ตอนที่ 306. อุบายใช้น้ำตาเป็นอาวุธ
จูล่งนั่งฟังแผนการขอดูตัวของเล่าปี่แล้วเห็นประจักษ์ว่าการดูตัวครั้งนี้มีผลถึงสองด้าน คือด้านที่ก๊กไถ้ชอบใจ ยอมรับเล่าปี่เป็นลูกเขย และด้านที่ก๊กไถ้ไม่ชอบใจ จูล่งจึงเห็นว่าหากก๊กไถ้ชอบใจเล่าปี่คงจะปลอดภัย แต่ถ้าไม่ชอบใจเล่าปี่ก็อาจตกอยู่ในอันตราย การจะเป็นประการใดใครเล่าจะรู้ล่วงหน้า ดังนั้นเพื่อความไม่ประมาท จูล่งจึงเสนอขอยกทหารไปป้องกันเล่าปี่
เล่าปี่ได้ฟังก็เห็นชอบสั่งจูล่งให้จัดแจงทหารและรีบเข้านอนแต่หัวค่ำ พรุ่งนี้เวลาเช้าให้เตรียมตัวให้พร้อมจงทุกคน
ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้านางงอก๊กไถ้และเกียวก๊กโลได้ไปรออยู่ที่วัด ทางซุนกวนก็สั่งให้พนักงานแต่งโต๊ะเตรียมจัดเลี้ยงรับรองเล่าปี่ที่ห้องโถงหน้าของวิหารวัดกำลอและพาที่ปรึกษาและขุนนางผู้ใหญ่ไปที่วัดพร้อมกัน จากนั้นจึงให้ลิห้อมไปเชิญเล่าปี่
วันนั้นเล่าปี่ ซุนเขียน จูล่ง และทหารทั้งปวงตื่นแต่เวลาเช้า สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) บรรยายว่า “เล่าปี่จึงแต่งตัวใส่เกราะน้อยชั้นในใส่เสื้อชั้นนอก ทหารซึ่งจะไปด้วยนั้นก็ให้แต่งตัวเอากระบี่ตะพายแล่งทุกคน” แต่จูล่งนั้นแต่งตัวใส่เกราะเหมือนกับจะออกศึก สะพายกระบี่แชฮ้งเกี้ยม ถือทวนคู่ใจขี่ม้าคุมทหารคอยท่าอยู่
ครั้นลิห้อมมาเชิญเล่าปี่จึงขึ้นขี่ม้าขี่เคียงคู่กับลิห้อม โดยจูล่งขี่ม้าพาทหารทั้งห้าร้อยติดตามไปเล่าปี่ไปอย่างกระชั้นชิด
แผนอุบายนางลวงของจิวยี่กำลังถูกทำลายด้วยอุบายของขงเบ้งที่สั่งการไว้ในหนังสือลับ ทำให้การลวงเล่าปี่มาแต่งงานกับน้องสาวซุนกวนมีทีท่าว่าจะกลับกลายเป็นเรื่องจริง แต่จะเป็นประการใดนั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนางงอก๊กไถ้มารดาเลี้ยงของซุนกวนว่าจะชอบใจเล่าปี่เชื้อพระวงศ์ผู้อาภัพหรือไม่ การดูตัวเล่าปี่ที่วัดกำลอจึงเกิดขึ้นดังนี้
พอลิห้อมพาเล่าปี่ไปถึงประตูวัด เล่าปี่จึงลงจากหลังม้า ลิห้อมและคนทั้งปวงเห็นดังนั้นก็ทำตามเล่าปี่แล้วชวนกันเดินเข้าไปในวัด
ซุนกวนยืนคอยท่าเล่าปี่อยู่ที่ด้านนอกวิหาร เห็นเล่าปี่เดินมาแต่ไกลใส่เสื้อคลุมสีเหลืองลวดลายมังกรฟ้อนเมฆตามศักดิ์เชื้อพระวงศ์ฮั่นชั้นพระเจ้าอาของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ใบหน้าผ่องใสเบิกบานมีสง่าราศี ท่าทีอ่อนโยนนุ่มนวลยิ่งนัก ก็รำพึงแต่ในใจว่าตัวเราเป็นชายคิดหมายจะฆ่าเล่าปี่เสีย แต่พอพบตัวจริงก็ให้มีใจเมตตาใคร่จะคบหาให้สนิท ทั้งท่วงท่าเล่าปี่ก็มีสง่าน่าเกรงขาม หากมารดาเราพบเล่าปี่เห็นจะมีน้ำใจรักใคร่เมตตามากกว่าเราเสียอีก อุบายซึ่งคิดไว้จะไม่เสียการไปหรือ
ซุนกวนมองเล่าปี่ไปพลางรำพึงไปพลางจนแทบจะลืมตัวก็ได้ยินเสียงลิห้อมเตือนเล่าปี่ดังมาว่าที่ยืนอยู่หน้าวิหารนั้นคือซุนกวน ดังนั้นซุนกวนจึงเดินมาที่เชิงบันไดยิ้มให้เล่าปี่ ส่วนเล่าปี่เห็นดังนั้นก็ยิ้มให้ซุนกวนและรีบก้าวเดินเข้ามาหา
