ตอนที่ 305. อานุภาพแห่งโลกนิติ
นางงอก๊กไถ้ได้ฟังรายงานสอดคล้องต้องกันกับคำของของเกียวก๊กโล ทั้งการก็ได้ดำเนินไปโดยถูกต้องตามประเพณี จนเล่าปี่ว่าที่ลูกเขยได้เดินทางมาถึงเมืองลำชีแล้วผู้เป็นว่าที่แม่ยายยังไม่ทราบความ ก๊กไถ้พระแม่เมืองกังตั๋งจึงทั้งตกใจ น้อยใจและเสียใจ ขว้างถ้วยชาลงกับพื้นจนแตกละเอียด แล้วร้องไห้ว่าไฉนซุนกวนจึงหมิ่นน้ำใจเรา
นางงอก๊กไถ้จึงสั่งสาวใช้ให้รีบไปตามซุนกวนมาพบในทันทีให้จงได้ สาวใช้เห็นก๊กไถ้โกรธขึ้งรุนแรงในลักษณะที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนก็ตกใจ คำนับรับคำสั่งแล้วรีบออกไป
ยุทธวิธีทำของคว่ำให้เป็นของหงาย ทำเรื่องปกปิดให้เป็นที่เปิดเผย ซึ่งขงเบ้งได้สั่งการไว้ในหนังสือลับฉบับแรก หากเปรียบเทียบกับการทหารก็เหมือนกับการจัดทหารเป็นสองกองกระหนาบเข้าตีพร้อมกัน กองหนึ่งเข้าตีทางด้านมวลชนผูกมัดตระกูลซุนด้วยโลกนิติว่าถ้าฆ่าเล่าปี่ตายนางซุนฮูหยินก็จะต้องเป็นหม้ายไปตลอดชีวิต อีกกองหนึ่งเข้าตีทางเครือญาติผู้ใหญ่ของซุนกวนทั้งก๊กไถ้และก๊กโลเพื่ออาศัยเป็นกลไกบังคับให้เรื่องลวงต้องกลายเป็นเรื่องจริง
อานุภาพแห่งปัญญาของผู้แจ้งฟ้าจบดินจัดจ้านเชิงชั้นสรรพอุบายเล่ห์กลกำลังแผ่ปกคลุมเหนือแดนกังตั๋งอีกครั้งหนึ่งหลังจากสิ้นสงครามเซ็กเพ็ก และกำลังจู่โจมตรงไปที่ซุนกวนผู้เป็นเจ้าเมืองทางนิตินัย แต่ภายในครอบครัวก็คือบุตรเลี้ยงของนางงอก๊กไถ้ซึ่งซุนกวนทั้งรักทั้งเคารพและเกรงกลัวเสมอด้วยมารดาตัวเอง
ซุนกวนทราบว่าเล่าปี่เดินทางมาเมืองลำชีโดยที่ไม่ทันตั้งตัวเตรียมการ จึงได้แต่ส่ง ลิห้อมไปต้อนรับตามธรรมเนียมก่อนแล้วจะได้คิดการตามแผนการของจิวยี่ต่อไป ในขณะที่รอฟังข่าวจากลิห้อมอยู่นั้นหญิงรับใช้ในจวนของก๊กไถ้ก็ลุกลี้ลุกลนเข้ามาพบ และแจ้งว่าก๊กไถ้ขอเชิญซุนกวนไปพบในทันที
ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็ประหลาดใจ ถามว่ามีเรื่องร้อนประการใดหรือ
เด็กรับใช้จึงตอบว่าจะเป็นเรื่องราวประการนั้นไม่แจ้ง แต่ท่าทางของก๊กไถ้ท่าจะไม่ค่อยสบาย ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็ตกใจสำคัญว่าก๊กไถ้ป่วยด้วยโรคปัจจุบัน จึงรีบไปที่จวนของก๊กไถ้ในทันที
พอนางงอก๊กไถ้เห็นซุนกวนเข้ามาคำนับก็ร้องไห้ เอามือทุบอกชกหัวซบหน้าลงกับโต๊ะ แล้วว่าซุนกวนเจ้าอกตัญญูดูหมิ่นน้ำใจเรานัก แล้วนางก็ร่ำไห้เป็นที่เวทนายิ่ง
ซุนกวนแต่ครั้งเริ่มจำความได้เคยเห็นแต่ความรักเมตตาเอาใจใส่ของแม่น้าที่มีต่อตัวเองเคยเห็นแต่ความอ่อนโยน เบิกบาน และใบหน้าที่ยิ้มอย่างอบอุ่น ไม่เคยประจักษ์ลักษณาการของแม่น้าที่เสียใจน้อยใจเศร้าโศก เต็มไปด้วยโทสะคละปนกันดังนี้มาก่อน ทั้งตลอดชั่วเวลาอันยาวนานก็ได้ยินแต่คำสั่งสอนปลอบประโลมใจไม่เคยได้ยินคำตัดพ้อต่อว่าว่าเป็นคนอกตัญญู ครั้นได้เห็นได้ยินดังนั้นซุนกวนก็ยิ่งตกใจ คุกเข่าลงที่พื้นตรงหน้านางงอก๊กไถ้เอามือทั้งสองกุมมือนางแนบกับอก แล้วถามว่าแม่ร้องไห้โกรธข้าพเจ้าด้วยเรื่องใดหรือ
