ตอนที่ 309. คุกโลกธรรม
จิวยี่วางแผนจับตัวเล่าปี่แล้วขังคุกเพื่อให้ขงเบ้งเอาเมืองเกงจิ๋วมาแลกไม่สำเร็จ จึงวางแผนใหม่ให้ซุนกวนปรนเปรอเล่าปี่ด้วยลาภ ยศ สุข สรรเสริญให้เต็มที่ เพื่อให้เล่าปี่หลงใหลติดยึดอยู่ในโลกธรรมทั้งสี่นี้ แล้วลืมเลือนเมืองเกงจิ๋วและขงเบ้ง นี่คือแผนการขังเล่าปี่ไว้ในคุกโลกธรรมอันยากที่จะดิ้นให้หลุดพ้นไปได้
ชีวิตเล่าปี่ในแต่ละวันสำเริงสำราญอยู่ในปราสาทอันสวยหรูดูโอ่โถงราวกับพระราชวังของฮ่องเต้ มีหญิงงามกว่าสามสิบคนคอยปรนนิบัติรับใช้อย่างใกล้ชิด จะหลับจะตื่นยืนนอนนั่งก็พรั่งพร้อมด้วยข้าทาสบริวารคอยดูแลมิให้ขาดตกบกพร่อง
สรรพอาหารอันรสหรูเริดในแดนใต้ก็ถูกขนมาปรนเปรอด้วยฝีมืออันล้ำเลิศของพ่อครัวแห่งแดนกังตั๋ง ทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์นั้นเล่าก็ล้วนแพรพรรณอย่างดียิ่งที่สรรหามาแต่เมืองซูโจว ข้าวของเงินทองก็เป็นของหลวงที่ใช้เท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมดสิ้น
เล่าปี่ในยามเช้าตั้งแต่ตื่นนอนก็รื่นเริงบันเทิงใจ ชมสวนมวลดอกไม้อันตระการตาเคียงคู่กับซุนฮูหยินภรรยาสาวที่รูปงามหยดย้อยหยาดเยิ้มยากหานางใดในแผ่นดินเทียบได้ ยามสายก็พักผ่อนหย่อนใจที่ท่าน้ำด้านหลังปราสาท
ยามเที่ยงก็กินข้าวร่วมโต๊ะกับเมียสาว ในบางคราวก็มีพ่อค้าวานิชเข้ามาร่วมโต๊ะแสดงความยินดีพร้อมด้วยของบรรณาการอันล้ำค่า ยามบ่ายก็พักผ่อนหย่อนใจในปราสาทที่ยามร้อนก็เย็นด้วยลมทะเล ยามหนาวก็อุ่นด้วยเตาผิง ยามหน้าฝนก็ช่างงามราวกับนั่งอยู่ในวิมาน ชมความตระการของม่านพระพิรุณ ครั้นยามค่ำก็ร่ำสุราคละเคล้าด้วยเสียงดนตรีและรำฟ้อนด้วยคณะนาฏะที่ผลัดเปลี่ยนเวียนกันมาสร้างความรื่นรมย์ ยามดึกก็เข้าหอดื่มด่ำความสุขด้วยเมียสาวท่ามกลางเสียงดนตรีขับกล่อมหออันอ่อนหวานประณีต
ชีวิตของเล่าปี่ยามนี้เหมือนกับที่เจ้าพระยาศรีสุนทรโวหารได้พรรณนาไว้ในมูลบทบรรพกิจว่า “ค่ำเช้าเฝ้าสีซอ เข้าแต่หอล่อกามา” ฉะนั้น
คุกแห่งโลกธรรมทั้งสี่ได้ขังเล่าปี่ไว้อย่างแน่นหนาจนลืมเลือนความเมืองไปทั้งสิ้น แม้จูล่งและทหารห้าร้อยที่ติดตามมาก็เหินห่างมิได้พบปะสนทนาหารือเหมือนดังแต่ก่อน ยิ่งย่อมไม่ต้องพูดถึงเมืองเกงจิ๋ว ขงเบ้ง กวนอู เตียวหุย ซึ่งอยู่ ณ ที่ไกล
อา! นี่แหละหนาอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของโลกธรรมที่ติดยึดสัมผัสผู้ใดแล้วยากที่จะรักษาใจไว้มิให้ผันแปร แลเพราะเหตุนี้เมื่อครั้งที่กองทัพปลดแอกประชาชนจีนได้รับชัยชนะต่อกองทัพของพรรคก๊กมินตั๋งเมื่อกลางศตวรรษที่สิบเก้า เหมาเจ๋อตงผู้นำพรรคจึงได้กล่าวเตือนเพื่อนมิตรสหายร่วมรบว่าสหายจำนวนมากสามารถต่อสู้กับกระสุนเหล็กได้โดยไม่หวั่นไหว แต่จากนี้ไปจะต้องเผชิญกับกระสุนน้ำตาลอันยากจะต้านทานได้ จึงให้ระมัดระวังให้จงหนัก