เล่าปี่และซุนกวนต่างคำนับทักทายกันตามธรรมเนียมแล้ว ซุนกวนจึงว่ามารดาข้าพเจ้ารอพบท่านอยู่นานแล้ว และเชิญเล่าปี่ขึ้นไปบนวิหาร เดินเข้าประตูห้องโถงกลางตามธรรมเนียมแขกเมืองผู้สูงศักดิ์
ซุนกวนพาเล่าปี่เข้าไปหานางงอกก๊กไถ้ซึ่งนั่งเคียงคู่อยู่กับเกียวก๊กโลในห้องโถง เล่าปี่เห็นเกียวก๊กโลก็ค้อมศีรษะแล้วยิ้มให้ เกียวก๊กโลก็ผายมือไปทางนางงอก๊กไถ้เป็นนัยแนะนำแก่เล่าปี่
เล่าปี่เห็นสตรีผู้มีวัยเลยกลางคนนั่งเป็นสง่าอยู่กลางห้องโถงมีใบหน้าเต็มไปด้วยความอบอุ่นและเมตตาแต่ทรงไว้ซึ่งอำนาจ ก็คาดหมายว่าสตรีนางนี้แล้วคือพระแม่เมืองกังตั๋ง ครั้นเห็นสัญญาณจากผู้เฒ่าเกียวก๊กโลจึงเดินตรงเข้าไปตรงหน้าพระแม่เมืองกังตั๋ง แล้วคุกเข่าลงกับพื้นแสดงความคำนับและคารวะด้วยความเคารพอย่างสูง ปากก็กล่าวว่าเล่าปี่ขอคารวะก๊กไถ้
นางงอก๊กไถ้สังเกตอากัปกริยาของว่าที่ลูกเขยทุกย่างก้าว เห็นท่วงท่าคมสันมีสง่าราศี ทุกย่างก้าวราวกับพญาสิงห์ผู้เป็นเจ้าแห่งป่าก้าวเดินเนิบนาบนุ่มนวลและหนักแน่นนัก ใบหน้าเปี่ยมด้วยความการุณย์อบอุ่นใจแก่ผู้พบห็น ตามีประกายเจิดจ้าทรงอำนาจ อาภรณ์ประดับกายตามศักดิ์ของเชื้อพระวงศ์ยามต้องแสงสว่างยามเช้าดูงดงามยิ่งนัก กลบข่มความมีวัยห้าสิบไปสิ้น แลเล่าปี่นั้นชั่วชีวิตกรำศึกอยู่กับหลังม้าออกกำลังกายสม่ำเสมอดังนั้นจึงดูภายนอกเสมอด้วยคนในวัยกลางคนเท่านั้น
นางงอก๊กไถ้จึงพึงใจเล่าปี่ในทันทีที่พบเห็นดังที่ซุนกวนได้คาดคะเนไว้ ดังนั้นพอเล่าปี่คุกเข่าลงคำนับนางงอก๊กไถ้จึงโบกมือเป็นทีให้เล่าปี่ลุกขึ้น ปากก็ว่าพระเจ้าอาลุกขึ้นแล้วเชิญนั่งลงเถิด
เกียวก๊กโลบัดนี้กลายเป็นกองเชียร์ของเล่าปี่เห็นทีท่านางงอก๊กไถ้ดังนั้นก็รู้ทีจึงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
ก๊กไถ้ได้ทักทายเล่าปี่ตามธรรมเนียมผู้ใหญ่ผู้น้อยแล้วจึงเชิญเล่าปี่ไปกินโต๊ะ เกียวก๊กโล ซุนกวน และเล่าปี่ จึงเดินตามนางงอก๊กไถ้ไปนั่งที่โต๊ะเดียวกัน จูล่งก็เดินไปยืนอยู่ข้างหลังของเล่าปี่
ระหว่างกินโต๊ะนางงอก๊กไถ้ได้ปรารภกับรัฐบุรุษอาวุโสเกียวก๊กโลว่า “เล่าปี่รูปร่างจริตกิริยาก็สมควรเป็นเขยเราอยู่แล้ว”
ซุนกวนได้ยินคำมารดาตกลงปลงใจว่าชอบใจเล่าปี่ก็ได้แต่นิ่งเฉย ในขณะที่เกียวก๊กโลและเล่าปี่นั้นมีสีหน้าท่าทางยินดี
เกียวก๊กโลจึงเสริมคำนางงอก๊กไถ้ว่า “อันลักษณะเล่าปี่ดีนัก มีน้ำใจกรุณาแก่ราษฎรทั้งปวง นานไปจะมีบุญทั้งอายุก็จะยืน ควรที่จะเป็นบุตรเขยท่าน”
ว่าแล้วทั้งเกียวก๊กโลและนางงอก๊กไถ้ก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน เกียวก๊กโลจึงชวนให้ทุกคนดื่มสุรามงคลพร้อมกัน
