชการสนองพระคุณพระเจ้าเหี้ยนเต้โดยสุจริต คิดวิตกอยู่อีกว่าจะยกที่มหาอุปราชนี้ให้พระญาติพระวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ ก็มิได้เห็นผู้ใดจะช่วยทำนุบำรุงรักษาแผ่นดินได้ ครั้นเราจะขืนยกให้บัดนี้เล่าก็จะทำโลเลให้แผ่นดินเป็นอันตราย นานไปภายหน้าตัวเราก็จะพลอยได้ความเดือดร้อนด้วย ซึ่งเราว่ากล่าวมาทั้งนี้เป็นความจริง ใช่จะว่าแต่ปากนั้นหามิได้ แต่ทว่าท่านทั้งปวงจะหยั่งเห็นน้ำใจเราหรือ ก็จะแกล้งว่าเราเอาความดีมาเจรจา”
ความดังกล่าวเป็นที่จับใจของหม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ปราโมช เป็นอันมากและได้ใช้เป็นเหตุผลข้ออ้างในการยกย่องโจโฉว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่สัตย์ซื่อและอุทิศตนเพื่อแผ่นดินและราษฎรอย่างแท้จริง ไม่เหมือนกับเล่าปี่ซึ่งตั้งตัวได้ดีเพราะหลอกลวงฉ้อโกง หรือแม้แต่ซุนกวนก็ตั้งตัวเป็นใหญ่เพราะอาศัยบุญพ่อและบุญพี่มิใช่เพราะฝีมือหรือสติปัญญาตัว ซึ่งถ้าหากพิเคราะห์เฉพาะแต่ถ้อยร้อยเจรจาของโจโฉดังกล่าวโดยไม่นำเอาการกระทำที่เป็นจริงของโจโฉขึ้นมาชั่งน้ำหนักพิจารณาด้วยแล้ว ถ้อยร้อยวาจาฉะนี้ก็เป็นดังที่หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ปราโมช ได้วินิจฉัยมานั้น แต่ถ้ายกเอาการกระทำที่เป็นจริงขึ้นพิจารณาด้วยหัวใจที่เป็นธรรมก็จะแลเห็นเนื้อตัวและจิตใจของโจโฉตามความเป็นจริงอันประจักษ์แล้วโดยลำดับมา อนึ่งเล่าถ้อยร้อยวาจาของโจโฉนั้นหากจะพิจารณาให้เที่ยงแล้วคำไหนจริงคำไหนเท็จก็สุดจะหยั่งดังเช่นที่โจโฉได้สนทนากับเขาฮิวเมื่อครั้งรบกับอ้วนเสี้ยว ก็ได้เห็นประจักษ์ชัดว่าคำว่าที่จริงใจแน่แท้ถึงสามครั้งสามหนก็เป็นเพียงลมลวงเท่านั้น ช่างเหมือนดังที่สุนทรภู่ได้พรรณนาไว้ในคำสอนของพระฤาษีที่สอนสุดสาครว่า
“แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์ มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน”
บรรดาที่ปรึกษาและขุนนางข้าราชการได้ฟังคำโจโฉดังนั้นจึงว่าท่านได้ทำนุบำรุงรักษาแผ่นดินเป็นอาณาประโยชน์แก่ราษฎรยิ่งกว่าเมื่อครั้งอิอิ๋นกับจิวกองสองขุนนางในประวัติศาสตร์ยังมีชีวิตอยู่มากนัก
คำยกย่องเอาแบบอย่างของยอดนักปกครองอันมีกิตติศัพท์ลือชาในประวัติศาตร์มาเปรียบเทียบว่ายังเทียบไม่ได้กับโจโฉนั้นด้านหนึ่งคลายกับยืนยันถึงความปรีชาสามารถของโจโฉก็จริง แต่ในอีกด้านหนึ่งกลับแสดงว่าบรรดาที่ปรึกษา ขุนนางข้าราชการเหล่านั้นไม่มีผู้ใดเชื่อถือถ้อยคำของโจโฉ ยังคงคิดว่าเป็นเรื่องที่โจโฉพูดเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่เพื่อน โดยน้ำใจแท้ยังคงคิดอ่านจะแย่งเอาราชสมบัติของพระเจ้าเหี้ยนเต้จึงยกยอปอปั้นซ้ำเข้าไปอีก
โจโฉได้ฟังคำยอซ้ำกระหน่ำมาดังนั้นก็หัวเราะ “กำเริบน้ำใจ” ชอบอกชอบใจเป็นอันมาก สั่งทหารให้เอาสุรามารินจนเต็มจอกของทุกคน แล้วชวนดื่มพร้อมกันเป็นที่ครื้นเครงยิ่งนัก
โจโฉกำเริบด้วยฤทธิ์สุราดังนั้นอารมณ์สุนทรีที่จะแต่งบทกวีลำนำเหมือนคืนสิบห้าค่ำเดือนอ้ายในสงครามเซ็กเพ็กแล้วฆ่าเล่าฮกก็หวนคืนมาสู้ห้วงความคิด จึงสั่งทหารให้เอากระดาษและพู่กันมาให้เพื่อจะแต่งบทกวีบ้าง.
