ตอนที่ 312. จระเข้ใหญ่ไปถึงน้ำ

 ชีเซ่งและเตงฮองสองนายทหารเอกของจิวยี่ถูกนางซุนฮูหยินกำราบจนต้องหลีกทางให้เล่าปี่ยกไปข้างหน้า แต่พอได้แรงหนุนจากตันบูและพัวเจี้ยงสองนายทหารของ ซุนกวนก็พากันไล่ตามอีกครั้งหนึ่ง ตันบูและพัวเจี้ยงเสียงแข็งต่อหน้าชีเซ่งและเตงฮอง ครั้นมาปะหน้านางซุนฮูหยินเข้าจริง ๆ ก็ขวัญหนีดีฝ่อ ทำให้ชีเซ่งและเตงฮองพลอยฝ่อตามไปด้วย แล้วพากันหันมามองตันบูและพัวเจี้ยงว่าจะตัดสินใจอย่างไร

            ตันบูและพัวเจี้ยงพอได้ฟังคำนางซุนฮูหยินก็ได้คิดว่า “นางซุนฮูหยินกับซุนกวนเป็นพี่น้องกัน นางงอก๊กไถ้รักใคร่เสมอชีวิต แม้เราจะทำหักหาญบัดนี้เล่า ซุนกวนก็มีกตัญญูรู้จักคุณมารดาอยู่ มิอาจขัดมารดาได้ นานไปภายหน้าเห็นจะไม่พ้นผิด เพราะซุนกวนกลัวมารดาก็จะผลักเสียให้พ้นตัว ความผิดก็จะอยู่แก่ตัวเราทั้งปวง แม้เราจะทำความชอบไว้จะดีกว่า นานไปก็เห็นว่าจะไม่มีความผิด”

            ตันบูและพัวเจี้ยงเคยเห็นเหตุการณ์เมื่อครั้งที่ซุนกวนผลักความรับผิดชอบจากการวางแผนซุ่มมือสังหารไว้ที่สองข้างทางวัดกำลอไปให้แก่ลิห้อมด้วยความเกรงกลัวมารดา ส่วนลิห้อมเล่าก็ผลักความผิดไปที่แกหัว จนแกหัวถูกสั่งประหาร ดีที่ได้เล่าปี่ร้องขอชีวิตไว้ จึงรอดตายไปได้ สองนายทหารประจักษ์ความล้ำลึกแห่งครอบครัวของซุนกวนดังนี้ จึงพากันเกรงว่าถ้าแม้นหักหาญไม่ฟังนางซุนฮูหยิน ขืนดึงดันจับกุมตัวกลับไป ในที่สุดซุนกวนก็ต้องเกรงนางงอก๊กไถ้ แล้วจะผลักความผิดมาให้แก่พวกตัว การครั้งนี้ร้ายแรงนัก ดีร้ายก็อาจรักษาศีรษะไว้บนบ่าไม่ได้ ทั้งมองไปข้างหน้าก็ไม่เห็นเล่าปี่ เห็นแต่จูล่งขี่ม้าเป็นสง่าพร้อมที่จะฆ่าฟันอยู่ทุกเมื่อและยังมีทหารป้องกันอยู่อีกร่วมสองร้อยคนก็คิดเอาตัวรอด หวังทำคุณไว้กับนางซุนฮูหยิน เพราะถ้าหากฟังตามคำนาง ถึงอย่างไรก็ยังสามารถรักษาศีรษะไว้บนบ่าได้

            ตันบูและพัวเจี้ยงคิดตรงกันเช่นนึ้จึงหันไปมองชีเซ่งและเตงฮอง เห็นท่าทีสองนายทหารของจิวยี่ก็มีอาการอย่างเดียวกัน จึงก้มศีรษะลงคำนับนางซุนฮูหยินแล้วโบกมือเป็นสัญญาณให้ทหารที่ติดตามมาถอยกลับไป นางซุนฮูหยินเห็นท่าทีของสี่นายทหารเป็นทีว่าเชื่อฟังในถ้อยคำและจะไม่ขัดขวางอีกต่อไป จึงสั่งให้จูล่งนำขบวนเคลื่อนตามเล่าปี่ไป

