ตอนที่ 310. อำลาอาลัย

หนังสือลับฉบับที่สองของขงเบ้งปลุกแรงเลือดขัตติยะมานะของเล่าปี่ให้คุโชนขึ้นอีกครั้งหนึ่ง จึงคิดที่จะหนีกลับไปป้องกันรักษาเมืองเกงจิ๋วเพื่อมิให้คำคนครหาได้ว่าหลงเมียจนเสียเมือง เล่าปี่จึงได้ใช้ถ้อยร้อยวาจาคละเคล้ากับน้ำตาว่ากล่าวอ้อนวอนจนนางซุนฮูหยินศรีภรรยาตัดสินใจหลอกแม่หนีพี่ไปกับสามีสุดที่รัก

            คุกแห่งโลกธรรมที่จิวยี่และซุนกวนประดิษฐ์คิดขังเล่าปี่ไว้ที่เมืองลำชีจึงถูกทำลายลงด้วยอุบายของขงเบ้งที่สั่งการไว้ในหนังสือลับฉบับที่สอง แต่การซึ่งจะหนีกลับไปเมืองเกงจิ๋วนั้นใช่ว่าจะเป็นของง่าย ด้วยเมืองลำชีเป็นแดนด้านในแคว้นกังตั๋ง หากจะหนีกลับทางแม่น้ำไปออกทางทะเลก็จะเสียเวลาเนิ่นช้าในการเดินทาง ดีร้ายหนีไม่ทันก็จะถูกซุนกวนจับกลับมาอีกครั้งหนึ่ง แต่ครั้นจะหนีทางบกก็ต้องผ่านทางดินแดนเมืองฉสองกุ๋นไปลงเรือที่ชายทะเลก็จะไปได้โดยรวดเร็ว และข้ามทะเลไปเมืองเกงจิ๋วได้โดยง่าย แต่เมืองฉสองกุ๋นนี้จิวยี่เป็นผู้บัญชาการใหญ่รักษาการมั่นคงตลอดแนวชายทะเลอันยากยิ่งที่จะหนีรอดไปได้ แต่ระหว่างทางบกกับทางน้ำนั้น ทางทะเลไม่มีทางรอด เหลืออยู่ก็แต่ทางบกที่มีโอกาสเสี่ยง แต่ก็ต้องเผชิญกับวิกฤตอันใหญ่หลวง วิบากข้างหน้าของเล่าปี่จึงใหญ่หลวงนัก

            เล่าปี่ได้ฟังคำนางฮูหยินก็ประจักษ์น้ำใจนางว่ายืนอยู่ข้างตัว ถึงขนาดคิดอ่านแผนการที่จะลวงมารดาว่าขอไปเซ่นไหว้ดวงวิญญาณบิดามารดาของเล่าปี่ที่ชายทะเล แล้วจะพากันหนีกลับไปเมืองเกงจิ๋วก็มีความยินดียิ่งนัก เล่าปี่จึงกุมเอามือเมียรักแนบไว้กับแก้ม แล้วว่า “ไม่เสียทีที่ข้ารักใคร่มีอาลัยต่อเจ้า แม้เจ้าแก้ไขครั้งนี้ถึงจะตายข้าก็ไม่ลืมคุณเจ้า”

            ว่าแล้วเล่าปี่จึงบอกให้นางซุนฮูหยินตระเตรียมตัวจัดแจงข้าวของให้พร้อมที่จะเดินทาง และให้หาจูล่งเข้ามาพบ แล้วว่าในวันตรุษปีนี้เราจะหนีกลับไปเมืองเกงจิ๋วโดยทางบก ตามเส้นทางเมืองฉสองกุ๋นแล้วไปลงเรือที่ชายทะเลข้ามอ่าวไปเมืองเกงจิ๋ว ให้ท่านจัดแจงคุมทหารไปรอเราอยู่ที่ถนนหลวงนอกเมือง อย่าให้ผู้ใดล่วงรู้ แล้วจะได้ยกไปพร้อมกัน

            จูล่งได้ฟังคำเล่าปี่ดังนั้นก็มีความยินดี รู้ว่าแผนการที่ขงเบ้งคิดอุบายสั่งไว้ในหนังสือลับสัมฤทธิ์ผลอีกครั้งหนึ่งแล้ว ในใจก็นึกสรรเสริญสติปัญญาความคิดของขงเบ้งเป็นอันมากที่คิดอ่านคาดหมายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้แม่นยำนานนับปี จูล่งคำนับรับคำเล่าปี่แล้วลากลับออกไปจัดแจงทหาร

