ตอนที่ 303. สู่เงื้อมมือมัจจุราช
สงครามกลอุบายระหว่างสองยอดกุนซือระเบิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งโดยจิวยี่ยอดกุนซือเมืองกังตั๋งวางอุบายนางลวงล่อให้เล่าปี่ไปแต่งงานที่เมืองกังตั๋งแล้วจะจับไว้เป็นตัวประกันให้ขงเบ้งเอาเมืองเกงจิ๋วมาแลก ฝ่ายขงเบ้งยอดกุนซือของเล่าปี่ก็แจ้งในอุบายของจิวยี่ แต่แทนที่จะเลี่ยงหลบกลับเข้าเผชิญหน้าซึ่งหน้า เดินเข้าหาแผนอุบายของจิวยี่ หวังจะเอาทั้งตัวน้องสาวซุนกวนให้แก่เล่าปี่ เอาทั้งเมืองเกงจิ๋วไว้เป็นสิทธิของเล่าปี่ และผูกดองซุนกวนไว้เป็นพันธมิตรสู้รบกับโจโฉต่อไป
ขงเบ้งย่อมรู้ดีว่าฝ่ายเมืองกังตั๋งนั้นผู้ที่ตั้งตนเป็นหัวโจกในการเป็นปรปักษ์กับเล่าปี่คือจิวยี่ หากสิ้นจิวยี่เสียคนหนึ่งแล้วไมตรีระหว่างสองเมืองก็จะยั่งยืนสถาพร ดังนั้นในขณะที่รับคำท้าเดินเข้ากลอุบายของจิวยี่ ความประสงค์ที่ซ่อนอยู่ในใจของขงเบ้งจึงหาได้อยู่ในขอบเขตเพียงเท่าการได้ตัวน้องสาวซุนกวน การได้เมืองเกงจิ๋ว และการผูกดองระหว่างสองฝ่ายเท่านั้นไม่ หากยังมีความต้องการกำจัดจิวยี่ออกจากบัญชีคนไปสู่บัญชีผีให้จงได้ แต่การซึ่งจะกำจัดจิวยี่หากใช้อาวุธหรือน้ำมือทหารก็หาได้เป็นเกียรติศักดิ์ของคนระดับยอดกุนซือไม่ ดังนั้นอาวุธที่กำหนดขึ้นเพื่อการสังหารจิวยี่คือการทำลายความคิด ทะลวงจิตวิญญาณของจิวยี่ให้ย่อยยับดับดิ้น ซึ่งนับว่าอำมหิตมิได้น้อยกว่าการสังหารด้วยคมอาวุธเลย
แต่การดำเนินกุศโลบายครั้งนี้จะไม่มีวันสำเร็จได้ถ้าหากเล่าปี่ไม่วางใจในความคิดอ่านและสติปัญญาของขงเบ้งในระดับที่กล้าเอาชีวิตตัวเป็นเดิมพัน เพราะถ้าหากเล่าปี่ไม่ยินยอมพร้อมใจเดินทางไปแต่งงานด้วยน้องสาวซุนกวนแล้ว ก็ไม่มีทางที่แผนการทำลายความคิดของจิวยี่จะบรรลุผลได้
เป็นธรรมดาของคนทุกคนที่ต้องรักหวงห่วงใยในชีวิตตัว การเสี่ยงภัยใด ๆ หากเสี่ยงด้วยทรัพย์สินเงินทอง ดินแดน หรือแม้ชีวิตของคนอื่นย่อมไม่ยากที่จะมีคนกล้าเสี่ยง แต่ถ้าหากเอาชีวิตตัวเองเป็นเดิมพันในการเสี่ยงภัย จะมีสักกี่คนเล่าที่กล้าหาญชาญชัยถึงปานนั้น เพราะการตกไปอยู่ในเงื้อมมือของจิวยี่ที่เมืองกังตั๋งซึ่งพรั่งพร้อมทั้งกำลังทหารแลอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งปวง ในขณะที่ไม่มีทางที่จะส่งกำลังหนุนหรือกองทัพไปคุ้มกันได้นั้น นับเป็นอันตรายที่ล่อแหลมที่สุดดังหนึ่งเอาเนื้อไปให้เสือ ดังนั้นการตัดสินใจของเล่าปี่จึงเป็นปัจจัยชี้ขาดในสงครามกลอุบายของสองยอดกุนซือและการที่เล่าปี่จะตัดสินใจเดินทางไปเมืองกังตั๋งหรือไม่นั้น ย่อมขึ้นอยู่กับความศรัทธาเชื่อถือไว้วางใจว่าจะอยู่ในระดับใด เพราะหากไม่วางใจและมั่นใจในระดับที่สูงสุดแล้ว ไหนเลยจะยอมเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง
แต่เล่าปี่นั้นแม้เป็นเชื้อพระวงศ์พเนจร อาภัพอับวาสนาก็จริงอยู่ แต่ก็รู้ดีว่าวิถีชีวิตซึ่งผันแปรมาได้ถึงวันนี้ จากที่ถูกไล่ตามตีจนแม้แผ่นดินสักตารางนิ้วหนึ่งก็ไม่มีที่จะอาศัยกลับกลายมาเป็นเจ้าเมืองเกงจิ๋วและหัวเมืองบนฝั่งเหนือของแม่น้ำแยงซีถึงเจ็ดหัวเมืองนั้น หาใช่ได้มาเพราะโชคช่วย หรือฟ้าบันดลสวรรค์บันดาลประการใดไม่ หากได้มาโดยความคิดและสติปัญญาของคนซึ่งตัวสู้ทรมานตรากตรำความหนาวเหน็บออกไปเชิญถึงเขามังกรหลับถึงสามครั้งโดยแท้ เพราะเหตุนี้ชีวิตของเล่าปี่ในวันนี้จึงเป็นชีวิตใหม่ซึ่งได้มาด้วยการประทานของพญามังกรแห่งเขาโงลังกั๋ง-จูกัดเหลียง-ขงเบ้ง