นางงอก๊กไถ้ยังคงร่ำไห้และกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ตัวเจ้ามิได้เกิดในอุทรเรา เราก็รักเสมอกับบุตรอันเกิดในอุทร เมื่อพี่เราจะตายนั้นก็ได้สั่งเจ้าไว้ จะกระทำการสิ่งใดให้ปรึกษาเราก่อน แลเจ้าทำการถึงเพียงนี้ก็มิได้บอกเรา”
ซุนกวนได้ฟังคำแม่น้าดังนั้นก็ตกใจไม่ทราบว่าเป็นเรื่องราวใดใหญ่โตแต่หาได้เฉลียวใจคิดไปถึงว่าจะเป็นเรื่องการมาแต่งงานของเล่าปี่ไม่ เพราะเรื่องนี้ปิดลับไว้อย่างรัดกุม มีผู้รู้เห็นเพียงสี่คนคือซุนกวน จิวยี่ โลซก และลิห้อมเท่านั้น และทุกคนก็ไม่เคยได้เข้ามาพบปะพูดจากับนางงอก๊กไถ้ในรื่องนี้
ซุนกวนเห็นแม่น้าตกอยู่ในอาการดังนั้นก็สงสาร นึกถึงคุณนางที่เลี้ยงดูมาแต่อ้อนแต่ออก น้ำใจก็ประหวัดรำลึกถึงมารดา นัยน์ตาซุนกวนก็เริ่มแดงกล่ำและกล่าวขึ้นว่า “ข้าพเจ้าทำการสิ่งใดให้มารดาขัดเคืองจงว่าให้แจ้งเถิด จะมานิ่งร้องไห้อยู่ฉะนี้ข้าพเจ้าหามีความสบายไม่”
นางงอก๊กไถ้เห็นซุนกวนว่ากล่าวแต่โดยซื่อจึงกล่าวว่า “อันธรรมดาเกิดมาเป็นคนที่มีบุตรหญิงชาย ครั้นเลี้ยงใหญ่แล้วก็คิดอ่านจะตกแต่งให้มีเหย้าเรือน ตัวเราก็เป็นมารดาเลี้ยงของเจ้าก็เหมือนมารดาตัว เจ้าคิดอ่านจะเอาบุตรหญิงของเราไปให้แก่ เล่าปี่ จนนัดงานการกันพาเล่าปี่มาถึงเมืองแล้ว เหตุใดจึงไม่ปรึกษาเรา”
ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็ตกใจอึ้งอยู่ครู่หนึ่งคิดไม่ถึงว่ามารดาจะทราบความอันเป็นอุบายครั้งนี้ จึงไล่เลียงถามว่าเป็นผู้ใดนำความนี้มากล่าวแก่มารดาหรือ
นางงอก๊กไถ้ฟังคำซุนกวนก็แจ้งว่าคิดจะบ่ายเบี่ยงเลี่ยงหลบ จึงว่า “อันการดังนี้แม้มิให้ใครรู้ก็อย่าทำ อันทำแล้วจะปิดให้มิดนั้นไม่ได้ ราษฎรชาวเมืองลำชีนี้ก็รู้ทั่วกันแล้ว เจ้ากลับมาพรางเราอีกเล่า”
ผู้เฒ่าเกียวก๊กโลนั่งนิ่งฟังสองแม่ลูกโต้ตอบกันดังนั้นแล้ว จึงกล่าวเสริมว่าเนื้อความทั้งนี้เราก็รู้เห็นอยู่สิ้น และมีความยินดีในการมงคลครั้งนี้จึงมาแสดงความยินดี น้อยใจก็แต่ซุนกวนท่านไฉนจึงไม่บอกข่าวมงคลให้เราได้รู้ก่อน
ซุนกวนได้ฟังคำสองผู้เฒ่าแล้วก็เห็นว่าเมื่อความจริงประจักษ์ขึ้นดังนี้แล้ว ขืนปิดบังต่อไปย่อมไร้ผล ทั้งมารดาก็ขุ่นใจขัดเคืองหากจะรับว่าเป็นความคิดตัวก็กลัวเกรงมารดาจึงแก้ตัวว่า “อันการงานครั้งนี้ข้าพเจ้าจะเป็นตัวคิดอ่านทำหามิได้ เป็นความคิดกลอุบายของจิวยี่จะคืนเอาเมืองเกงจิ๋ว จึงคิดอ่านลวงให้เล่าปี่มาแล้วจะจับเอาตัวใส่คุกไว้ ให้ ขงเบ้งเอาเมืองเกงจิ๋วนั้นเปลี่ยนตัวเล่าปี่ไป แม้ขงเบ้งไม่ทำตามคำก็จะฆ่าเล่าปี่เสีย ใช่จะทำโดยสุจริตนั้นหาไม่ ข้าพเจ้าจึงมิได้ปรึกษากับมารดา”
