ตอนที่ 302. เผชิญหน้าท้าแผนนางลวง

 จิวยี่วางแผนอุบายนางลวงหวังล่อให้เล่าปี่เดินทางมาแต่งงานกับนางซุนฮูหยินน้องสาวต่างมารดาของซุนกวนที่เมืองลำชี แล้วจะจับตัวเล่าปี่เพื่อแลกกับเมืองเกงจิ๋ว ซุนกวนเห็นชอบตามแผนการของจิวยี่ และให้หาลิห้อมขุนนางผู้มีวาทศิลป์มาว่ากล่าวเพื่อให้ทำหน้าที่เป็นพ่อสื่อ โดยบอกลิห้อมว่าการแต่งงานครั้งนี้เพื่อความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันระหว่างเล่าปี่กับซุนกวน และจะได้ร่วมกันกำจัดโจโฉต่อไป

            อันนางซุนฮูหยินผู้นี้เป็นบุตรีของนางงอก๊กไถ้ นับเป็นน้องสาวต่างมารดาของซุนกวน ด้วยซุนเกี๋ยนบิดาของซุนกวนนั้นมีภรรยาสองคน คือนางงอฮูหยินและนางงอเสี่ยวหยิน ภรรยาของซุนเกี๋ยนทั้งสองคนเป็นพี่น้องกัน นางงอฮูหยินสุขภาพไม่สมบูรณ์ จึงให้นางงอเสี่ยวหยินผู้น้องเป็นผู้เลี้ยงดูซุนเซ็กและซุนกวนมาแต่น้อย ดังนั้นทั้งซุนเซ็ก ซุนกวนและนางซุนฮูหยินจึงมีความรักใคร่สนิทสนมกันประหนึ่งเป็นพี่น้องท้องเดียวกันและเพราะเหตุนี้ซุนกวนจึงเรียกนางงอเสี่ยวหยินว่าแม่น้า ทั้งรักนับถือบูชาและยำเกรงเหมือนกับมารดาตัว เมื่อครั้งที่นางงอฮูหยินจะสิ้นลมได้สั่งเสียฝากฝังนางงอเสี่ยวหยินและนางซุนฮูหยินไว้กับซุนกวนและให้ซุนกวนเลือกสรรคนดีมีสติปัญญามาเป็นคู่ครองของนางซุนฮูหยิน หลังมารดาซุนกวนถึงแก่กรรมแล้วจึงได้สถาปนานางงอเสี่ยวหยินแม่น้าขึ้นเป็นที่งอก๊กไถ้ หรือพระแม่เมืองกังตั๋ง และเมื่อครั้งที่โจโฉกรีฑาทัพมาในสงครามเซ็กเพ็ก ซุนกวนวิตกไม่อาจตัดสินใจได้ว่าจะรบหรืออ่อนน้อม ก็ได้นางงอก๊กไถ้ช่วยเตือนสติให้รำลึกถึงคำสั่งเสียของซุนเซ็กและมารดาของซุนกวนที่ให้ปรึกษาความสงครามด้วยจิวยี่

            ลิห้อมได้ฟังคำซุนกวนก็เห็นดีเห็นงามตามไปด้วย เพราะลิห้อมนั้นเป็นขุนนางฝ่ายพลเรือน แม้จะเชี่ยวชาญเชิงวาทศิลป์แต่ก็รักความสงบสันติ ดังนั้นจึงเห็นว่าหากเล่าปี่และซุนกวนได้ผูกดองกันได้ตามที่ซุนกวนได้ว่ากล่าว ความเป็นพันธมิตรระหว่างเล่าปี่กับซุนกวนก็จะแน่นแฟ้น ทำให้โจโฉไม่กล้ามารุกราน

            ดังนั้นลิห้อมจึงมีความยินดียิ่งนัก คำนับซุนกวนแล้วกล่าวว่าข้าพเจ้าขออาสาไปทำการให้สำเร็จดังความประสงค์ของท่านให้จงได้ อย่าได้ปรารมภ์เลย

            ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี บอกให้ลิห้อมจัดแจงข้าวของกำนัลสำหรับเล่าปี่แล้วให้รีบเดินทางไปเมืองเกงจิ๋ว

            ลิห้อมรับคำซุนกวนแล้วคำนับลาออกมาจัดแจงของกำนัล ในวันรุ่งขึ้นก็ล่องเรือออกจากเมืองลำชีไปที่เมืองเกงจิ๋ว