            เจี้ยนอันศกปีที่สิบห้า วันแรกของปีใหม่เป็นวันตรุษ ซุนกวนทำพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษตามธรรมเนียมแล้ว ได้แต่งโต๊ะเลี้ยงบรรดาที่ปรึกษาขุนนางแม่ทัพนายกองและข้าราชการทั้งปวงตามประเพณีที่ศาลาว่าราชการเมืองลำชี

            สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าเป็นช่วงเวลาปีที่สิบหกแห่งเจี้ยนอันศก หรือปี พ.ศ. 744 ซึ่งคลาดเคลื่อน เพราะในขณะที่เล่าปี่จากเมืองเกงจิ๋วมาแต่งงานด้วยนางซุนฮูหยินนั้นเป็นปีที่สิบสี่แห่งศักราชเจี้ยนอัน และหลงเหลิงระเริงอยู่ในคุกโลกธรรมของซุนกวนเป็นเวลาหนึ่งปี จนถึงวันขึ้นปีใหม่จึงนับเป็นเจี้ยนอันศกปี่ที่สิบห้า ซึ่งตรงกันทั้งฉบับภาษาจีนและสามก๊กฉบับอื่น ๆ เว้นแต่สามก๊กฉบับสมบูรณ์ระบุว่าเป็นปีที่ยี่สิบห้าแห่งศักราชเจี้ยนอันซึ่งน่าจะเป็นการพิมพ์คลาดเคลื่อนจากระยะเวลาที่แท้จริงคือปีที่สิบห้า

            วันนั้นเวลาเช้านางซุนฮูหยินได้พาเล่าปี่ไปคำนับอวยพรนางงอก๊กไถ้เนื่องในเทศกาลปีใหม่ แล้วนางซุนฮูหยินจึงว่า “เล่าปี่คิดถึงบิดามารดาคณาญาติทั้งปวงอันหาบุญไม่ ซึ่งฝังศพไว้ ณ เมืองตุ้นก้วน จะลาท่านไปเซ่นศพที่ชายทะเลแต่พอเป็นเหตุตามขนบธรรมเนียม ข้าพเจ้าจะลาไปด้วย”

            นางซุนฮูหยินขอลามารดาจะไปเซ่นไหว้วิญญาณบิดามารดาบุพการีของเล่าปี่ที่ชายทะเลเมืองลำชี เพื่อทำพิธีหันหน้าไปทางข้างทิศเหนือซึ่งเป็นทิศที่ฝังศพของบุพการีเล่าปี่ที่เมืองตุ้นก้วน นางงอก๊กไถ้ได้ฟังคำบุตรสาวก็ชื่นชมในความมีกตัญญูกตเวที จึงว่า “ทั้งนี้เป็นประเพณีผู้รู้จักคุณบิดามารดา อนึ่งตัวเจ้าก็ยังหาได้คำนับบิดามารดาผัวไม่ จะไปก็ตามเถิด”

            เล่าปี่และนางซุนฮูหยินได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี คำนับลานางงอก๊กไถ้แล้วกลับออกมา นางซุนฮูหยินนั้นรู้ดีว่ากลับออกไปครั้งนี้แล้วหาใช่ไปเพียงชายทะเลไม่ หากไปแดนไกลถึงเมืองเกงจิ๋ว ซึ่งชั่วชีวิตนางไม่เคยเดินทางไกลห่างอกของมารดาถึงขนาดนี้ น้ำใจจึงอาลัยอาวรณ์ด้วยมารดานัก นางซุนฮูหยินกลั้นน้ำตามิอยู่จึงร้องไห้ซบหน้ากับอกเล่าปี่

            เล่าปี่พาเมียรักกลับมาถึงปราสาทก็จัดแจงข้าวของมีค่าพร้อมสัมภาระติดตัว ให้นางซุนฮูหยินนั่งรถม้า ตัวเล่าปี่ขี่ม้า พาทหารติดตามเพียงไม่กี่คนออกจากเมืองลำชีตรงไปที่ทางหลวงซึ่งได้นัดหมายจูล่งไว้แล้ว