ในขณะที่นางงอก๊กไถ้ยกจอกสุราขึ้นดื่ม สังเกตเห็นทหารคนหนึ่งยืนเป็นสง่าอยู่ข้างหลังเล่าปี่เป็นที่สะดุดตา จึงถามเล่าปี่ว่าทหารคนนี้มีชื่อใด
เล่าปี่หันมาทางจูล่งแล้วบอกว่านี่คือจูล่ง และให้จูล่งคำนับ จูล่งจึงคำนับนางงอก๊กไถ้ ซุนกวนและเกียวก๊กโล แล้วยืนสงบอยูในที่เดิม
นางงอก๊กไถ้เห็นจูล่งสง่างามนุ่มนวลดังนั้นก็มีน้ำใจเมตตา ถามต่อไปว่าเมื่อครั้งศึกทุ่งเตียงปัน โจโฉยกทหารร้อยหมื่นล้อมเอาบุตรภรรยาท่านไว้ จูล่งคนนี้นี่หรือที่ได้สู้รบกับทหารโจโฉแต่กลางคืนจนถึงเวลาบ่ายแล้วแก้เอาบุตรภรรยาท่านออกมาได้
เล่าปี่ก็รับคำว่าใช่จูล่งผู้นี้นี่แล้ว
นางงอก๊กไถ้ฟังว่าเป็นจูล่งวีรชนแห่งทุ่งเตียงปันก็มีความยินดี กล่าวสรรเสริญวีรกรรมของจูล่งเป็นอันมากแล้วสั่งคนรับใช้ให้รินสุราส่งให้จูล่งดื่ม จูล่งรับสุรามาดื่มแล้วคำนับขอบคุณนางงอก๊กไถ้
พอส่งจอกสุราคืนแก่คนรับใช้แล้วจูล่งจึงเอียงหน้าเข้าไปกระซิบที่ข้างหูเล่าปี่ว่า เมื่อตอนขามานั้นข้าพเจ้าสังเกตเห็นมือสังหารประมาณสามร้อยคนมีอาวุธพร้อมซุ่มอยู่ทั้งสองข้างทาง เห็นจะคิดร้ายแก่ท่านเป็นมั่นคง จงเร่งคิดอ่านระวังตนให้จงดี
เล่าปี่ได้ฟังคำจูล่งดังนั้นก็ตกใจ
นางงอก๊กไถ้สังเกตเห็นจูล่งเข้ามากระซิบความแก่เล่าปี่ก็สงสัย ครั้นเห็นสีหน้าเล่าปี่มีอาการตื่นตระหนก จึงถามเล่าปี่ว่าจูล่งบอกความเรื่องใดแก่ท่านเป็นการร้ายหรือ
เล่าปี่กำลังครุ่นคิดหาทางเอาตัวรอด พอได้ฟังคำนางงอก๊กไถ้ที่ถามมาด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใยก็เห็นทางออก
เล่าปี่มองหน้าพระแม่เมืองกังตั๋งแล้วมองหน้ารัฐบุรุษอาวุโส เห็นสองผู้เฒ่ามีแววตาเป็นห่วงเป็นใยคล้ายกับจะเร่งให้เล่าปี่รีบบอกความ เล่าปี่จึงลุกจากที่นั่งมาคุกเข่าลงตรงหน้านางงอกก๊กไถ้ ร้องไห้แล้วว่า “ท่านจะฆ่าข้าพเจ้าเสียก็ตามเถิด แต่โปรดอย่าให้ข้าพเจ้าได้ความลำบากเลย”
สองผู้เฒ่าได้ยินความจากปากเล่าปี่เป็นเรื่องสำคัญถึงคอขาดบาดตายก็ตกใจ นางงอก๊กไถ้ได้ถามขึ้นในทันทีว่าพวกเรากำลังกินโต๊ะกันอยู่ในวัดซึ่งเป็นสถานที่อันปลอดจากการปาณาติบาตทั้งปวง ไฉนท่านจึงกล่าวว่าเราจะฆ่าท่านเล่า
เล่าปี่จึงตอบว่าท่านมีเมตตาเชิญข้าพเจ้ามากินโต๊ะในวัดข้าพเจ้าก็แจ้งอยู่ว่าเป็นการมงคลจึงมาน้อมรับความเมตตาท่านโดยสุจริต แต่สองข้างทางของวัดนี้กลับมีมือสังหารซุ่มซ่อนอยู่ร่วมสามร้อยนาย เห็นจะทำร้ายข้าพเจ้าภายหลังแต่กินโต๊ะแล้วเป็นแน่แท้ กล่าวแล้วเล่าปี่ก็ร้องไห้
นางงอก๊กไถ้ได้ฟังดังนั้นก็โกรธซุนกวน ขว้างจอกสุราลงกับพื้น ชี้หน้าซุนกวนแล้วว่าเล่าปี่เป็นบุตรเขยเรา เหตุไฉนเจ้าจึงล่วงเกินคิดจะสังหารเล่าปี่เล่า
ซุนกวนทั้งเกรงทั้งกลัวมารดา เห็นนางงอก๊กไถ้โกรธอย่างรุนแรงดังนั้นก็กลัวจึงรีบบ่ายเบี่ยงว่าเรื่องราวทั้งนี้ข้าพเจ้าไม่ได้รู้เห็นเกี่ยวข้อง แต่จะถามความให้ประจักษ์