อันโลกธรรมทั้งแปดคือ ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ ความเสื่อมลาภ ความเสื่อมยศ ความทุกข์และนินทา เป็นธรรมประจำโลกสงเคราะห์เป็นสี่คู่ ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ เป็นโลกธรรมอันเป็นที่ปรารถนาแห่งใจคน แต่สมปรารถนาแล้วก็ใช่ว่าจะดำรงจีรังยั่งยืน ย่อมมีความเสื่อมไป มีความพลัดพรากสูญสิ้นไป กลายเป็นความเสื่อมลาภ ความเสื่อมยศ ความทุกข์และนินทา และเมื่อความเสื่อม ความพลัดพรากมาถึง ความสุขสมปรารถนาก็จะสูญสลายกลายเป็นความทุกข์ตรมหมองไหม้ ถึงกระนั้นชีวิตปุถุชนทั้งหลายก็ยังฝักใฝ่ใคร่ได้ใคร่มีใคร่สัมผัสกับโลกธรรมสี่คือ ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ โดยไม่ยอมคำนึงถึงความทุกข์ทรมานในบั้นปลาย
ด้วยเหตุนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงตรัสถึงการศึกษาปฏิบัติทางจิตให้ผ่องแผ้วเกษม จนอำนาจแห่งโลกธรรมไม่อาจสัมผัสได้ และทรงสรรเสริญว่า “จิตของผู้ใดถูกโลกธรรมกระทบแล้ว ไม่หวั่นไหว ไม่เศร้าโศก ปราศจากกิเลสแม้เพียงธุลี ถึงซึ่งความเกษมนี้เป็นอุดมมงคล คือเหตุให้ถึงความเจริญ เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย เมื่อปฏิบัติตามมงคลเครื่องให้ถึงความเจริญเช่นนี้แล้ว ย่อมเป็นผู้ไม่แพ้ในที่ทั้งปวง ย่อมถึงความสวัสดีในที่ทั้งปวง”
เล่าปี่ถูกจำขังด้วยคุกแห่งโลกธรรมจนหลงระเริงไปดังนี้จึงมิได้คิดที่จะกลับไปเมืองเกงจิ๋ว จูล่งในแต่ละวันจึงไม่มีการงานสิ่งใดทำ การพบปะสนทนาปรึกษาหารือด้วยเล่าปี่ดังแต่ก่อนก็ว่างเว้นไป ดังนั้นในขณะที่เล่าปี่ “ค่ำเช้าเฝ้าสีซอ เข้าแต่หอล่อกามา” เหลิงระเริงอยู่ในความสุข จูล่งและทหารห้าร้อยนายจึงเหมือนกับถูกทอดทิ้ง กลายเป็นข้าไร้จ้าว บ่าวไร้นาย และซึมเศร้าเหงาหงอยตาม ๆ กัน
แต่จูล่งนั้นมีวิสัยเป็นนักรบ ดังนั้นเมื่อว่างเว้นจากการพบปะสนทนากับเล่าปี่จึงพา ทหารทั้งห้าร้อยออกไปฝึกขี่ม้าให้สันทัดจัดเจนการรบบนหลังม้า แล้วฝึกยิงเกาทัณฑ์ทุกวี่วันมิได้ขาด
นายถูกคุกแห่งความสุขกักขังจนลืมโลก ปล่อยให้บ่าวทั้งหลายขี่ม้ายิงเกาทัณฑ์ จนวันเวลาล่วงเลยไปถึงใกล้ปีใหม่จูล่งก็มีความวิตกว่าเล่าปี่มาอยู่เมืองลำชีนี้เกือบปีแล้ว ไม่มีทีท่าว่าจะคิดกลับเมืองเกงจิ๋ว จึงครุ่นคิดกังวลอยู่หลายวัน
ก่อนถึงวันปีใหม่สามวันจูล่งจึงรำลึกขึ้นได้ว่าก่อนจากเมืองเกงจิ๋วมานั้นขงเบ้งได้กระซิบสั่งว่าถ้าแม้นใกล้วันปีใหม่แล้วเล่าปี่ยังไม่คิดกลับไปเมืองก็ให้เปิดหนังสือลับออกอ่านดู จูล่งรำลึกถึงขงเบ้งดังนี้ สีหน้าก็ค่อยยิ้มแย้มแจ่มใส อุปมาดั่งผู้มีใจเป็นทุกข์ ครั้นได้รำลึกถึงคุณพระปฏิมา อารมณ์ก็สดชื่นเบิกบานฉะนั้น
จูล่งรำลึกดังนี้จึงเข้าไปหยิบหนังสือลับของขงเบ้งฉบับที่สองแล้วเปิดออกอ่านดู มีเนื้อความว่า “แม้เล่าปี่หลงด้วยกลซุนกวน แลมีอาลัยด้วยนางซุนฮูหยินไม่คิดอ่านจะกลับเมือง ก็ให้จูล่งลวงเล่าปี่ว่าโจโฉยกทัพมาตีเมืองเกงจิ๋ว ขงเบ้งให้กวนอู เตียวหุย ออกรบต้านทานเป็นสามารถ กองทัพโจโฉยังหากลับไปไม่ ถ้าเห็นว่าเล่าปี่ยังมีอาลัยด้วยภรรยาอยู่ ก็ให้เล่าปี่บอกเนื้อความซึ่งจิวยี่กับซุนกวนทำกลอุบายให้นางซุนฮูหยินฟัง ถ้านางซุนฮูหยินเป็นคนมีน้ำใจสัตย์ซื่อก็จะมาด้วยเล่าปี่เป็นมั่นคง”
จูล่งทราบความตามหนังสือลับของขงเบ้งแล้วก็มีความยินดี กำหนดวิธีการที่จะพูดจากับเล่าปี่แล้วจึงแต่งตัวด้วยชุดเกราะพร้อมจะออกศึก ทำทีลุกลี้ลุกลนไปที่ปราสาทของเล่าปี่ และขอพบเล่าปี่เป็นการฉุกเฉิน