เมื่อแบ่งทหารเป็นสองพวกดังนั้นแล้วโจโฉจึงให้เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นพวกละสี พวกที่เป็นญาติแต่งตัวด้วยชุดสีแดงทั้งเสื้อและหมวก พวกที่ไม่ใช่ญาติแต่งตัวด้วยชุดสีน้ำเงินทั้งเสื้อและหมวก ซึ่งได้กลายเป็นต้นแบบของการกำหนดสีในการแข่งขันชกมวยในกาลต่อมา ให้ฝ่ายที่เป็นต่อเป็นฝ่ายแดงอยู่มุมแดง ฝ่ายที่เป็นรองเป็นฝ่ายน้ำเงินอยู่มุมน้ำเงินในกาลต่อมา
พอทหารทั้งสองพวกแต่งตัวเสร็จ โจโฉจึงสั่งให้ทหารทั้งสองพวกออกไปยืนในสนามข้างหน้า ฝ่ายแดงอยู่ทางซ้าย ฝ่ายน้ำเงินอยู่ทางขวา แล้วประกาศกติกาว่าให้แต่ละฝ่ายขี่ม้ายิงเกาทัณฑ์ไปที่เป้า โดยให้ฝ่ายแดงยิงก่อน ใครยิงผิดเป้าให้ดื่มน้ำเปล่าจอกหนึ่ง ใครยิงถูกเป้าได้แม่นยำที่สุดจะได้เสื้อคลุมเป็นรางวัลเกียรติยศ
บรรดาทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็โห่ร้องด้วยความสนุกสนาน โจโฉเองก็หัวเราะเป็นที่ครื้นเครงพอได้คลายความทุกข์ ทหารทั้งสองฝ่ายฟังกติกาแล้วจึงพากันขี่ม้าแล้วกลับมายืนม้าเข้าแถวประจำที่
โจฮิวฝ่ายแดงขี่ม้าออกไปวนข้างหน้าสามรอบแล้วเล็งเกาทัณฑ์ยิงไปที่เป้าถูกตรงใจดำ ทหารที่สนับสนุนฝ่ายแดงจึงพากันโห่ร้องดีใจ
บุนเพ่งฝ่ายน้ำเงินขี่ม้าปราดออกไปข้างหน้าไม่พูดพล่ามทำเพลงก็น้าวเกาทัณฑ์ยิงไปถูกใจดำของเป้าอย่างแม่นยำ ทหารพวกฝ่ายน้ำเงินก็พากันโห่ร้องบ้าง
โจหองจากฝ่ายแดงไม่รอให้สิ้นเสียงโห่ร้องก็ขี่ม้าออกไปข้างหน้ายิงเกาทัณฑ์เข้าเป้าตรงใจดำอีกคนหนึ่ง เตียวคับฝ่ายน้ำเงินรีบควบม้าออกไปข้างหน้าแต่ไม่หันหน้าไปทางเป้ากลับใช้วิธีเอี้ยวตัวแล้วยิงเกาทัณฑ์ไปถูกกลางใจดำของเป้า เสียงปรบมือโห่ร้องแสดงความชื่นชมจึงก้องกระหึ่ม
ในกลางใจดำของเป้าบัดนี้จึงมีดอกเกาทัณฑ์ปักติดอยู่ถึงสี่ดอกตรึงติดกันเป็นรูปสี่เหลี่ยม แฮหัวเอี๋ยนญาติสนิทของโจโฉคนสำคัญเห็นดังนั้นจึงชักม้าออกไปเอี้ยวตัวแบบเตียวคับแล้วกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า ข้าพเจ้าจะยิงให้พิสดารกว่าทุกคนแล้วเหลียวหลังยิงเกาทัณฑ์ไปปักอยู่กลางเกาทัณฑ์ทั้งสี่ดอกนั้น
เสียงโห่ร้องปรบมือด้วยความชื่นชมจึงดังกึกก้องขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
แฮหัวเอี๋ยนเห็นว่าตัวยิงเข้าใจกลางดอกเกาทัณฑ์ทั้งสี่ดอกเแล้วย่อมไม่มีใครสามารถทำใด้เสมอเหมือนอีกต่อไป จึงควบม้าจะไปเอาเสื้อซึ่งแขวนกิ่งสนอยู่นั้น
