ตอนที่ 311. ฝ่าดงพงดาบ
ในสถานการณ์ยามคับขันที่เล่าปี่พาเมียรักหนีออกจากเมืองลำชีมาตามทางบก ผ่านแดนเมืองฉสองกุ๋นเพื่อจะข้ามอ่าวกลับไปเมืองเกงจิ๋ว กองทหารเมืองกังตั๋งกำลังยกมาถึงสามกอง ทั้งสกัดหน้าและไล่ล่าตามหลัง จูล่งเห็นขัดสนจึงเปิดหนังสือลับฉบับที่สามของขงเบ้ง พอเล่าปี่ทราบความตามหนังสือก็ค่อยคลายใจ รีบขี่ม้ากลับไปที่ศรีภรรยาในทันที
จูล่งเห็นเล่าปี่ขี่ม้ากลับไปที่ขบวนของนางซุนฮูหยินและเห็นทหารเมืองกังตั๋งยกมาข้างหน้าเป็นจำนวนมาก จึงพาทหารติดตามเล่าปี่ไป
เล่าปี่ขี่ม้าไปถึงรถม้าของภรรยาแล้ว บีบน้ำตาร้องไห้กล่าวกับนางซุนฮูหยินตามความในหนังสือลับของขงเบ้งว่า “เดิมซุนกวนกับจิวยี่คิดกลอุบายว่าจะยกเจ้าให้เป็นภรรยาข้า หวังจะลวงข้าให้มา ณ เมืองลำชี แล้วจะจับตัวจำไว้ แม้คืนเมืองเกงจิ๋วได้แล้วก็จะฆ่าเราเสีย ใช่จะยกเจ้าให้โดยจริงนั้นหามิได้ เอาชื่อเจ้าเป็นเหยื่อไปล่อมา อนึ่งข้ารู้ว่าเจ้าเป็นหญิงก็จริง แต่มีสติปัญญาความคิดยิ่งกว่าผู้ชายอีก จึงอุตส่าห์มานี้มิได้คิดถึงตัวกลัวความตาย นี่หากว่ามารดากับเกียวก๊กโลมีความเมตตา ข้าจึงรอดจากความตาย แลซุนกวนกับจิวยี่ยังคิดกลอุบายต่าง ๆ อยู่หวังจะทำอันตรายข้า ข้าเห็นจะอยู่ในเมืองลำชีไม่ได้ก็คิดอ่านจะกลับไปเมืองเกงจิ๋ว จึงแกล้งบอกเจ้าว่าเมืองเกงจิ๋วเกิดศึกจะรีบไปเป็นการเร็ว เจ้าก็มีความสัตย์ติดตามข้ามา คุณเจ้าหาที่สุดไม่ ข้าก็ยังมิได้ตอบแทนคุณ บัดนี้ซุนกวนก็ยกทหารตามมาเป็นอันมาก จิวยี่ก็ให้ทหารมาสกัดหน้าอยู่ ทหารทั้งสองฝ่ายนี้อยู่ในอำนาจเจ้า แม้เจ้าไม่ช่วยแก้ไขครั้งนี้ ข้าจะขอตายอยู่ในที่นี้ อันจะได้แทนคุณเจ้าซึ่งสัตย์ซื่อต่อข้านั้นหามิได้แล้ว”
ความอันเล่าปี่กล่าวกับนางซุนฮูหยินดังนี้ เล่าปี่ก็ได้ประจักษ์แก่ตัวเองว่าซึ่งจูล่งแสร้งว่าโจโฉยกกองทัพมาตีเมืองเกงจิ๋วนั้น เป็นเพียงกลอุบายของขงเบ้งที่กระตุ้นเตือนแรงมานะของเล่าปี่ให้คิดหนีกลับคืนเมือง เมื่อเรื่องดำเนินมาถึงเพียงนี้อีกไม่กี่เส้นข้างหน้าก็จะถึงชายทะเล แต่คับขันด้วยข้างหลังทหารของซุนกวนกำลังยกไล่ตามมา ข้างหน้าเล่าทหารของจิวยี่ก็กำลังยกสวนทางมาสกัดไว้ แผนการอุบายของขงเบ้งในจดหมายลับฉบับที่สามซึ่งเล็งความไว้ล่วงหน้าถึงหนึ่งปีถูกต้องเหมาะเจาะกับสถานการณ์ที่เป็นไปราวกับว่าได้แลเห็นเหตุการณ์ข้างหน้าอุบัติขึ้นต่อหน้าต่อตา จึงกำหนดให้เล่าปี่เปิดโปงแผนการร้ายของซุนกวนและจิวยี่ที่ลวงเล่าปี่มาแต่งงานด้วยนางซุนฮู หยินที่เมืองลำชี ซึ่งเล่าปี่แม้รู้กลก็มิได้เกรงกลัวต่อความตาย ด้วยรักใคร่พอใจในความสัตย์ซื่อแลสติปัญญาสมวีรสตรีของนางซุนฮูหยินจึงเสี่ยงตายมาแต่งงาน ระหว่างอยู่เมืองลำชีก็ต้องเผชิญกับกลอุบายนานัปการจึงต้องหนีกลับ แล้วยังถูกไล่ล่าตามมาสังหารอีกเล่า หากจะเปรียบเทียบกับหนังสือลับสองฉบับก่อนหน้าก็ดูละม้ายเป็นทำนองเดียวกัน โดยหนังสือลับฉบับแรกเปิดโปงแผนลับให้ชาวเมืองได้รู้ทั่วกัน อาศัยอำนาจแห่งโลกนิติผูกมัดพระแม่เมืองกังตั๋งให้จำต้องยกลูกสาวสุดรักสุดห่วงแก่เล่าปี่ ครั้นเล่าปี่ถูกกลแห่งโลกียะผูกมัดไว้ที่เมืองลำชี หนังสือลับฉบับที่สองก็ได้อาศัยพลังขัตติยะมานะของเล่าปี่เองบังคับจนเล่าปี่ต้องละความสุขทั้งหลายกลับคืนเกงจิ๋ว มาครั้งนี้ขงเบ้งก็ได้อาศัยน้ำใจภักดีของนางซุนฮูหยินที่พึงมีต่อสามี อิงอำนาจนางน้องเจ้าเมืองกังตั๋งรับมือกับการไล่ล่าสังหารของทหารเมืองกังตั๋ง