หญิงรับใช้ภายในปราสาททราบความประสงค์ของจูล่งแล้วจึงนำความไปแจ้งแก่เล่าปี่ว่าบัดนี้จูล่งมีเหตุฉุกเฉินจะมาขอเข้าพบ เล่าปี่ให้รู้สึกประหลาดใจ รีบให้หญิงรับใช้ออกไปเชิญจูล่งเข้ามาในทันที เห็นจูล่งมีสีหน้าท่าทีแตกตื่นตกใจจึงรีบถามว่า มีเหตุร้ายประการใดท่านจึงตกใจดังนี้
จูล่งปั้นสีหน้าขึงขังแจ้งแก่เล่าปี่ว่าเมื่อเช้าวันนี้ขงเบ้งให้คนมาส่งข่าวว่าโจโฉยกกองทัพห้าสิบหมื่นลงใต้อีกคราเพื่อแก้แค้นเล่าปี่และซุนกวนหลังจากเสียทีปราชัยในศึกเซ็กเพ็ก ขณะนี้กองทัพของโจโฉยกล่วงมาถึงชายแดนแคว้นเกงจิ๋วแล้ว ขงเบ้งให้กวนอู เตียวหุย ยกทหารออกไปสกัดแต่ต้องถอยร่น สถานการณ์คับขันยิ่งนัก จึงขอเชิญท่านกลับไปเมืองเกงจิ๋ว ร่วมคิดอ่านกับขงเบ้งรับมือกับโจโฉต่อไป
เล่าปี่กำลังเพลิดเพลินอยู่ในโลกียสุขในคุกแห่งโลกธรรม ทราบความดังนั้นก็ใจหาย ไม่อาจตัดสินใจประการใดได้ จึงกล่าวกับจูล่งว่าเมื่อเป็นเช่นนี้เราต้องปรึกษาหารือกับนางซุนฮูหยินดูสักครั้งหนึ่งก่อน
จูล่งจึงว่าหากแม้นท่านปรึกษาด้วยนางซุนฮูหยิน ข้าพเจ้าเกรงว่านางจะไม่ยินยอมให้ท่านจากนางกลับไปเมืองเกงจิ๋ว ดังนั้นขออย่าเพ่อปรึกษาด้วยนางซุนฮูหยินเลย ในค่ำคืนวันนี้เป็นโอกาสดี ขอเชิญท่านหนีกลับไปเมืองเกงจิ๋วจะดีกว่า หากชักช้าไปก็จะเสียการ
เล่าปี่ได้ยินคำจูล่งคาดคั้นดังนั้นก็ส่ายศีรษะ ในขณะที่ใบหน้าก็เศร้าหมอง เต็มไปด้วยความหวาดวิตก หลังจากอึ้งอยู่ครู่หนึ่งเล่าปี่จึงว่าวันนี้ท่านจงกลับไปก่อนเถิด เราจะคิดใคร่ครวญดู ผลเป็นประการใดจะบอกให้ท่านทราบ
จูล่งได้คาดคั้นเล่าปี่กระนั้นแล้ว เล่าปี่ยังไม่มีทีท่าว่าจะตัดสินใจกลับไปเมืองเกงจิ๋ว ก็เห็นว่าไม่สมควรคาดคั้นมากไปกว่านี้ ปล่อยให้เล่าปี่ใคร่ครวญเองสักราตรีหนึ่งจะดีกว่า เพราะเชื่อมั่นว่าด้วยวิสัยผู้นำคนและเลือดขัตติยะแห่งพระเจ้าเล่าปังอันมีประจำตัวเล่าปี่จะทำให้เล่าปี่สำนึกได้ด้วยตนเอง ดังนั้นจูล่งจึงคำนับลาเล่าปี่กลับออกไปที่อยู่
พอจูล่งกลับไปแล้วเล่าปี่จึงเข้าไปหานางซุนฮูหยิน นั่งลงเคียงข้างนางผู้เป็นสุดที่รัก คั้นน้ำตาร้องไห้แต่มิได้พูดจาประการใด ด้วยหวังใจว่าผู้เป็นภรรยาเห็นอาการดังนี้แล้วย่อมสนใจไต่ถาม
การณ์เป็นไปดังคาดหวัง นางซุนฮูหยินเห็นอาการเล่าปี่ดังนั้นจึงถามว่า ท่านมีเรื่องโศกเศร้าประการใดจึงร้องไห้ฉะนี้
เล่าปี่จึงว่าตัวเรานี้จากบ้านเดิมมาช้านานแล้ว ชั่วชีวิตก็อยู่แต่บนหลังม้า ไม่เคยมีเวลาได้ปรนนิบัติบิดามารดา มาบัดนี้ใกล้วันปีใหม่จึงรำลึกถึงบิดามารดาผู้มีคุณว่ายามมีชีวิตก็มิได้ทดแทนพระคุณ ท่านหาบุญไม่แล้วก็มิได้กลับไปกราบไหว้บูชาเซ่นไหว้ตามประเพณี เมื่อถึงวันปีใหม่ใครใดในแผ่นดินย่อมทำพิธีบูชาเซ่นไหว้บุพการีผู้วายชนม์ให้ได้ดื่มกิน แต่บิดามารดาเราเล่าไม่มีใครเซ่นไหว้ จะอดอยากยากแค้นในปรภพ รำลึกถึงนี้เราจึงร้องไห้
นางซุนฮูหยินได้ฟังเล่าปี่ดังนั้นจึงเอามือทั้งสองกุมมือเล่าปี่ไว้ แล้วว่าไฉนท่านจึงมาลวงข้าพเจ้าเล่า เมื่อสักครู่นี้ท่านได้สนทนากับจูล่ง เนื้อความประการใดข้าพเจ้าลอบฟังอยู่ก็แจ้งแก่ใจสิ้นแล้ว ท่านเห็นเมืองเกงจิ๋วตกอยู่ในความคับขัน ใจจึงประหวั่นใคร่กลับไปรักษาเมืองก็ชอบที่จะแจ้งแก่ข้าพเจ้าตามตรง ไยจะต้องลวงข้าพเจ้าว่ารำลึกถึงคุณบิดามารดาเล่า
