ตอนที่ 301. อุบายนางลวง
ขงเบ้งดำเนินยุทโธบายทางการเมือง ใต้เป็นพันธมิตรกับซุนกวน เหนือรบโจโฉต่อไป จึงไม่ต้องการแตกหักกับฝ่ายกังตั๋ง ดังนั้นจึงตกลงกับโลซกขอยืมเมืองเกงจิ๋วไว้ชั่วคราวจนกว่าเล่าปี่จะตีเมืองเสฉวนได้แล้วก็จะคืนแก่ซุนกวน โดยเล่าปี่ลงชื่อเป็นผู้ยืม ขงเบ้งเป็นนายประกัน แล้วยังเกณฑ์เอาโลซกเป็นผู้ค้ำประกันร่วมอีกคนหนึ่ง
การดำเนินยุทโธบายดังนี้ เนื้อแท้ก็คือการซื้อเวลาให้เล่าปี่เข้มแข็งเติบใหญ่ทั้งทางการเมือง การทหารให้มากที่สุด และเป้าหมายแห่งการซื้อเวลาในครั้งนี้ได้ปรากฏชัดเจนว่าคือการยึดได้เมืองเสฉวน นั่นคือเล่าปี่ได้บรรลุยุทธศาสตร์สามก๊กขั้นที่สอง หากถึงเวลานั้นแล้วกำลังอำนาจของเล่าปี่ทั้งทางการเมืองและการทหารก็จะเติบใหญ่ สามารถรับมือกับโจโฉได้โดยไม่ต้องประหวั่นพรั่นพรึงหรือต้องอาศัยแรงสนับสนุนจากซุนกวนอีกต่อไป ในขณะเดียวกันเมื่อเล่าปี่เติบใหญ่เข้มแข็งดังนั้นแล้ว ไหนเลยซุนกวนจะกล้าทวงเอาเมืองเกงจิ๋ว ความซับซ้อนซ่อนเงื่อนอันเป็นสิ่งซ่อนเร้นอยู่ในสัญญาดังกล่าวนั้นโลซกกลับมองไม่เห็น ครั้นได้สัญญาแล้วจึงดีอกดีใจ รีบเอาหนังสือสัญญาล่องเรือกลับไปเมืองกังตั๋ง
ครั้นเรือของโลซกเทียบท่าที่เมืองฉสองกุ๋นแล้ว โลซกจึงขึ้นจากเรือไปหาจิวยี่ที่กองบัญชาการทหาร ต่างฝ่ายต่างคำนับกันตามธรรมเนียมแล้วจิวยี่สังเกตเห็นโลซกมีสีหน้าผ่องใสก็สำคัญว่าโลซกไปทวงเมืองเกงจิ๋วได้สำเร็จ จึงถามโลซกว่าท่านเดินทางไปเมืองเกงจิ๋วครั้งนี้คงทำการของนายเราให้ลุล่วงดังประสงค์ จึงกลับมาด้วยใบหน้าที่ผ่องใสฉะนี้
โลซกได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้าเป็นทีรับว่าใช่แล้ว จากนั้นจึงเอาหนังสือสัญญาที่เล่าปี่ลงนามไว้มอบให้แก่จิวยี่ดู
พอจิวยี่อ่านเนื้อความในสัญญาจบก็โกรธโลซก กระทืบเท้าสะบัดชายแขนเสื้อแล้วว่า “ท่านนี้แพ้ความคิดขงเบ้งแล้ว ซึ่งว่ามาในหนังสือว่ายืมเมืองเกงจิ๋วนั้นเห็นหามีกำหนดไม่ จะรู้ว่าเล่าปี่จะได้เมืองเสฉวนเมื่อใดแม้ตีเมืองเสฉวนไม่ได้เราก็จะมิได้เมืองเกงจิ๋วคืน หนังสือฉะนี้จะเอามาต้องการสิ่งใด แล้วมิหนำซ้ำใส่ชื่อตัวเป็นนายประกันด้วยอีกเล่า ถ้าเล่าปี่ไม่คืนเมืองให้ความผิดก็จะไม่พ้นตัวท่าน แม้ซุนกวนจะเอาโทษท่านจะคิดประการใด”
โลซกได้ฟังคำจิวยี่ก็ได้คิด จึงตกใจและตกตะลึงไปครู่หนึ่งด้วยเกรงว่าความผิดจะมาถึงตัว แต่กระนั้นยังคงกล่าวปลอบใจตัวต่อไปว่า อันเล่าปี่ ขงเบ้งนี้ก็ได้คบหากันมาชั่วเวลาหนึ่งแล้ว ท่วงท่าทำนองก็ซื่อตรง เห็นจะไม่คิดคดหลอกลวงเป็นแน่แท้