นางงอก๊กไถ้ได้ฟังดังนั้นจึงหันมาที่เกียวก๊กโลแล้วว่าเป็นเพราะไอ้ลูกเขยตัวดีของท่านนี่เอง เกียวก๊กโลคิดไม่ถึงว่าระเบิดอารมณ์ลูกใหญ่จะมาลงที่ตัว จึงรีบปัดเป็นพัลวันว่าไฉนก๊กไถ้ท่านจะมาลงที่ข้าพเจ้าเล่า ข้าพเจ้าอยู่แต่ที่บ้านหาได้รับรู้เรื่องราวใดไม่
เกียวก๊กโลกล่าวยังไม่ทันจบคำ นางงอก๊กไถ้กล่าวแทรกขึ้นด่าจิวยี่ว่า “มันเป็นนายทหารผู้ใหญ่ในเมืองกังตั๋ง มีหัวเมืองเอกถึงหกหัวเมือง เมืองตรีจัตวาแปดสิบเอ็ดหัวเมือง อาญาสิทธิ์ก็อยู่กับมือ แต่จะคิดกลอุบายเอาเมืองเกงจิ๋วเท่านี้ไม่ได้หรือ จำเพาะเอาบุตรีเราไปทำกลจะลวงฆ่าเล่าปี่ ให้คนทั้งปวงเลื่องลือว่าเรายกบุตรหญิงให้เป็นภรรยาเล่าปี่ เมื่อเล่าปี่ตายแล้วบุตรเราก็เป็นหม้ายอยู่ สืบไปเมื่อหน้าผู้ใดจะอาจมาขอเล่า จะทำให้บุตรีเราเสียคนไปฉะนี้ ให้มันทำจงดี”
นางงอก๊กไถ้ยิ่งกล่าวก็ยิ่งโกรธ เสียงนางค่อยดังขึ้นเสียงร้องไห้ก็ดังขึ้นตามกลั้วกันไป ในขณะที่ซุนกวนก็ก้มหน้านิ่งคล้ายกับจะอดสูต่อถ้อยคำของนางงอก๊กไถ้เพราะเมื่อพิเคราะห์ตามคำนางก็เห็นจริงตามคำนั้น ชีวิตของนางซุนฮูหยินผู้เป็นน้องสาวแม้จะเป็นน้องต่างมารดาแต่ซุนกวนก็ผูกพันรักใคร่เหมือนหนึ่งน้องที่คลานตามกันมาเพราะเติบใหญ่มาด้วยกันก็จะตกเป็นหม้ายเหมือนหนึ่งตกนรกทั้งชีวิต น้ำจิตของซุนกวนจึงโน้มไปในทางสงสารและห่วงใยนาง น้ำตาซุนกวนจึงเริ่มไหลซึมพูดจาประการใดไม่ได้
เกียวก๊กโลเห็นบรรยากาศอึมครึมเคร่งเครียดจึงกล่าวว่า อันแผนการของจิวยี่ครั้งนี้คงจะได้เมืองเกงจิ๋วเป็นมั่นคง แต่ถ้าฆ่าเล่าปี่เสียแล้วซุนหยินหลานเราก็จะตกเป็นหม้ายผัวตายเป็นทุกข์ทรมานทั้งชีวิต เราผู้เฒ่าแม้จะตายก่อนแต่นอนตายหลับตาไม่ลงเลย ซุนกวนเจ้าจึงต้องรำลึกนึกถึงมารดาเจ้าว่าจะมิตรอมใจตายเพราะอุบายอันลามกนี้ดอกหรือ อนึ่งเล่าซุนเกี๋ยนบิดาเจ้าและซุนเซ็กพี่เจ้าล้วนเป็นวีรชน ทำการใดเปิดเผยตรงไปตรงมาหาเคยคิดเอาสตรีเป็นเหยื่อทำอุบายล่อลวงดังนี้ไม่ เจ้าทำการทั้งนี้คนทั้งปวงก็จะเยาะเย้ยหยามหยันจนเสื่อมเสียไปถึงซุนเกี๋ยนแลซุนเซ็ก แม้ตัวเจ้าในยามเป็นจะเหลือหน้ากล้ามองชาวเมืองกังตั๋งหรือ ถึงยามตายเล่าเจ้าจะกล่าวแก้กับบิดาแลพี่ชายได้ฉันใด
ซุนกวนได้ฟังคำรัฐบุรุษอาวุโสพรรณนาความทั้งใกล้ไกลแจ่มแจ้งในขบบธรรมเนียมประเพณีแลวิถีชีวิตที่ต้องเป็นไปก็อับจนถ้อยมิรู้ที่จะกล่าวประการใด นางงอก๊กไถ้ก็ยิ่งด่า จิวยี่ไม่ขาดปากว่าเป็นคนสิ้นคิด
เกียวก๊กโลเห็นบรรยากาศยังคงตึงเครียดแต่เงียบงันลงด้วยเหตุผลตัวจึงกล่าวสืบไปว่า “การก็เป็นถึงเพียงนี้จนราษฎรรู้ทั่วกันแล้ว เล่าปี่ก็เป็นคนมีสติปัญญา แล้วเป็นเชื้อวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ เอาเป็นเขยเถิดจะได้พ้นความละอายซึ่งคนทั้งปวงจะครหานินทา”
อานุภาพแห่งโลกนิติและความผูกพันในครอบครัวตามขนบธรรมเนียมจีนโบราณกำลังก่อเกิดเป็นพลังบังคับให้แผนการกลอุบายที่ลวงเล่าปี่มาแต่งงานให้กลับกลายเป็นเรื่องจริงจังขึ้นมาแล้ว!