ดังนั้นเล่าปี่จึงตัดสินใจทำตามแผนการความคิดของขงเบ้งทุกประการ
แต่ถึงแม้จะวางใจขงเบ้งสักเพียงไหน และทั้ง ๆ ที่ได้ตัดสินใจทำตามแผนการความคิดของขงเบ้งแล้ว เล่าปี่ก็ยังสงสัยติดใจอยู่ สีหน้าจึงมิสู้สบายนัก
ขงเบ้งเห็นสีหน้าและอากัปกิริยาของเล่าปี่ก็รู้ที แต่ก็มั่นใจในตัวเล่าปี่ว่าศรัทธาเชื่อถือไว้วางใจในตัวเอง ทั้งตัวขงเบ้งเล่าก็มั่นใจในแผนการความคิดเด็ดเดี่ยวนัก ดังนั้นจึงสั่งซุนเขียนให้เดินทางไปเมืองกังตั๋งพร้อมกับลิห้อม แล้วให้นัดหมายกับซุนกวนกำหนดวันแต่งงานของเล่าปี่กับนางซุนฮูหยินให้แน่นอน เพื่อเล่าปี่จะได้เดินทางไปเมืองกังตั๋งต่อไป
ซุนเขียนรับคำสั่งแล้วคำนับลาเล่าปี่และขงเบ้งกลับไปจัดแจงข้าวของเพื่อเตรียมเดินทางไปเมืองกังตั๋งพร้อมกับลิห้อมในวันรุ่งขึ้น
เมื่อซุนเขียนคำนับลาออกไปแล้ว ขงเบ้งเห็นเล่าปี่สีหน้าไม่ค่อยสู้สบายนักก็อมยิ้ม แล้วคำนับลาเล่าปี่ และว่าเมื่อครั้งศึกทุ่งพกบ๋องท่านได้ถามข้าพเจ้าว่าจะรับมือกับกองทัพแฮหัวตุ้นประการใด ข้าพเจ้าได้ตอบท่านในครั้งนั้นว่าอันการจะรับมือกับแฮหัวตุ้นประการใด ขึ้นอยู่กับใจของท่านว่าจะวางใจข้าพเจ้าเพียงไหน ท่านจึงได้มอบกระบี่อาญาสิทธิ์ให้ข้าพเจ้าบัญชาการทัพ มาครั้งนี้ท่านจะไปเมืองกังตั๋งก็เหมือนหนึ่งการทำสงคราม การจะสำเร็จประการใดก็อยู่ที่ขนาดน้ำใจท่านวางใจข้าพเจ้าประการนั้น ท่านอย่าได้วิตกไปเลย อันชีวิตของท่านกับของข้าพเจ้าแม้ต่างคนต่างชีวิต แต่ข้าพเจ้าได้ตระหนักคำนึงถึงว่าเหมือนหนึ่งเป็นชีวิตเดียวกัน ความปลอดภัยอันใดที่ข้าพเจ้าพึงคำนึงถึงชีวิตข้าพเจ้า ความปลอดภัยอันนั้นข้าพเจ้าก็ได้คำนึงถึงชีวิตท่านมากกว่าหลายเท่านัก
ขงเบ้งกล่าวสิ้นคำก็คำนับลาเล่าปี่อีกครั้งหนึ่งแล้วกลับไปที่พัก
ครั้นเวลารุ่งขึ้นขงเบ้งได้มาหาเล่าปี่ถึงที่จวนแต่เช้าตรู่ ขงเบ้งได้อธิบายถึงสภาพการเมืองของเมืองกังตั๋งและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลต่าง ๆ ให้เล่าปี่ฟังโดยละเอียด
ในขณะที่สนทนากันอยู่นั้น ลิห้อมได้มาหาเล่าปี่ คำนับกันตามธรรมเนียมแล้วเล่าปี่จึงแนะนำให้ลิห้อมรู้จักขงเบ้ง
ลิห้อมคำนับขงเบ้งตามธรรมเนียมแล้ว ขงเบ้งจึงว่าเล่าปี่ตกลงที่จะเดินทางไปแต่งงานกับน้องสาวซุนกวนที่เมืองกังตั๋ง ท่านจง “กลับไปบอกซุนกวนเถิดว่าเล่าปี่มีความยินดีนัก เราจะให้ซุนเขียนไปหาซุนกวนด้วย”
ลิห้อมได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีที่การซึ่งอาสาซุนกวนมาทำการบรรลุผลสำเร็จดังความประสงค์ทุกประการ จึงคำนับลาเล่าปี่และขงเบ้ง แล้วพาซุนเขียนลงเรือข้ามอ่าวไปยังเมืองลำชีแต่เวลานั้น
เมื่อเรือเทียบท่าเมืองลำชีแล้ว ลิห้อมได้พาซุนเขียนลงจากเรือแล้วไปหาซุนกวนที่จวน หลังจากคำนับแนะนำกันตามธรรมเนียมแล้วซุนเขียนจึงกล่าวกับซุนกวนว่าซึ่งท่านให้ลิห้อมเป็นพ่อสื่อไปว่ากล่าวให้เล่าปี่มาเข้าพิธีแต่งงานกับน้องสาวท่านที่เมืองกังตั๋งนั้น เล่าปี่และขงเบ้งมีความยินดีเป็นอันมาก ด้วยเมื่อท่านและเล่าปี่เกี่ยวพันเป็นดองกันแล้ว ไมตรีของสองเมืองก็จะสถาพร โจโฉก็จะไม่กล้ายกกองทัพมารุกรานได้อีกต่อไป ดังนั้นเล่าปี่จึงให้ข้าพเจ้าเป็นพ่อสื่อมาหาท่าน เพื่อนัดหมายกำหนดวันแต่งงานให้เป็นที่แน่นอนแล้วเล่าปี่จะได้เดินทางมาตามกำหนด