ว่าแล้วซุนกวนจึงแสร้งเรียกลิห้อมเข้ามาถามว่าผู้ใดจัดแจงแต่งมือสังหารมาซุ่มไว้เพื่อจะสังหารเล่าปี่
ลิห้อมได้ยินคำถามซุนกวนดังนั้นคิดจะออกหน้ารับเสียเองเพื่อเอาใจซุนกวน แต่เมื่อสังเกตสีหน้าของก๊กไถ้แล้วเห็นโกรธแค้นราวกับจะกินเลือดกินเนื้อซึ่งลิห้อมไม่เคยเห็นมาแต่ก่อนก็กลัวว่าเรื่องราวครั้งนี้หากพลาดพลั้งก็อาจถึงตาย และซุนกวนเองก็อาจไม่สามารถช่วยชีวิตได้
ลิห้อมคิดดังนั้นแล้วจึงปัดความผิดออกจากตัวว่าข้าพเจ้ามิได้รู้เห็นเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ แต่พอที่จะทราบว่าแกหัวเป็นผู้คิดอ่านจัดการแต่ผู้เดียว
นางงอก๊กไถ้ได้ฟังดังนั้นไม่ทันคิด สำคัญว่าแกหัวเป็นผู้คิดอ่านทำการแต่ผู้เดียวจึงเรียกแกหัวเข้ามาในห้องโถง แล้วถามว่าเจ้าคิดอ่านวางแผนสังหารเล่าปี่หรือ
แกหัวได้ฟังคำก๊กไถ้ด้วยน้ำเสียงดุดันและทรงอำนาจก็ตกใจ มองไปที่ลิห้อมเห็นเบือนหน้าหนีไปทางอื่น จึงหันมามองซุนกวนก็เห็นนิ่งอึ้ง คิดจะกล่าวความตามจริงก็เกรงว่าซุนกวนจะเอาโทษตายในภายหลัง จะรับเสียเองก็เกรงอาญาก๊กไถ้ คิดไปคิดมาไม่เห็นว่าจะตอบประการใดดี แกหัวจึงก้มหน้านิ่งอยู่
นางงอก๊กไถ้เห็นดังนั้นก็สำคัญว่าแกหัวยอมจำนนจึงด่าว่าแกหัวเป็นอันมากแล้วสั่งทหารให้จับกุมตัวแกหัวเอาไปประหาร
แกหัวฟังคำสั่งประหารก็ตกใจ ร้องขอชีวิตให้ก๊กไถ้ไว้ชีวิตสักครั้งหนึ่ง แต่ก๊กไถ้กลับนิ่งเฉยเป็นนัยว่ายืนยันการสั่งประหาร ทหารจึงเจ้าคุมตัวแกหัวไว้
เล่าปี่เห็นดังนั้นก็คลายใจว่าสถานการณ์ปลอดภัยแน่แล้วจึงคิดทำบุญคุณไว้กับแกหัวให้กระทบไปถึงซุนกวน ดังนั้นเล่าปี่จึงโบกมือเป็นทีให้ทหารซึ่งคุมตัวแกหัวนั้นรั้งรออยู่ก่อน
แล้วเล่าปี่จึงคำนับนางงอกก๊กไถ้และว่าซึ่งก๊กไถ้มีคำสั่งให้ประหารชีวิตแกหัวในวันนี้นั้นไม่สมควร ด้วยว่าเป็นการมงคลของข้าพเจ้าและบุตรสาวท่าน หากประหารชีวิตแกหัวเสียเพราะข้าพเจ้าญาติพี่น้องพรรคพวกของแกหัวก็จะมีพยาบาทกับข้าพเจ้าเป็นอันมาก ไหนเลยข้าพเจ้าจะพึ่งใบบุญท่านให้มีความสุขสืบไปได้ ขอก๊กไถ้ได้เมตตายกโทษไว้ชีวิตให้แกหัวสักครั้งหนึ่ง
เกียวก๊กโลเห็นดังนั้นจึงช่วยว่ากล่าวขอให้นางงอก๊กไถ้ไว้ชีวิตแกหัวเพื่อมิให้เล่าปี่ต้องมีศัตรูสืบไปในภายหน้า
นางงอก๊กไถ้ฟังคำขอโทษของเล่าปี่ก็เห็นชอบด้วยเหตุผล ครั้นก๊กโลกล่าวหนุนมาดังนั้นจึงยกโทษให้แกหัว แล้วขับให้แกหัวรีบไปพาพรรคพวกกลับไป
แกหัวรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดก็มีความยินดี คำนับขอบคุณเล่าปี่ที่ช่วยชีวิต เล่าปี่ก็คำนับตอบ จากนั้นแกหัวจึงคำนับขอบคุณก๊กไถ้และก๊กโลแล้วลากลับออกไปหาทหารพรรคพวกซึ่งซุ่มอยู่นั้น ด่าว่าระบายอารมณ์เอากับทหารเหล่านั้นแล้วเร่งให้รีบกลับไปกรมกองในทันที ทหารเหล่านั้นเห็นเหตุการณ์พลิกผันจึงต่างคนต่างรีบหนีออกไปจากวัดกำลอ.