จิวยี่ได้ฟังก็ตำหนิโลซกว่า “ท่านอย่าซื่อนัก อันเล่าปี่นั้นภายนอกโอบอ้อมอารี กระทำดุจมีความสัตย์ น้ำใจนั้นจะทำการใดประกอบด้วยเล่ห์กลล่อลวง ขงเบ้งเล่าก็มีสติปัญญาคิดอ่านกลับกลอกต่าง ๆ เห็นว่าน้ำใจเล่าปี่และขงเบ้งจะไม่เหมือนใจท่าน”
โลซกได้ฟังคำจิวยี่ก็เกิดความวิตกเพราะแลไปก็ไม่เห็นทางออกประการอื่น สีหน้าของโลซกจึงหม่นหมองเศร้าสร้อย แล้วกล่าวกับจิวยี่ด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า คำท่านว่ามาดังนี้ก็มีเหตุผลหนักแน่น ความผิดย่อมมีอยู่แก่ข้าพเจ้าเป็นอันมาก จะคิดอ่านแก้ไขประการใด
จิวยี่เห็นหน้าโลซกและน้ำเสียงที่หดหู่ดังนั้นก็สงสาร รำลึกถึงไมตรีที่มีมาแต่หนหลังจึงว่า “ข้าพเจ้าคิดถึงท่านซึ่งมีคุณ ได้ให้อาหารแก่ข้าพเจ้าเมื่อคราวขัดสนนั้นจึงช่วยเตือนสติทั้งนี้ ท่านอย่าคิดวุ่นวายไปเลย เราคอยท่าทหารซึ่งไปสืบข่าวราชการโจโฉกลับมาแล้วจึงจะคิดการสืบไป”
โลซกได้ฟังคำปลอบของจิวยี่และท่าทีที่จิวยี่แสดงให้ปรากฏนั้นยังเปี่ยมไปด้วยไมตรีที่มีมาแต่ก่อนแล้วคิดอ่านผ่อนปรนช่วยเหลือก็ค่อยคลายใจ แต่ความวิตกที่แพ้ความคิดแก่ขงเบ้งแล้วทำให้การของซุนกวนเสียหายก็ยังคงกรุ่นอยู่ในอก ด้วยวิตกดังนี้โลซกจึงหามีความสบายไม่
ปัญหาความขัดแย้งระหว่างเล่าปี่และซุนกวนด้วยเรื่องเมืองเกงจิ๋วได้ก่อตัวขึ้นแล้ว เพราะซุนกวนถือว่าเมื่อโจโฉปราชัยในสงครามเซ็กเพ็ก ฝ่ายกังตั๋งซึ่งเป็นคู่ศึกและมีฐานะเป็นผู้มีชัยในสงครามได้สูญเสียรี้พล อาวุธยุทโธปกรณ์ และเงินทองไปเป็นจำนวนมาก ย่อมมีสิทธิในดินแดนและสินศึกทั้งปวงของข้าศึก ดังนั้นจึงอ้างเอาสิทธินี้เหนือดินแดนแคว้นเกงจิ๋ว ส่วนฝ่ายเล่าปี่นั้นถือว่าดินแดนแคว้นเกงจิ๋วเป็นของเล่าเปียวมาแต่ก่อน ทั้งเล่าปี่ก็ถือได้ว่าเป็นน้องของเล่าเปียว และเป็นเชื้อวงศ์ของพระเจ้าเหี้ยนเต้ อันแผ่นดินทั้งปวงนั้นถือได้ว่าเป็นของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ดังนั้นเล่าปี่ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์จึงมีความชอบธรรมที่จะสืบทอดอำนาจของเล่าเปียวต่อไปในแดนเกงจิ๋ว ทั้งในสงครามเซ็กเพ็กก็ใช่ว่าฝ่ายกังตั๋งจะสู้รบโดยลำพัง หากมีเล่าปี่เป็นพันธมิตรที่วางใจ โดยให้ขงเบ้งไปร่วมคิดอ่านการศึกจนสามารถวางแผนและเรียกลมสลาตันให้พัดมา ทำให้จิวยี่สามารถวางเพลิงเผากองทัพโจโฉได้สำเร็จ หากมิได้ลมสลาตันมาแล้วอย่าว่าแต่ฝ่ายกังตั๋งจะมาทวงเมืองเกงจิ๋วเลย