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ทำทีเป็นตกใจ ลงมาคุกเข่าที่พื้นตรงหน้าตักภรรยารัก ร้องไห้แล้วว่าเมื่อเจ้าทราบความดังนี้แล้วเราก็ต้องสารภาพความจริงว่าเป็นดังที่เจ้าได้ยินนั้น
แล้วเล่าปี่จึงว่าเราทราบข่าวเรื่องนี้ก็ใจหาย โศกเศร้าด้วยต้องพลัดพรากจากนาง เพราะหากแม้นเราไม่กลับไปป้องกันรักษาเมือง หากเมืองเกงจิ๋วเสียแก่โจโฉแล้วคนทั้งปวงก็จะหัวเราะเย้ยหยันว่าตัวเรานี้ดีแต่ลุ่มหลงในภรรยาจนเสียบ้านเมืองแลราษฎร ครั้นจะไปเล่าก็อาลัยอาวรณ์ด้วยความรักในตัวเจ้านี้เปี่ยมล้นในหัวอกเราไม่อาจตัดใจไปได้ ความในใจมีอยู่ดังนี้จึงมิรู้ที่จะตัดสินใจประการใด
นางซุนฮูหยินแม้เป็นสตรีก็มีเลือดขัตติยะ ตระหนักถึงการแผ่นดินสำคัญยิ่งกว่าความสุขของผัวเมีย ครั้นได้ฟังคำเล่าปี่รับสารภาพตามความจริงและยิ่งประจักษ์น้ำใจรักที่มีต่อนางดุจแผ่นฟ้าพระมหาสมุทรก็รู้สึกปลาบปลื้มใจ จึงว่าตัวข้าพเจ้านี้เป็นภรรยาท่านเป็นสิทธิอยู่แก่ท่าน ท่านจะไปแห่งหนตำบลใด ข้าพเจ้าย่อมต้องติดตามท่านไป อย่าได้แคลงใจเลย
เล่าปี่ได้ฟังคำเมียรักดังนั้นก็ค่อยคลายใจ จึงว่าน้ำใจเจ้าภักดีต่อสามีประการใดเรากระจ่างใจเป็นอย่างดี แต่วิตกว่าพระแม่เมืองกังตั๋งมารดาเจ้าและซุนกวนย่อมไม่ยินยอมให้เจ้าตามเราไป กระนั้นเลยเราจะจากไปแต่เพียงชั่วคราว เสร็จศึกแล้วจะคืนกลับมาหาเจ้าดังเดิม
เล่าปี่เกรงว่านางซุนฮูหยินจะไม่ยินยอมพร้อมใจไปด้วยตัว จึงแสร้งว่าจะขออำลาไปแต่เพียงชั่วคราว แต่ความจริงที่ซ่อนเร้นในจิตใจก็คือต้องการพานางซุนฮูหยินกลับไปเมืองเกงจิ๋ว จึงหวังว่ากล่าวความดังนี้แล้วจะเร่งเร้าให้นางซุนฮูหยินตัดสินใจหนีไปกับตัวโดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังอีกต่อไป ครั้นกล่าวความแล้วเล่าปี่ก็ทำทีเป็นร้องไห้หนักขึ้น
นางซุนฮูหยินเห็นอาการเล่าปี่ดังนั้นก็สงสาร จึงว่าท่านอย่าได้กลัดกลุ้มให้วุ่นวายไป ข้าพเจ้าจะไปอ้อนวอนต่อก๊กไถ้ เชื่อว่าพระแม่เมืองกังตั๋งจะยินยอมให้ข้าพเจ้าไปกับท่านเป็นมั่นคง
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ขยั้นต่อไปว่าน้ำใจพระแม่เมืองกังตั๋งนี้ตัวเราประจักษ์ดีว่ามีความการุณย์ต่อเราทั้งสองยิ่งกว่าใครใดในแผ่นดิน หากเจ้าอ้อนวอนว่ากล่าวก๊กไถ้คงให้ความเมตตาอนุโลมตามความประสงค์ แต่ยังวิตกว่าซุนกวนคงจะไม่ยินยอมให้พวกเรากลับไปเมืองเกงจิ๋ว
นางซุนฮูหยินได้ฟังดังนั้นจึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตรองความที่เล่าปี่ได้ปรารภก็เห็นจริง นางจึงอึ้งไปพักหนึ่งแล้วว่า “ข้าพเจ้าจะไปลามารดาว่าถึงปีใหม่วันตรุษท่านจะไปเซ่นบิดามารดา ณ ชายทะเล ข้าพเจ้าจะลาไปด้วย แม้มารดาอนุญาตแล้วเราจึงพากันหนีไปอย่าให้ซุนกวนทันรู้”
เล่าปี่ได้ใช้อานุภาพแห่งน้ำตาว่ากล่าวจนเมียรักใจอ่อน แล้วตัดสินใจหลอกแม่หนีพี่กลับไปเมืองเกงจิ๋วกับเล่าปี่ผู้เป็นสามี สมดังคำโบราณที่ว่า “รักพ่อรักแม่ไม่เคยแก้ผ้า รักภัสดาแก้ผ้าแก้ผ่อน” นั่นแล.