            ทางฝ่ายเล่าปี่หลังจากสิ้นบุญนางกำฮูหยินผู้เป็นภรรยาแล้วให้รู้สึกโดดเดี่ยวเปล่าเปลี่ยวอ้างว้างนัก ด้วยไร้ภรรยาคอยปรนนิบัติ พูดคุยปรึกษาหารือดังแต่ก่อน ทั้งอาเต๊าบุตรโทนก็ยังเยาว์ ไม่มีผู้เลี้ยงดูสั่งสอน

            ดังนั้นวันเวลาใดว่างเล่าปี่จึงมักเชิญขงเบ้งมาสนทนาด้วยเรื่องราวทั้งปวงแทนที่จะปรึกษาหารือเฉพาะการสงครามดังแต่ก่อน ขงเบ้งจึงกลายเป็นเพื่อนสนทนาของเล่าปี่เพิ่มขึ้นอีกฐานะหนึ่ง คือเป็นทั้งกุนซือ และเพื่อนรุ่นน้องคู่สนทนาที่สนิท

            วันหนึ่งในขณะที่เล่าปี่และขงเบ้งกำลังสนทนาเพื่อคลายความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว ทหารรักษาการณ์ได้เข้ามารายงานว่าซุนกวนได้ตั้งให้ลิห้อมมาหาท่าน

            ขงเบ้งพอได้ฟังก็หัวเราะแล้วว่า “อันลิห้อมมานี้เป็นกลของจิวยี่ แม้ลิห้อมจะว่ากล่าวประการใดท่านอย่าเพ่อรับคำเป็นอันขาด ข้าพเจ้าจะแอบฟังอยู่หลังฉาก แม้ผิดชอบประการใดเราจึงจะคิดอ่านต่อภายหลัง”

            ขงเบ้งนั้นหลังจากทำอุบายให้เล่าปี่ทำสัญญายืมเมืองเกงจิ๋วโดยตัวขงเบ้งและโลซกเป็นนายประกันแล้ว ก็คาดหมายว่าเมื่อจิวยี่เห็นสัญญาแล้วก็จะแจ้งในกลอุบายยืมเมืองซื้อเวลา และในไม่ช้าจิวยี่จะต้องคิดอ่านกลอุบาย เพื่อเอาเมืองเกงจิ๋วคืน จึงคิดระวังอยู่มิได้ขาด ครั้นจู่ ๆ ซุนกวนก็ส่งลิห้อมมาหาเล่าปี่จึงประมาณสถานการณ์ได้ว่าการเดินทางมาของลิห้อมในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลอุบายของจิวยี่เป็นมั่นคง

            เล่าปี่ได้ฟังคำขงเบ้งก็ประหลาดใจแต่ก็วางใจในสติปัญญาความคิดอ่านจึงรับคำขงเบ้ง แล้วให้ทหารไปเชิญลิห้อม ส่วนขงเบ้งก็เดินกลับเข้าไปซ่อนตัวอยู่ด้านหลังฉากกั้นในห้องโถงรับรองนั้น

            ฝ่ายลิห้อมเมื่อเดินเข้ามาในห้องรับรองเห็นเล่าปี่ยืนรอรับอยู่ก็เข้าไปคำนับตามธรรมเนียม เล่าปี่คำนับตอบแล้วจึงเชิญลิห้อมนั่งสนทนากัน

            หลังจากทักทายปราศรัยกันตามธรรมเนียมแล้ว เล่าปี่จึงถามว่าท่านเดินทางมาครั้งนี้มีประสงค์สิ่งใดหรือ

            ลิห้อมจึงแจ้งความแก่เล่าปี่ว่าซุนกวนทราบว่านางกำฮูหยินภรรยาท่านถึงแก่กรรม จึงให้ข้าพเจ้าเดินทางมาเพื่อแสดงความเสียใจ และอวยพรมาถึงท่าน

            เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ขอบคุณซุนกวนและลิห้อมที่มีไมตรี

            ลิห้อมเห็นดังนั้นจึงกล่าวสืบไปว่า “ข้าพเจ้าแจ้งว่าภรรยาท่านหาบุญไม่ ก็มีความวิตกถึงท่านมิได้ขาด ข้าพเจ้าเห็นหญิงคนหนึ่งสมควรกันกับท่าน คิดจะใคร่ชักนำให้แต่ไม่แจ้งว่าใจท่านจะคิดประการใด”

            เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงว่าข้าพเจ้าเป็นคนอาภัพ มาด่วนเสียภรรยาในช่วงเวลานี้ ตัวข้าพเจ้าแม้มีอายุเลยวัยกลางคนแล้วก็ยังไม่นับว่าชราภาพ ยังมีความปรารถนาของคนผู้ครองเรือนอยู่ แต่ครั้นจะหาภรรยาใหม่เล่า วัยนั้นก็ไม่สมควรเพราะได้ล่วงพ้นวัยหนุ่มมาแล้ว ทั้งยังอาลัยอาวรณ์ผู้เป็นภรรยานัก ดังนั้นจะหาภรรยาใหม่ก็ไม่สมควร จะอยู่ตัวคนเดียวดังนี้ก็ได้ความลำบากเป็นอันมาก

            สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้พรรณนาเป็นโวหารว่า “ตัวข้าพเจ้าก็ยังไม่แก่ชรานัก เป็นวิบากภรรยาจึงมาสิ้นบุญเสียแต่ท่ามกลางอายุฉะนี้ ครั้นจะคิดหาภรรยาใหม่เล่า อารมณ์ก็ยังอาลัยถึงภรรยาเก่านักอยู่” นับเป็นการเปิดเผยธรรมดาแห่งชีวิตของคนที่ตกเป็นพุ่มหม้ายเพราะภรรยาตายเสียในวัยเลยกลางคน จะครองตัวเป็นโสดหรือก็ลำบาก เปล่าเปลี่ยว ไร้คนดูแล แต่จะแต่งงานใหม่เล่าก็เลยวัยหนุ่ม ทั้งความผูกพันในภรรยาเก่าที่ล่วงลับก็กินใจอาลัยอาวรณ์ไม่เป็นสุข จึงนับว่าเป็นวิบากกรรมอย่างหนึ่ง

            ลิห้อมได้ฟังคำเล่าปี่ก็แจ้งว่ายังมีความปรารถนาที่จะมีภรรยาใหม่ เป็นแต่วิตกด้วยล่วงวัยและยังอาลัยอยู่ด้วยภรรยาเก่าที่เพิ่งสิ้นบุญ เห็นเป็นทีที่จะสำเร็จการดังที่รับอาสามาแต่ซุนกวน จึงว่า “อันธรรมดาเกิดมาเป็นชาย ครั้นมิได้มีแม่เรือน จะทำการสิ่งใดก็มักจะขัดขวางไม่ใคร่จะสำเร็จ เสมือนเรือนไม่มีพื้น ตัวท่านเป็นใหญ่อยู่จำจะคิดหาแม่เรือนจึงจะควร ซุนกวนนายข้าพเจ้ามีน้องสาวคนหนึ่ง รูปร่างก็งาม มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ควรจะปฏิบัติท่านได้ อนึ่งแม้ท่านกับซุนกวนรักใคร่เป็นเกี่ยวดองร่วมใจกันแล้ว เห็นโจโฉก็ไม่อาจดูหมิ่นได้ ข้าพเจ้าว่านี้เป็นความจริง ท่านอย่าได้คิดรังเกียจเลย แต่นางซุนฮูหยินนั้น นางงอก๊กไถ้ผู้มารดารักใคร่นัก แม้ท่านได้เห็นด้วยข้าพเจ้าแล้ว ขอให้เร่งคิดอ่านไปว่ากล่าวทำการ ณ เมืองต๋องง่อเถิด”

            คำอุปมาสำหรับชายที่ไม่มีแม่ศรีเรือนว่าเหมือนเรือนไม่มีพื้นนั้น มีนัยอุปมาที่เหมือนกันอีกสำนวนหนึ่งว่า มีแต่หลักไม่มีฐาน อันว่าบุรุษนั้นนับเป็นหลัก สตรีนั้นนับเป็นฐาน บุรุษไร้สตรีเป็นแม่ศรีเรือนก็นับเป็นคนมีแต่หลักไม่มีฐาน จะทำการสิ่งใดก็ไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ ชีวิตแห่งความเป็นปุถุชนก็เหมือนหนึ่งเป็นโมฆะ ส่วนสตรีไร้บุรุษเป็นฉัตรแก้วกั้นเกศก็นับเป็นคนมีแต่ฐานไม่มีหลัก จะทำการสิ่งใดก็ไม่ได้ เพราะฐานนั้นเมื่อไร้หลักแล้วก็ย่อมล่องลอยเลื่อนไหลแลอาจถูกลวงล่อได้ง่าย ชีวิตแห่งความเป็นปุถุชนก็เหมือนหนึ่งเป็นโมฆะเช่นเดียวกัน เหตุนี้โบราณจึงว่าเกิดเป็นคนไม่ว่าบุรุษหรือสตรีจึงต้องเป็นคนมีหลักฐาน ดังนี้แล