นางซุนฮูหยินได้ฟังคำเล่าปี่ที่กล่าวคำทั้งน้ำตาก็สงสาร ตรองการณ์ที่เป็นไปก็เห็นจริง รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่พี่ชายผู้เป็นเจ้าเมืองคิดอ่านการลามกใช้นางเป็นเหยื่อตกปลา ยิ่งน้อยใจน้ำใจก็เหไปทางโกรธซุนกวนที่ไม่คิดถึงความเป็นพี่น้องที่เติบโตด้วยแม่นมเดียวกันมา และยังคิดฆ่าสามีนางอีกเล่า
นางซุนฮูหยินคิดดังนั้นแล้วจึงตัดสินใจว่าเมื่อซุนกวนพี่เราใจดำทำกับเราได้ถึงเพียงนี้จะมีหน้ากลับไปพบหน้ากระไรได้อีก และบัดนี้เล่าปี่ก็เป็นสามีที่ชอบด้วยธรรมเนียมประเพณี ด้วยความรู้เห็นเป็นใจของผู้ใหญ่แล้ว ไหนจะยอมให้ซุนกวนประหารเสียได้ ดังนั้นจึงจำต้องปกป้องเล่าปี่ให้พ้นจากอันตราย
ตัดสินใจแล้วนางซุนฮูหยินจึงสั่งให้เคลื่อนขบวนออกไปข้างหน้า พอดีชีเซ่ง เตงฮอง ยกทหารมาถึงจึงร้องว่าวันนี้เล่าปี่จะหนีไปข้างไหนพ้น จิวยี่ให้เรามาคอยท่าอยู่ช้านานแล้ว จงลงจากหลังม้า ยอมให้จับตัวเสียแต่โดยดี
นางซุนฮูหยินได้ยินเสียงชีเซ่ง เตงฮอง จึงเปิดมู่ลี่รถม้าออก เยี่ยมหน้าออกไปที่หน้าต่างข้างรถ ตวาดใส่ชีเซ่ง เตงฮอง ว่าพวกเจ้ายกทหารมาขวางหน้าเราไว้ดังนี้จะคิดเป็นกบฏต่อตระกูลซุนหรือ
ชีเซ่งและเตงฮองกำลังคะนองว่าจะได้ตัวเล่าปี่ จึงวางทีท่ายโสโอหัง แต่พอเห็นหน้านางน้องของซุนกวนเยี่ยมหน้าออกมาจากรถม้า ร้องตวาดด้วยโทสะก็ตกใจ ด้วยคาดคิดไม่ถึงว่านางซุนฮูหยินจะมาในขบวนของเล่าปี่ด้วย จึงรีบลนลานลงจากหลังม้า วางอาวุธลงที่พื้น คุกเข่าคำนับนางซุนฮูหยิน แล้วว่าขออภัยที่ข้าพเจ้าทั้งสองไร้มารยาท ด้วยไม่ทราบว่าฮูหยินเดินทางมาในขบวน ข้าพเจ้าทั้งสองรับคำสั่งจากจิวยี่ให้มาจับกุมเล่าปี่ไปประหาร ใช่จะคิดการกบฏต่อตระกูลซุนนั้นหามิได้
นางซุนฮูหยินได้ฟังคำสองนายทหารรายงานมุ่งร้ายต่อเล่าปี่ผู้เป็นสามีต้องกับคำของเล่าปี่ก็ยิ่งโกรธซุนกวนและจิวยี่เป็นอันมาก นางสิ้นที่เกรงใจสองนายทหารผู้ใหญ่เมืองกังตั๋ง จึงร้องด่าจิวยี่ด้วยเสียงอันดังว่า “อ้ายผู้ร้ายมิได้มีกตัญญู ตัวมาอยู่เมืองกังตั๋งนี้กินข้าวแดงแกงร้อนของพี่เรา พี่เราก็ตั้งให้เป็นนายทหาร แล้วเลี้ยงดูมิให้อนาทร ควรหรือไม่รู้จักผิดแลชอบ เล่าปี่เป็นอาพระเจ้าเหี้ยนเต้ มารดาเรากับซุนกวนก็ได้ยกให้เป็นสามีเรา เมื่อเล่าปี่จะพาเรามานั้น มารดาเรากับซุนกวนก็ได้รู้ยอมให้เรามา แลจิวยี่เห็นว่าเราได้ทรัพย์สิ่งของมามากหรือ จึงให้ตัวทั้งสองปลอมเป็นโจรมาคอยตีชิงเรา”
นางซุนฮูหยินเป็นสตรีที่มีสติปัญญา คาดการณ์ว่าชีเซ่งและเตงฮองมาแต่จิวยี่ มิรู้การข้างเมืองลำชีที่นางหนีมาโดยที่ซุนกวนไม่รู้เห็น จึงอ้างอิงกลบเกลื่อนว่าการเดินทางครั้งนี้ทั้งก๊กไถ้และซุนกวนได้รู้เห็นอนุญาตแล้ว การที่จิวยี่ทำการดังนี้จึงเป็นกบฏต่อตระกูลซุน ทรยศต่อข้าวแดงแกงร้อน ทั้งที่ซุนกวนได้ทำนุบำรุงให้เป็นใหญ่ในแดนกังตั๋ง และยังกล่าว หาสองนายทหารใหญ่ว่าถูกใช้ให้มาปล้นทรัพย์