เล่าปี่ได้ฟังก็เห็นชอบสั่งจูล่งให้จัดแจงทหารและรีบเข้านอนแต่หัวค่ำ พรุ่งนี้เวลาเช้าให้เตรียมตัวให้พร้อมจงทุกคน
ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้านางงอก๊กไถ้และเกียวก๊กโลได้ไปรออยู่ที่วัด ทางซุนกวนก็สั่งให้พนักงานแต่งโต๊ะเตรียมจัดเลี้ยงรับรองเล่าปี่ที่ห้องโถงหน้าของวิหารวัดกำลอและพาที่ปรึกษาและขุนนางผู้ใหญ่ไปที่วัดพร้อมกัน จากนั้นจึงให้ลิห้อมไปเชิญเล่าปี่
วันนั้นเล่าปี่ ซุนเขียน จูล่ง และทหารทั้งปวงตื่นแต่เวลาเช้า สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) บรรยายว่า “เล่าปี่จึงแต่งตัวใส่เกราะน้อยชั้นในใส่เสื้อชั้นนอก ทหารซึ่งจะไปด้วยนั้นก็ให้แต่งตัวเอากระบี่ตะพายแล่งทุกคน” แต่จูล่งนั้นแต่งตัวใส่เกราะเหมือนกับจะออกศึก สะพายกระบี่แชฮ้งเกี้ยม ถือทวนคู่ใจขี่ม้าคุมทหารคอยท่าอยู่
ครั้นลิห้อมมาเชิญเล่าปี่จึงขึ้นขี่ม้าขี่เคียงคู่กับลิห้อม โดยจูล่งขี่ม้าพาทหารทั้งห้าร้อยติดตามไปเล่าปี่ไปอย่างกระชั้นชิด
แผนอุบายนางลวงของจิวยี่กำลังถูกทำลายด้วยอุบายของขงเบ้งที่สั่งการไว้ในหนังสือลับ ทำให้การลวงเล่าปี่มาแต่งงานกับน้องสาวซุนกวนมีทีท่าว่าจะกลับกลายเป็นเรื่องจริง แต่จะเป็นประการใดนั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนางงอก๊กไถ้มารดาเลี้ยงของซุนกวนว่าจะชอบใจเล่าปี่เชื้อพระวงศ์ผู้อาภัพหรือไม่ การดูตัวเล่าปี่ที่วัดกำลอจึงเกิดขึ้นดังนี้
พอลิห้อมพาเล่าปี่ไปถึงประตูวัด เล่าปี่จึงลงจากหลังม้า ลิห้อมและคนทั้งปวงเห็นดังนั้นก็ทำตามเล่าปี่แล้วชวนกันเดินเข้าไปในวัด
ซุนกวนยืนคอยท่าเล่าปี่อยู่ที่ด้านนอกวิหาร เห็นเล่าปี่เดินมาแต่ไกลใส่เสื้อคลุมสีเหลืองลวดลายมังกรฟ้อนเมฆตามศักดิ์เชื้อพระวงศ์ฮั่นชั้นพระเจ้าอาของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ใบหน้าผ่องใสเบิกบานมีสง่าราศี ท่าทีอ่อนโยนนุ่มนวลยิ่งนัก ก็รำพึงแต่ในใจว่าตัวเราเป็นชายคิดหมายจะฆ่าเล่าปี่เสีย แต่พอพบตัวจริงก็ให้มีใจเมตตาใคร่จะคบหาให้สนิท ทั้งท่วงท่าเล่าปี่ก็มีสง่าน่าเกรงขาม หากมารดาเราพบเล่าปี่เห็นจะมีน้ำใจรักใคร่เมตตามากกว่าเราเสียอีก อุบายซึ่งคิดไว้จะไม่เสียการไปหรือ
ซุนกวนมองเล่าปี่ไปพลางรำพึงไปพลางจนแทบจะลืมตัวก็ได้ยินเสียงลิห้อมเตือนเล่าปี่ดังมาว่าที่ยืนอยู่หน้าวิหารนั้นคือซุนกวน ดังนั้นซุนกวนจึงเดินมาที่เชิงบันไดยิ้มให้เล่าปี่ ส่วนเล่าปี่เห็นดังนั้นก็ยิ้มให้ซุนกวนและรีบก้าวเดินเข้ามาหา
เล่าปี่และซุนกวนต่างคำนับทักทายกันตามธรรมเนียมแล้ว ซุนกวนจึงว่ามารดาข้าพเจ้ารอพบท่านอยู่นานแล้ว และเชิญเล่าปี่ขึ้นไปบนวิหาร เดินเข้าประตูห้องโถงกลางตามธรรมเนียมแขกเมืองผู้สูงศักดิ์