ชีวิตเล่าปี่ในแต่ละวันสำเริงสำราญอยู่ในปราสาทอันสวยหรูดูโอ่โถงราวกับพระราชวังของฮ่องเต้ มีหญิงงามกว่าสามสิบคนคอยปรนนิบัติรับใช้อย่างใกล้ชิด จะหลับจะตื่นยืนนอนนั่งก็พรั่งพร้อมด้วยข้าทาสบริวารคอยดูแลมิให้ขาดตกบกพร่อง
สรรพอาหารอันรสหรูเริดในแดนใต้ก็ถูกขนมาปรนเปรอด้วยฝีมืออันล้ำเลิศของพ่อครัวแห่งแดนกังตั๋ง ทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์นั้นเล่าก็ล้วนแพรพรรณอย่างดียิ่งที่สรรหามาแต่เมืองซูโจว ข้าวของเงินทองก็เป็นของหลวงที่ใช้เท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมดสิ้น
เล่าปี่ในยามเช้าตั้งแต่ตื่นนอนก็รื่นเริงบันเทิงใจ ชมสวนมวลดอกไม้อันตระการตาเคียงคู่กับซุนฮูหยินภรรยาสาวที่รูปงามหยดย้อยหยาดเยิ้มยากหานางใดในแผ่นดินเทียบได้ ยามสายก็พักผ่อนหย่อนใจที่ท่าน้ำด้านหลังปราสาท
ยามเที่ยงก็กินข้าวร่วมโต๊ะกับเมียสาว ในบางคราวก็มีพ่อค้าวานิชเข้ามาร่วมโต๊ะแสดงความยินดีพร้อมด้วยของบรรณาการอันล้ำค่า ยามบ่ายก็พักผ่อนหย่อนใจในปราสาทที่ยามร้อนก็เย็นด้วยลมทะเล ยามหนาวก็อุ่นด้วยเตาผิง ยามหน้าฝนก็ช่างงามราวกับนั่งอยู่ในวิมาน ชมความตระการของม่านพระพิรุณ ครั้นยามค่ำก็ร่ำสุราคละเคล้าด้วยเสียงดนตรีและรำฟ้อนด้วยคณะนาฏะที่ผลัดเปลี่ยนเวียนกันมาสร้างความรื่นรมย์ ยามดึกก็เข้าหอดื่มด่ำความสุขด้วยเมียสาวท่ามกลางเสียงดนตรีขับกล่อมหออันอ่อนหวานประณีต
ชีวิตของเล่าปี่ยามนี้เหมือนกับที่เจ้าพระยาศรีสุนทรโวหารได้พรรณนาไว้ในมูลบทบรรพกิจว่า “ค่ำเช้าเฝ้าสีซอ เข้าแต่หอล่อกามา” ฉะนั้น
คุกแห่งโลกธรรมทั้งสี่ได้ขังเล่าปี่ไว้อย่างแน่นหนาจนลืมเลือนความเมืองไปทั้งสิ้น แม้จูล่งและทหารห้าร้อยที่ติดตามมาก็เหินห่างมิได้พบปะสนทนาหารือเหมือนดังแต่ก่อน ยิ่งย่อมไม่ต้องพูดถึงเมืองเกงจิ๋ว ขงเบ้ง กวนอู เตียวหุย ซึ่งอยู่ ณ ที่ไกล
อา! นี่แหละหนาอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของโลกธรรมที่ติดยึดสัมผัสผู้ใดแล้วยากที่จะรักษาใจไว้มิให้ผันแปร แลเพราะเหตุนี้เมื่อครั้งที่กองทัพปลดแอกประชาชนจีนได้รับชัยชนะต่อกองทัพของพรรคก๊กมินตั๋งเมื่อกลางศตวรรษที่สิบเก้า เหมาเจ๋อตงผู้นำพรรคจึงได้กล่าวเตือนเพื่อนมิตรสหายร่วมรบว่าสหายจำนวนมากสามารถต่อสู้กับกระสุนเหล็กได้โดยไม่หวั่นไหว แต่จากนี้ไปจะต้องเผชิญกับกระสุนน้ำตาลอันยากจะต้านทานได้ จึงให้ระมัดระวังให้จงหนัก
อันโลกธรรมทั้งแปดคือ ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ ความเสื่อมลาภ ความเสื่อมยศ ความทุกข์และนินทา เป็นธรรมประจำโลกสงเคราะห์เป็นสี่คู่ ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ เป็นโลกธรรมอันเป็นที่ปรารถนาแห่งใจคน แต่สมปรารถนาแล้วก็ใช่ว่าจะดำรงจีรังยั่งยืน ย่อมมีความเสื่อมไป มีความพลัดพรากสูญสิ้นไป กลายเป็นความเสื่อมลาภ ความเสื่อมยศ ความทุกข์และนินทา และเมื่อความเสื่อม ความพลัดพรากมาถึง ความสุขสมปรารถนาก็จะสูญสลายกลายเป็นความทุกข์ตรมหมองไหม้ ถึงกระนั้นชีวิตปุถุชนทั้งหลายก็ยังฝักใฝ่ใคร่ได้ใคร่มีใคร่สัมผัสกับโลกธรรมสี่คือ ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ โดยไม่ยอมคำนึงถึงความทุกข์ทรมานในบั้นปลาย