ซุนกวนได้ฟังจึงว่า “ท่านจงไปบอกแก่เล่าปี่เถิดว่าเรารักเล่าปี่โดยสุจริต มิได้คิด รังเกียจสิ่งใดจึงยกน้องสาวเราให้ ให้ขงเบ้งพิเคราะห์ดูวันฤกษ์ดี กำหนดจะได้ทำการเมื่อใดแล้วให้บอกมาถึงเราด้วย”
ซุนกวนไม่กำหนดวันแต่งงานเอง แต่โยนภาระไปให้แก่ขงเบ้งให้หาฤกษ์งามยามดีเอาตามสะดวก แล้วแจ้งให้ซุนกวนทราบเพื่อจะได้เตรียมการทางฝ่ายเมืองกังตั๋ง
การเตรียมการทางฝ่ายเมืองกังตั๋งก็คือการเตรียมการจับตัวเล่าปี่เป็นตัวประกันนั่นเอง
ซุนเขียนเห็นซุนกวนรับรู้ยืนยันถึงความซึ่งลิห้อมเป็นพ่อสื่อไปว่ากล่าวกับเล่าปี่ตรงกันก็มีความยินดี จึงคำนับลาซุนกวนกลับมาเมืองเกงจิ๋ว แล้วแจ้งเนื้อความทั้งปวงซึ่งได้สนทนาว่ากล่าวกับซุนกวนให้เล่าปี่และขงเบ้งทราบทุกประการ
เล่าปี่ได้ฟังคำซุนเขียนเห็นการกระชั้นใกล้ตัวเข้ามาก็พรั่นใจ และสงสัยเป็นอันมากว่าแผนการความคิดซึ่งขงเบ้งกำหนดนั้นจะสามารถพาชีวิตตัวรอดกลับมาเมืองเกงจิ๋วได้หรือไม่ แต่ใจหนึ่งก็เชื่อมั่นและวางใจความคิดสติปัญญาของขงเบ้ง ความสงสัยและความศรัทธาเชื่อมั่นบังเกิดขึ้นพร้อมกันดังนี้ สีหน้าเล่าปี่จึงกระอักกระอ่วนยิ่ง
ขงเบ้งเห็นสีหน้าอากัปกิริยาของเล่าปี่ก็รู้ที จึงกล่าวคำย้ำกับเล่าปี่ว่าท่านจงวางใจตัดสินใจให้เด็ดเดี่ยวก็จะกลับคืนเมืองเกงจิ๋วได้โดยปลอดภัย การเดินทางไปเมืองกังตั๋งในครั้งนี้ข้าพเจ้าจะให้จูล่งไปด้วยท่าน แล้วจะแต่งหนังสือลับขึ้นสามฉบับมอบแก่จูล่งไปกับท่าน หากขัดสนสิ่งใดก็จะสามารถแก้ไขให้ลุล่วงได้
เล่าปี่เห็นขงเบ้งยืนยันมั่นใจ มิได้สะทกสะท้าน หากเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นยิ่งกว่าครั้งใดที่ผ่านมา เล่าปี่ก็ค่อยคลายใจ แล้วว่าเป็นอันว่าข้าพเจ้าจะทำตามคำท่านทุกประการ ชีวิตข้าพเจ้าจะเป็นตายร้ายดีประการใดก็อยู่ที่ความคิดสติปัญญาของท่านประการนั้น
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วว่าท่านอย่าปรารมภ์เลย จากนั้นขงเบ้งจึงคำนับลาเล่าปี่กลับไปที่พัก
เมื่อกลับถึงที่พักขงเบ้งได้เขียนหนังสือสามฉบับใส่ถุงหนังแล้วมัดปิดผนึกเตรียมไว้ และให้ทหารไปเชิญจูล่งเข้ามาพบ
จูล่งคำนับขงเบ้งแล้วจึงถามว่าท่านเรียกหาข้าพเจ้ามาครั้งนี้มีสิ่งใดจะใช้สอยหรือ
ขงเบ้งจึงบอกจูล่งแต่เบา ๆ ว่า “บัดนี้เล่าปี่นายเราจะไปแต่งงานกับน้องสาวซุนกวน ท่านไปด้วยจงเอาใจใส่อย่าให้เล่าปี่เป็นอันตราย ถ้าอับจนประการใดจงทำตามหนังสือที่เราเขียนไปนั้นเถิด”
แล้วขงเบ้งจึงกล่าวต่อไปว่า เราได้ทำหนังสือไว้เป็นสามฉบับ แม้นขัดสนประการใดก็ให้เปิดผนึกหนังสือฉบับที่หนึ่ง ฉบับที่สอง และฉบับที่สาม ไปตามลำดับ ก็จะกลับคืนเมืองเกงจิ๋วได้โดยปลอดภัย อนึ่งเล่าท่านเป็นองครักษ์พิทักษ์เล่าปี่ไปเมืองกังตั๋งครั้งนี้ แม้ว่าจะไปในการพิธีแต่งงานแต่ให้ตระหนักไว้เนืองนิจว่าชีวิตของเล่าปี่ล่อแหลมนัก ด้วยได้เข้าไปอยู่ในเงื้อมมือของจิวยี่ ฉะนั้นจะประมาทพลาดพลั้งหรือดูเบาข้าศึกมิได้เป็นอันขาด อันชีวิตเล่าปี่ในครั้งนี้จะรอดปลอดภัยประการใดก็อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของท่าน แล้วขงเบ้งจึงส่งหนังสือสามฉบับซึ่งผนึกไว้นั้นแก่จูล่ง