พลันมีเสียงร้องดังมาจากข้างขวาว่าช้าก่อน แล้วเสียงเกาทัณฑ์ก็ฝ่าอากาศหวูวิ้วถูกกิ่งสนซึ่งแขวนเสื้อคลุมขาดลง กลายเป็นซิหลงฝ่ายน้ำเงินหันหลังแล้วยิงเกาทัณฑ์ ในขณะที่แฮหัวเอี๋ยนเหลียวหลังกลับมาดูนั้น ซิหลงได้ควบม้าแซงหน้าไปรับเอาเสื้อคลุมซึ่งกำลังร่วงลงเอาไว้ได้แล้วจะเข้าไปคำนับโจโฉ คนทั้งปวงก็โห่ร้องปรบมือชื่นชมเสียงดังสนั่นว่าซิหลงมีฝีมือเกาทัณฑ์ที่ยอดเยี่ยม
ในพลันนั้นเคาทูได้ชักม้าออกไปสกัดหน้าม้าซิหลงไว้แล้วว่าท่านอย่าเพิ่งเอาเสื้อไป ให้ข้าพเจ้าได้แสดงฝีมือก่อน ซิหลงไม่ฟังคำจะเลี่ยงม้าไปหาโจโฉ เคาทูเห็นดังนั้นจึงชักม้าเข้าประชิดตัวซิหลงแล้วจะชิงเอาเสื้อ ซิหลงจึงเอาคันเกาทัณฑ์ตีเคาทู
เคาทูเอามือรับคันเกาทัณฑ์ได้แล้วกระชากโดยแรงหวังจะให้ซิหลงพลัดตกลงจากหลังม้า ซิหลงไม่ทันระวังตัวจึงถูกกระชากเสียหลักพลัดลงจากหลังม้า ในขณะนั้นซิหลงจึงปล่อยมือจากคันเกาทัณฑ์เพื่อให้เคาทูพลัดตกลงจากหลังม้าบ้าง เคาทูกระชากเกาทัณฑ์ด้วยกำลังแรงพอซิหลงปล่อยมือเคาทูก็เสียหลักตามแรงกระชากพลักลงจากหลังม้าเช่นเดียวกัน
พอลุกขึ้นได้เคาทูก็วิ่งเข้าไปชิงเอาเสื้อจากซิหลง ต่างฝ่ายต่างแย่งชิงปลุกปล้ำกันจนเสื้อคลุมนั้นขาดออกเป็นสองส่วน ต่างฝ่ายต่างเกิดโทสะจึงชกต่อยกันต่อหน้าโจโฉแลคนทั้งปวง
โจโฉเห็นเรื่องสนุกสนานกำลังผกผันกลายเป็นวิวาทจึงสั่งทหารให้เข้าไปแยกเคาทูและซิหลงออกจากกันแล้วเรียกมาที่ข้างหน้า สองนายทหารเห็นดังนั้นก็ได้คิดรู้สึกละอายใจแล้วก้มหน้านิ่ง
โจโฉเห็นสองนายทหารมีอาการสำนึกตัวจึงหัวเราะแล้วปลอบใจว่า พวกเราร่วมเป็นตายมาด้วยกันไยจะมาผิดใจกันด้วยเรื่องเสื้อผ้าเล่า สองนายทหารได้ยินคำโจโฉจึงกล่าวพร้อมกันว่าพวกเราสำนึกผิด ท่านอัครมหาเสนาบดีโปรดให้อภัย
โจโฉเห็นดังนั้นก็ยินดีสั่งให้เอาสุรามารินให้สองนายทหารและยกจอกดื่มพร้อมกัน คนทั้งนั้นก็พากันโห่ร้องด้วยความยินดี
โจโฉเข้าไปในปราสาทแล้วสั่งคนรับใช้ให้เอาเสื้อผ้าแพรพรรณเป็นอันมากมาแจกจ่ายแก่คนทั้งปวงเป็นกำนัลขวัญแลกำลังใจ แล้วปรารภว่าเรามาที่ปราสาทหลังนี้มีความสุขเป็นอันมาก อันฝีมือทหารทั้งปวงในฝ่ายบู๊ก็ได้ชมเล่นเป็นขวัญตาแล้ว บัดนี้เป็นเวลาเย็นจึงใคร่อยากฟังบทกวีอันไพเราะในฝ่ายบุ๋นบ้าง ท่านทั้งปวงล้วนชำนาญการอักษรกลอนกาพย์สิ้นจะให้แต่ละคนต่างแต่งก็จะแก่งแย่งเป็นวิวาทไปเปล่า ๆ จงคัดเลือกเอาแต่เพียงสี่คนแล้วร่วมกันแต่งบกวีให้เราดูสักหน่อยหนึ่ง
บรรดาขุนนางทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงคัดเลือกอองลอง จงฮิว อองซัน และตันหลิม รวมสี่คนซึ่งเป็นที่ยอมรับนับถือพร้อมกันว่ามีความรู้แลชำนาญการกวีเป็นผู้แทน
แล้วโจโฉจึงว่าอันการแต่งบทกวีแต่ผู้เดียวนั้นเป็นเรื่องง่าย ด้วยสามารถเยื้องย้ายปลายพู่กันไปตามจินตนาการอันไร้ขอบเขตได้ตามใจปรารถนา ถึงมาตรว่าจะไพเราะแลลึกซึ้งประการใดก็เพราะคนแต่คนเดียว เราจะให้พวกท่านร่วมกันแต่งคนละวรรครวมกันเข้าเป็นบทเดียวกัน ให้สอดคล้องกลมกลืนทั้งอรรถะพยัญชนะถูกต้องตามกฎเกณฑ์แห่งฉันทลักษณ์ งดงามทั้งเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด ซึ่งยากยิ่งยากกว่าการซึ่งจะแต่งแต่ผู้เดียว
คนทั้งปวงได้ยินดังนั้นก็พากันสรรเสริญความคิดริเริ่มของโจโฉเป็นอันมาก
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าผู้คงแก่เรียนทั้งสี่คนแต่งกวีคนละบท ส่วนฉบับสมบูรณ์ระบุว่าขุนนางทุกคนแต่งคนละบท ในขณะที่ฉบับภาษาจีนระบุว่าบัณฑิตทั้งสี่คนร่วมกันแต่ง แต่ความจริงก็คือบทกวีที่แต่งนั้นมีบทเดียว แม้ในสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ก็บรรยายบทกวีซึ่งอองลอง จงฮิว อองซันและตันหลิมแต่งเพียงบทเดียวว่า “มหาอุปราชมีความชอบต่อแผ่นดินเป็นอันมาก ทั้งน้ำใจก็เมตตาแก่ราษฎรทั้งปวง แล้วสร้างปราสาทตำบลนี้สนุกดังเมืองสวรรค์หาผู้ใดเสมอมิได้ ควรที่มหาอุปราชจะได้สำเร็จราชการแผ่นดิน”
โจโฉรับบทกวีที่บัณฑิตผู้คงแก่เรียนทั้งสี่คนได้ร่วมกันแต่งมาอ่านดูแล้วมีความยินดีเป็นอันมากเพราะเป็นเนื้อความยกย่องสรรเสริญบุญญบารมีและคุณูปการต่อบ้านเมืองและราษฎรเป็นล้นพ้น แต่โจโฉนั้นแม้รักคำชมตามวิสัยแห่งปุถุชนแต่ยึดมั่นในแนวทางการเมืองว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่ชี้นำทุกสิ่งและชี้ขาดความสำเร็จหรือล้มเหลวทั้งปวง มิใช่คนแบบนักการเมืองบางคนที่ชอบคำยอพ้อคำลวงจนเหมือนกับคนไร้สติ ดังนั้นพอโจโฉเห็นเนื้อความที่ยุยงให้ชิงราชสมบัติซึ่งขัดกับแนวทางการเมืองที่กำหนดแน่วแน่มาแต่ครั้งตั้งตัวว่าจะต้องครองอำนาจรัฐภายใต้พระปรมาภิไธยของฮ่องเต้จึงคิดยับยั้งแนวความคิดของบัณฑิตเหล่านั้นมิให้ขยายตัวลุกลามต่อไป
โจโฉคิดดังนั้นแล้วจึงว่าอันบทกวีที่พวกท่านร่วมรังสรรค์ขึ้นนี้เป็นที่ไพเราะเสนาะล้ำ แต่ความอันสรรเสริญนั้นเกินตัวเรานักรับไว้มิใคร่จะได้