ซุนกวนได้ฟังดังนั้นจึงเกี่ยงว่าเล่าปี่เป็นเชื้อพระวงศ์แลมีสติปัญญานั้นก็จริงอยู่ แต่เล่าปี่เป็นผู้ใหญ่สูงวัยกว่าซุนหยินมากราวเป็นพ่อกับลูก หาเหมาะสมที่จะครองคู่กันไม่
เกียวก๊กโลจึงแย้งว่าเล่าปี่นี้หาได้แก่เฒ่าเหมือนคำเจ้าไม่ ตัวเราได้พบกับเล่าปี่แล้วยังหนุ่มอยู่อีก ทั้งยังมีสง่าราศีนุ่มนวล กิริยาวาจาก็เรียบร้อยมีสติปัญญาเป็นอันมาก วันข้างหน้าจะได้เป็นใหญ่ ก๊กไถ้ท่านรับเล่าปี่ไว้เป็นเขยแล้วจะไม่ขายหน้าแก่ผู้ใดในแผ่นดิน ซุนกวนเจ้าก็จะไม่ขายหน้าน้องสาวที่คัดเลือกเล่าปี่ให้เป็นคู่ครอง
ซุนกวนได้ฟังคำเกียวก๊กโลแล้วชำเลืองมองมารดาเห็นค่อยคลายโทสะลงก็รู้ว่าสบอารมณ์ในเหตุผลของเกียวก๊กโล จึงไม่กล้าทักทวงเกียวก๊กโลอีกต่อไป
นางงอก๊กไถ้ฟังคำเกียวก๊กโลเห็นเป็นทางออกที่พอจะแก้หน้าตระกูลซุนเอาไว้ได้ แต่ยังคงติดใจด้วยวัยของเล่าปี่ว่าจะเป็นเฒ่าชะแรแก่ชราควรแก่การครองคู่ด้วยบุตรีตัวหรือไม่ จึงว่าตัวเราไม่เคยรู้จักหน้าค่าตาของเล่าปี่ หากว่าแก่เฒ่าคราวเดียวกับเราแล้วเราก็ไม่ปลงใจให้ลูกสาวเราทนทุกข์อยู่กินกับคนแก่จะเป็นเวรกรรมเนิ่นนานไปเบื้องหน้า ดังนั้นเราจะขอดูตัวเล่าปี่สักครั้งหนึ่งก่อน ถ้าชอบใจเราก็จะยอมรับไว้เป็นเขย แต่ถ้าไม่ชอบใจก็ตามใจซุนกวนเจ้าเถิด
แล้วนางงอก๊กไถ้จึงว่าในวันพรุ่งนี้เวลาเช้าเราจะไปรออยู่ที่วัดกำลอ ให้เชิญเล่าปี่ไปให้เราดูตัวที่วัดนี้
นางงอก๊กไถ้กล่าวความแล้วก็เดินเข้าไปในห้อง ซุนกวนมองหน้าเกียวก๊กโลเห็นส่ายหน้าไม่ว่ากล่าวจึงคำนับก๊กโลแล้วกลับไป
เกียวก๊กโลเห็นทุกคนไปแล้วก็กลับไปที่พัก แล้วให้คนใช้ไปบอกแก่เล่าปี่ที่เรือนรับรองแขกเมืองว่าการซึ่งเล่าปี่จะมาแต่งงานครั้งนี้นางงอก๊กไถ้ทราบความแล้วจะขอดูตัวเล่าปี่ จึงให้มาเชิญเล่าปี่ไปกินโต๊ะที่วัดกำลอในวันพรุ่งนี้เวลาเช้า ให้เล่าปี่ตระเตรียมตัวไว้ให้พร้อม ก่อนถึงเวลานัดซุนกวนจะให้ลิห้อมมาเชิญไปที่วัด
ฝ่ายซุนกวนครั้นกลับไปถึงจวนได้ใช้ทหารให้ไปตามตัวลิห้อมมาพบแล้วปรึกษาว่าในวันพรุ่งนี้เวลาเช้าก๊กไถ้จะดูตัวเล่าปี่ที่วัดกำลอ แล้วอนุญาตว่าถ้าดูตัวแล้วไม่ชอบใจก็ให้เราจัดการกับเล่าปี่ตามแต่ใจเรา ท่านจะมีความเห็นประการใด
ลิห้อมจึงว่าถ้าเป็นดังนี้ก็ชอบที่ท่านจะเตรียมการจับตัวเล่าปี่ไว้ให้พร้อม ขอให้ท่านตั้งแกหัวคุมทหารสามร้อยไปซุ่มอยู่ที่สองข้างทางวัดกำลอ ถ้าก๊กไถ้ไม่ชอบใจเล่าปี่ก็ให้ท่านแจ้งสัญญาณเป็นสำคัญแล้วให้แกหัวคุมทหารออกมาจับตัวเล่าปี่คงจะได้ตัวโดยง่าย
ซุนกวนได้ฟังความเห็นของลิห้อมก็เห็นด้วย จึงสั่งทหารให้ตามตัวแกหัวมาพบ แล้วสั่งการให้แกหัวจัดแจงทหารไปทำการตามคำของลิห้อมทุกประการ
แกหัวรับคำสั่งแล้วคำนับลาซุนกวนไปจัดแจงทหารสามร้อยซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นมือสังหาร และยกไปวางกำลังซุ่มอยู่ทั้งสองข้างทางของวัดกำลอตั้งแต่เวลายามสามของคืนวันนั้น
ฝ่ายเล่าปี่เมื่อได้ทราบข่าวจากเกียวก๊กโลก็มีความยินดี จึงเรียกซุนเขียนและจูล่งมาปรึกษาและเล่าความทั้งปวงให้ซุนเขียนและจูล่งทราบ
จูล่งจึงว่าก๊กไถ้นัดท่านไปกินโต๊ะดูตัวที่วัดกำลอเวลาวันพรุ่งนี้ หากแม้นชอบใจก็แล้วไปเถิด แต่ถ้าหากไม่ชอบใจเล่าเห็นจะวางใจซุนกวนไม่ได้ ด้วยคบคิดกับจิวยี่ทำอุบายจะทำร้ายท่าน ท่านก็จะเสี่ยงอันตรายนัก ดังนั้นในวันพรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะขอคุมทหารห้าร้อยยกตามท่านไป เผื่อมีเหตุร้ายเกิดขึ้นจะได้แก้ไขป้องกันท่านได้ทันท่วงที.