เจี้ยนอันศกปีที่สิบสี่ เทศกาลต้นฤดูร้อน ขงเบ้งได้กำหนดเป็นวันฤกษ์ดี จึงจัดแจงแต่งของหมั้นและข้าวของเพื่อเป็นของขวัญแก่บรรดาญาติผู้ใหญ่ของนางซุนฮูหยิน พร้อมทั้งข้าวของในพิธีแต่งงาน แล้วให้ตระเตรียมเรือรบสิบลำ ทหารประจำเรือห้าร้อย ครั้นได้เวลาฤกษ์ขงเบ้ง เล่าปี่ จูล่ง และซุนเขียน จึงได้เดินทางออกจากจวนไปที่ฐานทัพเรือ เพื่อส่งเล่าปี่ไปเข้าพิธีแต่งงานด้วยน้องสาวซุนกวน
ครั้นไปถึงท่าเรือขงเบ้งสังเกตสีหน้าเล่าปี่ไม่สู้สบายนักก็รู้ว่าเล่าปี่ยังมีความประหวั่นพรั่นใจถึงความปลอดภัย จึงปลอบใจเล่าปี่ว่าการครั้งนี้สำคัญใหญ่หลวง ท่านจงวางใจให้เด็ดเดี่ยวมั่นคงก็จะรอดปลอดภัยกลับมาเมืองเกงจิ๋วโดยมิต้องสงสัย
เล่าปี่เห็นขงเบ้งยืนยันขันแข็งก็ค่อยคลายใจ พาจูล่งและซุนเขียนลงเรือรบ แต่พอจะก้าวเท้าลงเรือเล่าปี่ก็หันกลับมามองที่ขงเบ้ง ขงเบ้งเห็นดังนั้นก็คำนับเล่าปี่เป็นทีอำนวยพรให้เดินทางไปและกลับโดยสวัสดิภาพ
เล่าปี่รับคำนับขงเบ้งแล้วตัดสินใจเด็ดเดี่ยวก้าวเท้าลงเรือเพื่อไปสู่เงื้อมมือแห่งมัจจุราชโดยไม่สะทกสะท้านต่อไป แล้วสั่งให้ชักใบแล่นข้ามอ่าวไปที่เมืองลำชีแดนชั้นในของแคว้นกังตั๋ง
ครั้นขบวนเรือแล่นเลยปากอ่าวเข้าไปใกล้ท่าเรือเมืองลำชี เล่าปี่ก็รู้สึกไม่สบายใจ ปรึกษากับจูล่งว่าเราเดินทางมาครั้งนี้มิได้บอกกล่าวล่วงหน้าให้ซุนกวนทราบก่อน ไม่รู้ว่าขงเบ้งคิดอ่านประการใด และเมื่อถึงเมืองลำชีแล้วเราจะทำการประการใด
จูล่งได้ฟังดังนั้นจึงว่า ก่อนเดินทางมาขงเบ้งได้สั่งไว้ว่าอับจนขัดสนสิ่งใดก็ให้เปิดหนังสือลับออกดู แล้วให้ทำตามที่สั่งไว้ในหนังสือลับ การครั้งนี้ขัดสนมิรู้ทำประการใด จึงชอบที่จะเปิดหนังสือลับของขงเบ้ง เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบ
จูล่งจึงเปิดผนึกหนังสือฉบับแรกของขงเบ้งออกอ่านดู ปรากฏความว่า “ให้ทหารทั้งปวงแต่งตัวจงโอ่โถง ไปเที่ยวซื้อของในเมืองลำชี ถ้าชาวเมืองจะถามว่ามาธุระสิ่งใดก็ให้บอกว่าเล่าปี่จะมาแต่งงานกับน้องสาวซุนกวน ให้ชาวเมืองรู้จงทั่วกัน แล้วให้เล่าปี่แต่งสิ่งของเข้าไปคำนับนางเกียวก๊กโลซึ่งเป็นมารดาภรรยาซุนเซ็กและจิวยี่”
จูล่งทราบความตามหนังสือของขงเบ้งแล้วก็มีความยินดี จึงส่งหนังสือนั้นให้เล่าปี่อ่าน พอเล่าปี่อ่านจบความก็ทราบหนทางปฏิบัติจึงค่อยคลายใจ
ที่สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าให้เล่าปี่แต่งสิ่งของเข้าไปคำนับนางเกียวก๊กโลซึ่งเป็นมารดาภรรยาซุนเซ็กและจิวยี่นั้นเป็นการแปลโดยคลาดเคลื่อนของล่ามจีน เพราะความจริงเกียวก๊กโลเป็นผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิง และมีฐานะเป็นรัฐบุรุษอาวุโสคือเป็นก๊กโล ดังนั้นเกียวก๊กโลจึงมีความหมายว่ารัฐบุรุษอาวุโสแซ่เกียว ซึ่งเป็นบรรดาศักดิ์เทียบเท่ากับก๊กไถ้คือพระแม่เมืองกังตั๋ง ซึ่งหมายถึงนางงอเสี่ยวหยินผู้เป็นแม่น้าของซุนกวน และเป็นมารดาของนางซุนฮูหยิน.