ซุนกวนพาเล่าปี่เข้าไปหานางงอกก๊กไถ้ซึ่งนั่งเคียงคู่อยู่กับเกียวก๊กโลในห้องโถง เล่าปี่เห็นเกียวก๊กโลก็ค้อมศีรษะแล้วยิ้มให้ เกียวก๊กโลก็ผายมือไปทางนางงอก๊กไถ้เป็นนัยแนะนำแก่เล่าปี่
เล่าปี่เห็นสตรีผู้มีวัยเลยกลางคนนั่งเป็นสง่าอยู่กลางห้องโถงมีใบหน้าเต็มไปด้วยความอบอุ่นและเมตตาแต่ทรงไว้ซึ่งอำนาจ ก็คาดหมายว่าสตรีนางนี้แล้วคือพระแม่เมืองกังตั๋ง ครั้นเห็นสัญญาณจากผู้เฒ่าเกียวก๊กโลจึงเดินตรงเข้าไปตรงหน้าพระแม่เมืองกังตั๋ง แล้วคุกเข่าลงกับพื้นแสดงความคำนับและคารวะด้วยความเคารพอย่างสูง ปากก็กล่าวว่าเล่าปี่ขอคารวะก๊กไถ้
นางงอก๊กไถ้สังเกตอากัปกริยาของว่าที่ลูกเขยทุกย่างก้าว เห็นท่วงท่าคมสันมีสง่าราศี ทุกย่างก้าวราวกับพญาสิงห์ผู้เป็นเจ้าแห่งป่าก้าวเดินเนิบนาบนุ่มนวลและหนักแน่นนัก ใบหน้าเปี่ยมด้วยความการุณย์อบอุ่นใจแก่ผู้พบห็น ตามีประกายเจิดจ้าทรงอำนาจ อาภรณ์ประดับกายตามศักดิ์ของเชื้อพระวงศ์ยามต้องแสงสว่างยามเช้าดูงดงามยิ่งนัก กลบข่มความมีวัยห้าสิบไปสิ้น แลเล่าปี่นั้นชั่วชีวิตกรำศึกอยู่กับหลังม้าออกกำลังกายสม่ำเสมอดังนั้นจึงดูภายนอกเสมอด้วยคนในวัยกลางคนเท่านั้น
นางงอก๊กไถ้จึงพึงใจเล่าปี่ในทันทีที่พบเห็นดังที่ซุนกวนได้คาดคะเนไว้ ดังนั้นพอเล่าปี่คุกเข่าลงคำนับนางงอก๊กไถ้จึงโบกมือเป็นทีให้เล่าปี่ลุกขึ้น ปากก็ว่าพระเจ้าอาลุกขึ้นแล้วเชิญนั่งลงเถิด
เกียวก๊กโลบัดนี้กลายเป็นกองเชียร์ของเล่าปี่เห็นทีท่านางงอก๊กไถ้ดังนั้นก็รู้ทีจึงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
ก๊กไถ้ได้ทักทายเล่าปี่ตามธรรมเนียมผู้ใหญ่ผู้น้อยแล้วจึงเชิญเล่าปี่ไปกินโต๊ะ เกียวก๊กโล ซุนกวน และเล่าปี่ จึงเดินตามนางงอก๊กไถ้ไปนั่งที่โต๊ะเดียวกัน จูล่งก็เดินไปยืนอยู่ข้างหลังของเล่าปี่
ระหว่างกินโต๊ะนางงอก๊กไถ้ได้ปรารภกับรัฐบุรุษอาวุโสเกียวก๊กโลว่า “เล่าปี่รูปร่างจริตกิริยาก็สมควรเป็นเขยเราอยู่แล้ว”
ซุนกวนได้ยินคำมารดาตกลงปลงใจว่าชอบใจเล่าปี่ก็ได้แต่นิ่งเฉย ในขณะที่เกียวก๊กโลและเล่าปี่นั้นมีสีหน้าท่าทางยินดี
เกียวก๊กโลจึงเสริมคำนางงอก๊กไถ้ว่า “อันลักษณะเล่าปี่ดีนัก มีน้ำใจกรุณาแก่ราษฎรทั้งปวง นานไปจะมีบุญทั้งอายุก็จะยืน ควรที่จะเป็นบุตรเขยท่าน”
ว่าแล้วทั้งเกียวก๊กโลและนางงอก๊กไถ้ก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน เกียวก๊กโลจึงชวนให้ทุกคนดื่มสุรามงคลพร้อมกัน
ในขณะที่นางงอก๊กไถ้ยกจอกสุราขึ้นดื่ม สังเกตเห็นทหารคนหนึ่งยืนเป็นสง่าอยู่ข้างหลังเล่าปี่เป็นที่สะดุดตา จึงถามเล่าปี่ว่าทหารคนนี้มีชื่อใด
เล่าปี่หันมาทางจูล่งแล้วบอกว่านี่คือจูล่ง และให้จูล่งคำนับ จูล่งจึงคำนับนางงอก๊กไถ้ ซุนกวนและเกียวก๊กโล แล้วยืนสงบอยูในที่เดิม