ชีเซ่งและเตงฮองเป็นนายทหารรับราชการอยู่เมืองกังตั๋งมาช้านาน รู้ความสัมพันธ์ภายในตระกูลซุนเป็นอย่างดีว่านางน้องเจ้าเมืองผู้นี้เป็นที่รักห่วงหวงแหนของทั้งซุนกวนและก๊กไถ้ผู้เป็นมารดายิ่งกว่าดวงใจ ซุนกวนเองก็ยำเกรงมารดาไม่กล้าแข็งขืน ได้แลเห็นนางซุนฮูหยินกล่าวความด้วยโทสะผิดไปจากที่เคยเห็นแต่ความอ่อนหวานสะคราญตาก็ตกใจ เกรงกลัวว่าจะตกเป็นจำเลยในข้อหากบฏแล้วแม้จิวยี่ก็มิอาจช่วยเหลือให้รอดชีวิตได้
ชีเซ่งและเตงฮองตระหนักดังนั้นแล้ว จึงหันมาซุบซิบปรึกษาหารือกันและตกลงใจว่าพวกเราเป็นคนนอกหาควรเข้ายุ่งเกี่ยวด้วยความภายในครอบครัวของตระกูลซุนผู้เป็นนายไม่ เพราะพลาดพลั้งประการใดก็อาจต้องโทษถึงตาย สองนายทหารใหญ่จึงก้มหน้าลงกับพื้น แล้วกล่าวว่าข้าพเจ้าทั้งสองนี้ไหนเลยจะกล้าคิดอ่านมาปล้นชิงวิ่งราวทรัพย์ของฮูหยิน ลำพังข้าพเจ้าทั้งสองย่อมมิกล้าบังอาจมาสกัดหน้าขวางทางเป็นเด็ดขาด แต่จำใจมาครั้งนี้ด้วยเกรงอาญาของจิวยี่ต่างหาก ขอแม่นางจงยกโทษให้ข้าพเจ้าทั้งสองสักครั้งหนึ่ง
นางซุนฮูหยินได้ฟังคำชีเซ่งและเตงฮองก็รู้ว่าเกรงกลัวอยู่ในอำนาจ ความอันกล่าวแก้ตัวทั้งนี้เป็นทีเอาตัวรอด และโยนความผิดกลับไปที่จิวยี่ ดังนั้นนางซุนฮูหยินจึงแสร้งทำโกรธมากขึ้นกว่าเก่า แล้วตวาดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า เจ้าทั้งสองเกรงอาญาของจิวยี่มาขวางทางเราไว้ ไม่คิดหรือว่าเราก็มีอำนาจสั่งประหารเจ้าทั้งสองเสียได้
ชีเซ่งและเตงฮองได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ เงยหน้าขึ้นเห็นจูล่งยืนม้าถมึงทึงอยู่ข้างรถของนางซุนฮูหยินเป็นที่น่าเกรงขามยิ่งนัก และยังมีทหารติดตามมาเป็นอันมาก จึงละล่ำละลักกล่าวขึ้นพร้อมกันว่าข้าพเจ้าไม่กล้าล่วงเกินฮูหยิน ว่าแล้วสั่งทหารให้ถอยออกไปอยู่สองข้างทาง
นางซุนฮูหยินเห็นดังนั้นจึงย่ำด่าว่าจิวยี่เป็นอันมาก แล้วเร่งขบวนให้รีบรุดไปข้างหน้า ในขณะที่ชีเซ่ง เตงฮองและผองเหล่าทหารที่ยกมาต่างคุกเข่าอยู่ข้างทาง มองตากันปริบ ๆ
เล่าปี่เห็นดังนั้นจึงเร่งนำขบวนตรงไปได้ห้าสิบเส้นก็เห็นชายทะเลอยู่เบื้องหน้า
ฝ่ายชีเซ่ง เตงฮอง ครั้นเห็นขบวนของเล่าปี่เคลื่อนผ่านพ้นไปแล้ว ก็ลุกไปขึ้นขี่ม้าแล้วปรึกษาหารือกันว่าจะทำประการใดต่อไป
ปรึกษาหารือกันไม่เป็นที่ตกลงว่าจะติดตามเล่าปี่ไปห่าง ๆ หรือว่าจะกลับไปรายงานจิวยี่ดี ละล้าละลังอยู่ในที่นั้นอีกพักหนึ่ง ตันบูและพัวเจี้ยงก็ยกทหารตามมาถึง เห็นชีเซ่ง เตงฮอง และทหารเมืองฉสองกุ๋นกลุ้มรุมกันอยู่จึงเข้าไปไต่ถาม ชีเซ่งและเตงฮองจึงเล่าความที่ได้พบเล่าปี่และนางซุนฮูหยินให้ตันบูและพัวเจี้ยงฟังทุกประการ
ตันบูและพัวเจี้ยงได้ยินดังนั้นจึงว่าท่านทั้งสองปล่อยเล่าปี่หลุดรอดไปมีโทษเป็นอันมาก การครั้งนี้เล่าปี่หนีซุนกวนจะกลับไปเมืองเกงจิ๋ว ดังนั้นซุนกวนจึงให้ข้าพเจ้ายกทหารตามมาจับเล่าปี่กลับไป