ด้วยเหตุนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงตรัสถึงการศึกษาปฏิบัติทางจิตให้ผ่องแผ้วเกษม จนอำนาจแห่งโลกธรรมไม่อาจสัมผัสได้ และทรงสรรเสริญว่า “จิตของผู้ใดถูกโลกธรรมกระทบแล้ว ไม่หวั่นไหว ไม่เศร้าโศก ปราศจากกิเลสแม้เพียงธุลี ถึงซึ่งความเกษมนี้เป็นอุดมมงคล คือเหตุให้ถึงความเจริญ เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย เมื่อปฏิบัติตามมงคลเครื่องให้ถึงความเจริญเช่นนี้แล้ว ย่อมเป็นผู้ไม่แพ้ในที่ทั้งปวง ย่อมถึงความสวัสดีในที่ทั้งปวง”
เล่าปี่ถูกจำขังด้วยคุกแห่งโลกธรรมจนหลงระเริงไปดังนี้จึงมิได้คิดที่จะกลับไปเมืองเกงจิ๋ว จูล่งในแต่ละวันจึงไม่มีการงานสิ่งใดทำ การพบปะสนทนาปรึกษาหารือด้วยเล่าปี่ดังแต่ก่อนก็ว่างเว้นไป ดังนั้นในขณะที่เล่าปี่ “ค่ำเช้าเฝ้าสีซอ เข้าแต่หอล่อกามา” เหลิงระเริงอยู่ในความสุข จูล่งและทหารห้าร้อยนายจึงเหมือนกับถูกทอดทิ้ง กลายเป็นข้าไร้จ้าว บ่าวไร้นาย และซึมเศร้าเหงาหงอยตาม ๆ กัน
แต่จูล่งนั้นมีวิสัยเป็นนักรบ ดังนั้นเมื่อว่างเว้นจากการพบปะสนทนากับเล่าปี่จึงพา ทหารทั้งห้าร้อยออกไปฝึกขี่ม้าให้สันทัดจัดเจนการรบบนหลังม้า แล้วฝึกยิงเกาทัณฑ์ทุกวี่วันมิได้ขาด
นายถูกคุกแห่งความสุขกักขังจนลืมโลก ปล่อยให้บ่าวทั้งหลายขี่ม้ายิงเกาทัณฑ์ จนวันเวลาล่วงเลยไปถึงใกล้ปีใหม่จูล่งก็มีความวิตกว่าเล่าปี่มาอยู่เมืองลำชีนี้เกือบปีแล้ว ไม่มีทีท่าว่าจะคิดกลับเมืองเกงจิ๋ว จึงครุ่นคิดกังวลอยู่หลายวัน
ก่อนถึงวันปีใหม่สามวันจูล่งจึงรำลึกขึ้นได้ว่าก่อนจากเมืองเกงจิ๋วมานั้นขงเบ้งได้กระซิบสั่งว่าถ้าแม้นใกล้วันปีใหม่แล้วเล่าปี่ยังไม่คิดกลับไปเมืองก็ให้เปิดหนังสือลับออกอ่านดู จูล่งรำลึกถึงขงเบ้งดังนี้ สีหน้าก็ค่อยยิ้มแย้มแจ่มใส อุปมาดั่งผู้มีใจเป็นทุกข์ ครั้นได้รำลึกถึงคุณพระปฏิมา อารมณ์ก็สดชื่นเบิกบานฉะนั้น
จูล่งรำลึกดังนี้จึงเข้าไปหยิบหนังสือลับของขงเบ้งฉบับที่สองแล้วเปิดออกอ่านดู มีเนื้อความว่า “แม้เล่าปี่หลงด้วยกลซุนกวน แลมีอาลัยด้วยนางซุนฮูหยินไม่คิดอ่านจะกลับเมือง ก็ให้จูล่งลวงเล่าปี่ว่าโจโฉยกทัพมาตีเมืองเกงจิ๋ว ขงเบ้งให้กวนอู เตียวหุย ออกรบต้านทานเป็นสามารถ กองทัพโจโฉยังหากลับไปไม่ ถ้าเห็นว่าเล่าปี่ยังมีอาลัยด้วยภรรยาอยู่ ก็ให้เล่าปี่บอกเนื้อความซึ่งจิวยี่กับซุนกวนทำกลอุบายให้นางซุนฮูหยินฟัง ถ้านางซุนฮูหยินเป็นคนมีน้ำใจสัตย์ซื่อก็จะมาด้วยเล่าปี่เป็นมั่นคง”
จูล่งทราบความตามหนังสือลับของขงเบ้งแล้วก็มีความยินดี กำหนดวิธีการที่จะพูดจากับเล่าปี่แล้วจึงแต่งตัวด้วยชุดเกราะพร้อมจะออกศึก ทำทีลุกลี้ลุกลนไปที่ปราสาทของเล่าปี่ และขอพบเล่าปี่เป็นการฉุกเฉิน
หญิงรับใช้ภายในปราสาททราบความประสงค์ของจูล่งแล้วจึงนำความไปแจ้งแก่เล่าปี่ว่าบัดนี้จูล่งมีเหตุฉุกเฉินจะมาขอเข้าพบ เล่าปี่ให้รู้สึกประหลาดใจ รีบให้หญิงรับใช้ออกไปเชิญจูล่งเข้ามาในทันที เห็นจูล่งมีสีหน้าท่าทีแตกตื่นตกใจจึงรีบถามว่า มีเหตุร้ายประการใดท่านจึงตกใจดังนี้