            จูล่งเห็นเล่าปี่และขบวนของฮูหยินยกมาตามนัดก็มีความยินดี ให้ทหารอารักขาหน้าหลังขบวนของเล่าปี่และมุ่งหน้าไปทางแดนเมืองฉสองกุ๋น

            ฝ่ายซุนกวนเลี้ยงบรรดาที่ปรึกษาขุนนางแม่ทัพนายกองและข้าราชการทั้งปวงอยู่ที่ศาลาว่าราชการตั้งแต่เวลาเที่ยงจนถึงเวลาเย็น ร่ำสุราสนทนาพาทีกันอย่างมีความสุขจนเมามายไปด้วยกัน ตัวซุนกวนนั้นเมาสุราจนไม่ได้สติสมประดี จนถึงเวลาค่ำทหารที่สนิทเห็นซุนกวนเมาดังนั้นจึงให้เลิกงานแล้วพยุงซุนกวนกลับเข้าไปที่จวน บรรดาขุนนางทั้งปวงก็พากันกลับไปที่อยู่

            ครั้นเวลาสองยามสายลมปลายฤดูหนาวต้นฤดูใบไม้ผลิแห่งเทศกาลปีใหม่โชยมาเย็นเป็นที่สบาย ทหารลาดตระเวนได้แจ้งรายงานมาที่ยามรักษาการณ์ว่าเวลาวันนี้เล่าปี่และนางซุนฮูหยินได้ยกขบวนออกไปนอกเมือง ถึงเวลาเย็นแล้วยังไม่กลับ

            ทหารรักษาการณ์ทราบความแล้วจะเข้าไปรายงานแก่ซุนกวนแต่เห็นซุนกวนเมาไม่รู้สติสมประดีก็มิรู้ที่จะทำประการใด จนกระทั่งเวลารุ่งเช้าซุนกวนสร่างเมาตื่นขึ้น ทหารรักษาการณ์จึงนำความเข้าไปรายงานว่าเล่าปี่กับนางซุนฮูหยินได้ยกขบวนออกไปนอกเมือง แต่เวลานั้นถึงเวลานี้ยังไม่กลับมา

            ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ คิดว่าเล่าปี่และนางซุนฮูหยินคงจะหนีกลับไปเมืองเกงจิ๋ว จึงเรียกที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองเข้ามาปรึกษาว่าจะคิดอ่านประการใด

            เตียวเจียวฟังคำปรึกษาของซุนกวนแล้วจึงว่า “เล่าปี่มีปัญญาลึกซึ้ง แม้ไปถึงเมืองได้นานไปจะเป็นศัตรูแก่ท่าน ขอให้ท่านเร่งรัดแต่งทหารตามไปจับตัวเล่าปี่คืนมาให้จงได้”

            เตียวเจียวกล่าวสืบไปว่า ระยะทางแต่เมืองลำชีไปเมืองเกงจิ๋วนั้นหากไปทางแม่น้ำแล้วไปออกทะเลก็จะเนิ่นช้าเสียเวลา เห็นเล่าปี่จะเดินทางผ่านเมืองฉสองกุ๋นไปข้ามทะเลซึ่งระยะทางใกล้และเดินทางได้เร็วกว่า ดังนั้นให้ทหารยกไปตามทางบกนั้นเถิด

            บรรดาที่ปรึกษาและทหารทั้งปวงได้ฟังคำเตียวเจียวดังนั้นก็พากันเห็นชอบ ซุนกวนจึงเรียกตันบูและพัวเจี้ยงมาสั่งว่าให้ท่านทั้งสองคุมทหารห้าร้อยรีบยกไปตามจับตัวเล่าปี่กลับคืนมา

            ตันบูและพัวเจี้ยงรับคำสั่งซุนกวนแล้วคำนับลาออกไปจัดแจงทหาร ยกติดตามเล่าปี่ไป

            พอตันบูและพัวเจี้ยงออกไปแล้วซุนกวนยิ่งคิดยิ่งแค้นเล่าปี่ รำลึกว่าได้คิดอุบายเอาน้องสาวเป็นเหยื่อลวงให้เล่าปี่มาแต่งงานแล้วจะจับตัวเพื่อแลกกับเมืองเกงจิ๋ว แต่อุบายนั้นก็ไม่สำเร็จ ครั้นวางอุบายใหม่ใช้คุกแห่งโลกธรรมจำขังเล่าปี่ไว้ อุบายนั้นก็ถูกทำลายจนแหลกรานแล้วเล่าปี่ก็หนีไปอีก ซุนกวนได้คิดว่าเสียทั้งน้องสาวและข้าวของทรัพย์สิ่งศฤงคารเป็นอันมากและยังเสียทีแก่ความคิดจนเล่าปี่หนีไปได้ดังนี้ ความเคียดแค้นก็ประดังขึ้นสุดขีด ซุนกวนคว้าได้แท่งหมึกแล้วขว้างลงกับพื้นจนแหลกละเอียด