สี่นายทหารหารือกันแล้วจึงพากันยกทหารติดตามเล่าปี่ไป
เล่าปี่หนีมาอีกไม่ไกลก็ใกล้จะถึงชายทะเล ได้ยินเสียงทหารโห่ร้องไล่ตามมาข้างหลังก็รู้ว่าทหารของซุนกวนไล่ตามมา จึงปรึกษาด้วยนางซุนฮูหยินว่าบัดนี้ทหารของซุนกวนยกมาถึงแล้ว จะทำประการใดดี
นางซุนฮูหยินได้ฟังคำเล่าปี่ดังนั้นจึงว่า ให้ท่านรีบยกไปที่ชายทะเลก่อน การข้างนี้ไว้เป็นธุระของข้าพเจ้า จะว่ากล่าวกับทหารของซุนกวนเอง
เล่าปี่ได้ฟังคำเมียดังนั้นจึงพาทหารสามร้อยตรงไปที่ชายทะเล ให้จูล่งและทหารอีกสองร้อยอยู่กับนางซุนฮูหยิน พอเล่าปี่ยกทหารล่วงหน้าไปแล้ว จูล่งจึงให้ทหารคุ้มกันซ้ายขวารถม้าของนางซุนฮูหยิน และสกัดกั้นทางที่จะติดตามเล่าปี่ไว้ ตัวจูล่งขี่ม้าถือทวนยืนอารักขาอยู่ข้างรถม้าของนางซุนฮูหยิน
พอชีเซ่ง เตงฮอง ตันบู และพัวเจี้ยง ยกมาถึง เห็นนางซุนฮูหยินเยี่ยมหน้าออกมาจากหน้าต่างรถม้าบึ้งตึงอยู่ ความเกรงกลัวที่มีต่อตระกูลซุนทำให้สี่นายทหารต้องชะงักลง ตันบูและพัวเจี้ยงที่เคยขึ้นเสียงเก่งกล้าสามารถกับชีเซ่งและเตงฮองก็สั่งให้ขบวนทหารหยุดอยู่กับที่ แล้วสี่นายทหารจึงลงจากหลังม้า เดินเข้าไปคุกเข่าอยู่ตรงหน้ารถม้าของนางซุนฮูหยินแล้วนิ่งอยู่ มิรู้ที่จะพูดจาประการใด
นางซุนฮูหยินเอามือชี้หน้าตันบูและพัวเจี้ยงแล้วว่า พวกท่านติดตามเรามานี้ด้วยประสงค์สิ่งใด
ตันบูและพัวเจี้ยงได้ฟังน้ำเสียงคนผู้น้องของซุนกวนเต็มไปด้วยความขุ่นมัวแต่ยังทรงไว้ซึ่งอำนาจก็พรั่นใจ หันมาสบตากันแล้วกล่าวอย่างอ่อนน้อมว่า ข้าพเจ้าทั้งสองติดตามมาเพราะซุนกวนมีคำสั่งให้มาเชิญท่านกับเล่าปี่กลับไปเมืองลำชี
ตันบูและพัวเจี้ยงกล่าวความแล้วก็ก้มหน้านิ่งอยู่ ชีเซ่งและเตงฮองเห็นสองนายทหารที่เคยเอ่ยวาจาแข็งกล้านัก พอประจักษ์เฉพาะหน้านางซุนฮูหยินก็อ่อนปวกเปียกประหนึ่งงูเหลือมเผชิญเชือกกล้วยก็พลอยประหวั่นตาม จึงต่างคนต่างนิ่งอยู่กับที่
นางซุนฮูหยินเห็นดังนั้นจึงทำเป็นโกรธ แล้วตวาดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า “เพราะคนเหล่านี้จะให้เราพี่น้องผิดใจกัน มารดาเรากับซุนกวนก็แต่งให้เราเป็นภรรยาเล่าปี่ เมื่อเรากับเล่าปี่จะมานั้น มารดาก็อนุญาตให้เราไปอยู่เมืองเกงจิ๋วกับสามีเราแล้ว ใช่เราจะหนีมาตามอำเภอใจก็หาไม่ ถึงซุนกวนพี่เราก็เห็นจะว่ากล่าวตามขนบธรรมเนียม คงจะผ่อนเอาใจเราบ้าง แต่ตัวสองคนนี้แอบรับคำสั่งซุนกวนยกทหารมาจะทำอันตรายเราหรือ”
คำนางซุนฮูหยินครั้งนี้ผิดเพี้ยนไปจากครั้งก่อนที่เคยอ้างว่าซุนกวนรู้เห็นเป็นใจในการเดินทาง แต่กลบเกลื่อนเสียว่าทั้งพระแม่เมืองและเจ้าเมืองได้พร้อมใจกันยกนางให้เป็นภรรยาเล่าปี่ และนางงอก๊กไถ้ได้อนุญาตให้นางตามเล่าปี่ไปเมืองเกงจิ๋วแล้ว มิได้หนีมาโดยอำเภอใจ ถึงซุนกวนเองก็ต้องเห็นพ้อง แม้ไม่เห็นพ้องก็ต้องเกรงตัวนางและก๊กไถ้ แล้วใช้อำนาจของน้องนางเจ้าเมืองกังตั๋งข่มขวัญว่าตันบูและพัวเจี้ยงทำให้พี่น้องต้องแตกกันแล้วคิดจะทำอันตรายต่อตัวนาง
ตันบูและพัวเจี้ยงเพียงแค่เห็นหน้านางซุนฮูหยินก็ทั้งเกรงทั้งกลัว ครั้นได้ฟังคำอันร้อนแรงด้วยโทสะก็พากันตกใจขวัญหนีดีฝ่อ.