ขงเบ้งย่อมรู้ดีว่าฝ่ายเมืองกังตั๋งนั้นผู้ที่ตั้งตนเป็นหัวโจกในการเป็นปรปักษ์กับเล่าปี่คือจิวยี่ หากสิ้นจิวยี่เสียคนหนึ่งแล้วไมตรีระหว่างสองเมืองก็จะยั่งยืนสถาพร ดังนั้นในขณะที่รับคำท้าเดินเข้ากลอุบายของจิวยี่ ความประสงค์ที่ซ่อนอยู่ในใจของขงเบ้งจึงหาได้อยู่ในขอบเขตเพียงเท่าการได้ตัวน้องสาวซุนกวน การได้เมืองเกงจิ๋ว และการผูกดองระหว่างสองฝ่ายเท่านั้นไม่ หากยังมีความต้องการกำจัดจิวยี่ออกจากบัญชีคนไปสู่บัญชีผีให้จงได้ แต่การซึ่งจะกำจัดจิวยี่หากใช้อาวุธหรือน้ำมือทหารก็หาได้เป็นเกียรติศักดิ์ของคนระดับยอดกุนซือไม่ ดังนั้นอาวุธที่กำหนดขึ้นเพื่อการสังหารจิวยี่คือการทำลายความคิด ทะลวงจิตวิญญาณของจิวยี่ให้ย่อยยับดับดิ้น ซึ่งนับว่าอำมหิตมิได้น้อยกว่าการสังหารด้วยคมอาวุธเลย
แต่การดำเนินกุศโลบายครั้งนี้จะไม่มีวันสำเร็จได้ถ้าหากเล่าปี่ไม่วางใจในความคิดอ่านและสติปัญญาของขงเบ้งในระดับที่กล้าเอาชีวิตตัวเป็นเดิมพัน เพราะถ้าหากเล่าปี่ไม่ยินยอมพร้อมใจเดินทางไปแต่งงานด้วยน้องสาวซุนกวนแล้ว ก็ไม่มีทางที่แผนการทำลายความคิดของจิวยี่จะบรรลุผลได้
เป็นธรรมดาของคนทุกคนที่ต้องรักหวงห่วงใยในชีวิตตัว การเสี่ยงภัยใด ๆ หากเสี่ยงด้วยทรัพย์สินเงินทอง ดินแดน หรือแม้ชีวิตของคนอื่นย่อมไม่ยากที่จะมีคนกล้าเสี่ยง แต่ถ้าหากเอาชีวิตตัวเองเป็นเดิมพันในการเสี่ยงภัย จะมีสักกี่คนเล่าที่กล้าหาญชาญชัยถึงปานนั้น เพราะการตกไปอยู่ในเงื้อมมือของจิวยี่ที่เมืองกังตั๋งซึ่งพรั่งพร้อมทั้งกำลังทหารแลอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งปวง ในขณะที่ไม่มีทางที่จะส่งกำลังหนุนหรือกองทัพไปคุ้มกันได้นั้น นับเป็นอันตรายที่ล่อแหลมที่สุดดังหนึ่งเอาเนื้อไปให้เสือ ดังนั้นการตัดสินใจของเล่าปี่จึงเป็นปัจจัยชี้ขาดในสงครามกลอุบายของสองยอดกุนซือและการที่เล่าปี่จะตัดสินใจเดินทางไปเมืองกังตั๋งหรือไม่นั้น ย่อมขึ้นอยู่กับความศรัทธาเชื่อถือไว้วางใจว่าจะอยู่ในระดับใด เพราะหากไม่วางใจและมั่นใจในระดับที่สูงสุดแล้ว ไหนเลยจะยอมเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง
แต่เล่าปี่นั้นแม้เป็นเชื้อพระวงศ์พเนจร อาภัพอับวาสนาก็จริงอยู่ แต่ก็รู้ดีว่าวิถีชีวิตซึ่งผันแปรมาได้ถึงวันนี้ จากที่ถูกไล่ตามตีจนแม้แผ่นดินสักตารางนิ้วหนึ่งก็ไม่มีที่จะอาศัยกลับกลายมาเป็นเจ้าเมืองเกงจิ๋วและหัวเมืองบนฝั่งเหนือของแม่น้ำแยงซีถึงเจ็ดหัวเมืองนั้น หาใช่ได้มาเพราะโชคช่วย หรือฟ้าบันดลสวรรค์บันดาลประการใดไม่ หากได้มาโดยความคิดและสติปัญญาของคนซึ่งตัวสู้ทรมานตรากตรำความหนาวเหน็บออกไปเชิญถึงเขามังกรหลับถึงสามครั้งโดยแท้ เพราะเหตุนี้ชีวิตของเล่าปี่ในวันนี้จึงเป็นชีวิตใหม่ซึ่งได้มาด้วยการประทานของพญามังกรแห่งเขาโงลังกั๋ง-จูกัดเหลียง-ขงเบ้ง
ดังนั้นเล่าปี่จึงตัดสินใจทำตามแผนการความคิดของขงเบ้งทุกประการ
แต่ถึงแม้จะวางใจขงเบ้งสักเพียงไหน และทั้ง ๆ ที่ได้ตัดสินใจทำตามแผนการความคิดของขงเบ้งแล้ว เล่าปี่ก็ยังสงสัยติดใจอยู่ สีหน้าจึงมิสู้สบายนัก
