ตอนที่ 307. คำอธิษฐาน
แผนการดูตัวเล่าปี่ของก๊กไถ้พระแม่เมืองกังตั๋งไม่เพียงแต่ก๊กไถ้จะพึงพอใจในตัวเล่าปี่ที่โอ่อ่าสง่างามและอ่อนโยนสมกับเป็นเชื้อพระวงศ์แล้วเท่านั้น ยังได้ทำลายแผนสังหารที่ซุนกวนวางมือสังหารไว้สองข้างทางวัดกำลอจนหมดสิ้น นับเป็นชัยชนะก้าวสำคัญอีกก้าวหนึ่งของเล่าปี่ในศึกนางลวงครั้งนี้
นางงอก๊กไถ้และเกียวก๊กโลเลี้ยงโต๊ะเล่าปี่เสร็จแล้วจึงสั่งลิห้อมให้ดูแลและพาเล่าปี่ไปส่งที่พักแล้วกลับออกจากวัด เล่าปี่และซุนกวนคำนับขอบคุณนางงอก๊กไถ้แล้วจึงชวนกันเดินตามออกมาส่งที่ประตูวัด
เป็นอันว่าแผนนางลวงของจิวยี่บัดนี้กลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมาแล้ว โดยนางงอก๊กไถ้พระแม่เมืองกังตั๋งตัดสินใจรับเอาเล่าปี่เป็นเขยด้วยความเต็มใจ โดยที่ซุนกวนเองก็ต้องจำใจยอมรับเพราะความกตัญญูและเกรงกลัวมารดา รอวันฤกษ์ดีเป็นดิถีเรียงหมอนแล้วก็จะได้ทำพิธีส่งตัวให้บ่าวสาวได้ครองคู่กันตามประเพณีต่อไป
เล่าปี่และซุนกวนเดินเคียงคู่กันออกมาส่งสองผู้เฒ่าถึงหน้าวัด เล่าปี่เห็นหินก้อนใหญ่เท่าขนาดคนโอบจึงบังเกิดความคิดใคร่จะเสี่ยงทายเพื่อทราบการข้างหน้า
เล่าปี่คิดดังนั้นจึงหยุดอยู่ที่หน้าก้อนหิน หันหน้ากลับไปทางหอพระ แล้วยืมกระบี่มาจากทหารคนหนึ่ง พนมกระบี่ขึ้นเหนือศีรษะอธิษฐานว่า “แม้ข้าพเจ้าจะได้กลับไปเมืองเกงจิ๋วบำรุงราษฎร ขอให้ข้าพเจ้าฟันศิลานี้ขาดออกเป็นสองท่อน ถ้าข้าพเจ้าจะตายอยู่ในเมืองลำชีมิได้กลับไป ขออย่าให้ศิลานี้แตกซ้ำร้าวเลย”
เล่าปี่อธิษฐานเสร็จแล้วจึงเอากระบี่ฟันลงที่หินก้อนนั้นหินนั้นก็ขาดออกเป็นสองซีก เล่าปี่เห็นดังนั้นก็มีความยินดี ส่งกระบี่คืนแก่ทหาร
ซุนกวนเดินเคียงคู่มากับเล่าปี่ ได้ยินเสียงดังขึ้นทางด้านหลังจึงเหลียวไปดูเห็นเล่าปี่หยุดอยู่ในที่นั้น จึงถามว่าท่านโกรธก้อนศิลาเพราะเหตุสิ่งใดหรือ
เล่าปี่จึงว่า “ตัวข้าพเจ้าอายุถึงห้าสิบปีแล้วยังมิได้ทำการทำนุบำรุงพระเจ้าเหี้ยนเต้ช่วยกำจัดศัตรูราชสมบัติเสีย บัดนี้เป็นบุญของข้าพเจ้า นางงอก๊กไถ้มีใจกรุณายกบุตรหญิงให้ก็มีความยินดีนัก ข้าพเจ้าจึงอธิษฐานว่าถ้าข้าพเจ้ากับท่านเป็นเกี่ยวดองกันแล้ว จะได้ช่วยกันกำจัดโจโฉบำรุงให้ราษฎรเป็นสุขสืบไป ขอให้ฟันศิลาขาดสองท่อนเถิด ข้าพเจ้าจึงฟันก้อนศิลานี้”
ซุนกวนได้ฟังคำเล่าปี่ดังนั้นก็คิดว่าความอันเล่าปี่บอกเรานี้หาเชื่อถืออย่างใดได้ไม่ แต่คิดว่าเราเองก็สมควรอธิษฐานเสี่ยงทายสักครั้งหนึ่ง ซุนกวนจึงเดินมาที่หน้าก้อนศิลานั้น
ซุนกวนชักกระบี่ออกจากฝักแล้วพนมขึ้นเหนือศีรษะ อธิษฐานว่า “แม้ข้าพเจ้าจะเอาเมืองเกงจิ๋วคืนได้ จะได้ทำนุบำรุงให้ราษฎรในเมืองต๋องง่อเป็นสุขสืบไป ขอให้ข้าพเจ้าฟันศิลานี้ขาดเหมือนเล่าปี่เถิด”