จูล่งเห็นเล่าปี่ขี่ม้ากลับไปที่ขบวนของนางซุนฮูหยินและเห็นทหารเมืองกังตั๋งยกมาข้างหน้าเป็นจำนวนมาก จึงพาทหารติดตามเล่าปี่ไป
เล่าปี่ขี่ม้าไปถึงรถม้าของภรรยาแล้ว บีบน้ำตาร้องไห้กล่าวกับนางซุนฮูหยินตามความในหนังสือลับของขงเบ้งว่า “เดิมซุนกวนกับจิวยี่คิดกลอุบายว่าจะยกเจ้าให้เป็นภรรยาข้า หวังจะลวงข้าให้มา ณ เมืองลำชี แล้วจะจับตัวจำไว้ แม้คืนเมืองเกงจิ๋วได้แล้วก็จะฆ่าเราเสีย ใช่จะยกเจ้าให้โดยจริงนั้นหามิได้ เอาชื่อเจ้าเป็นเหยื่อไปล่อมา อนึ่งข้ารู้ว่าเจ้าเป็นหญิงก็จริง แต่มีสติปัญญาความคิดยิ่งกว่าผู้ชายอีก จึงอุตส่าห์มานี้มิได้คิดถึงตัวกลัวความตาย นี่หากว่ามารดากับเกียวก๊กโลมีความเมตตา ข้าจึงรอดจากความตาย แลซุนกวนกับจิวยี่ยังคิดกลอุบายต่าง ๆ อยู่หวังจะทำอันตรายข้า ข้าเห็นจะอยู่ในเมืองลำชีไม่ได้ก็คิดอ่านจะกลับไปเมืองเกงจิ๋ว จึงแกล้งบอกเจ้าว่าเมืองเกงจิ๋วเกิดศึกจะรีบไปเป็นการเร็ว เจ้าก็มีความสัตย์ติดตามข้ามา คุณเจ้าหาที่สุดไม่ ข้าก็ยังมิได้ตอบแทนคุณ บัดนี้ซุนกวนก็ยกทหารตามมาเป็นอันมาก จิวยี่ก็ให้ทหารมาสกัดหน้าอยู่ ทหารทั้งสองฝ่ายนี้อยู่ในอำนาจเจ้า แม้เจ้าไม่ช่วยแก้ไขครั้งนี้ ข้าจะขอตายอยู่ในที่นี้ อันจะได้แทนคุณเจ้าซึ่งสัตย์ซื่อต่อข้านั้นหามิได้แล้ว”
ความอันเล่าปี่กล่าวกับนางซุนฮูหยินดังนี้ เล่าปี่ก็ได้ประจักษ์แก่ตัวเองว่าซึ่งจูล่งแสร้งว่าโจโฉยกกองทัพมาตีเมืองเกงจิ๋วนั้น เป็นเพียงกลอุบายของขงเบ้งที่กระตุ้นเตือนแรงมานะของเล่าปี่ให้คิดหนีกลับคืนเมือง เมื่อเรื่องดำเนินมาถึงเพียงนี้อีกไม่กี่เส้นข้างหน้าก็จะถึงชายทะเล แต่คับขันด้วยข้างหลังทหารของซุนกวนกำลังยกไล่ตามมา ข้างหน้าเล่าทหารของจิวยี่ก็กำลังยกสวนทางมาสกัดไว้ แผนการอุบายของขงเบ้งในจดหมายลับฉบับที่สามซึ่งเล็งความไว้ล่วงหน้าถึงหนึ่งปีถูกต้องเหมาะเจาะกับสถานการณ์ที่เป็นไปราวกับว่าได้แลเห็นเหตุการณ์ข้างหน้าอุบัติขึ้นต่อหน้าต่อตา จึงกำหนดให้เล่าปี่เปิดโปงแผนการร้ายของซุนกวนและจิวยี่ที่ลวงเล่าปี่มาแต่งงานด้วยนางซุนฮู หยินที่เมืองลำชี ซึ่งเล่าปี่แม้รู้กลก็มิได้เกรงกลัวต่อความตาย ด้วยรักใคร่พอใจในความสัตย์ซื่อแลสติปัญญาสมวีรสตรีของนางซุนฮูหยินจึงเสี่ยงตายมาแต่งงาน ระหว่างอยู่เมืองลำชีก็ต้องเผชิญกับกลอุบายนานัปการจึงต้องหนีกลับ แล้วยังถูกไล่ล่าตามมาสังหารอีกเล่า หากจะเปรียบเทียบกับหนังสือลับสองฉบับก่อนหน้าก็ดูละม้ายเป็นทำนองเดียวกัน โดยหนังสือลับฉบับแรกเปิดโปงแผนลับให้ชาวเมืองได้รู้ทั่วกัน อาศัยอำนาจแห่งโลกนิติผูกมัดพระแม่เมืองกังตั๋งให้จำต้องยกลูกสาวสุดรักสุดห่วงแก่เล่าปี่ ครั้นเล่าปี่ถูกกลแห่งโลกียะผูกมัดไว้ที่เมืองลำชี หนังสือลับฉบับที่สองก็ได้อาศัยพลังขัตติยะมานะของเล่าปี่เองบังคับจนเล่าปี่ต้องละความสุขทั้งหลายกลับคืนเกงจิ๋ว มาครั้งนี้ขงเบ้งก็ได้อาศัยน้ำใจภักดีของนางซุนฮูหยินที่พึงมีต่อสามี อิงอำนาจนางน้องเจ้าเมืองกังตั๋งรับมือกับการไล่ล่าสังหารของทหารเมืองกังตั๋ง