นางงอก๊กไถ้จึงสั่งสาวใช้ให้รีบไปตามซุนกวนมาพบในทันทีให้จงได้ สาวใช้เห็นก๊กไถ้โกรธขึ้งรุนแรงในลักษณะที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนก็ตกใจ คำนับรับคำสั่งแล้วรีบออกไป
ยุทธวิธีทำของคว่ำให้เป็นของหงาย ทำเรื่องปกปิดให้เป็นที่เปิดเผย ซึ่งขงเบ้งได้สั่งการไว้ในหนังสือลับฉบับแรก หากเปรียบเทียบกับการทหารก็เหมือนกับการจัดทหารเป็นสองกองกระหนาบเข้าตีพร้อมกัน กองหนึ่งเข้าตีทางด้านมวลชนผูกมัดตระกูลซุนด้วยโลกนิติว่าถ้าฆ่าเล่าปี่ตายนางซุนฮูหยินก็จะต้องเป็นหม้ายไปตลอดชีวิต อีกกองหนึ่งเข้าตีทางเครือญาติผู้ใหญ่ของซุนกวนทั้งก๊กไถ้และก๊กโลเพื่ออาศัยเป็นกลไกบังคับให้เรื่องลวงต้องกลายเป็นเรื่องจริง
อานุภาพแห่งปัญญาของผู้แจ้งฟ้าจบดินจัดจ้านเชิงชั้นสรรพอุบายเล่ห์กลกำลังแผ่ปกคลุมเหนือแดนกังตั๋งอีกครั้งหนึ่งหลังจากสิ้นสงครามเซ็กเพ็ก และกำลังจู่โจมตรงไปที่ซุนกวนผู้เป็นเจ้าเมืองทางนิตินัย แต่ภายในครอบครัวก็คือบุตรเลี้ยงของนางงอก๊กไถ้ซึ่งซุนกวนทั้งรักทั้งเคารพและเกรงกลัวเสมอด้วยมารดาตัวเอง
ซุนกวนทราบว่าเล่าปี่เดินทางมาเมืองลำชีโดยที่ไม่ทันตั้งตัวเตรียมการ จึงได้แต่ส่ง ลิห้อมไปต้อนรับตามธรรมเนียมก่อนแล้วจะได้คิดการตามแผนการของจิวยี่ต่อไป ในขณะที่รอฟังข่าวจากลิห้อมอยู่นั้นหญิงรับใช้ในจวนของก๊กไถ้ก็ลุกลี้ลุกลนเข้ามาพบ และแจ้งว่าก๊กไถ้ขอเชิญซุนกวนไปพบในทันที
ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็ประหลาดใจ ถามว่ามีเรื่องร้อนประการใดหรือ
เด็กรับใช้จึงตอบว่าจะเป็นเรื่องราวประการนั้นไม่แจ้ง แต่ท่าทางของก๊กไถ้ท่าจะไม่ค่อยสบาย ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็ตกใจสำคัญว่าก๊กไถ้ป่วยด้วยโรคปัจจุบัน จึงรีบไปที่จวนของก๊กไถ้ในทันที
พอนางงอก๊กไถ้เห็นซุนกวนเข้ามาคำนับก็ร้องไห้ เอามือทุบอกชกหัวซบหน้าลงกับโต๊ะ แล้วว่าซุนกวนเจ้าอกตัญญูดูหมิ่นน้ำใจเรานัก แล้วนางก็ร่ำไห้เป็นที่เวทนายิ่ง
ซุนกวนแต่ครั้งเริ่มจำความได้เคยเห็นแต่ความรักเมตตาเอาใจใส่ของแม่น้าที่มีต่อตัวเองเคยเห็นแต่ความอ่อนโยน เบิกบาน และใบหน้าที่ยิ้มอย่างอบอุ่น ไม่เคยประจักษ์ลักษณาการของแม่น้าที่เสียใจน้อยใจเศร้าโศก เต็มไปด้วยโทสะคละปนกันดังนี้มาก่อน ทั้งตลอดชั่วเวลาอันยาวนานก็ได้ยินแต่คำสั่งสอนปลอบประโลมใจไม่เคยได้ยินคำตัดพ้อต่อว่าว่าเป็นคนอกตัญญู ครั้นได้เห็นได้ยินดังนั้นซุนกวนก็ยิ่งตกใจ คุกเข่าลงที่พื้นตรงหน้านางงอก๊กไถ้เอามือทั้งสองกุมมือนางแนบกับอก แล้วถามว่าแม่ร้องไห้โกรธข้าพเจ้าด้วยเรื่องใดหรือ