ครั้นอธิษฐานเสร็จแล้วซุนกวนจึงแสร้งกล่าวให้ได้เล่าปี่ได้ยินว่า “ข้าพเจ้าขออธิษฐานแก่เทพารักษ์ทั้งปวงว่า แม้ข้าพเจ้ากับเล่าปี่จะได้ช่วยกันกำจัดโจโฉศัตรูราชสมบัติได้สมความคิด ขอให้ฟันศิลาขาดเป็นสองท่อนเถิด”
กล่าวแล้วซุนกวนจึงเอากระบี่ฟันลงที่ก้อนศิลานั้น ก้อนศิลาซึ่งถูกเล่าปี่ฟันขาดออกเป็นสองซีกก็ถูกซุนกวนฟันขาดออกเป็นสี่ซีก และยังมีหลักฐานปรากฏอยู่จนทุกวันนี้
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าก้อนศิลาหน้าวัดกำลอมีอยู่สองก้อน ซุนกวนและเล่าปี่ฟันศิลาคนละก้อน แต่ฉบับภาษาจีนและฉบับสมบูรณ์ระบุว่ามีอยู่เพียงก้อนเดียวเท่าขนาดคนโอบ เล่าปี่ฟันก้อนศิลานี้ขาดออกเป็นสองซีก ซุนกวนฟันซ้อนจึงขาดออกเป็นสี่ซีกดังที่ปรากฏอยู่ในทุกวันนี้
เล่าปี่และซุนกวนต่างมีความยินดีหัวเราะขึ้นพร้อมกัน ต่างคนต่างยุดมือของกันและกันเดินหัวเราะกลับเข้าไปที่ห้องโถง
สองวีรชนต่างหัวเราะยินดีในผลแห่งการเสี่ยงทายคล้ายกับว่าเทพยาดาดลบันดาลตัดสินให้เล่าปี่และซุนกวนได้ร่วมมือกันกำจัดโจโฉได้สำเร็จ แต่แท้จริงแล้วการซึ่งจะร่วมมือกันกำจัดโจโฉนั้นเป็นเพียงคำลวงที่ฝ่ายหนึ่งลวงอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้น เล่าปี่ลวงซุนกวนโดยที่มิได้อธิษฐานแต่บอกว่าอธิษฐาน แต่ซุนกวนลวงเล่าปี่โดยอธิษฐานอย่างหนึ่งแล้วแกล้งพูดให้เล่าปี่ได้ยินว่าอธิษฐานอีกอย่างหนึ่ง ในขณะที่ผลการเสี่ยงทายตามคำอธิษฐานนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิงและขัดกับวัตถุประสงค์ของแต่ละฝ่ายอย่างสิ้นเชิง
ซุนกวนลวงเล่าปี่มาแต่งงานเพื่อจะจับเล่าปี่เป็นตัวประกันแลกกับเมืองเกงจิ๋ว แต่ผลการเสี่ยงทายปรากฎว่าเล่าปี่จะได้กลับไปเมืองเกงจิ๋วโดยสวัสดิภาพแล้วครองอำนาจเป็นใหญ่ทำนุบำรุงราษฎรได้สำเร็จ เล่าปี่จึงหัวเราะ ในส่วนซุนกวนนั้นใคร่ได้เมืองเกงจิ๋วแต่ถูกเล่าปี่และขงเบ้งยึดครองไว้จึงต้องวางแผนอุบายนางลวงเพื่อจะเอาเมืองเกงจิ๋วคืนและผลการเสี่ยงทายปรากฎว่าซุนกวนจะได้เมืองเกงจิ๋วคืน ซุนกวนจึงหัวเราะ เสียงหัวเราะของสองวีรชนจึงภายนอกเป็นการแสดงความยินดีที่จะได้ร่วมกันกำจัดโจโฉ แต่ภายในใจของแต่ละคนกลับหัวเราะเยาะอีกฝ่ายหนึ่งและยินดีในผลการเสี่ยงทายที่สมความปรารถนาแห่งตัว
อันคำอธิษฐานทำให้การเหนือความคาดหมายบังเกิดขึ้นได้นี้มีมาแต่โบราณกาล เมื่อครั้งที่พระสมณโคดมบำเพ็ญเพียรทางจิตแก่กล้าใกล้เวลาตรัสรู้ที่ริมแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมก็เคยอธิษฐานว่าหากจะได้บรรลุพระโพธิญาณก็ขอเสี่ยงเอาถาดทองซึ่งลอยน้ำนี้ให้ลอยทวนน้ำ ครั้นอธิษฐานเสร็จก็ทรงวางถาดทองลงในน้ำ ปรากฏว่าถาดทองลอยทวนน้ำเป็นที่อัศจรรย์ ในราตรีนั้นก็ทรงบรรลุอนุตรสัมโพธิญาณ คำอธิษฐานของเล่าปี่และซุนกวนก็ได้ทำให้กระบี่ธรรมดาสามารถฟันหินขนาดคนโอบขาดเป็นสองเสี่ยง จึงมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน นอกจากนี้ยังมีกรณีแบบเดียวกันนี้อีกมากหลาย