จูล่งปั้นสีหน้าขึงขังแจ้งแก่เล่าปี่ว่าเมื่อเช้าวันนี้ขงเบ้งให้คนมาส่งข่าวว่าโจโฉยกกองทัพห้าสิบหมื่นลงใต้อีกคราเพื่อแก้แค้นเล่าปี่และซุนกวนหลังจากเสียทีปราชัยในศึกเซ็กเพ็ก ขณะนี้กองทัพของโจโฉยกล่วงมาถึงชายแดนแคว้นเกงจิ๋วแล้ว ขงเบ้งให้กวนอู เตียวหุย ยกทหารออกไปสกัดแต่ต้องถอยร่น สถานการณ์คับขันยิ่งนัก จึงขอเชิญท่านกลับไปเมืองเกงจิ๋ว ร่วมคิดอ่านกับขงเบ้งรับมือกับโจโฉต่อไป
เล่าปี่กำลังเพลิดเพลินอยู่ในโลกียสุขในคุกแห่งโลกธรรม ทราบความดังนั้นก็ใจหาย ไม่อาจตัดสินใจประการใดได้ จึงกล่าวกับจูล่งว่าเมื่อเป็นเช่นนี้เราต้องปรึกษาหารือกับนางซุนฮูหยินดูสักครั้งหนึ่งก่อน
จูล่งจึงว่าหากแม้นท่านปรึกษาด้วยนางซุนฮูหยิน ข้าพเจ้าเกรงว่านางจะไม่ยินยอมให้ท่านจากนางกลับไปเมืองเกงจิ๋ว ดังนั้นขออย่าเพ่อปรึกษาด้วยนางซุนฮูหยินเลย ในค่ำคืนวันนี้เป็นโอกาสดี ขอเชิญท่านหนีกลับไปเมืองเกงจิ๋วจะดีกว่า หากชักช้าไปก็จะเสียการ
เล่าปี่ได้ยินคำจูล่งคาดคั้นดังนั้นก็ส่ายศีรษะ ในขณะที่ใบหน้าก็เศร้าหมอง เต็มไปด้วยความหวาดวิตก หลังจากอึ้งอยู่ครู่หนึ่งเล่าปี่จึงว่าวันนี้ท่านจงกลับไปก่อนเถิด เราจะคิดใคร่ครวญดู ผลเป็นประการใดจะบอกให้ท่านทราบ
จูล่งได้คาดคั้นเล่าปี่กระนั้นแล้ว เล่าปี่ยังไม่มีทีท่าว่าจะตัดสินใจกลับไปเมืองเกงจิ๋ว ก็เห็นว่าไม่สมควรคาดคั้นมากไปกว่านี้ ปล่อยให้เล่าปี่ใคร่ครวญเองสักราตรีหนึ่งจะดีกว่า เพราะเชื่อมั่นว่าด้วยวิสัยผู้นำคนและเลือดขัตติยะแห่งพระเจ้าเล่าปังอันมีประจำตัวเล่าปี่จะทำให้เล่าปี่สำนึกได้ด้วยตนเอง ดังนั้นจูล่งจึงคำนับลาเล่าปี่กลับออกไปที่อยู่
พอจูล่งกลับไปแล้วเล่าปี่จึงเข้าไปหานางซุนฮูหยิน นั่งลงเคียงข้างนางผู้เป็นสุดที่รัก คั้นน้ำตาร้องไห้แต่มิได้พูดจาประการใด ด้วยหวังใจว่าผู้เป็นภรรยาเห็นอาการดังนี้แล้วย่อมสนใจไต่ถาม
การณ์เป็นไปดังคาดหวัง นางซุนฮูหยินเห็นอาการเล่าปี่ดังนั้นจึงถามว่า ท่านมีเรื่องโศกเศร้าประการใดจึงร้องไห้ฉะนี้
เล่าปี่จึงว่าตัวเรานี้จากบ้านเดิมมาช้านานแล้ว ชั่วชีวิตก็อยู่แต่บนหลังม้า ไม่เคยมีเวลาได้ปรนนิบัติบิดามารดา มาบัดนี้ใกล้วันปีใหม่จึงรำลึกถึงบิดามารดาผู้มีคุณว่ายามมีชีวิตก็มิได้ทดแทนพระคุณ ท่านหาบุญไม่แล้วก็มิได้กลับไปกราบไหว้บูชาเซ่นไหว้ตามประเพณี เมื่อถึงวันปีใหม่ใครใดในแผ่นดินย่อมทำพิธีบูชาเซ่นไหว้บุพการีผู้วายชนม์ให้ได้ดื่มกิน แต่บิดามารดาเราเล่าไม่มีใครเซ่นไหว้ จะอดอยากยากแค้นในปรภพ รำลึกถึงนี้เราจึงร้องไห้
นางซุนฮูหยินได้ฟังเล่าปี่ดังนั้นจึงเอามือทั้งสองกุมมือเล่าปี่ไว้ แล้วว่าไฉนท่านจึงมาลวงข้าพเจ้าเล่า เมื่อสักครู่นี้ท่านได้สนทนากับจูล่ง เนื้อความประการใดข้าพเจ้าลอบฟังอยู่ก็แจ้งแก่ใจสิ้นแล้ว ท่านเห็นเมืองเกงจิ๋วตกอยู่ในความคับขัน ใจจึงประหวั่นใคร่กลับไปรักษาเมืองก็ชอบที่จะแจ้งแก่ข้าพเจ้าตามตรง ไยจะต้องลวงข้าพเจ้าว่ารำลึกถึงคุณบิดามารดาเล่า