ขงเบ้งเห็นสีหน้าและอากัปกิริยาของเล่าปี่ก็รู้ที แต่ก็มั่นใจในตัวเล่าปี่ว่าศรัทธาเชื่อถือไว้วางใจในตัวเอง ทั้งตัวขงเบ้งเล่าก็มั่นใจในแผนการความคิดเด็ดเดี่ยวนัก ดังนั้นจึงสั่งซุนเขียนให้เดินทางไปเมืองกังตั๋งพร้อมกับลิห้อม แล้วให้นัดหมายกับซุนกวนกำหนดวันแต่งงานของเล่าปี่กับนางซุนฮูหยินให้แน่นอน เพื่อเล่าปี่จะได้เดินทางไปเมืองกังตั๋งต่อไป
ซุนเขียนรับคำสั่งแล้วคำนับลาเล่าปี่และขงเบ้งกลับไปจัดแจงข้าวของเพื่อเตรียมเดินทางไปเมืองกังตั๋งพร้อมกับลิห้อมในวันรุ่งขึ้น
เมื่อซุนเขียนคำนับลาออกไปแล้ว ขงเบ้งเห็นเล่าปี่สีหน้าไม่ค่อยสู้สบายนักก็อมยิ้ม แล้วคำนับลาเล่าปี่ และว่าเมื่อครั้งศึกทุ่งพกบ๋องท่านได้ถามข้าพเจ้าว่าจะรับมือกับกองทัพแฮหัวตุ้นประการใด ข้าพเจ้าได้ตอบท่านในครั้งนั้นว่าอันการจะรับมือกับแฮหัวตุ้นประการใด ขึ้นอยู่กับใจของท่านว่าจะวางใจข้าพเจ้าเพียงไหน ท่านจึงได้มอบกระบี่อาญาสิทธิ์ให้ข้าพเจ้าบัญชาการทัพ มาครั้งนี้ท่านจะไปเมืองกังตั๋งก็เหมือนหนึ่งการทำสงคราม การจะสำเร็จประการใดก็อยู่ที่ขนาดน้ำใจท่านวางใจข้าพเจ้าประการนั้น ท่านอย่าได้วิตกไปเลย อันชีวิตของท่านกับของข้าพเจ้าแม้ต่างคนต่างชีวิต แต่ข้าพเจ้าได้ตระหนักคำนึงถึงว่าเหมือนหนึ่งเป็นชีวิตเดียวกัน ความปลอดภัยอันใดที่ข้าพเจ้าพึงคำนึงถึงชีวิตข้าพเจ้า ความปลอดภัยอันนั้นข้าพเจ้าก็ได้คำนึงถึงชีวิตท่านมากกว่าหลายเท่านัก
ขงเบ้งกล่าวสิ้นคำก็คำนับลาเล่าปี่อีกครั้งหนึ่งแล้วกลับไปที่พัก
ครั้นเวลารุ่งขึ้นขงเบ้งได้มาหาเล่าปี่ถึงที่จวนแต่เช้าตรู่ ขงเบ้งได้อธิบายถึงสภาพการเมืองของเมืองกังตั๋งและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลต่าง ๆ ให้เล่าปี่ฟังโดยละเอียด
ในขณะที่สนทนากันอยู่นั้น ลิห้อมได้มาหาเล่าปี่ คำนับกันตามธรรมเนียมแล้วเล่าปี่จึงแนะนำให้ลิห้อมรู้จักขงเบ้ง
ลิห้อมคำนับขงเบ้งตามธรรมเนียมแล้ว ขงเบ้งจึงว่าเล่าปี่ตกลงที่จะเดินทางไปแต่งงานกับน้องสาวซุนกวนที่เมืองกังตั๋ง ท่านจง “กลับไปบอกซุนกวนเถิดว่าเล่าปี่มีความยินดีนัก เราจะให้ซุนเขียนไปหาซุนกวนด้วย”
ลิห้อมได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีที่การซึ่งอาสาซุนกวนมาทำการบรรลุผลสำเร็จดังความประสงค์ทุกประการ จึงคำนับลาเล่าปี่และขงเบ้ง แล้วพาซุนเขียนลงเรือข้ามอ่าวไปยังเมืองลำชีแต่เวลานั้น
เมื่อเรือเทียบท่าเมืองลำชีแล้ว ลิห้อมได้พาซุนเขียนลงจากเรือแล้วไปหาซุนกวนที่จวน หลังจากคำนับแนะนำกันตามธรรมเนียมแล้วซุนเขียนจึงกล่าวกับซุนกวนว่าซึ่งท่านให้ลิห้อมเป็นพ่อสื่อไปว่ากล่าวให้เล่าปี่มาเข้าพิธีแต่งงานกับน้องสาวท่านที่เมืองกังตั๋งนั้น เล่าปี่และขงเบ้งมีความยินดีเป็นอันมาก ด้วยเมื่อท่านและเล่าปี่เกี่ยวพันเป็นดองกันแล้ว ไมตรีของสองเมืองก็จะสถาพร โจโฉก็จะไม่กล้ายกกองทัพมารุกรานได้อีกต่อไป ดังนั้นเล่าปี่จึงให้ข้าพเจ้าเป็นพ่อสื่อมาหาท่าน เพื่อนัดหมายกำหนดวันแต่งงานให้เป็นที่แน่นอนแล้วเล่าปี่จะได้เดินทางมาตามกำหนด