แต่ใช่ว่าคำอธิษฐานจะบังเกิดผลทุกคนไป โบราณว่าคำอธิษฐานเสี่ยงทายในการใดจักสำเร็จประโยชน์ได้ด้วยองค์สาม คือผู้อธิษฐานนั้นต้องเป็นผู้มีบุญบารมีอย่างหนึ่ง ในขณะตั้งจิตอธิษฐานก็ดำรงจิตให้ตั้งมั่นบริสุทธิ์และควรแก่การใช้งานของจิตในระดับต้น ๆ อย่างหนึ่ง และขออำนาจเทพยดาอารักษ์แสดงผลเสี่ยงทายให้ประจักษ์อีกอย่างหนึ่ง องค์สามครบถ้วนบังเกิดแล้ว ผลคำอธิษฐานก็จะประจักษ์เป็นจริงได้ ขาดแต่องค์ใดองค์หนึ่งก็ไร้ผล เพราะเหตุนี้การทำเซียมซีเสี่ยงทายจึงบังเกิดขึ้น ทั้งนี้ก็ด้วยกรรมวิธีแห่งอธิษฐานนั่นเอง แต่ใช่ว่าจะถูกต้องเชื่อถือทั้งหมดก็หามิได้ หากยังคงต้องครบองค์สามแห่งการอธิษฐานอยู่นั่นเอง และเคยประจักษ์ด้วยว่าผู้ตั้งจิตอธิษฐานที่ทำการครบทั้งองค์สามแล้ว บางครั้งเสี่ยงทายได้เซียมซีมีคำพยากรณ์อย่างหนึ่ง แต่เมื่ออ่านความทำนายที่ระบุในใบเซียมซีนั้นเทพยดากลับบันดาลให้เนื้อความในใบเซียมซีปรากฏเป็นอีกอย่างหนึ่งซึ่งทำนายทายทักตามคำที่ตั้งจิตอธิษฐานเป็นที่อัศจรรย์ก็มีปรากฏอยู่
ผลคำเสี่ยงทายตามคำอธิษฐานของเล่าปี่และซุนกวนจะเป็นจริงหรือไม่ประการใด ความในสามก๊กย่อมเป็นบรรทัดฐานยืนยันได้เป็นอย่างดี
ซุนกวนชวนเล่าปี่กินโต๊ะเสพสุราสนทนากันต่อไปอีกพักใหญ่ ไม่ว่าเรื่องราวใดที่ยกขึ้นว่ากล่าวพูดจาดูเหมือนว่าจะออกรสออกชาติเห็นพ้องต้องกันสิ้น ทั้งซุนกวนและเล่าปี่จึงหัวเราะกันเป็นที่ครื้นเครง แต่ทั้งนี้มิได้พูดจาว่ากล่าวด้วยเรื่องเมืองเกงจิ๋วแม้แต่สักคำเดียว
ซุนเขียนเห็นเล่าปี่กินโต๊ะเสพสุรากับซุนกวนเป็นเวลาพอสมควร ทั้งบัดนี้ในห้องโถงก็มีแต่เล่าปี่และซุนกวนเท่านั้น จึงเกรงว่าเล่าปี่จะเมาสุราหรืออาจเกิดเรื่องร้ายที่นอกเหนือความคาดหมายขึ้นได้ ดังนั้นซุนเขียนจึงลอบชายตาให้เล่าปี่
เล่าปี่เห็นท่าทีซุนเขียนก็รู้นัย จึงกล่าวกับซุนกวนว่าข้าพเจ้าดื่มสุราไม่ทันไรก็เมามาย วันนี้ยินดีที่มีวาสนามาดื่มด้วยกันจึงดื่มมากเกินไปสู้ท่านไม่ได้ จะขอลาท่านกลับไปก่อน
ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็วางจอกสุราลงแล้วชวนเล่าปี่ขึ้นไปบนเนินเขาด้านข้างวัดซึ่งสามารถมองเห็นทิวทัศน์ชายทะเลแลภูมิทัศน์เมืองกังตั๋ง ซุนกวนชี้ชวนให้เล่าปี่ดูภูมิประเทศและถิ่นฐานบ้านเรือนของชาวเมือง เล่าปี่ก็ชมเชยว่าภูมิทัศน์เมืองกังตั๋งนี้งดงามนัก มีความมั่งคั่งพรั่งพร้อมด้วยสมบัติพัสถานทั้งปวง ราษฎรก็ร่มเย็นเป็นสุขดังเมืองฟ้า
ในขณะที่ชมวิวทิวทัศน์อยู่นั้น เล่าปี่เห็นเรือน้อยลำหนึ่งแล่นใบไปทางหน้าเมืองรวดเร็วปราดเปรียวเจริญตาราวกับปลาว่ายอยู่ในทะเลก็อุทานว่า “เขาเล่าลือกันว่าชาวเมืองกังตั๋งชำนาญในการเรือ จะแจวแลใช้ใบก็รวดเร็วพร้อมกัน แลว่าชาวเมืองกังปักฝ่ายทิศเหนือชำนาญในการขี่ม้า ก็เห็นจริงสมคำคนทั้งปวง”