นางซุนฮูหยินได้ฟังคำเล่าปี่ที่กล่าวคำทั้งน้ำตาก็สงสาร ตรองการณ์ที่เป็นไปก็เห็นจริง รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่พี่ชายผู้เป็นเจ้าเมืองคิดอ่านการลามกใช้นางเป็นเหยื่อตกปลา ยิ่งน้อยใจน้ำใจก็เหไปทางโกรธซุนกวนที่ไม่คิดถึงความเป็นพี่น้องที่เติบโตด้วยแม่นมเดียวกันมา และยังคิดฆ่าสามีนางอีกเล่า
นางซุนฮูหยินคิดดังนั้นแล้วจึงตัดสินใจว่าเมื่อซุนกวนพี่เราใจดำทำกับเราได้ถึงเพียงนี้จะมีหน้ากลับไปพบหน้ากระไรได้อีก และบัดนี้เล่าปี่ก็เป็นสามีที่ชอบด้วยธรรมเนียมประเพณี ด้วยความรู้เห็นเป็นใจของผู้ใหญ่แล้ว ไหนจะยอมให้ซุนกวนประหารเสียได้ ดังนั้นจึงจำต้องปกป้องเล่าปี่ให้พ้นจากอันตราย
ตัดสินใจแล้วนางซุนฮูหยินจึงสั่งให้เคลื่อนขบวนออกไปข้างหน้า พอดีชีเซ่ง เตงฮอง ยกทหารมาถึงจึงร้องว่าวันนี้เล่าปี่จะหนีไปข้างไหนพ้น จิวยี่ให้เรามาคอยท่าอยู่ช้านานแล้ว จงลงจากหลังม้า ยอมให้จับตัวเสียแต่โดยดี
นางซุนฮูหยินได้ยินเสียงชีเซ่ง เตงฮอง จึงเปิดมู่ลี่รถม้าออก เยี่ยมหน้าออกไปที่หน้าต่างข้างรถ ตวาดใส่ชีเซ่ง เตงฮอง ว่าพวกเจ้ายกทหารมาขวางหน้าเราไว้ดังนี้จะคิดเป็นกบฏต่อตระกูลซุนหรือ
ชีเซ่งและเตงฮองกำลังคะนองว่าจะได้ตัวเล่าปี่ จึงวางทีท่ายโสโอหัง แต่พอเห็นหน้านางน้องของซุนกวนเยี่ยมหน้าออกมาจากรถม้า ร้องตวาดด้วยโทสะก็ตกใจ ด้วยคาดคิดไม่ถึงว่านางซุนฮูหยินจะมาในขบวนของเล่าปี่ด้วย จึงรีบลนลานลงจากหลังม้า วางอาวุธลงที่พื้น คุกเข่าคำนับนางซุนฮูหยิน แล้วว่าขออภัยที่ข้าพเจ้าทั้งสองไร้มารยาท ด้วยไม่ทราบว่าฮูหยินเดินทางมาในขบวน ข้าพเจ้าทั้งสองรับคำสั่งจากจิวยี่ให้มาจับกุมเล่าปี่ไปประหาร ใช่จะคิดการกบฏต่อตระกูลซุนนั้นหามิได้
นางซุนฮูหยินได้ฟังคำสองนายทหารรายงานมุ่งร้ายต่อเล่าปี่ผู้เป็นสามีต้องกับคำของเล่าปี่ก็ยิ่งโกรธซุนกวนและจิวยี่เป็นอันมาก นางสิ้นที่เกรงใจสองนายทหารผู้ใหญ่เมืองกังตั๋ง จึงร้องด่าจิวยี่ด้วยเสียงอันดังว่า “อ้ายผู้ร้ายมิได้มีกตัญญู ตัวมาอยู่เมืองกังตั๋งนี้กินข้าวแดงแกงร้อนของพี่เรา พี่เราก็ตั้งให้เป็นนายทหาร แล้วเลี้ยงดูมิให้อนาทร ควรหรือไม่รู้จักผิดแลชอบ เล่าปี่เป็นอาพระเจ้าเหี้ยนเต้ มารดาเรากับซุนกวนก็ได้ยกให้เป็นสามีเรา เมื่อเล่าปี่จะพาเรามานั้น มารดาเรากับซุนกวนก็ได้รู้ยอมให้เรามา แลจิวยี่เห็นว่าเราได้ทรัพย์สิ่งของมามากหรือ จึงให้ตัวทั้งสองปลอมเป็นโจรมาคอยตีชิงเรา”
นางซุนฮูหยินเป็นสตรีที่มีสติปัญญา คาดการณ์ว่าชีเซ่งและเตงฮองมาแต่จิวยี่ มิรู้การข้างเมืองลำชีที่นางหนีมาโดยที่ซุนกวนไม่รู้เห็น จึงอ้างอิงกลบเกลื่อนว่าการเดินทางครั้งนี้ทั้งก๊กไถ้และซุนกวนได้รู้เห็นอนุญาตแล้ว การที่จิวยี่ทำการดังนี้จึงเป็นกบฏต่อตระกูลซุน ทรยศต่อข้าวแดงแกงร้อน ทั้งที่ซุนกวนได้ทำนุบำรุงให้เป็นใหญ่ในแดนกังตั๋ง และยังกล่าว หาสองนายทหารใหญ่ว่าถูกใช้ให้มาปล้นทรัพย์