            บรรยากาศตึงเครียดผ่านพ้นไปอีกพักใหญ่ เทียเภาขุนพลผู้เฒ่าเห็นซุนกวนแค้นเคืองรุนแรงดังนั้นจึงว่า “ถึงท่านจะโกรธสักเท่าใดก็หาต้องการไม่ ข้าพเจ้าเห็นว่าตันบูกับพัวเจี้ยงซึ่งท่านให้ยกตามไปนั้นจะมิได้ตัวเล่าปี่มา เพราะนางซุนฮูหยินน้องสาวท่านมีสติปัญญา แล้วมารดาท่านก็รักเสมอชีวิต นางก็พร้อมใจไปด้วยเล่าปี่ เห็นทหารทั้งปวงจะเกรงอยู่ ไม่อาจเข้าจับกุมได้”

            ซุนกวนแรงด้วยโทสะจึงทำให้โมหะปิดบังสติปัญญาไปสิ้น ครั้นได้ยินคำเทียเภาขุนพลผู้เฒ่าว่ากล่าวเตือนสติดังนั้นก็ได้คิด ซุนกวนตริความอยู่อีกครู่หนึ่งจึงเอากระบี่อาญาสิทธิ์มาถือไว้ แล้วเรียกเจียวขิมกับจิวท่ายมาตรงหน้า แล้วว่าให้ท่านทั้งสองคุมทหารรีบยกตามตันบูและพัวเจี้ยงไป แม้นพบเล่าปี่และนางซุนฮูหยินแล้วไม่จำเป็นต้องว่ากล่าวพูดจา ให้เอากระบี่อาญาสิทธิ์เล่มนี้ตัดศีรษะเล่าปี่และนางซุนฮูหยินกลับมาให้เราให้จงได้ มาตรแม้นว่าท่านทั้งสองไปพบเล่าปี่และนางซุนฮูหยินแล้วไม่ตัดศีรษะกลับมา เราก็จะตัดศีรษะท่านทั้งสองแทน

            ว่าแล้วซุนกวนก็ส่งกระบี่อาญาสิทธิ์ให้แก่เจียวขิมและจิวท่าย สองนายทหารเอกเมืองกังตั๋งได้ฟังดังนั้นก็น้อมคำนับรับเอากระบี่อาญาสิทธิ์มาจากซุนกวน แล้วออกไปจัดแจงทหารพันหนึ่งรีบยกตามตันบูและพัวเจี้ยงไป

            เล่าปี่และจูล่งพาขบวนเร่งรีบหนีไปทั้งวันทั้งคืนเพื่อไปให้ถึงชายทะเลเมืองฉสองกุ๋นโดยเร็วที่สุด ตลอดทั้งคืนได้หยุดพักม้าเพียงสองครั้ง พอรุ่งเช้าก็ย่างเข้าเขตเมืองฉสองกุ๋นกำลังใจของเล่าปี่และจูล่งก็ดีขึ้นเพราะอีกไม่ไกลก็จะถึงชายทะเล แล้วจะข้ามอ่าวไปเมืองเกงจิ๋วได้โดยง่าย

            ในขณะที่ขบวนของเล่าปี่และจูล่งเคลื่อนอยู่ในแดนเมืองฉสองกุ๋นเห็นชายทะเลอยู่เบื้องหน้านั้น พลันได้ยินเสียงทหารโห่ร้องอื้ออึงดังมาแต่ไกล ๆ ทางเบื้องหลัง เล่าปี่จึงปรึกษาด้วยจูล่งว่าชะรอยซุนกวนจะทราบความแล้วให้ทหารติดตามมา ท่านจะคิดอ่านประการใด

            จูล่งจึงว่าท่านจงรีบพาฮูหยินรีบรุดหน้าไปก่อนเถิด ข้าพเจ้ากับทหารทั้งปวงจะรบป้องกันสกัดไว้ไม่ให้ทหารเมืองกังตั๋งทำอันตรายท่านได้

            เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงพาขบวนนางซุนฮูหยินรีบรุดตรงไปที่ชายทะเล แต่พอขบวนเคลื่อนไปได้ครู่หนึ่งก็เห็นกองทหารยกมาสกัดอยู่ข้างหน้า เป็นชีเซ่ง เตงฮอง สองนายทหารเอกของเมืองกังตั๋ง ซึ่งอยู่รักษาเมืองฉสองกุ๋นกับจิวยี่

            จิวยี่นั้นนับแต่คิดกลอุบายเสนอให้ซุนกวนใช้คุกโลกธรรมจำขังเล่าปี่แล้ว ก็ยังหวั่นใจว่าเล่าปี่อาจหลบหนีไปในสักวันหนึ่ง และคำนวณระยะทางแล้วเห็นว่าหนทางหนีของเล่าปี่จะต้องหนีมาทางบกผ่านแดนเมืองฉสองกุ๋นไปลงเรือที่ชายทะเล จึงให้ชีเซ่งและเตงฮองคุมทหารลาดตระเวนป้องกันไว้ ครั้นพอใกล้วันตรุษจิวยี่ก็กำชับชีเซ่งและเตงฮองให้กวดขันระมัดระวังให้จงหนัก เพราะช่วงเวลานี้นี่แล้วเป็นโอกาสที่เล่าปี่อาจหลบหนี ชีเซ่งและเตงฮองรับคำสั่งของจิวยี่และคำกำชับก็เร่งกวดขันทหารให้ลาดตระเวนทั้งกลางวันและกลางคืน ตัวชีเซ่งและเตงฮองยกทหารขึ้นไปตั้งค่ายพักบนเนินเขาเพื่อให้มองเห็นได้ในระยะไกล ครั้นเห็นขบวนของเล่าปี่เคลื่อนฝุ่นตลบตรงมาจึงยกทหารออกมาสกัดไว้

            เล่าปี่เห็นทหารเมืองกังตั๋งยกมาสกัดอยู่ข้างหน้าก็ตกใจ รีบควบม้ากลับมาหาจูล่งแล้วแจ้งว่าหนทางข้างหน้ามีทหารเมืองกังตั๋งเป็นจำนวนมากยกสวนมาสกัดกั้นขวางทางอยู่ จะคิดอ่านประการใด 

            จูล่งเหลียวหลังมองได้ยินเสียงทหารที่ไล่หลังแม้ยังอยู่ไกลแต่ก็ใกล้เข้ามากว่าเดิม ข้างหน้าเล่าก็มีทหารเมืองกังตั๋งอีกกองหนึ่งสกัดอยู่ มิรู้ที่จะทำประการใด จึงรำลึกถึงคำขงเบ้งที่สั่งว่าแม้นคับขันขัดสนประการใด ก็ให้เปิดหนังสือลับออกอ่านดู

            จูล่งรำลึกดังนี้จึงปลอบใจเล่าปี่ว่าท่านอย่าปรารมภ์เลย แลเมื่อจะจากเมืองเกงจิ๋วมานั้น ขงเบ้งได้มอบหนังสือลับไว้สามฉบับ กำชับว่าขัดสนประการใดก็ให้เปิดอ่านดูแล้วจะกลับเมืองเกงจิ๋วได้โดยสวัสดิภาพ บัดนี้ได้เปิดหนังสือลับของขงเบ้งสองฉบับแล้ว การก็เป็นไปโดยราบรื่น เหลืออยู่แต่ฉบับที่สามจำจะเปิดดูให้รู้ความ

            จูล่งกล่าวแล้วก็เปิดผนึกหนังสือลับฉบับที่สามของขงเบ้งออกอ่านดูก็รู้ความว่าเป็นคำสั่งให้เล่าปี่ปฏิบัติ จึงส่งหนังสือลับนั้นแก่เล่าปี่

            เล่าปี่อ่านความตามหนังสือลับของขงเบ้งแล้ว สีหน้าก็แช่มชื่นยินดี รีบขี่ม้าผละจากจูล่งตรงไปที่รถม้าของนางซุนฮูหยิน ในขณะนั้นชีเซ่งและเตงฮองได้ยกทหารใกล้เข้ามาในระยะเพียงยี่สิบเส้นคับขันนัก.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