นางงอก๊กไถ้ยังคงร่ำไห้และกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ตัวเจ้ามิได้เกิดในอุทรเรา เราก็รักเสมอกับบุตรอันเกิดในอุทร เมื่อพี่เราจะตายนั้นก็ได้สั่งเจ้าไว้ จะกระทำการสิ่งใดให้ปรึกษาเราก่อน แลเจ้าทำการถึงเพียงนี้ก็มิได้บอกเรา”
ซุนกวนได้ฟังคำแม่น้าดังนั้นก็ตกใจไม่ทราบว่าเป็นเรื่องราวใดใหญ่โตแต่หาได้เฉลียวใจคิดไปถึงว่าจะเป็นเรื่องการมาแต่งงานของเล่าปี่ไม่ เพราะเรื่องนี้ปิดลับไว้อย่างรัดกุม มีผู้รู้เห็นเพียงสี่คนคือซุนกวน จิวยี่ โลซก และลิห้อมเท่านั้น และทุกคนก็ไม่เคยได้เข้ามาพบปะพูดจากับนางงอก๊กไถ้ในรื่องนี้
ซุนกวนเห็นแม่น้าตกอยู่ในอาการดังนั้นก็สงสาร นึกถึงคุณนางที่เลี้ยงดูมาแต่อ้อนแต่ออก น้ำใจก็ประหวัดรำลึกถึงมารดา นัยน์ตาซุนกวนก็เริ่มแดงกล่ำและกล่าวขึ้นว่า “ข้าพเจ้าทำการสิ่งใดให้มารดาขัดเคืองจงว่าให้แจ้งเถิด จะมานิ่งร้องไห้อยู่ฉะนี้ข้าพเจ้าหามีความสบายไม่”
นางงอก๊กไถ้เห็นซุนกวนว่ากล่าวแต่โดยซื่อจึงกล่าวว่า “อันธรรมดาเกิดมาเป็นคนที่มีบุตรหญิงชาย ครั้นเลี้ยงใหญ่แล้วก็คิดอ่านจะตกแต่งให้มีเหย้าเรือน ตัวเราก็เป็นมารดาเลี้ยงของเจ้าก็เหมือนมารดาตัว เจ้าคิดอ่านจะเอาบุตรหญิงของเราไปให้แก่ เล่าปี่ จนนัดงานการกันพาเล่าปี่มาถึงเมืองแล้ว เหตุใดจึงไม่ปรึกษาเรา”
ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็ตกใจอึ้งอยู่ครู่หนึ่งคิดไม่ถึงว่ามารดาจะทราบความอันเป็นอุบายครั้งนี้ จึงไล่เลียงถามว่าเป็นผู้ใดนำความนี้มากล่าวแก่มารดาหรือ
นางงอก๊กไถ้ฟังคำซุนกวนก็แจ้งว่าคิดจะบ่ายเบี่ยงเลี่ยงหลบ จึงว่า “อันการดังนี้แม้มิให้ใครรู้ก็อย่าทำ อันทำแล้วจะปิดให้มิดนั้นไม่ได้ ราษฎรชาวเมืองลำชีนี้ก็รู้ทั่วกันแล้ว เจ้ากลับมาพรางเราอีกเล่า”
ผู้เฒ่าเกียวก๊กโลนั่งนิ่งฟังสองแม่ลูกโต้ตอบกันดังนั้นแล้ว จึงกล่าวเสริมว่าเนื้อความทั้งนี้เราก็รู้เห็นอยู่สิ้น และมีความยินดีในการมงคลครั้งนี้จึงมาแสดงความยินดี น้อยใจก็แต่ซุนกวนท่านไฉนจึงไม่บอกข่าวมงคลให้เราได้รู้ก่อน
ซุนกวนได้ฟังคำสองผู้เฒ่าแล้วก็เห็นว่าเมื่อความจริงประจักษ์ขึ้นดังนี้แล้ว ขืนปิดบังต่อไปย่อมไร้ผล ทั้งมารดาก็ขุ่นใจขัดเคืองหากจะรับว่าเป็นความคิดตัวก็กลัวเกรงมารดาจึงแก้ตัวว่า “อันการงานครั้งนี้ข้าพเจ้าจะเป็นตัวคิดอ่านทำหามิได้ เป็นความคิดกลอุบายของจิวยี่จะคืนเอาเมืองเกงจิ๋ว จึงคิดอ่านลวงให้เล่าปี่มาแล้วจะจับเอาตัวใส่คุกไว้ ให้ ขงเบ้งเอาเมืองเกงจิ๋วนั้นเปลี่ยนตัวเล่าปี่ไป แม้ขงเบ้งไม่ทำตามคำก็จะฆ่าเล่าปี่เสีย ใช่จะทำโดยสุจริตนั้นหาไม่ ข้าพเจ้าจึงมิได้ปรึกษากับมารดา”
นางงอก๊กไถ้ได้ฟังดังนั้นจึงหันมาที่เกียวก๊กโลแล้วว่าเป็นเพราะไอ้ลูกเขยตัวดีของท่านนี่เอง เกียวก๊กโลคิดไม่ถึงว่าระเบิดอารมณ์ลูกใหญ่จะมาลงที่ตัว จึงรีบปัดเป็นพัลวันว่าไฉนก๊กไถ้ท่านจะมาลงที่ข้าพเจ้าเล่า ข้าพเจ้าอยู่แต่ที่บ้านหาได้รับรู้เรื่องราวใดไม่