แล้วโจโฉจึงพรรณาความในใจอันจับใจขุนนางทั้งปวงว่า “แต่ก่อนเราก็เป็นคนมีปัญญาน้อย ถือเอาความสัตย์แลกตัญญูเป็นที่ตั้ง มาเมื่อครั้งพระเจ้าเลนเต้ได้เสวยราชสมบัติ แผ่นดินเป็นจลาจลต่าง ๆ เราจึงปลูกเรือนอยู่นอกเมืองเจากุ๋นข้างทิศตะวันออกไกลเมืองทางห้าร้อยเส้น ครั้นเทศกาลร้อนแลฤดูฝนเราก็ดูขนบธรรมเนียมต่างๆ ครั้นเทศกาลหนาวจึงไปเที่ยวไล่เนื้อ ในน้ำใจคิดว่าแผ่นดินเป็นสุขราบคาบแล้วจะเข้าทำราชการเป็นขุนนาง ไม่รู้ว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้จะจำเพาะให้เราเป็นนายทหารฉะนี้ บัดนี้เรามีใจกตัญญูต่อพระมหากษัตริย์คิดจะปราบปรามให้แผ่นดินเป็นสุข ความชอบจะได้ปรากฎไปภายหน้าว่าเราได้เป็นนายทหารช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินครั้งพระเจ้าเหี้ยนเต้ ก็สมความคิดอยู่แล้ว เราก็ได้คิดอ่านปราบปรามกำจัดศัตรูราชสมบัติเสียเป็นอันมาก แต่ครั้งเตียวก๊กโจรโพกผ้าเหลืองนั้นมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ตั้งให้เราเป็นมหาอุปราชใหญ่กว่าขุนนางทั้งปวงอยู่แล้ว เราจะได้คิดอ่านเอายศศักดิ์ให้ยิ่งกว่านี้หามิได้ แต่เราคิดอยู่ว่าได้ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินแล้วก็จะทำให้ตลอด อนึ่งแผ่นดินพระเจ้าเหี้ยนเต้นี้ถ้าหาเราไม่ก็จะมีผู้โอหังตั้งตัวเป็นเจ้าทุกตำบล คนทั้งปวงซึ่งหาปัญญาไม่มิได้คิดถึงคุณเรา เห็นว่าเราได้เป็นใหญ่ว่ากล่าวสิ่งใดสิทธ์ขาด ก็คิดสงสัยเราเปล่าๆหาต้องการไม่ ก็จะแพ้ภัยตัวเอง ทุกวันนี้เราคิดตั้งใจทำราชการสนองพระคุณพระเจ้าเหี้ยนเต้โดยสุจริต คิดวิตกอยู่อีกว่าจะยกที่มหาอุปราชนี้ให้พระญาติพระวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ ก็มิได้เห็นผู้ใดจะช่วยทำนุบำรุงรักษาแผ่นดินได้ ครั้นเราจะขืนยกให้บัดนี้เล่าก็จะทำโลเลให้แผ่นดินเป็นอันตราย นานไปภายหน้าตัวเราก็จะพลอยได้ความเดือดร้อนด้วย ซึ่งเราว่ากล่าวมาทั้งนี้เป็นความจริง ใช่จะว่าแต่ปากนั้นหามิได้ แต่ทว่าท่านทั้งปวงจะหยั่งเห็นน้ำใจเราหรือ ก็จะแกล้งว่าเราเอาความดีมาเจรจา”