ซุนกวนได้ฟังคำอุทานของเล่าปี่ดังนั้นก็สำคัญว่าเล่าปี่เยาะเย้ยว่าชาวกังตั๋งชำนาญแต่การทะเลไม่สัดทัดในการขี่ม้า จึงสั่งทหารให้ไปเอาม้าที่ผูกไว้ที่หน้าวัดมาให้ แล้วซุนกวนจึงขี่ม้าโผนโจนทะยานลงจากเนินเขาไปข้างล่าง แล้วควบม้ากลับมาที่เล่าปี่อย่างแคล่วคล่องว่องไว
ซุนกวนหยุดม้าตรงข้างหน้าเล่าปี่แล้วพูดเชิงประชดว่า “ชาวเมืองกังตั๋งหารู้ขี่ม้าไม่”
เล่าปี่ได้ยินก็รู้ทีแต่มิได้ตอบโต้ประการใด กลับสั่งให้ทหารไปเอาม้าสำหรับตัวซึ่งผูกอยู่ที่หน้าวัดมาให้แล้วอาศัยประสบการณ์ของนายพันทหารม้าแห่งกองกำลังทหารม้าเมืองเพงง้วนก๋วนอันกระเดื่องดัง ขี่ลงจากเนินและกลับขึ้นมาให้ซุนกวนดู ซุนกวนเห็นเล่าปี่ขี่ม้าแคล่วคล่องว่องไวเผ่นโผนโจนเหินลอยล่องราวกับนกบินในอากาศก็สรรเสริญเล่าปี่เป็นอันมาก
ครั้นได้เวลาอันสมควรทั้งซุนกวนและเล่าปี่ได้ขี่ม้าลงมาจากเนินเขาไปที่หน้าวัดและพาคนทั้งปวงออกจากวัดกำลอกลับที่พัก ซุนกวนและเล่าปี่ขี่ม้าเคียงคู่กันตามด้วยขบวนทหารของจูล่งและทหารเมืองกังตั๋งเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในสามก๊กและในชั่วชีวิตของวีรชนคู่นี้ ชาวเมืองเห็นซุนกวนและเล่าปี่ขี่ม้าเคียงคู่นำขบวนมางามตานักก็แซ่ซ้องชมบุญบารมีของสองวีรชนโดยทั่วกัน
ซุนกวนส่งเล่าปี่ที่ตึกรับรองแขกเมืองแล้วต่างคนต่างคำนับ ซุนกวนก็แยกกลับไปที่จวน
ครั้นกลับมาถึงที่พักแล้วเล่าปี่ ซุนเขียนและจูล่ง จึงมาปรึกษากันว่าบัดนี้การทั้งปวงเป็นไปตามแผนการซึ่งขงเบ้งสั่งมาในหนังสือลับแล้วจะทำประการใดต่อไป
ซุนเขียนจึงว่าก๊กไถ้ดูตัวท่านวันนี้แล้วชอบใจ ซุนกวนจึงสังหารท่านตามที่คิดอ่านวางแผนไว้มิได้ แต่ถ้าหากเนิ่นช้าไปจิวยี่ก็จะคิดอ่านแผนการยุยงซุนกวนในประการอื่นต่อไปเราก็จะได้รับอันตราย จึงชอบที่ท่านจะเร่งรัดการแต่งงานให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็วแล้วจะได้กลับไปเมืองเกงจิ๋ว
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย พอรุ่งขึ้นเล่าปี่จึงไปหารัฐบุรุษอาวุโสที่จวน เกียวก๊กโลรู้ว่าเล่าปี่มาหาก็มีความยินดี รีบออกมารับเล่าปี่ถึงที่ประตูจวน คำนับทักทายกันแล้วผู้เฒ่าก๊กโลจึงเชิญเล่าปี่เข้าไปสนทนากันภายในจวน
เล่าปี่จิบน้ำชาแล้ววางถ้วยชาลงบนโต๊ะและกล่าวว่าข้าพเจ้ามาเมืองลำชีนี้ก็หลายเพลาแล้วรอคอยวันฤกษ์ดีอยู่ แต่เห็นจะอยู่นานช้าไปนั้นมิได้ ด้วยที่ตึกรับรองแขกเมืองนั้นเป็นที่เปลี่ยวแลหามิดชิดแข็งแรงไม่ เกลือกว่าผู้ใดคิดร้ายก็จะขัดสน ซึ่งก๊กไถ้และท่านได้ให้ความเมตตาแก่ข้าพเจ้านั้นก็แจ้งแก่ใจอยู่แต่ก็จะไร้ผลเปล่า จึงมาขอบารมีท่านช่วยคิดการสืบไป.