นางงอก๊กไถ้เห็นจูล่งสง่างามนุ่มนวลดังนั้นก็มีน้ำใจเมตตา ถามต่อไปว่าเมื่อครั้งศึกทุ่งเตียงปัน โจโฉยกทหารร้อยหมื่นล้อมเอาบุตรภรรยาท่านไว้ จูล่งคนนี้นี่หรือที่ได้สู้รบกับทหารโจโฉแต่กลางคืนจนถึงเวลาบ่ายแล้วแก้เอาบุตรภรรยาท่านออกมาได้
เล่าปี่ก็รับคำว่าใช่จูล่งผู้นี้นี่แล้ว
นางงอก๊กไถ้ฟังว่าเป็นจูล่งวีรชนแห่งทุ่งเตียงปันก็มีความยินดี กล่าวสรรเสริญวีรกรรมของจูล่งเป็นอันมากแล้วสั่งคนรับใช้ให้รินสุราส่งให้จูล่งดื่ม จูล่งรับสุรามาดื่มแล้วคำนับขอบคุณนางงอก๊กไถ้
พอส่งจอกสุราคืนแก่คนรับใช้แล้วจูล่งจึงเอียงหน้าเข้าไปกระซิบที่ข้างหูเล่าปี่ว่า เมื่อตอนขามานั้นข้าพเจ้าสังเกตเห็นมือสังหารประมาณสามร้อยคนมีอาวุธพร้อมซุ่มอยู่ทั้งสองข้างทาง เห็นจะคิดร้ายแก่ท่านเป็นมั่นคง จงเร่งคิดอ่านระวังตนให้จงดี
เล่าปี่ได้ฟังคำจูล่งดังนั้นก็ตกใจ
นางงอก๊กไถ้สังเกตเห็นจูล่งเข้ามากระซิบความแก่เล่าปี่ก็สงสัย ครั้นเห็นสีหน้าเล่าปี่มีอาการตื่นตระหนก จึงถามเล่าปี่ว่าจูล่งบอกความเรื่องใดแก่ท่านเป็นการร้ายหรือ
เล่าปี่กำลังครุ่นคิดหาทางเอาตัวรอด พอได้ฟังคำนางงอก๊กไถ้ที่ถามมาด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใยก็เห็นทางออก
เล่าปี่มองหน้าพระแม่เมืองกังตั๋งแล้วมองหน้ารัฐบุรุษอาวุโส เห็นสองผู้เฒ่ามีแววตาเป็นห่วงเป็นใยคล้ายกับจะเร่งให้เล่าปี่รีบบอกความ เล่าปี่จึงลุกจากที่นั่งมาคุกเข่าลงตรงหน้านางงอกก๊กไถ้ ร้องไห้แล้วว่า “ท่านจะฆ่าข้าพเจ้าเสียก็ตามเถิด แต่โปรดอย่าให้ข้าพเจ้าได้ความลำบากเลย”
สองผู้เฒ่าได้ยินความจากปากเล่าปี่เป็นเรื่องสำคัญถึงคอขาดบาดตายก็ตกใจ นางงอก๊กไถ้ได้ถามขึ้นในทันทีว่าพวกเรากำลังกินโต๊ะกันอยู่ในวัดซึ่งเป็นสถานที่อันปลอดจากการปาณาติบาตทั้งปวง ไฉนท่านจึงกล่าวว่าเราจะฆ่าท่านเล่า
เล่าปี่จึงตอบว่าท่านมีเมตตาเชิญข้าพเจ้ามากินโต๊ะในวัดข้าพเจ้าก็แจ้งอยู่ว่าเป็นการมงคลจึงมาน้อมรับความเมตตาท่านโดยสุจริต แต่สองข้างทางของวัดนี้กลับมีมือสังหารซุ่มซ่อนอยู่ร่วมสามร้อยนาย เห็นจะทำร้ายข้าพเจ้าภายหลังแต่กินโต๊ะแล้วเป็นแน่แท้ กล่าวแล้วเล่าปี่ก็ร้องไห้
นางงอก๊กไถ้ได้ฟังดังนั้นก็โกรธซุนกวน ขว้างจอกสุราลงกับพื้น ชี้หน้าซุนกวนแล้วว่าเล่าปี่เป็นบุตรเขยเรา เหตุไฉนเจ้าจึงล่วงเกินคิดจะสังหารเล่าปี่เล่า
ซุนกวนทั้งเกรงทั้งกลัวมารดา เห็นนางงอก๊กไถ้โกรธอย่างรุนแรงดังนั้นก็กลัวจึงรีบบ่ายเบี่ยงว่าเรื่องราวทั้งนี้ข้าพเจ้าไม่ได้รู้เห็นเกี่ยวข้อง แต่จะถามความให้ประจักษ์
ว่าแล้วซุนกวนจึงแสร้งเรียกลิห้อมเข้ามาถามว่าผู้ใดจัดแจงแต่งมือสังหารมาซุ่มไว้เพื่อจะสังหารเล่าปี่