ซุนกวนได้ฟังจึงว่า “ท่านจงไปบอกแก่เล่าปี่เถิดว่าเรารักเล่าปี่โดยสุจริต มิได้คิด รังเกียจสิ่งใดจึงยกน้องสาวเราให้ ให้ขงเบ้งพิเคราะห์ดูวันฤกษ์ดี กำหนดจะได้ทำการเมื่อใดแล้วให้บอกมาถึงเราด้วย”
ซุนกวนไม่กำหนดวันแต่งงานเอง แต่โยนภาระไปให้แก่ขงเบ้งให้หาฤกษ์งามยามดีเอาตามสะดวก แล้วแจ้งให้ซุนกวนทราบเพื่อจะได้เตรียมการทางฝ่ายเมืองกังตั๋ง
การเตรียมการทางฝ่ายเมืองกังตั๋งก็คือการเตรียมการจับตัวเล่าปี่เป็นตัวประกันนั่นเอง
ซุนเขียนเห็นซุนกวนรับรู้ยืนยันถึงความซึ่งลิห้อมเป็นพ่อสื่อไปว่ากล่าวกับเล่าปี่ตรงกันก็มีความยินดี จึงคำนับลาซุนกวนกลับมาเมืองเกงจิ๋ว แล้วแจ้งเนื้อความทั้งปวงซึ่งได้สนทนาว่ากล่าวกับซุนกวนให้เล่าปี่และขงเบ้งทราบทุกประการ
เล่าปี่ได้ฟังคำซุนเขียนเห็นการกระชั้นใกล้ตัวเข้ามาก็พรั่นใจ และสงสัยเป็นอันมากว่าแผนการความคิดซึ่งขงเบ้งกำหนดนั้นจะสามารถพาชีวิตตัวรอดกลับมาเมืองเกงจิ๋วได้หรือไม่ แต่ใจหนึ่งก็เชื่อมั่นและวางใจความคิดสติปัญญาของขงเบ้ง ความสงสัยและความศรัทธาเชื่อมั่นบังเกิดขึ้นพร้อมกันดังนี้ สีหน้าเล่าปี่จึงกระอักกระอ่วนยิ่ง
ขงเบ้งเห็นสีหน้าอากัปกิริยาของเล่าปี่ก็รู้ที จึงกล่าวคำย้ำกับเล่าปี่ว่าท่านจงวางใจตัดสินใจให้เด็ดเดี่ยวก็จะกลับคืนเมืองเกงจิ๋วได้โดยปลอดภัย การเดินทางไปเมืองกังตั๋งในครั้งนี้ข้าพเจ้าจะให้จูล่งไปด้วยท่าน แล้วจะแต่งหนังสือลับขึ้นสามฉบับมอบแก่จูล่งไปกับท่าน หากขัดสนสิ่งใดก็จะสามารถแก้ไขให้ลุล่วงได้
เล่าปี่เห็นขงเบ้งยืนยันมั่นใจ มิได้สะทกสะท้าน หากเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นยิ่งกว่าครั้งใดที่ผ่านมา เล่าปี่ก็ค่อยคลายใจ แล้วว่าเป็นอันว่าข้าพเจ้าจะทำตามคำท่านทุกประการ ชีวิตข้าพเจ้าจะเป็นตายร้ายดีประการใดก็อยู่ที่ความคิดสติปัญญาของท่านประการนั้น
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วว่าท่านอย่าปรารมภ์เลย จากนั้นขงเบ้งจึงคำนับลาเล่าปี่กลับไปที่พัก
เมื่อกลับถึงที่พักขงเบ้งได้เขียนหนังสือสามฉบับใส่ถุงหนังแล้วมัดปิดผนึกเตรียมไว้ และให้ทหารไปเชิญจูล่งเข้ามาพบ
จูล่งคำนับขงเบ้งแล้วจึงถามว่าท่านเรียกหาข้าพเจ้ามาครั้งนี้มีสิ่งใดจะใช้สอยหรือ
ขงเบ้งจึงบอกจูล่งแต่เบา ๆ ว่า “บัดนี้เล่าปี่นายเราจะไปแต่งงานกับน้องสาวซุนกวน ท่านไปด้วยจงเอาใจใส่อย่าให้เล่าปี่เป็นอันตราย ถ้าอับจนประการใดจงทำตามหนังสือที่เราเขียนไปนั้นเถิด”
แล้วขงเบ้งจึงกล่าวต่อไปว่า เราได้ทำหนังสือไว้เป็นสามฉบับ แม้นขัดสนประการใดก็ให้เปิดผนึกหนังสือฉบับที่หนึ่ง ฉบับที่สอง และฉบับที่สาม ไปตามลำดับ ก็จะกลับคืนเมืองเกงจิ๋วได้โดยปลอดภัย อนึ่งเล่าท่านเป็นองครักษ์พิทักษ์เล่าปี่ไปเมืองกังตั๋งครั้งนี้ แม้ว่าจะไปในการพิธีแต่งงานแต่ให้ตระหนักไว้เนืองนิจว่าชีวิตของเล่าปี่ล่อแหลมนัก ด้วยได้เข้าไปอยู่ในเงื้อมมือของจิวยี่ ฉะนั้นจะประมาทพลาดพลั้งหรือดูเบาข้าศึกมิได้เป็นอันขาด อันชีวิตเล่าปี่ในครั้งนี้จะรอดปลอดภัยประการใดก็อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของท่าน แล้วขงเบ้งจึงส่งหนังสือสามฉบับซึ่งผนึกไว้นั้นแก่จูล่ง