แม้เมืองกังตั๋งเองก็จะรักษาไว้ไม่ได้ แต่เนื่องเพราะกำลังอำนาจทางการทหารของโจโฉยังแข็งกล้าอยู่ในภาคเหนือ ซุนกวนเองก็ไม่กล้าแตกหักกับเล่าปี่ ส่วนเล่าปี่ก็ยังหวังจับมือเป็นพันธมิตรกับซุนกวนเพื่อป้องปรามมิให้โจโฉยกมารุกรานต่อไปอีก ดังนั้นสภาพการณ์ดังนี้จึงกำหนดให้ขงเบ้งต้องดำเนินอุบายยืมเมืองเกงจิ๋วเพื่อซื้อเวลาให้เล่าปี่เติบใหญ่เสียก่อน
ความจริงสถานการณ์ระหว่างฝ่ายกังตั๋งและเล่าปี่ในบัดนี้นั้นหามีฝ่ายใดได้เปรียบเสียเปรียบกันเท่าใดไม่ เพราะฝ่ายกังตั๋งแม้จะสงบสันติมั่นคง แต่ก็บอบช้ำจากการศึก ทั้งจากสงครามเซ็กเพ็กและจากสงครามที่ซุนกวนปราชัยที่เมืองหับป๋าจนสูญเสียไทสูจู้ทหารเอก ตัวจิวยี่เองก็เพิ่งคลายจากความป่วย ดังนั้นสภาพการณ์ของฝ่ายกังตั๋งจึงยังไม่พร้อมรบ แตกต่างจากฝ่ายเล่าปี่ซึ่งบัดนี้ได้ครองหัวเมืองฝ่ายใต้ที่ตั้งอยู่ฝั่งเหนือของแม่น้ำแยงซีเกือบตลอดแนว กำลังทหารเพิ่มพูนเติบใหญ่ ทั้งได้ทหารเอกเพิ่มมาอีกสองคนคือฮองตงและอุยเอี๋ยน ศักยะสงครามของฝ่ายเล่าปี่ยังสดชื่นอยู่เพราะมิได้บอบช้ำในการสงครามประการใด สภาพเช่นนี้ฝ่ายเล่าปี่จึงพร้อมที่จะรบกับซุนกวนได้ แต่เนื่องจากขงเบ้งได้ถือเอาฐานะทางการเมืองนำการทหาร ดังนั้นแม้กำลังทหารจะพร้อมรบ แต่ยุทโธบายทางการเมืองคือการสร้างพันธมิตรเพื่อก้าวไปสู่การบรรลุแผนยุทธศาสตร์สามก๊กขั้นที่สอง ดังนั้นสิ่งที่ขงเบ้งต้องการในยามนี้คือเวลา เพื่อรอให้เล่าปี่เข้มแข็งเติบใหญ่และได้เมืองเสฉวนแล้ว เพราะต้องซื้อเวลาจึงต้องยอมรับเป็นสัญญาว่ายืมเมืองเกงจิ๋วจากซุนกวน ทั้ง ๆ ที่เล่าปี่ก็ครองเมืองเกงจิ๋วอยู่แล้ว นี่คือการใช้การเมืองนำการทหาร ซึ่งเหมาเจ๋อตงได้สรุปเป็นหลักปฏิบัติของชาวพรรคคอมมิวนิสต์จีนว่า “พรรคต้องบงการปืน จะยอมให้ปืนบงการพรรคไม่ได้เป็นอันขาด” ซึ่งมีความหมายว่าการเมืองต้องนำการทหาร จะยอมให้การทหารมานำการเมืองไม่ได้เป็นอันขาด
อยู่มาวันหนึ่งจิวยี่และโลซกกำลังปรึกษาหารือกันที่กองบัญชาการทหาร ทหารที่ไปสอดแนมราชการข้างเมืองเกงจิ๋วได้เดินทางกลับมาเมืองกังตั๋ง และเข้ามารายงานแก่จิวยี่ว่าบัดนี้ชาวเมืองเกงจิ๋วได้แต่งขาวห่มขาว โพกผ้าขาวไว้ทุกข์กันทุกคน ทั่วทั้งเมืองมีบรรยากาศที่เศร้าโศกสลด
จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ รีบไต่ถามว่าการเป็นไปเช่นนี้เพราะเหตุสิ่งใดหรือ