เกียวก๊กโลกล่าวยังไม่ทันจบคำ นางงอก๊กไถ้กล่าวแทรกขึ้นด่าจิวยี่ว่า “มันเป็นนายทหารผู้ใหญ่ในเมืองกังตั๋ง มีหัวเมืองเอกถึงหกหัวเมือง เมืองตรีจัตวาแปดสิบเอ็ดหัวเมือง อาญาสิทธิ์ก็อยู่กับมือ แต่จะคิดกลอุบายเอาเมืองเกงจิ๋วเท่านี้ไม่ได้หรือ จำเพาะเอาบุตรีเราไปทำกลจะลวงฆ่าเล่าปี่ ให้คนทั้งปวงเลื่องลือว่าเรายกบุตรหญิงให้เป็นภรรยาเล่าปี่ เมื่อเล่าปี่ตายแล้วบุตรเราก็เป็นหม้ายอยู่ สืบไปเมื่อหน้าผู้ใดจะอาจมาขอเล่า จะทำให้บุตรีเราเสียคนไปฉะนี้ ให้มันทำจงดี”
นางงอก๊กไถ้ยิ่งกล่าวก็ยิ่งโกรธ เสียงนางค่อยดังขึ้นเสียงร้องไห้ก็ดังขึ้นตามกลั้วกันไป ในขณะที่ซุนกวนก็ก้มหน้านิ่งคล้ายกับจะอดสูต่อถ้อยคำของนางงอก๊กไถ้เพราะเมื่อพิเคราะห์ตามคำนางก็เห็นจริงตามคำนั้น ชีวิตของนางซุนฮูหยินผู้เป็นน้องสาวแม้จะเป็นน้องต่างมารดาแต่ซุนกวนก็ผูกพันรักใคร่เหมือนหนึ่งน้องที่คลานตามกันมาเพราะเติบใหญ่มาด้วยกันก็จะตกเป็นหม้ายเหมือนหนึ่งตกนรกทั้งชีวิต น้ำจิตของซุนกวนจึงโน้มไปในทางสงสารและห่วงใยนาง น้ำตาซุนกวนจึงเริ่มไหลซึมพูดจาประการใดไม่ได้
เกียวก๊กโลเห็นบรรยากาศอึมครึมเคร่งเครียดจึงกล่าวว่า อันแผนการของจิวยี่ครั้งนี้คงจะได้เมืองเกงจิ๋วเป็นมั่นคง แต่ถ้าฆ่าเล่าปี่เสียแล้วซุนหยินหลานเราก็จะตกเป็นหม้ายผัวตายเป็นทุกข์ทรมานทั้งชีวิต เราผู้เฒ่าแม้จะตายก่อนแต่นอนตายหลับตาไม่ลงเลย ซุนกวนเจ้าจึงต้องรำลึกนึกถึงมารดาเจ้าว่าจะมิตรอมใจตายเพราะอุบายอันลามกนี้ดอกหรือ อนึ่งเล่าซุนเกี๋ยนบิดาเจ้าและซุนเซ็กพี่เจ้าล้วนเป็นวีรชน ทำการใดเปิดเผยตรงไปตรงมาหาเคยคิดเอาสตรีเป็นเหยื่อทำอุบายล่อลวงดังนี้ไม่ เจ้าทำการทั้งนี้คนทั้งปวงก็จะเยาะเย้ยหยามหยันจนเสื่อมเสียไปถึงซุนเกี๋ยนแลซุนเซ็ก แม้ตัวเจ้าในยามเป็นจะเหลือหน้ากล้ามองชาวเมืองกังตั๋งหรือ ถึงยามตายเล่าเจ้าจะกล่าวแก้กับบิดาแลพี่ชายได้ฉันใด
ซุนกวนได้ฟังคำรัฐบุรุษอาวุโสพรรณนาความทั้งใกล้ไกลแจ่มแจ้งในขบบธรรมเนียมประเพณีแลวิถีชีวิตที่ต้องเป็นไปก็อับจนถ้อยมิรู้ที่จะกล่าวประการใด นางงอก๊กไถ้ก็ยิ่งด่า จิวยี่ไม่ขาดปากว่าเป็นคนสิ้นคิด
เกียวก๊กโลเห็นบรรยากาศยังคงตึงเครียดแต่เงียบงันลงด้วยเหตุผลตัวจึงกล่าวสืบไปว่า “การก็เป็นถึงเพียงนี้จนราษฎรรู้ทั่วกันแล้ว เล่าปี่ก็เป็นคนมีสติปัญญา แล้วเป็นเชื้อวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ เอาเป็นเขยเถิดจะได้พ้นความละอายซึ่งคนทั้งปวงจะครหานินทา”
อานุภาพแห่งโลกนิติและความผูกพันในครอบครัวตามขนบธรรมเนียมจีนโบราณกำลังก่อเกิดเป็นพลังบังคับให้แผนการกลอุบายที่ลวงเล่าปี่มาแต่งงานให้กลับกลายเป็นเรื่องจริงจังขึ้นมาแล้ว!