เจี้ยนอันศกปีที่สิบสี่ เทศกาลต้นฤดูร้อน ขงเบ้งได้กำหนดเป็นวันฤกษ์ดี จึงจัดแจงแต่งของหมั้นและข้าวของเพื่อเป็นของขวัญแก่บรรดาญาติผู้ใหญ่ของนางซุนฮูหยิน พร้อมทั้งข้าวของในพิธีแต่งงาน แล้วให้ตระเตรียมเรือรบสิบลำ ทหารประจำเรือห้าร้อย ครั้นได้เวลาฤกษ์ขงเบ้ง เล่าปี่ จูล่ง และซุนเขียน จึงได้เดินทางออกจากจวนไปที่ฐานทัพเรือ เพื่อส่งเล่าปี่ไปเข้าพิธีแต่งงานด้วยน้องสาวซุนกวน
ครั้นไปถึงท่าเรือขงเบ้งสังเกตสีหน้าเล่าปี่ไม่สู้สบายนักก็รู้ว่าเล่าปี่ยังมีความประหวั่นพรั่นใจถึงความปลอดภัย จึงปลอบใจเล่าปี่ว่าการครั้งนี้สำคัญใหญ่หลวง ท่านจงวางใจให้เด็ดเดี่ยวมั่นคงก็จะรอดปลอดภัยกลับมาเมืองเกงจิ๋วโดยมิต้องสงสัย
เล่าปี่เห็นขงเบ้งยืนยันขันแข็งก็ค่อยคลายใจ พาจูล่งและซุนเขียนลงเรือรบ แต่พอจะก้าวเท้าลงเรือเล่าปี่ก็หันกลับมามองที่ขงเบ้ง ขงเบ้งเห็นดังนั้นก็คำนับเล่าปี่เป็นทีอำนวยพรให้เดินทางไปและกลับโดยสวัสดิภาพ
เล่าปี่รับคำนับขงเบ้งแล้วตัดสินใจเด็ดเดี่ยวก้าวเท้าลงเรือเพื่อไปสู่เงื้อมมือแห่งมัจจุราชโดยไม่สะทกสะท้านต่อไป แล้วสั่งให้ชักใบแล่นข้ามอ่าวไปที่เมืองลำชีแดนชั้นในของแคว้นกังตั๋ง
ครั้นขบวนเรือแล่นเลยปากอ่าวเข้าไปใกล้ท่าเรือเมืองลำชี เล่าปี่ก็รู้สึกไม่สบายใจ ปรึกษากับจูล่งว่าเราเดินทางมาครั้งนี้มิได้บอกกล่าวล่วงหน้าให้ซุนกวนทราบก่อน ไม่รู้ว่าขงเบ้งคิดอ่านประการใด และเมื่อถึงเมืองลำชีแล้วเราจะทำการประการใด
จูล่งได้ฟังดังนั้นจึงว่า ก่อนเดินทางมาขงเบ้งได้สั่งไว้ว่าอับจนขัดสนสิ่งใดก็ให้เปิดหนังสือลับออกดู แล้วให้ทำตามที่สั่งไว้ในหนังสือลับ การครั้งนี้ขัดสนมิรู้ทำประการใด จึงชอบที่จะเปิดหนังสือลับของขงเบ้ง เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบ
จูล่งจึงเปิดผนึกหนังสือฉบับแรกของขงเบ้งออกอ่านดู ปรากฏความว่า “ให้ทหารทั้งปวงแต่งตัวจงโอ่โถง ไปเที่ยวซื้อของในเมืองลำชี ถ้าชาวเมืองจะถามว่ามาธุระสิ่งใดก็ให้บอกว่าเล่าปี่จะมาแต่งงานกับน้องสาวซุนกวน ให้ชาวเมืองรู้จงทั่วกัน แล้วให้เล่าปี่แต่งสิ่งของเข้าไปคำนับนางเกียวก๊กโลซึ่งเป็นมารดาภรรยาซุนเซ็กและจิวยี่”
จูล่งทราบความตามหนังสือของขงเบ้งแล้วก็มีความยินดี จึงส่งหนังสือนั้นให้เล่าปี่อ่าน พอเล่าปี่อ่านจบความก็ทราบหนทางปฏิบัติจึงค่อยคลายใจ
ที่สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าให้เล่าปี่แต่งสิ่งของเข้าไปคำนับนางเกียวก๊กโลซึ่งเป็นมารดาภรรยาซุนเซ็กและจิวยี่นั้นเป็นการแปลโดยคลาดเคลื่อนของล่ามจีน เพราะความจริงเกียวก๊กโลเป็นผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิง และมีฐานะเป็นรัฐบุรุษอาวุโสคือเป็นก๊กโล ดังนั้นเกียวก๊กโลจึงมีความหมายว่ารัฐบุรุษอาวุโสแซ่เกียว ซึ่งเป็นบรรดาศักดิ์เทียบเท่ากับก๊กไถ้คือพระแม่เมืองกังตั๋ง ซึ่งหมายถึงนางงอเสี่ยวหยินผู้เป็นแม่น้าของซุนกวน และเป็นมารดาของนางซุนฮูหยิน.