ลิห้อมได้ยินคำถามซุนกวนดังนั้นคิดจะออกหน้ารับเสียเองเพื่อเอาใจซุนกวน แต่เมื่อสังเกตสีหน้าของก๊กไถ้แล้วเห็นโกรธแค้นราวกับจะกินเลือดกินเนื้อซึ่งลิห้อมไม่เคยเห็นมาแต่ก่อนก็กลัวว่าเรื่องราวครั้งนี้หากพลาดพลั้งก็อาจถึงตาย และซุนกวนเองก็อาจไม่สามารถช่วยชีวิตได้
ลิห้อมคิดดังนั้นแล้วจึงปัดความผิดออกจากตัวว่าข้าพเจ้ามิได้รู้เห็นเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ แต่พอที่จะทราบว่าแกหัวเป็นผู้คิดอ่านจัดการแต่ผู้เดียว
นางงอก๊กไถ้ได้ฟังดังนั้นไม่ทันคิด สำคัญว่าแกหัวเป็นผู้คิดอ่านทำการแต่ผู้เดียวจึงเรียกแกหัวเข้ามาในห้องโถง แล้วถามว่าเจ้าคิดอ่านวางแผนสังหารเล่าปี่หรือ
แกหัวได้ฟังคำก๊กไถ้ด้วยน้ำเสียงดุดันและทรงอำนาจก็ตกใจ มองไปที่ลิห้อมเห็นเบือนหน้าหนีไปทางอื่น จึงหันมามองซุนกวนก็เห็นนิ่งอึ้ง คิดจะกล่าวความตามจริงก็เกรงว่าซุนกวนจะเอาโทษตายในภายหลัง จะรับเสียเองก็เกรงอาญาก๊กไถ้ คิดไปคิดมาไม่เห็นว่าจะตอบประการใดดี แกหัวจึงก้มหน้านิ่งอยู่
นางงอก๊กไถ้เห็นดังนั้นก็สำคัญว่าแกหัวยอมจำนนจึงด่าว่าแกหัวเป็นอันมากแล้วสั่งทหารให้จับกุมตัวแกหัวเอาไปประหาร
แกหัวฟังคำสั่งประหารก็ตกใจ ร้องขอชีวิตให้ก๊กไถ้ไว้ชีวิตสักครั้งหนึ่ง แต่ก๊กไถ้กลับนิ่งเฉยเป็นนัยว่ายืนยันการสั่งประหาร ทหารจึงเจ้าคุมตัวแกหัวไว้
เล่าปี่เห็นดังนั้นก็คลายใจว่าสถานการณ์ปลอดภัยแน่แล้วจึงคิดทำบุญคุณไว้กับแกหัวให้กระทบไปถึงซุนกวน ดังนั้นเล่าปี่จึงโบกมือเป็นทีให้ทหารซึ่งคุมตัวแกหัวนั้นรั้งรออยู่ก่อน
แล้วเล่าปี่จึงคำนับนางงอกก๊กไถ้และว่าซึ่งก๊กไถ้มีคำสั่งให้ประหารชีวิตแกหัวในวันนี้นั้นไม่สมควร ด้วยว่าเป็นการมงคลของข้าพเจ้าและบุตรสาวท่าน หากประหารชีวิตแกหัวเสียเพราะข้าพเจ้าญาติพี่น้องพรรคพวกของแกหัวก็จะมีพยาบาทกับข้าพเจ้าเป็นอันมาก ไหนเลยข้าพเจ้าจะพึ่งใบบุญท่านให้มีความสุขสืบไปได้ ขอก๊กไถ้ได้เมตตายกโทษไว้ชีวิตให้แกหัวสักครั้งหนึ่ง
เกียวก๊กโลเห็นดังนั้นจึงช่วยว่ากล่าวขอให้นางงอก๊กไถ้ไว้ชีวิตแกหัวเพื่อมิให้เล่าปี่ต้องมีศัตรูสืบไปในภายหน้า
นางงอก๊กไถ้ฟังคำขอโทษของเล่าปี่ก็เห็นชอบด้วยเหตุผล ครั้นก๊กโลกล่าวหนุนมาดังนั้นจึงยกโทษให้แกหัว แล้วขับให้แกหัวรีบไปพาพรรคพวกกลับไป
แกหัวรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดก็มีความยินดี คำนับขอบคุณเล่าปี่ที่ช่วยชีวิต เล่าปี่ก็คำนับตอบ จากนั้นแกหัวจึงคำนับขอบคุณก๊กไถ้และก๊กโลแล้วลากลับออกไปหาทหารพรรคพวกซึ่งซุ่มอยู่นั้น ด่าว่าระบายอารมณ์เอากับทหารเหล่านั้นแล้วเร่งให้รีบกลับไปกรมกองในทันที ทหารเหล่านั้นเห็นเหตุการณ์พลิกผันจึงต่างคนต่างรีบหนีออกไปจากวัดกำลอ.