ชีเซ่งและเตงฮองเป็นนายทหารรับราชการอยู่เมืองกังตั๋งมาช้านาน รู้ความสัมพันธ์ภายในตระกูลซุนเป็นอย่างดีว่านางน้องเจ้าเมืองผู้นี้เป็นที่รักห่วงหวงแหนของทั้งซุนกวนและก๊กไถ้ผู้เป็นมารดายิ่งกว่าดวงใจ ซุนกวนเองก็ยำเกรงมารดาไม่กล้าแข็งขืน ได้แลเห็นนางซุนฮูหยินกล่าวความด้วยโทสะผิดไปจากที่เคยเห็นแต่ความอ่อนหวานสะคราญตาก็ตกใจ เกรงกลัวว่าจะตกเป็นจำเลยในข้อหากบฏแล้วแม้จิวยี่ก็มิอาจช่วยเหลือให้รอดชีวิตได้
ชีเซ่งและเตงฮองตระหนักดังนั้นแล้ว จึงหันมาซุบซิบปรึกษาหารือกันและตกลงใจว่าพวกเราเป็นคนนอกหาควรเข้ายุ่งเกี่ยวด้วยความภายในครอบครัวของตระกูลซุนผู้เป็นนายไม่ เพราะพลาดพลั้งประการใดก็อาจต้องโทษถึงตาย สองนายทหารใหญ่จึงก้มหน้าลงกับพื้น แล้วกล่าวว่าข้าพเจ้าทั้งสองนี้ไหนเลยจะกล้าคิดอ่านมาปล้นชิงวิ่งราวทรัพย์ของฮูหยิน ลำพังข้าพเจ้าทั้งสองย่อมมิกล้าบังอาจมาสกัดหน้าขวางทางเป็นเด็ดขาด แต่จำใจมาครั้งนี้ด้วยเกรงอาญาของจิวยี่ต่างหาก ขอแม่นางจงยกโทษให้ข้าพเจ้าทั้งสองสักครั้งหนึ่ง
นางซุนฮูหยินได้ฟังคำชีเซ่งและเตงฮองก็รู้ว่าเกรงกลัวอยู่ในอำนาจ ความอันกล่าวแก้ตัวทั้งนี้เป็นทีเอาตัวรอด และโยนความผิดกลับไปที่จิวยี่ ดังนั้นนางซุนฮูหยินจึงแสร้งทำโกรธมากขึ้นกว่าเก่า แล้วตวาดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า เจ้าทั้งสองเกรงอาญาของจิวยี่มาขวางทางเราไว้ ไม่คิดหรือว่าเราก็มีอำนาจสั่งประหารเจ้าทั้งสองเสียได้
ชีเซ่งและเตงฮองได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ เงยหน้าขึ้นเห็นจูล่งยืนม้าถมึงทึงอยู่ข้างรถของนางซุนฮูหยินเป็นที่น่าเกรงขามยิ่งนัก และยังมีทหารติดตามมาเป็นอันมาก จึงละล่ำละลักกล่าวขึ้นพร้อมกันว่าข้าพเจ้าไม่กล้าล่วงเกินฮูหยิน ว่าแล้วสั่งทหารให้ถอยออกไปอยู่สองข้างทาง
นางซุนฮูหยินเห็นดังนั้นจึงย่ำด่าว่าจิวยี่เป็นอันมาก แล้วเร่งขบวนให้รีบรุดไปข้างหน้า ในขณะที่ชีเซ่ง เตงฮองและผองเหล่าทหารที่ยกมาต่างคุกเข่าอยู่ข้างทาง มองตากันปริบ ๆ
เล่าปี่เห็นดังนั้นจึงเร่งนำขบวนตรงไปได้ห้าสิบเส้นก็เห็นชายทะเลอยู่เบื้องหน้า
ฝ่ายชีเซ่ง เตงฮอง ครั้นเห็นขบวนของเล่าปี่เคลื่อนผ่านพ้นไปแล้ว ก็ลุกไปขึ้นขี่ม้าแล้วปรึกษาหารือกันว่าจะทำประการใดต่อไป
ปรึกษาหารือกันไม่เป็นที่ตกลงว่าจะติดตามเล่าปี่ไปห่าง ๆ หรือว่าจะกลับไปรายงานจิวยี่ดี ละล้าละลังอยู่ในที่นั้นอีกพักหนึ่ง ตันบูและพัวเจี้ยงก็ยกทหารตามมาถึง เห็นชีเซ่ง เตงฮอง และทหารเมืองฉสองกุ๋นกลุ้มรุมกันอยู่จึงเข้าไปไต่ถาม ชีเซ่งและเตงฮองจึงเล่าความที่ได้พบเล่าปี่และนางซุนฮูหยินให้ตันบูและพัวเจี้ยงฟังทุกประการ
ตันบูและพัวเจี้ยงได้ยินดังนั้นจึงว่าท่านทั้งสองปล่อยเล่าปี่หลุดรอดไปมีโทษเป็นอันมาก การครั้งนี้เล่าปี่หนีซุนกวนจะกลับไปเมืองเกงจิ๋ว ดังนั้นซุนกวนจึงให้ข้าพเจ้ายกทหารตามมาจับเล่าปี่กลับไป
สี่นายทหารหารือกันแล้วจึงพากันยกทหารติดตามเล่าปี่ไป