            ครั้นนางซุนฮูหยินเคลื่อนขบวนตามเล่าปี่ไปแล้ว สี่นายทหารจึงปรึกษากันว่าจะทำประการใด ชีเซ่งได้เสนอว่าตัวเราและเตงฮองรับคำสั่งจิวยี่ให้มาสกัดเล่าปี่ไว้ แต่เมื่อก๊กไถ้อนุญาตให้เล่าปี่และฮูหยินกลับไปเมืองเกงจิ๋ว พวกเราเป็นผู้น้อยก็มิอาจขัดขวางไว้ได้ จึงสมควรต้องรีบไปรายงานให้จิวยี่ทราบจะได้พ้นความผิด

            ฝ่ายตันบูและพัวเจี้ยงได้ฟังดังนั้นก็มิรู้ที่จะออกความเห็นประการใดเพราะเป็นเรื่องภายในของเมืองฉสองกุ๋นซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบดูแลของจิวยี่ จึงหันมาปรึกษากันเองว่าเราสองคนรับคำสั่งจากซุนกวนให้มาจับเล่าปี่กลับไป แต่ติดขัดด้วยนางน้องของซุนกวนขัดขวางไว้ จะหักหาญเล่าโทษตายคงไม่พ้นตัว แต่เมื่อปล่อยไปดังนี้กลับไปซุนกวนก็จะเอาผิด

            นายทหารทั้งสี่คนปรึกษากันอยู่พักใหญ่ก็ยังหาข้อยุติประการใดไม่ได้ เพราะต่างคนต่างรักตัวกลัวความผิด จึงพากันวิตกกังวลมิรู้ที่จะทำประการใด

            อีกครู่ใหญ่สี่นายทหารได้ยินเสียงฝีเท้าม้าตามมาจากทิศทางข้างเมืองลำชีจึงพากันเหลียวไปดูเห็นเจียวขิมและจิวท่ายคุมทหารรีบรุดมาก็ประหลาดใจ

            เจียวขิมและจิวท่ายคุมทหารม้าไล่ตามมาตามบัญชาของซุนกวนเพื่อจะตัดเอาศีรษะของเล่าปี่และนางซุนฮูหยินกลับไป ครั้นเข้ามาใกล้เห็นนายทหารทั้งสี่มีสีหน้าไม่ค่อยสู้จะดี จึงถามว่าพวกท่านได้พบกับเล่าปี่และนางซุนฮูหยินหรือไม่

            นายทหารทั้งสี่จึงเล่าความตามที่ได้พบและว่ากล่าวกับนางซุนฮูหยินให้เจียวขิมและจิวท่ายฟังทุกประการ

            เจียวขิมได้ฟังดังนั้นก็ต่อว่าสี่นายทหารว่าพวกท่านพบเล่าปี่แล้วไฉนจึงไม่จับกุม มัวแต่ฟังคำนางซุนฮูหยินแล้วปล่อยเล่าปี่ไปดังนี้ มิเกรงความผิดจะติดตัวหรือไฉน โทษฐานที่ท่านปล่อยเล่าปี่ไปครั้งนี้ผิดนักหนา พวกท่านทั้งสี่จะมัวคิดเกรงนางซุนฮูหยินนั้นไม่ชอบ เพราะแม้นว่าซุนกวนรักนางผู้น้องหรือยำเกรงก๊กไถ้ผู้เป็นมารดาจริงแล้ว ไหนเลยจะมอบกระบี่อาญาสิทธิ์ให้เรามาตัดเอาศีรษะเล่าปี่และนางซุนฮูหยินเสียเล่า