นางงอก๊กไถ้และเกียวก๊กโลเลี้ยงโต๊ะเล่าปี่เสร็จแล้วจึงสั่งลิห้อมให้ดูแลและพาเล่าปี่ไปส่งที่พักแล้วกลับออกจากวัด เล่าปี่และซุนกวนคำนับขอบคุณนางงอก๊กไถ้แล้วจึงชวนกันเดินตามออกมาส่งที่ประตูวัด
เป็นอันว่าแผนนางลวงของจิวยี่บัดนี้กลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมาแล้ว โดยนางงอก๊กไถ้พระแม่เมืองกังตั๋งตัดสินใจรับเอาเล่าปี่เป็นเขยด้วยความเต็มใจ โดยที่ซุนกวนเองก็ต้องจำใจยอมรับเพราะความกตัญญูและเกรงกลัวมารดา รอวันฤกษ์ดีเป็นดิถีเรียงหมอนแล้วก็จะได้ทำพิธีส่งตัวให้บ่าวสาวได้ครองคู่กันตามประเพณีต่อไป
เล่าปี่และซุนกวนเดินเคียงคู่กันออกมาส่งสองผู้เฒ่าถึงหน้าวัด เล่าปี่เห็นหินก้อนใหญ่เท่าขนาดคนโอบจึงบังเกิดความคิดใคร่จะเสี่ยงทายเพื่อทราบการข้างหน้า
เล่าปี่คิดดังนั้นจึงหยุดอยู่ที่หน้าก้อนหิน หันหน้ากลับไปทางหอพระ แล้วยืมกระบี่มาจากทหารคนหนึ่ง พนมกระบี่ขึ้นเหนือศีรษะอธิษฐานว่า “แม้ข้าพเจ้าจะได้กลับไปเมืองเกงจิ๋วบำรุงราษฎร ขอให้ข้าพเจ้าฟันศิลานี้ขาดออกเป็นสองท่อน ถ้าข้าพเจ้าจะตายอยู่ในเมืองลำชีมิได้กลับไป ขออย่าให้ศิลานี้แตกซ้ำร้าวเลย”
เล่าปี่อธิษฐานเสร็จแล้วจึงเอากระบี่ฟันลงที่หินก้อนนั้นหินนั้นก็ขาดออกเป็นสองซีก เล่าปี่เห็นดังนั้นก็มีความยินดี ส่งกระบี่คืนแก่ทหาร
ซุนกวนเดินเคียงคู่มากับเล่าปี่ ได้ยินเสียงดังขึ้นทางด้านหลังจึงเหลียวไปดูเห็นเล่าปี่หยุดอยู่ในที่นั้น จึงถามว่าท่านโกรธก้อนศิลาเพราะเหตุสิ่งใดหรือ
เล่าปี่จึงว่า “ตัวข้าพเจ้าอายุถึงห้าสิบปีแล้วยังมิได้ทำการทำนุบำรุงพระเจ้าเหี้ยนเต้ช่วยกำจัดศัตรูราชสมบัติเสีย บัดนี้เป็นบุญของข้าพเจ้า นางงอก๊กไถ้มีใจกรุณายกบุตรหญิงให้ก็มีความยินดีนัก ข้าพเจ้าจึงอธิษฐานว่าถ้าข้าพเจ้ากับท่านเป็นเกี่ยวดองกันแล้ว จะได้ช่วยกันกำจัดโจโฉบำรุงให้ราษฎรเป็นสุขสืบไป ขอให้ฟันศิลาขาดสองท่อนเถิด ข้าพเจ้าจึงฟันก้อนศิลานี้”
ซุนกวนได้ฟังคำเล่าปี่ดังนั้นก็คิดว่าความอันเล่าปี่บอกเรานี้หาเชื่อถืออย่างใดได้ไม่ แต่คิดว่าเราเองก็สมควรอธิษฐานเสี่ยงทายสักครั้งหนึ่ง ซุนกวนจึงเดินมาที่หน้าก้อนศิลานั้น
ซุนกวนชักกระบี่ออกจากฝักแล้วพนมขึ้นเหนือศีรษะ อธิษฐานว่า “แม้ข้าพเจ้าจะเอาเมืองเกงจิ๋วคืนได้ จะได้ทำนุบำรุงให้ราษฎรในเมืองต๋องง่อเป็นสุขสืบไป ขอให้ข้าพเจ้าฟันศิลานี้ขาดเหมือนเล่าปี่เถิด”
ครั้นอธิษฐานเสร็จแล้วซุนกวนจึงแสร้งกล่าวให้ได้เล่าปี่ได้ยินว่า “ข้าพเจ้าขออธิษฐานแก่เทพารักษ์ทั้งปวงว่า แม้ข้าพเจ้ากับเล่าปี่จะได้ช่วยกันกำจัดโจโฉศัตรูราชสมบัติได้สมความคิด ขอให้ฟันศิลาขาดเป็นสองท่อนเถิด”