ทหารสอดแนมได้รายงานต่อไปว่า เหตุมีมาเนื่องแต่นางกำฮูหยินผู้เป็นภรรยาของเล่าปี่ป่วยหนักแล้วถึงแก่ความตาย เล่าปี่จึงให้ชาวเมืองทั้งปวงไว้ทุกข์ แต่เพราะเหตุที่นางกำฮูหยินเป็นสตรีที่มีเมตตาอาทรต่อราษฎรจึงเป็นที่รักของผู้คน ดังนั้นชาวเมืองจึงพากันร้องไห้รักนางกำฮูหยิน
จิวยี่ฟังรายงานจบแล้วจึงโบกมือขับให้ทหารนั้นกลับออกไป แล้วเอียงหน้ากล่าวกับโลซกแต่เบา ๆ ว่า “เราคิดกลอุบายได้สิ่งหนึ่ง เล่าปี่อยู่ในเงื้อมมือเราแล้ว”
โลซกแม้เสียทีแก่ความคิดของขงเบ้ง แต่เป็นคนมีน้ำใจไมตรี ดังนั้นจึงพลอยเสียใจไปกับเล่าปี่ที่สูญเสียภรรยา ครั้นได้ฟังจิวยี่มีสีหน้าปิติยินดีและพูดขึ้นด้วยท่าทีที่ตื่นเต้นดังนั้นก็สงสัย จึงถามว่าท่านจะอาศัยสถานการณ์ช่วงนี้ยกไปตีเมืองเกงจิ๋วกระนั้นหรือ
จิวยี่จึงว่า “บัดนี้เล่าปี่หาภรรยาไม่ เห็นจะคิดอ่านหาภรรยาใหม่ นางซุนฮูหยินน้องของนายเรายังมิได้มีสามี แล้วก็มีฝีมืออยู่ เราจะจัดข้าหญิงสักร้อยคนให้ถือเครื่องศัตราวุธเข้าอยู่ในตึก จัดแจงที่อยู่ให้ชอบกล แล้วจะให้ซุนกวนมีหนังสือไปถึงเล่าปี่ว่าจะยกน้องสาวให้เป็นภรรยา ลวงให้เล่าปี่มาทำงาน ณ เมืองลำชี เราคิดอ่านจับตัวเล่าปี่ใส่คุกไว้แล้วจึงจะให้ทหารไปหาขงเบ้ง ให้เอาเมืองเกงจิ๋วมาเปลี่ยนเอาตัวเล่าปี่ เมื่อได้เมืองเกงจิ๋วแล้วจึงจะคิดการสืบไป ตัวท่านก็จะพ้นความผิด”
โลซกฟังแผนการของจิวยี่ในตอนแรกก็รู้สึกว่าชอบกลและตะขิดตะขวงใจเพราะเป็น “แผนอุบายนางลวง” ที่เอาน้องสาวของเจ้านายไปลวงหลอกเพื่อจับกุมเล่าปี่ วิสัยและน้ำใจอันเป็นบัณฑิตยังมีอยู่ในตัวของโลซก น้ำใจจึงนึกโน้มไปในทางที่ไม่เห็นด้วย แต่ครั้นฟังแผนการของจิวยี่ไปถึงตอนท้ายกลับกลายเป็นว่าจิวยี่คิดอ่านแผนการครั้งนี้เพื่อช่วยเหลือโลซกให้พ้นภัยจากที่เสียที่ทำสัญญาให้เล่าปี่ยืมเมืองเกงจิ๋ว และทำให้โลซกตรอมใจวิตกอยู่ทุกคืนวัน วิสัยและน้ำใจแห่งบัณฑิตก็พ่ายแพ้แก่ภยาคติที่บังเกิดขึ้นกับใจ จึงเห็นชอบกับแผนการความคิดของจิวยี่ แล้วสนับสนุนความคิดของจิวยี่ว่าท่านคิดอ่านแผนการครั้งนี้คงได้เมืองเกงจิ๋วกลับคืนเป็นมั่นคง คุณจะมีอยู่แก่ข้าพเจ้าเป็นอันมาก
จิวยี่แม้เป็นนายทัพที่เฉลียวฉลาด แต่ก็ประจักษ์ถึงปรีชาสามารถในเชิงชั้นการเมืองการทหารของโลซก ครั้นได้ฟังคำหนุนจากโลซกก็มีความยินดี สำคัญว่าแผนการที่เสนอนั้นเป็นแผนการที่ล้ำเลิศ อันสามารถจะเอาเมืองเกงจิ๋วกลับคืนได้โดยง่าย โดยหารู้ไม่ว่าความเห็นด้วยของโลซกครั้งนี้มิได้เกิดจากภูมิปัญญาแห่งบัณฑิต หากบังเกิดแต่จริตภยาคติที่เข้าครองใจนั้นต่างหาก เพราะนี่แล้วคือวิสัยน้ำใจคนที่แม้มีสติปัญญาความรู้ความสามารถและคุณธรรมสักปานไหน แต่เมื่ออคติสี่ คือ โลภคติ โทสะคติ โมหะคติ และภยาคติเข้าครอบงำแล้ว สติปัญญาความรู้ความสามารถและคุณธรรมประจำใจย่อมเบี่ยงเบนผันแปรวิปริตไปเป็นธรรมดา