ซุนกวนได้ฟังดังนั้นจึงเกี่ยงว่าเล่าปี่เป็นเชื้อพระวงศ์แลมีสติปัญญานั้นก็จริงอยู่ แต่เล่าปี่เป็นผู้ใหญ่สูงวัยกว่าซุนหยินมากราวเป็นพ่อกับลูก หาเหมาะสมที่จะครองคู่กันไม่
เกียวก๊กโลจึงแย้งว่าเล่าปี่นี้หาได้แก่เฒ่าเหมือนคำเจ้าไม่ ตัวเราได้พบกับเล่าปี่แล้วยังหนุ่มอยู่อีก ทั้งยังมีสง่าราศีนุ่มนวล กิริยาวาจาก็เรียบร้อยมีสติปัญญาเป็นอันมาก วันข้างหน้าจะได้เป็นใหญ่ ก๊กไถ้ท่านรับเล่าปี่ไว้เป็นเขยแล้วจะไม่ขายหน้าแก่ผู้ใดในแผ่นดิน ซุนกวนเจ้าก็จะไม่ขายหน้าน้องสาวที่คัดเลือกเล่าปี่ให้เป็นคู่ครอง
ซุนกวนได้ฟังคำเกียวก๊กโลแล้วชำเลืองมองมารดาเห็นค่อยคลายโทสะลงก็รู้ว่าสบอารมณ์ในเหตุผลของเกียวก๊กโล จึงไม่กล้าทักทวงเกียวก๊กโลอีกต่อไป
นางงอก๊กไถ้ฟังคำเกียวก๊กโลเห็นเป็นทางออกที่พอจะแก้หน้าตระกูลซุนเอาไว้ได้ แต่ยังคงติดใจด้วยวัยของเล่าปี่ว่าจะเป็นเฒ่าชะแรแก่ชราควรแก่การครองคู่ด้วยบุตรีตัวหรือไม่ จึงว่าตัวเราไม่เคยรู้จักหน้าค่าตาของเล่าปี่ หากว่าแก่เฒ่าคราวเดียวกับเราแล้วเราก็ไม่ปลงใจให้ลูกสาวเราทนทุกข์อยู่กินกับคนแก่จะเป็นเวรกรรมเนิ่นนานไปเบื้องหน้า ดังนั้นเราจะขอดูตัวเล่าปี่สักครั้งหนึ่งก่อน ถ้าชอบใจเราก็จะยอมรับไว้เป็นเขย แต่ถ้าไม่ชอบใจก็ตามใจซุนกวนเจ้าเถิด
แล้วนางงอก๊กไถ้จึงว่าในวันพรุ่งนี้เวลาเช้าเราจะไปรออยู่ที่วัดกำลอ ให้เชิญเล่าปี่ไปให้เราดูตัวที่วัดนี้
นางงอก๊กไถ้กล่าวความแล้วก็เดินเข้าไปในห้อง ซุนกวนมองหน้าเกียวก๊กโลเห็นส่ายหน้าไม่ว่ากล่าวจึงคำนับก๊กโลแล้วกลับไป
เกียวก๊กโลเห็นทุกคนไปแล้วก็กลับไปที่พัก แล้วให้คนใช้ไปบอกแก่เล่าปี่ที่เรือนรับรองแขกเมืองว่าการซึ่งเล่าปี่จะมาแต่งงานครั้งนี้นางงอก๊กไถ้ทราบความแล้วจะขอดูตัวเล่าปี่ จึงให้มาเชิญเล่าปี่ไปกินโต๊ะที่วัดกำลอในวันพรุ่งนี้เวลาเช้า ให้เล่าปี่ตระเตรียมตัวไว้ให้พร้อม ก่อนถึงเวลานัดซุนกวนจะให้ลิห้อมมาเชิญไปที่วัด
ฝ่ายซุนกวนครั้นกลับไปถึงจวนได้ใช้ทหารให้ไปตามตัวลิห้อมมาพบแล้วปรึกษาว่าในวันพรุ่งนี้เวลาเช้าก๊กไถ้จะดูตัวเล่าปี่ที่วัดกำลอ แล้วอนุญาตว่าถ้าดูตัวแล้วไม่ชอบใจก็ให้เราจัดการกับเล่าปี่ตามแต่ใจเรา ท่านจะมีความเห็นประการใด
ลิห้อมจึงว่าถ้าเป็นดังนี้ก็ชอบที่ท่านจะเตรียมการจับตัวเล่าปี่ไว้ให้พร้อม ขอให้ท่านตั้งแกหัวคุมทหารสามร้อยไปซุ่มอยู่ที่สองข้างทางวัดกำลอ ถ้าก๊กไถ้ไม่ชอบใจเล่าปี่ก็ให้ท่านแจ้งสัญญาณเป็นสำคัญแล้วให้แกหัวคุมทหารออกมาจับตัวเล่าปี่คงจะได้ตัวโดยง่าย
ซุนกวนได้ฟังความเห็นของลิห้อมก็เห็นด้วย จึงสั่งทหารให้ตามตัวแกหัวมาพบ แล้วสั่งการให้แกหัวจัดแจงทหารไปทำการตามคำของลิห้อมทุกประการ
แกหัวรับคำสั่งแล้วคำนับลาซุนกวนไปจัดแจงทหารสามร้อยซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นมือสังหาร และยกไปวางกำลังซุ่มอยู่ทั้งสองข้างทางของวัดกำลอตั้งแต่เวลายามสามของคืนวันนั้น
ฝ่ายเล่าปี่เมื่อได้ทราบข่าวจากเกียวก๊กโลก็มีความยินดี จึงเรียกซุนเขียนและจูล่งมาปรึกษาและเล่าความทั้งปวงให้ซุนเขียนและจูล่งทราบ
จูล่งจึงว่าก๊กไถ้นัดท่านไปกินโต๊ะดูตัวที่วัดกำลอเวลาวันพรุ่งนี้ หากแม้นชอบใจก็แล้วไปเถิด แต่ถ้าหากไม่ชอบใจเล่าเห็นจะวางใจซุนกวนไม่ได้ ด้วยคบคิดกับจิวยี่ทำอุบายจะทำร้ายท่าน ท่านก็จะเสี่ยงอันตรายนัก ดังนั้นในวันพรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะขอคุมทหารห้าร้อยยกตามท่านไป เผื่อมีเหตุร้ายเกิดขึ้นจะได้แก้ไขป้องกันท่านได้ทันท่วงที.