กล่าวแล้วซุนกวนจึงเอากระบี่ฟันลงที่ก้อนศิลานั้น ก้อนศิลาซึ่งถูกเล่าปี่ฟันขาดออกเป็นสองซีกก็ถูกซุนกวนฟันขาดออกเป็นสี่ซีก และยังมีหลักฐานปรากฏอยู่จนทุกวันนี้
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าก้อนศิลาหน้าวัดกำลอมีอยู่สองก้อน ซุนกวนและเล่าปี่ฟันศิลาคนละก้อน แต่ฉบับภาษาจีนและฉบับสมบูรณ์ระบุว่ามีอยู่เพียงก้อนเดียวเท่าขนาดคนโอบ เล่าปี่ฟันก้อนศิลานี้ขาดออกเป็นสองซีก ซุนกวนฟันซ้อนจึงขาดออกเป็นสี่ซีกดังที่ปรากฏอยู่ในทุกวันนี้
เล่าปี่และซุนกวนต่างมีความยินดีหัวเราะขึ้นพร้อมกัน ต่างคนต่างยุดมือของกันและกันเดินหัวเราะกลับเข้าไปที่ห้องโถง
สองวีรชนต่างหัวเราะยินดีในผลแห่งการเสี่ยงทายคล้ายกับว่าเทพยาดาดลบันดาลตัดสินให้เล่าปี่และซุนกวนได้ร่วมมือกันกำจัดโจโฉได้สำเร็จ แต่แท้จริงแล้วการซึ่งจะร่วมมือกันกำจัดโจโฉนั้นเป็นเพียงคำลวงที่ฝ่ายหนึ่งลวงอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้น เล่าปี่ลวงซุนกวนโดยที่มิได้อธิษฐานแต่บอกว่าอธิษฐาน แต่ซุนกวนลวงเล่าปี่โดยอธิษฐานอย่างหนึ่งแล้วแกล้งพูดให้เล่าปี่ได้ยินว่าอธิษฐานอีกอย่างหนึ่ง ในขณะที่ผลการเสี่ยงทายตามคำอธิษฐานนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิงและขัดกับวัตถุประสงค์ของแต่ละฝ่ายอย่างสิ้นเชิง
ซุนกวนลวงเล่าปี่มาแต่งงานเพื่อจะจับเล่าปี่เป็นตัวประกันแลกกับเมืองเกงจิ๋ว แต่ผลการเสี่ยงทายปรากฎว่าเล่าปี่จะได้กลับไปเมืองเกงจิ๋วโดยสวัสดิภาพแล้วครองอำนาจเป็นใหญ่ทำนุบำรุงราษฎรได้สำเร็จ เล่าปี่จึงหัวเราะ ในส่วนซุนกวนนั้นใคร่ได้เมืองเกงจิ๋วแต่ถูกเล่าปี่และขงเบ้งยึดครองไว้จึงต้องวางแผนอุบายนางลวงเพื่อจะเอาเมืองเกงจิ๋วคืนและผลการเสี่ยงทายปรากฎว่าซุนกวนจะได้เมืองเกงจิ๋วคืน ซุนกวนจึงหัวเราะ เสียงหัวเราะของสองวีรชนจึงภายนอกเป็นการแสดงความยินดีที่จะได้ร่วมกันกำจัดโจโฉ แต่ภายในใจของแต่ละคนกลับหัวเราะเยาะอีกฝ่ายหนึ่งและยินดีในผลการเสี่ยงทายที่สมความปรารถนาแห่งตัว
อันคำอธิษฐานทำให้การเหนือความคาดหมายบังเกิดขึ้นได้นี้มีมาแต่โบราณกาล เมื่อครั้งที่พระสมณโคดมบำเพ็ญเพียรทางจิตแก่กล้าใกล้เวลาตรัสรู้ที่ริมแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมก็เคยอธิษฐานว่าหากจะได้บรรลุพระโพธิญาณก็ขอเสี่ยงเอาถาดทองซึ่งลอยน้ำนี้ให้ลอยทวนน้ำ ครั้นอธิษฐานเสร็จก็ทรงวางถาดทองลงในน้ำ ปรากฏว่าถาดทองลอยทวนน้ำเป็นที่อัศจรรย์ ในราตรีนั้นก็ทรงบรรลุอนุตรสัมโพธิญาณ คำอธิษฐานของเล่าปี่และซุนกวนก็ได้ทำให้กระบี่ธรรมดาสามารถฟันหินขนาดคนโอบขาดเป็นสองเสี่ยง จึงมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน นอกจากนี้ยังมีกรณีแบบเดียวกันนี้อีกมากหลาย