            เจียวขิมกล่าวแล้วก็ชูกระบี่อาญาสิทธิ์ให้สี่นายทหารดู และย้ำว่าบัดนี้ซุนกวนมีบัญชาให้เราเชิญกระบี่อาญาสิทธิ์เล่มนี้มาตัดศีรษะเล่าปี่และนางซุนฮูหยินกลับไป หากแม้นพบแล้วไม่ตัดศีรษะ ปล่อยไปเสีย ซุนกวนก็จะเอาศีรษะเราแทน

            สี่นายทหารได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ ชีเซ่งและเตงฮองได้กล่าวขึ้นว่าหนทางจากที่นี่ไปถึงชายทะเลก็ไม่ไกล เล่าปี่และนางซุนฮูหยินหนีไปนานแล้วเห็นจะไล่ตามไปไม่ทัน จะทำประการใดเล่า

            เจียวขิมจึงว่าเล่าปี่หนีไปครั้งนี้จะต้องไปลงเรือจึงจะข้ามไปเมืองเกงจิ๋วได้ แต่เล่าปี่มีแต่ม้าและทหารเดินเท้าคงจะไปติดอยู่ที่ชายทะเล แต่เพื่อความไม่ประมาท ให้ชีเซ่ง และเตงฮอง รีบเข้าไปเมืองฉสองกุ๋น รายงานความทั้งปวงให้จิวยี่ทราบแล้วแต่งกองทัพเรือออกสกัดตามชายทะเล อย่าให้เล่าปี่หนีกลับไปเมืองเกงจิ๋วได้ ส่วนตัวเรา จิวท่าย ตันบู และพัวเจี้ยงจะได้รีบยกทหารไล่ตามเล่าปี่ไปที่ชายทะเล

            เจียวขิมเองก็ตระหนักในอำนาจและบารมีของนางซุนฮูหยิน จึงกล่าวย้ำกับพวกว่าหากแม้นพบเล่าปี่และนางซุนฮูหยินแล้ว อย่าได้หวาดหวั่นพรั่นใจ หรือเกรงอกเกรงใจเป็นอันขาด เพราะมาตรแม้นไม่ตัดหัวของผัวเมียกลับไป พวกเราก็จะต้องเสียหัวให้แก่ซุนกวนเป็นการทดแทน

            ปรึกษาหารือเห็นชอบพร้อมกันแล้วชีเซ่งและเตงฮองจึงพาทหารรีบกลับไปเมือง ฉสองกุ๋น ส่วนเจียวขิม จิวท่าย ตันบู และพัวเจี้ยง ก็ยกทหารตามไปที่ชายทะเล

            ฝ่ายเล่าปี่ครั้นปล่อยให้นางซุนฮูหยินและจูล่งรับหน้ากองทหารของเมืองกังตั๋งแล้ว ได้รีบรุดพาทหารหนีไปถึงตำบลเล่าลองไพ่ซึ่งเป็นปากแม่น้ำชายทะเล จึงลงจากหลังม้าพาทหารเดินเลียบไปตามชายทะเลหวังจะหาเรือข้ามฟากกลับไปเมืองเกงจิ๋ว แต่ไม่เห็นเรือตามชายฝั่งแม้แต่สักลำเดียวก็ตกใจ

            ในขณะที่เล่าปี่กำลังประหวั่นพรั่นพรึงด้วยไม่เห็นเรือตามชายฝั่งนั้น จูล่งได้พาขบวนของนางซุนฮูหยินตามมาสมทบ ครั้นเห็นเล่าปี่มีสีหน้าวิตกกังวล จูล่งจึงปลอบใจว่า “เรามานี่ก็พ้นเมืองฉสองกุ๋นจะเข้าแดนเมืองเกงจิ๋วอยู่แล้ว เหมือนหนึ่งเสือหนีออกจากจั่นได้ ท่านอย่าคิดวิตกเลย เราทำสงครามสำเร็จทั้งนี้เพราะความคิดขงเบ้ง บัดนี้เรามาถึงแดนเมืองเราแล้ว เห็นขงเบ้งจะคิดอ่านมาช่วยเราเป็นมั่นคง”