            เล่าปี่ได้ฟังคำลิห้อมดังนั้นก็สนใจ จึงถามว่าความอันท่านกล่าวนี้เป็นดำริของท่านเองหรือว่าซุนกวนรู้เห็นเป็นใจด้วย

            ลิห้อมเห็นเล่าปี่มีความสนใจก็ยินดี จึงว่าหากแม้นว่าซุนกวนมิรู้เห็นเป็นใจด้วยแล้ว ข้าพเจ้าหรือจะกล้ามาว่ากล่าวด้วยท่าน

            เล่าปี่จึงว่า “ตัวข้าพเจ้านี้อายุก็ถึงห้าสิบปีแล้ว ผมแลหนวดก็หงอกแล้ว น้องสาวซุนกวนยังเด็กอยู่ ไม่สมควรกับข้าพเจ้า”

            ลิห้อมฟังคำเล่าปี่ก็รู้ว่าได้บ่งบอกสัญญาณว่าใคร่จะได้นางซุนฮูหยินเป็นภรรยา แต่วิตกด้วยสังขารของตัวเองว่าล่วงวัยถึงห้าสิบปีแล้ว จึงเกลี้ยกล่อมเล่าปี่ต่อไปว่า “อันนางซุนฮูหยินน้องซุนกวนยังเป็นเด็กอยู่ก็จริง แต่น้ำใจดีกว่าผู้ใหญ่อีก แม้ผู้ใดไม่มีสติปัญญาแลเชื้อตระกูลแล้วนางก็ไม่ยอมเป็นภรรยา อันจะว่าด้วยอายุนั้นหาต้องการไม่ ตัวท่านนี้ก็ลือชาปรากฏชื่อเสียงแลสติปัญญา ต้องความปรารถนานางอยู่แล้ว ซุนกวนก็ปลงใจด้วย ท่านจะบิดพลิ้วอยู่ฉะนี้ด้วยเหตุอันใด”

            เล่าปี่คิดเห็นจะได้เมียสาวก็มีความยินดี แต่พอถึงทีจะต้องตัดสินใจประการใดก็รำลึกถึงคำของขงเบ้งที่สั่งความกำชับเป็นแน่นหนาว่า ลิห้อมมาครั้งนี้เป็นเพียงกลอุบายของจิวยี่ อย่าเพิ่งตัดสินใจ แล้วค่อยคิดอ่านว่ากล่าวในภายหลัง

            เล่าปี่รำลึกดังนี้จึงแสร้งกล่าวกับลิห้อมว่า ความนี้ใหญ่หลวงนัก ท่านอย่าเพ่อเร่งรัดเอากับข้าพเจ้าในวันนี้เลย ท่านเดินทางมาวันนี้เหนื่อยนักแล้ว จงยับยั้งรั้งรอพักอยู่ที่เมืองเกงจิ๋วนี้สักราตรีหนึ่งก่อน ไว้วันพรุ่งจึงค่อยเดินทางกลับไป

            ลิห้อมได้ฟังดังนั้นก็รู้ว่าการที่อาสาซุนกวนมาใกล้จะสำเร็จดังปรารถนาก็มีความยินดีจึงรับคำเล่าปี่
ด้วยเป็นเวลาใกล้พลบ เล่าปี่จึงสั่งให้แต่งโต๊ะเลี้ยงลิห้อมเพื่อเป็นเกียรติ ครั้นกินโต๊ะเสร็จแล้วจึงจัดแจงที่พักให้ลิห้อมเข้าพักแรมที่ตึกรับรองแขกเมือง

            ครั้นลิห้อมลากลับไปที่พำนักแล้ว เล่าปี่จึงปรึกษากับขงเบ้งว่าความอันข้าพเจ้าได้ว่ากล่าวกับลิห้อม ท่านคงได้รับฟังสิ้นแล้ว จะมีความเห็นเป็นประการใด