แต่ใช่ว่าคำอธิษฐานจะบังเกิดผลทุกคนไป โบราณว่าคำอธิษฐานเสี่ยงทายในการใดจักสำเร็จประโยชน์ได้ด้วยองค์สาม คือผู้อธิษฐานนั้นต้องเป็นผู้มีบุญบารมีอย่างหนึ่ง ในขณะตั้งจิตอธิษฐานก็ดำรงจิตให้ตั้งมั่นบริสุทธิ์และควรแก่การใช้งานของจิตในระดับต้น ๆ อย่างหนึ่ง และขออำนาจเทพยดาอารักษ์แสดงผลเสี่ยงทายให้ประจักษ์อีกอย่างหนึ่ง องค์สามครบถ้วนบังเกิดแล้ว ผลคำอธิษฐานก็จะประจักษ์เป็นจริงได้ ขาดแต่องค์ใดองค์หนึ่งก็ไร้ผล เพราะเหตุนี้การทำเซียมซีเสี่ยงทายจึงบังเกิดขึ้น ทั้งนี้ก็ด้วยกรรมวิธีแห่งอธิษฐานนั่นเอง แต่ใช่ว่าจะถูกต้องเชื่อถือทั้งหมดก็หามิได้ หากยังคงต้องครบองค์สามแห่งการอธิษฐานอยู่นั่นเอง และเคยประจักษ์ด้วยว่าผู้ตั้งจิตอธิษฐานที่ทำการครบทั้งองค์สามแล้ว บางครั้งเสี่ยงทายได้เซียมซีมีคำพยากรณ์อย่างหนึ่ง แต่เมื่ออ่านความทำนายที่ระบุในใบเซียมซีนั้นเทพยดากลับบันดาลให้เนื้อความในใบเซียมซีปรากฏเป็นอีกอย่างหนึ่งซึ่งทำนายทายทักตามคำที่ตั้งจิตอธิษฐานเป็นที่อัศจรรย์ก็มีปรากฏอยู่
ผลคำเสี่ยงทายตามคำอธิษฐานของเล่าปี่และซุนกวนจะเป็นจริงหรือไม่ประการใด ความในสามก๊กย่อมเป็นบรรทัดฐานยืนยันได้เป็นอย่างดี
ซุนกวนชวนเล่าปี่กินโต๊ะเสพสุราสนทนากันต่อไปอีกพักใหญ่ ไม่ว่าเรื่องราวใดที่ยกขึ้นว่ากล่าวพูดจาดูเหมือนว่าจะออกรสออกชาติเห็นพ้องต้องกันสิ้น ทั้งซุนกวนและเล่าปี่จึงหัวเราะกันเป็นที่ครื้นเครง แต่ทั้งนี้มิได้พูดจาว่ากล่าวด้วยเรื่องเมืองเกงจิ๋วแม้แต่สักคำเดียว
ซุนเขียนเห็นเล่าปี่กินโต๊ะเสพสุรากับซุนกวนเป็นเวลาพอสมควร ทั้งบัดนี้ในห้องโถงก็มีแต่เล่าปี่และซุนกวนเท่านั้น จึงเกรงว่าเล่าปี่จะเมาสุราหรืออาจเกิดเรื่องร้ายที่นอกเหนือความคาดหมายขึ้นได้ ดังนั้นซุนเขียนจึงลอบชายตาให้เล่าปี่
เล่าปี่เห็นท่าทีซุนเขียนก็รู้นัย จึงกล่าวกับซุนกวนว่าข้าพเจ้าดื่มสุราไม่ทันไรก็เมามาย วันนี้ยินดีที่มีวาสนามาดื่มด้วยกันจึงดื่มมากเกินไปสู้ท่านไม่ได้ จะขอลาท่านกลับไปก่อน
ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็วางจอกสุราลงแล้วชวนเล่าปี่ขึ้นไปบนเนินเขาด้านข้างวัดซึ่งสามารถมองเห็นทิวทัศน์ชายทะเลแลภูมิทัศน์เมืองกังตั๋ง ซุนกวนชี้ชวนให้เล่าปี่ดูภูมิประเทศและถิ่นฐานบ้านเรือนของชาวเมือง เล่าปี่ก็ชมเชยว่าภูมิทัศน์เมืองกังตั๋งนี้งดงามนัก มีความมั่งคั่งพรั่งพร้อมด้วยสมบัติพัสถานทั้งปวง ราษฎรก็ร่มเย็นเป็นสุขดังเมืองฟ้า
ในขณะที่ชมวิวทิวทัศน์อยู่นั้น เล่าปี่เห็นเรือน้อยลำหนึ่งแล่นใบไปทางหน้าเมืองรวดเร็วปราดเปรียวเจริญตาราวกับปลาว่ายอยู่ในทะเลก็อุทานว่า “เขาเล่าลือกันว่าชาวเมืองกังตั๋งชำนาญในการเรือ จะแจวแลใช้ใบก็รวดเร็วพร้อมกัน แลว่าชาวเมืองกังปักฝ่ายทิศเหนือชำนาญในการขี่ม้า ก็เห็นจริงสมคำคนทั้งปวง”