            เล่าปี่ได้ฟังคำจูล่งดังนั้นก็ค่อยคลายใจ เพราะเป็นเพียงความหวังประการเดียวที่จะรอดตายครั้งนี้ได้ ในพลันนั้นใจก็หวั่นแล้วหวนรำลึกถึงความสุขที่เคยมีแต่ครั้งอยู่ที่ปราสาทในเมืองลำชี บัดนี้ต้องจากไกลและไม่รู้ว่าเป็นตายประการใด เล่าปี่จึงใจหายเสียดายยิ่ง น้ำตาของเชื้อพระวงศ์พเนจรก็รินหลั่ง ทรุดตัวลงนั่งร้องไห้อยู่ที่ชายทะเลนั้น

            คนทั้งปวงเห็นเล่าปี่ร้องไห้ก็พากันสงสาร ในขณะนั้นได้ยินเสียงม้ากึกก้องคะนองมาแต่ข้างหลังก็ตกใจ เพราะรู้ว่านั่นเป็นสัญญาว่าทหารของซุนกวนกำลังยกไล่ตามมาอีกแล้ว เล่าปี่ได้ยินเสียงดังนั้นจึงหันกลับไปปรึกษากับจูล่งว่าเรามาติดอยู่ชายทะเลครั้งนี้จะหนีลงทะเลก็มิได้ ข้างหลังเล่าทหารซุนกวนก็ตามมา หรือว่าครั้งนี้ชีวิตเราต้องมาสิ้นสุดลงที่ชายทะเลเสียแล้ว

            เล่าปี่มองไปตามต้นเสียง เห็นฝุ่นคลุ้งมาแต่ไกล ในทันใดนั้นจูล่งได้ชี้มือไปที่ชายทะเลแล้วว่าท่าเราจะรอดตายแล้ว เล่าปี่ได้ยินดังนั้นก็มองไปตามมือของจูล่ง เห็นเรือที่แล่นค้าขายอยู่ตามชายทะเลประมาณยี่สิบลำแล่นเข้ามาแล้วเทียบที่ชายทะเลตรงที่เล่าปี่พักอยู่นั้น

            เล่าปี่เห็นดังนั้นก็ดีใจ บอกจูล่งว่าพวกเรารีบหนีลงเรือเอาตัวรอดก่อนเถิด จะเป็นตายร้ายดีประการใดก็สุดแต่ฟ้าดินจะบันดาล เล่าปี่ว่าดังนั้นแล้วจึงสั่งให้จูล่งเร่งทหารลงเรือและรับเอานางซุนฮูหยินลงเรือโดยสารนั้น

            พอเล่าปี่ลงไปในเรือเห็นเป็นลักษณะเรือขายสินค้า แต่ทันใดนั้นเห็นชายผู้หนึ่งแต่งกายในชุดของนักพรตในลัทธิเต๋า มือถือพัดขนนก หัวเราะร่วนเดินออกมาจากข้างในประทุนเรือแล้วว่า ข้าพเจ้าขอแสดงความยินดีที่ท่านปลอดภัย ทั้งได้น้องสาวซุนกวนเป็นคู่ครองอีกเล่า ตัวข้าพเจ้าได้นำขบวนเรือปลอมเป็นพ่อค้ามาคอยท่าท่านสองสามวันแล้ว

            เล่าปี่เห็นเป็นขงเบ้งก็ดีใจ บอกให้นางซุนฮูหยินรีบคำนับรู้จักกับขงเบ้ง นางผู้เป็นศรีภรรยาก็ทำตามคำแต่โดยดี ขงเบ้งจึงสั่งเรือทุกลำให้ถอยออกจากฝั่งแล่นออกไปในทะเล