ความดังกล่าวเป็นที่จับใจของหม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ปราโมช เป็นอันมากและได้ใช้เป็นเหตุผลข้ออ้างในการยกย่องโจโฉว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่สัตย์ซื่อและอุทิศตนเพื่อแผ่นดินและราษฎรอย่างแท้จริง ไม่เหมือนกับเล่าปี่ซึ่งตั้งตัวได้ดีเพราะหลอกลวงฉ้อโกง หรือแม้แต่ซุนกวนก็ตั้งตัวเป็นใหญ่เพราะอาศัยบุญพ่อและบุญพี่มิใช่เพราะฝีมือหรือสติปัญญาตัว ซึ่งถ้าหากพิเคราะห์เฉพาะแต่ถ้อยร้อยเจรจาของโจโฉดังกล่าวโดยไม่นำเอาการกระทำที่เป็นจริงของโจโฉขึ้นมาชั่งน้ำหนักพิจารณาด้วยแล้ว ถ้อยร้อยวาจาฉะนี้ก็เป็นดังที่หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ปราโมช ได้วินิจฉัยมานั้น แต่ถ้ายกเอาการกระทำที่เป็นจริงขึ้นพิจารณาด้วยหัวใจที่เป็นธรรมก็จะแลเห็นเนื้อตัวและจิตใจของโจโฉตามความเป็นจริงอันประจักษ์แล้วโดยลำดับมา อนึ่งเล่าถ้อยร้อยวาจาของโจโฉนั้นหากจะพิจารณาให้เที่ยงแล้วคำไหนจริงคำไหนเท็จก็สุดจะหยั่งดังเช่นที่โจโฉได้สนทนากับเขาฮิวเมื่อครั้งรบกับอ้วนเสี้ยว ก็ได้เห็นประจักษ์ชัดว่าคำว่าที่จริงใจแน่แท้ถึงสามครั้งสามหนก็เป็นเพียงลมลวงเท่านั้น ช่างเหมือนดังที่สุนทรภู่ได้พรรณนาไว้ในคำสอนของพระฤาษีที่สอนสุดสาครว่า
“แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์ มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน”
บรรดาที่ปรึกษาและขุนนางข้าราชการได้ฟังคำโจโฉดังนั้นจึงว่าท่านได้ทำนุบำรุงรักษาแผ่นดินเป็นอาณาประโยชน์แก่ราษฎรยิ่งกว่าเมื่อครั้งอิอิ๋นกับจิวกองสองขุนนางในประวัติศาสตร์ยังมีชีวิตอยู่มากนัก
คำยกย่องเอาแบบอย่างของยอดนักปกครองอันมีกิตติศัพท์ลือชาในประวัติศาตร์มาเปรียบเทียบว่ายังเทียบไม่ได้กับโจโฉนั้นด้านหนึ่งคลายกับยืนยันถึงความปรีชาสามารถของโจโฉก็จริง แต่ในอีกด้านหนึ่งกลับแสดงว่าบรรดาที่ปรึกษา ขุนนางข้าราชการเหล่านั้นไม่มีผู้ใดเชื่อถือถ้อยคำของโจโฉ ยังคงคิดว่าเป็นเรื่องที่โจโฉพูดเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่เพื่อน โดยน้ำใจแท้ยังคงคิดอ่านจะแย่งเอาราชสมบัติของพระเจ้าเหี้ยนเต้จึงยกยอปอปั้นซ้ำเข้าไปอีก
โจโฉได้ฟังคำยอซ้ำกระหน่ำมาดังนั้นก็หัวเราะ “กำเริบน้ำใจ” ชอบอกชอบใจเป็นอันมาก สั่งทหารให้เอาสุรามารินจนเต็มจอกของทุกคน แล้วชวนดื่มพร้อมกันเป็นที่ครื้นเครงยิ่งนัก
โจโฉกำเริบด้วยฤทธิ์สุราดังนั้นอารมณ์สุนทรีที่จะแต่งบทกวีลำนำเหมือนคืนสิบห้าค่ำเดือนอ้ายในสงครามเซ็กเพ็กแล้วฆ่าเล่าฮกก็หวนคืนมาสู้ห้วงความคิด จึงสั่งทหารให้เอากระดาษและพู่กันมาให้เพื่อจะแต่งบทกวีบ้าง.