ซุนกวนได้ฟังคำอุทานของเล่าปี่ดังนั้นก็สำคัญว่าเล่าปี่เยาะเย้ยว่าชาวกังตั๋งชำนาญแต่การทะเลไม่สัดทัดในการขี่ม้า จึงสั่งทหารให้ไปเอาม้าที่ผูกไว้ที่หน้าวัดมาให้ แล้วซุนกวนจึงขี่ม้าโผนโจนทะยานลงจากเนินเขาไปข้างล่าง แล้วควบม้ากลับมาที่เล่าปี่อย่างแคล่วคล่องว่องไว
ซุนกวนหยุดม้าตรงข้างหน้าเล่าปี่แล้วพูดเชิงประชดว่า “ชาวเมืองกังตั๋งหารู้ขี่ม้าไม่”
เล่าปี่ได้ยินก็รู้ทีแต่มิได้ตอบโต้ประการใด กลับสั่งให้ทหารไปเอาม้าสำหรับตัวซึ่งผูกอยู่ที่หน้าวัดมาให้แล้วอาศัยประสบการณ์ของนายพันทหารม้าแห่งกองกำลังทหารม้าเมืองเพงง้วนก๋วนอันกระเดื่องดัง ขี่ลงจากเนินและกลับขึ้นมาให้ซุนกวนดู ซุนกวนเห็นเล่าปี่ขี่ม้าแคล่วคล่องว่องไวเผ่นโผนโจนเหินลอยล่องราวกับนกบินในอากาศก็สรรเสริญเล่าปี่เป็นอันมาก
ครั้นได้เวลาอันสมควรทั้งซุนกวนและเล่าปี่ได้ขี่ม้าลงมาจากเนินเขาไปที่หน้าวัดและพาคนทั้งปวงออกจากวัดกำลอกลับที่พัก ซุนกวนและเล่าปี่ขี่ม้าเคียงคู่กันตามด้วยขบวนทหารของจูล่งและทหารเมืองกังตั๋งเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในสามก๊กและในชั่วชีวิตของวีรชนคู่นี้ ชาวเมืองเห็นซุนกวนและเล่าปี่ขี่ม้าเคียงคู่นำขบวนมางามตานักก็แซ่ซ้องชมบุญบารมีของสองวีรชนโดยทั่วกัน
ซุนกวนส่งเล่าปี่ที่ตึกรับรองแขกเมืองแล้วต่างคนต่างคำนับ ซุนกวนก็แยกกลับไปที่จวน
ครั้นกลับมาถึงที่พักแล้วเล่าปี่ ซุนเขียนและจูล่ง จึงมาปรึกษากันว่าบัดนี้การทั้งปวงเป็นไปตามแผนการซึ่งขงเบ้งสั่งมาในหนังสือลับแล้วจะทำประการใดต่อไป
ซุนเขียนจึงว่าก๊กไถ้ดูตัวท่านวันนี้แล้วชอบใจ ซุนกวนจึงสังหารท่านตามที่คิดอ่านวางแผนไว้มิได้ แต่ถ้าหากเนิ่นช้าไปจิวยี่ก็จะคิดอ่านแผนการยุยงซุนกวนในประการอื่นต่อไปเราก็จะได้รับอันตราย จึงชอบที่ท่านจะเร่งรัดการแต่งงานให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็วแล้วจะได้กลับไปเมืองเกงจิ๋ว
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย พอรุ่งขึ้นเล่าปี่จึงไปหารัฐบุรุษอาวุโสที่จวน เกียวก๊กโลรู้ว่าเล่าปี่มาหาก็มีความยินดี รีบออกมารับเล่าปี่ถึงที่ประตูจวน คำนับทักทายกันแล้วผู้เฒ่าก๊กโลจึงเชิญเล่าปี่เข้าไปสนทนากันภายในจวน
เล่าปี่จิบน้ำชาแล้ววางถ้วยชาลงบนโต๊ะและกล่าวว่าข้าพเจ้ามาเมืองลำชีนี้ก็หลายเพลาแล้วรอคอยวันฤกษ์ดีอยู่ แต่เห็นจะอยู่นานช้าไปนั้นมิได้ ด้วยที่ตึกรับรองแขกเมืองนั้นเป็นที่เปลี่ยวแลหามิดชิดแข็งแรงไม่ เกลือกว่าผู้ใดคิดร้ายก็จะขัดสน ซึ่งก๊กไถ้และท่านได้ให้ความเมตตาแก่ข้าพเจ้านั้นก็แจ้งแก่ใจอยู่แต่ก็จะไร้ผลเปล่า จึงมาขอบารมีท่านช่วยคิดการสืบไป.