            เล่าปี่มองลูกเรือที่แต่งตัวเหมือนพ่อค้า แต่พอเขม้นตาก็จำได้ว่าล้วนเป็นทหารเรือของเมืองเกงจิ๋วทั้งสิ้นก็มีความยินดีจึงกล่าวขอบคุณ บรรดาทหารเหล่านั้นจึงพร้อมกันคำนับเล่าปี่

            พอเรือถอยออกจากฝั่ง เล่าปี่ได้สรรเสริญสติปัญญาความคิดอ่านของขงเบ้งที่แก้กลอุบายนางลวงของจิวยี่ได้อย่างมหัศจรรย์ เพราะความอันประจักษ์ในหนังสือลับทั้งสามฉบับนั้น ล้วนเป็นการคิดอ่านวางแผนการล่วงหน้า โดยเฉพาะฉบับที่สองและฉบับที่สาม ได้กำหนดแผนการล่วงหน้าถึงหนึ่งปี แต่ก็มีความถูกต้องแม่นยำ จนสามารถนำตัวเล่าปี่หลุดรอดมาจากจั่นได้สำเร็จ

            ขบวนเรือของเล่าปี่ ขงเบ้ง ถอยออกจากฝั่งได้ไม่ถึงห้าเส้น เจียวขิม จิวท่าย ตันบู และพัวเจี้ยง ก็ยกทหารมาถึงริมฝั่งน้ำ ขงเบ้งเห็นดังนั้นจึงร้องบอกสี่นายทหารเมืองกังตั๋งว่า “ให้ท่านกลับไปบอกจิวยี่เถิดว่าเราคิดการมาก็นานอยู่แล้ว เพิ่งสำเร็จครั้งนี้ ซึ่งจิวยี่ให้ท่านตามมาส่งเล่าปี่นั้น เราขอบใจนัก เล่าปี่มิได้มีอันตรายสิ่งใด อย่าให้จิวยี่คิดกลอุบายฉะนี้สืบไปเลย”

            บรรดาทหารเรือเมืองเกงจิ๋วซึ่งปลอมเป็นพ่อค้ามาในเรือและทหารทั้งปวงได้ฟังคำของขงเบ้งดังนั้นจึงพากันหัวเราะแล้วโห่ร้อง สี่นายทหารของเมืองกังตั๋งได้ฟังก็โกรธ สั่งให้ระดมยิงเกาทัณฑ์ไปที่ขบวนเรือดุจห่าฝน

            แต่โชคไม่เข้าข้างทหารเมืองกังตั๋งเพราะขบวนเรือของเล่าปี่ ขงเบ้ง ได้แล่นห่างออกจากฝั่งจนพ้นระยะเกาทัณฑ์แล้ว ทหารเมืองกังตั๋งจึงพะว้าพะวังกันอยู่ที่ชายทะเลนั้น

            พอขบวนเรือพ้นออกจากมาระยะเกาทัณฑ์ เล่าปี่จึงปรารภด้วยขงเบ้งว่าขบวนเรือทั้งนี้ล้วนเป็นเรือพ่อค้าวานิชแล่นไปได้ช้า ถ้าหากว่าจิวยี่ยกขบวนเรือรบมาเห็นจะตามเราทันเป็นมั่นคง ท่านจะคิดอ่านประการใด

            ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่า ข้าพเจ้าได้คิดอ่านมานานช้าว่าขาหนีกลับท่านจะต้องหนีมาทางชายทะเลแห่งนี้ จึงนำขบวนเรือพ่อค้าปลอมตัวมาคอยท่า เพราะหากว่านำขบวนเรือรบอันแล่นรุดได้โดยรวดเร็ว แต่ไหนเลยจะพ้นสายตาทหารลาดตระเวนของจิวยี่ อันขบวนเรือทั้งนี้แม้นแล่นได้ช้ากว่าเรือรบ แต่ข้าพเจ้าหาได้ประสงค์ที่จะแล่นตรงไปที่เมืองเกงจิ๋วไม่ แต่จะตัดข้ามอ่าวไปขึ้นฝั่งในที่ใกล้ เห็นว่าแม้นจิวยี่ยกกองทัพเรือตามมาก็สามารถข้ามฝั่งไปได้ทัน

            เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ค่อยคลายใจแต่ยังสงสัยไม่สิ้น จึงถามสืบไปว่าถ้าหากจิวยี่ยกกองทัพเรือตามไปแล้วยกพลขึ้นบกไล่ล่าเล่า พวกเรามีแต่เท้าเปล่า จะหนีทหารจิวยี่กลับไปเมืองเกงจิ๋วได้ทันหรือ

            ขงเบ้งโบกพัดขนนกแล้วยิ้มอย่างมั่นใจว่า จิวยี่คงยกตามมาแต่ท่านอย่าได้ปรารมภ์เลย การทั้งปวงได้เตรียมไว้พร้อมแล้ว เกรงแต่ว่าจิวยี่จะไม่ยกมาเท่านั้น

            เล่าปี่ได้ฟังคำขงเบ้งแสดงความมั่นใจดังนั้นก็มีความยินดี ทั้งสองคนหัวเราะขึ้นพร้อมกัน แล้วว่าท่านคิดอ่านการทั้งปวงรอบคอบรอบด้าน หาจุดอ่อนมิได้เลย นางซุนฮู หยินนั่งฟังสามีสนทนากับคนผู้ซึ่งมีกิตติศัพท์ลือเลื่องว่าสติปัญญาแจ้งฟ้ามหาสมุทรเป็นเอกอยู่แต่ผู้เดียวในแผ่นดินก็ตื่นเต้นตะลึงไป ทั้งน้ำใจก็นึกเลื่อมใสขงเบ้งเป็นอันมาก

            ฝ่ายชีเซ่ง เตงฮอง เมื่อนำทหารแยกมาจากตันบู พัวเจี้ยง เจียวขิม และจิวท่ายแล้ว ได้รีบพาทหารยกกลับเข้าไปที่เมืองฉสองกุ๋น แล้วรายงานความทั้งปวงให้จิวยี่ทราบ

            จิวยี่ได้ทราบดังนั้นก็ตกใจ รีบวิ่งไปที่ฐานทัพเรือ สั่งให้ทหารเรือทั้งปวงยกขบวนเรือออกจากฐานทัพ ให้ชีเซ่ง เตงฮอง เป็นกองทัพหน้า อุยกายเป็นปีกขวา ฮันต๋งเป็นปีกซ้าย ส่วนตัวจิวยี่เป็นกองทัพหลวง ลงเรือธงแล้วสั่งให้เคลื่อนกองทัพเรือออกทะเล

            ขงเบ้งนำขบวนเรือล่องพ้นกลางอ่าว เห็นกองทัพเรือของเมืองกังตั๋งเคลื่อนออกจากฐานทัพ จึงสั่งให้พลเรือเร่งฝีพายบ่ายหน้าไปขึ้นฝั่งด้านทิศเหนือที่ตำบลลองจิ๋วซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด พาเล่าปี่และนางซุนฮูหยินขึ้นไปพักคอยสังเกตการณ์บนเนินเขา ให้ทหารทั้งปวงป้องกันอารักขาเล่าปี่ แล้วว่าเรามาคอยท่าให้จิวยี่ตามมาส่งจึงค่อยกลับไปเมืองเกงจิ๋วเถิด

            เล่าปี่หนีเข้าถึงแดนเมืองเกงจิ๋วจึงดุจดังมังกรลงทะเล ดังคำของเตียวเจียวและเหมือนกับที่สุนทรภู่ได้พรรณนาไว้ในพระอภัยมณีว่า “จระเข้ใหญ่ไปถึงน้ำมีกำลัง เหมือนเสือขังไปถึงดงก็คงร้าย” นั่นแล.
 

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