            ขงเบ้งเอาพัดขนนกโบกไปมาแล้วว่า ลิห้อมมาครั้งนี้ข้าพเจ้าได้คาดหมายอยู่แต่ก่อนแล้วว่าเป็นอุบายของจิวยี่ ซึ่งอ้างว่าซุนกวนใช้มาเพื่อว่ากล่าวยกน้องสาวให้แก่ท่านนั้น นั่นแล้วคือกลอุบายของจิวยี่ ข้าพเจ้าก็แจ้งอยู่สิ้น

            เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ตกตะลึง เพราะเมียสาวนั้นก็ใคร่จะได้อยู่ แต่เมื่อรู้ว่าเป็นเพียงเหยื่อแห่งอุบายของจิวยี่ก็พรั่นพรึง

            ขงเบ้งเห็นดังนั้นจึงกล่าวสืบไปว่าเวลาวันนี้ข้าพเจ้าได้เสี่ยงทายว่าการอันคิดแก้กลของจิวยี่จักสำเร็จหรือไม่ ก็ปรากฏว่าจักสำเร็จดังปรารถนา ท่านจะได้โชคลาภเป็นสัตว์สองเท้า ดังนั้นท่านจงรับคำลิห้อมเถิด

            เล่าปี่ได้ฟังคำขงเบ้งก็ตกใจ แต่ขงเบ้งยังคงกล่าวสืบไปว่าท่านจงแต่งให้ซุนเขียนเดินทางไปเมืองกังตั๋งพร้อมกับลิห้อมแล้วว่ากล่าวกำหนดวันแต่งงานกับซุนกวนให้เป็นที่แน่นอน แล้วท่านค่อยยกไปทำการตามกำหนด

            เล่าปี่เห็นขงเบ้งพูดยืนยันขันแข็งก็ยิ่งตกใจจึงว่า “จิวยี่คิดอ่านจะทำร้ายเรา แลเราดูหมิ่นเข้าไปในเงื้อมมือจิวยี่เหมือนเอาเนื้อไปให้แก่เสือ ขอท่านดำริดูให้ควรก่อน”

            ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วแก้ว่า “อันความคิดจิวยี่ทำกลครั้งนี้เห็นหาเกินความคิดข้าพเจ้าไม่ ข้าพเจ้าจะให้จิวยี่แพ้ความคิดจงได้ ทั้งน้องสาวซุนกวนก็จะให้ได้แก่ท่าน เมื่อท่านกับซุนกวนเกี่ยวดองกันแล้วเมืองเกงจิ๋วก็จะเป็นสิทธิแก่เรา”

            ขงเบ้งนั้นทรนงในความคิดแลสติปัญญาว่าล้ำเลิศกว่าใคร เป็นเอกอยู่แต่ผู้เดียวในแผ่นดิน เมื่อเห็นว่าจิวยี่วางกลอุบายนางลวงเพื่อล่อเอาเล่าปี่ไปเป็นตัวประกันแล้วจะบังคับเอาเมืองเกงจิ๋ว หากจะปฏิเสธจิวยี่ก็จะหมิ่นความคิด จึงคิดอ่านแผนการซ้อนกลจิวยี่เพื่อจะเอาเสียทั้งเมืองเกงจิ๋วและทั้งน้องสาวซุนกวน ปิดปากและผูกมัดซุนกวนให้เป็นดองไว้กับเล่าปี่ ซึ่งไม่เพียงแต่จะเอาชนะต่อความคิดจิวยี่ให้ได้สำเร็จเท่านั้น ยังจะได้ผลทางความเมืองที่เล่าปี่และซุนกวนจะต้องร่วมใจสมานฉันท์ด้วยความเกี่ยวดองกัน แต่การซ้อนกลครั้งนี้จะต้องเสี่ยงครั้งใหญ่ที่สุด คือต้องส่งตัวเล่าปี่เข้าไปอยู่ในเงื้อมมือของจิวยี่ ดังนั้นแม้ว่าขงเบ้งจะมั่นใจในความคิดตัว แต่ก็ยังแลเห็นว่าเป็นความคิดคน จึงเสี่ยงทายสอบถามลิขิตแห่งสวรรค์ว่าจะบันดาลให้เป็นไปประการใด ครั้นผลเสี่ยงทายประจักษ์ว่าการที่คิดจักสำเร็จดังปรารถนาก็มีความยินดี จึงยืนยันให้เล่าปี่รับคำลิห้อมและให้ส่งซุนเขียนเป็นพ่อสื่อข้างเล่าปี่ไปเจรจาว่ากล่าวกำหนดการแต่งงานกับซุนกวนให้มั่นคง

            ศึกความคิดของสองกุนซือจึงระเบิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