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ทำทีเป็นตกใจ ลงมาคุกเข่าที่พื้นตรงหน้าตักภรรยารัก ร้องไห้แล้วว่าเมื่อเจ้าทราบความดังนี้แล้วเราก็ต้องสารภาพความจริงว่าเป็นดังที่เจ้าได้ยินนั้น
แล้วเล่าปี่จึงว่าเราทราบข่าวเรื่องนี้ก็ใจหาย โศกเศร้าด้วยต้องพลัดพรากจากนาง เพราะหากแม้นเราไม่กลับไปป้องกันรักษาเมือง หากเมืองเกงจิ๋วเสียแก่โจโฉแล้วคนทั้งปวงก็จะหัวเราะเย้ยหยันว่าตัวเรานี้ดีแต่ลุ่มหลงในภรรยาจนเสียบ้านเมืองแลราษฎร ครั้นจะไปเล่าก็อาลัยอาวรณ์ด้วยความรักในตัวเจ้านี้เปี่ยมล้นในหัวอกเราไม่อาจตัดใจไปได้ ความในใจมีอยู่ดังนี้จึงมิรู้ที่จะตัดสินใจประการใด
นางซุนฮูหยินแม้เป็นสตรีก็มีเลือดขัตติยะ ตระหนักถึงการแผ่นดินสำคัญยิ่งกว่าความสุขของผัวเมีย ครั้นได้ฟังคำเล่าปี่รับสารภาพตามความจริงและยิ่งประจักษ์น้ำใจรักที่มีต่อนางดุจแผ่นฟ้าพระมหาสมุทรก็รู้สึกปลาบปลื้มใจ จึงว่าตัวข้าพเจ้านี้เป็นภรรยาท่านเป็นสิทธิอยู่แก่ท่าน ท่านจะไปแห่งหนตำบลใด ข้าพเจ้าย่อมต้องติดตามท่านไป อย่าได้แคลงใจเลย
เล่าปี่ได้ฟังคำเมียรักดังนั้นก็ค่อยคลายใจ จึงว่าน้ำใจเจ้าภักดีต่อสามีประการใดเรากระจ่างใจเป็นอย่างดี แต่วิตกว่าพระแม่เมืองกังตั๋งมารดาเจ้าและซุนกวนย่อมไม่ยินยอมให้เจ้าตามเราไป กระนั้นเลยเราจะจากไปแต่เพียงชั่วคราว เสร็จศึกแล้วจะคืนกลับมาหาเจ้าดังเดิม
เล่าปี่เกรงว่านางซุนฮูหยินจะไม่ยินยอมพร้อมใจไปด้วยตัว จึงแสร้งว่าจะขออำลาไปแต่เพียงชั่วคราว แต่ความจริงที่ซ่อนเร้นในจิตใจก็คือต้องการพานางซุนฮูหยินกลับไปเมืองเกงจิ๋ว จึงหวังว่ากล่าวความดังนี้แล้วจะเร่งเร้าให้นางซุนฮูหยินตัดสินใจหนีไปกับตัวโดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังอีกต่อไป ครั้นกล่าวความแล้วเล่าปี่ก็ทำทีเป็นร้องไห้หนักขึ้น
นางซุนฮูหยินเห็นอาการเล่าปี่ดังนั้นก็สงสาร จึงว่าท่านอย่าได้กลัดกลุ้มให้วุ่นวายไป ข้าพเจ้าจะไปอ้อนวอนต่อก๊กไถ้ เชื่อว่าพระแม่เมืองกังตั๋งจะยินยอมให้ข้าพเจ้าไปกับท่านเป็นมั่นคง
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ขยั้นต่อไปว่าน้ำใจพระแม่เมืองกังตั๋งนี้ตัวเราประจักษ์ดีว่ามีความการุณย์ต่อเราทั้งสองยิ่งกว่าใครใดในแผ่นดิน หากเจ้าอ้อนวอนว่ากล่าวก๊กไถ้คงให้ความเมตตาอนุโลมตามความประสงค์ แต่ยังวิตกว่าซุนกวนคงจะไม่ยินยอมให้พวกเรากลับไปเมืองเกงจิ๋ว
นางซุนฮูหยินได้ฟังดังนั้นจึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตรองความที่เล่าปี่ได้ปรารภก็เห็นจริง นางจึงอึ้งไปพักหนึ่งแล้วว่า “ข้าพเจ้าจะไปลามารดาว่าถึงปีใหม่วันตรุษท่านจะไปเซ่นบิดามารดา ณ ชายทะเล ข้าพเจ้าจะลาไปด้วย แม้มารดาอนุญาตแล้วเราจึงพากันหนีไปอย่าให้ซุนกวนทันรู้”
เล่าปี่ได้ใช้อานุภาพแห่งน้ำตาว่ากล่าวจนเมียรักใจอ่อน แล้วตัดสินใจหลอกแม่หนีพี่กลับไปเมืองเกงจิ๋วกับเล่าปี่ผู้เป็นสามี สมดังคำโบราณที่ว่า “รักพ่อรักแม่ไม่เคยแก้ผ้า รักภัสดาแก้ผ้าแก้ผ่อน” นั่นแล.