เล่าปี่หนีมาอีกไม่ไกลก็ใกล้จะถึงชายทะเล ได้ยินเสียงทหารโห่ร้องไล่ตามมาข้างหลังก็รู้ว่าทหารของซุนกวนไล่ตามมา จึงปรึกษาด้วยนางซุนฮูหยินว่าบัดนี้ทหารของซุนกวนยกมาถึงแล้ว จะทำประการใดดี
นางซุนฮูหยินได้ฟังคำเล่าปี่ดังนั้นจึงว่า ให้ท่านรีบยกไปที่ชายทะเลก่อน การข้างนี้ไว้เป็นธุระของข้าพเจ้า จะว่ากล่าวกับทหารของซุนกวนเอง
เล่าปี่ได้ฟังคำเมียดังนั้นจึงพาทหารสามร้อยตรงไปที่ชายทะเล ให้จูล่งและทหารอีกสองร้อยอยู่กับนางซุนฮูหยิน พอเล่าปี่ยกทหารล่วงหน้าไปแล้ว จูล่งจึงให้ทหารคุ้มกันซ้ายขวารถม้าของนางซุนฮูหยิน และสกัดกั้นทางที่จะติดตามเล่าปี่ไว้ ตัวจูล่งขี่ม้าถือทวนยืนอารักขาอยู่ข้างรถม้าของนางซุนฮูหยิน
พอชีเซ่ง เตงฮอง ตันบู และพัวเจี้ยง ยกมาถึง เห็นนางซุนฮูหยินเยี่ยมหน้าออกมาจากหน้าต่างรถม้าบึ้งตึงอยู่ ความเกรงกลัวที่มีต่อตระกูลซุนทำให้สี่นายทหารต้องชะงักลง ตันบูและพัวเจี้ยงที่เคยขึ้นเสียงเก่งกล้าสามารถกับชีเซ่งและเตงฮองก็สั่งให้ขบวนทหารหยุดอยู่กับที่ แล้วสี่นายทหารจึงลงจากหลังม้า เดินเข้าไปคุกเข่าอยู่ตรงหน้ารถม้าของนางซุนฮูหยินแล้วนิ่งอยู่ มิรู้ที่จะพูดจาประการใด
นางซุนฮูหยินเอามือชี้หน้าตันบูและพัวเจี้ยงแล้วว่า พวกท่านติดตามเรามานี้ด้วยประสงค์สิ่งใด
ตันบูและพัวเจี้ยงได้ฟังน้ำเสียงคนผู้น้องของซุนกวนเต็มไปด้วยความขุ่นมัวแต่ยังทรงไว้ซึ่งอำนาจก็พรั่นใจ หันมาสบตากันแล้วกล่าวอย่างอ่อนน้อมว่า ข้าพเจ้าทั้งสองติดตามมาเพราะซุนกวนมีคำสั่งให้มาเชิญท่านกับเล่าปี่กลับไปเมืองลำชี
ตันบูและพัวเจี้ยงกล่าวความแล้วก็ก้มหน้านิ่งอยู่ ชีเซ่งและเตงฮองเห็นสองนายทหารที่เคยเอ่ยวาจาแข็งกล้านัก พอประจักษ์เฉพาะหน้านางซุนฮูหยินก็อ่อนปวกเปียกประหนึ่งงูเหลือมเผชิญเชือกกล้วยก็พลอยประหวั่นตาม จึงต่างคนต่างนิ่งอยู่กับที่
นางซุนฮูหยินเห็นดังนั้นจึงทำเป็นโกรธ แล้วตวาดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า “เพราะคนเหล่านี้จะให้เราพี่น้องผิดใจกัน มารดาเรากับซุนกวนก็แต่งให้เราเป็นภรรยาเล่าปี่ เมื่อเรากับเล่าปี่จะมานั้น มารดาก็อนุญาตให้เราไปอยู่เมืองเกงจิ๋วกับสามีเราแล้ว ใช่เราจะหนีมาตามอำเภอใจก็หาไม่ ถึงซุนกวนพี่เราก็เห็นจะว่ากล่าวตามขนบธรรมเนียม คงจะผ่อนเอาใจเราบ้าง แต่ตัวสองคนนี้แอบรับคำสั่งซุนกวนยกทหารมาจะทำอันตรายเราหรือ”
คำนางซุนฮูหยินครั้งนี้ผิดเพี้ยนไปจากครั้งก่อนที่เคยอ้างว่าซุนกวนรู้เห็นเป็นใจในการเดินทาง แต่กลบเกลื่อนเสียว่าทั้งพระแม่เมืองและเจ้าเมืองได้พร้อมใจกันยกนางให้เป็นภรรยาเล่าปี่ และนางงอก๊กไถ้ได้อนุญาตให้นางตามเล่าปี่ไปเมืองเกงจิ๋วแล้ว มิได้หนีมาโดยอำเภอใจ ถึงซุนกวนเองก็ต้องเห็นพ้อง แม้ไม่เห็นพ้องก็ต้องเกรงตัวนางและก๊กไถ้ แล้วใช้อำนาจของน้องนางเจ้าเมืองกังตั๋งข่มขวัญว่าตันบูและพัวเจี้ยงทำให้พี่น้องต้องแตกกันแล้วคิดจะทำอันตรายต่อตัวนาง
ตันบูและพัวเจี้ยงเพียงแค่เห็นหน้านางซุนฮูหยินก็ทั้งเกรงทั้งกลัว ครั้นได้ฟังคำอันร้อนแรงด้วยโทสะก็พากันตกใจขวัญหนีดีฝ่อ.