ดังนั้นจิวยี่จึงทำหนังสือถึงซุนกวนตามแผนการความคิดซึ่งได้กล่าวกับโลซกแล้วให้โลซกถือหนังสือนั้นเอาไปส่งแก่ซุนกวน กำชับให้โลซกส่งให้กับมือของซุนกวนให้จงได้
โลซกรับเอาหนังสือแล้วคำนับลาจิวยี่แล้วออกเดินทางไปหาซุนกวนที่เมืองลำชี
โลซกเข้าไปคำนับซุนกวนตามธรรมเนียม แล้วส่งหนังสือสัญญาซึ่งทำกับเล่าปี่และหนังสือของจิวยี่ให้แก่ซุนกวน
ซุนกวนรับเอาหนังสือสองฉบับจากโลซกแล้ว เปิดอ่านดูสัญญาที่ทำกับเล่าปี่ก่อน พออ่านจบความซุนกวนก็มีสีหน้าไม่พอใจ เงยหน้าขึ้นถามโลซกว่าหนังสือสัญญานี้ท่านเอามาให้ข้าพเจ้าด้วยประสงค์สิ่งใด
โลซกไม่ตอบคำถาม เพราะรู้ว่าขืนตอบไปก็ไม่เป็นผลดีใด ๆ แก่ตัวเอง จึงว่าขอให้ท่านเปิดอ่านหนังสือของจิวยี่เสียก่อน
ซุนกวนได้ยินดังนั้นก็เข้าใจว่าในหนังสือของจิวยี่มีความสำคัญอันยิ่งยวดกว่าสัญญาของเล่าปี่จึงรีบเปิดหนังสือของจิวยี่ออกอ่าน
พออ่านจบใบหน้าของซุนกวนก็มีความผ่องใสขึ้น พยักหน้าสองสามครั้งเป็นทีมีความเห็นด้วยกับแผนการความคิดของจิวยี่ ดังนั้นซุนกวนจึงไม่ติดใจในสัญญาที่โลซกไปทำกับเล่าปี่เพราะเห็นแผนการตามความคิดของจิวยี่นั้นจักสำเร็จเป็นแน่แท้ จึงปรึกษากับโลซกว่าอันแผนการความคิดของจิวยี่ครั้งนี้คงจะได้เมืองเกงจิ๋วกลับคืนได้โดยง่าย ปมเงื่อนแห่งความสำเร็จอยู่ที่ตัวพ่อสื่อซึ่งจะไปเจรจาว่ากล่าวกับเล่าปี่ให้พร้อมใจเดินทางมาเมืองกังตั๋ง
แล้วซุนกวนจึงกล่าวสืบไปว่า คนซึ่งจะเป็นพ่อสื่อไปเจรจาว่ากล่าวกับเล่าปี่ให้ตกลงพร้อมใจตามความคิดของจิวยี่นั้นเห็นมีแต่ลิห้อมผู้เดียวที่มีเชิงชั้นเจรจานุ่มนวลอ่อนโยนเป็นผู้ใหญ่น่าเลื่อมใสนับถือ
โลซกไม่พูดจาว่ากล่าว ได้แต่ค้อมศีรษะเป็นทีเห็นด้วยกับดำริของซุนกวน
ซุนกวนจึงให้ทหารไปเชิญลิห้อมเข้ามาพบ แล้วแจ้งแก่ลิห้อมว่า “บัดนี้ภรรยาเล่าปี่ตายแล้ว เราใคร่จะยกนางซุนฮูหยินให้เป็นภรรยาเล่าปี่ เรากับเล่าปี่จะได้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ช่วยกันทำการกำจัดโจโฉ แต่ไม่มีผู้ใดจะไปพูดจาด้วยเล่าปี่ เห็นแต่ท่านผู้เดียวจะช่วยธุระเราไปหาเล่าปี่ ณ เมืองเกงจิ๋วได้”.
การดำเนินยุทโธบายดังนี้ เนื้อแท้ก็คือการซื้อเวลาให้เล่าปี่เข้มแข็งเติบใหญ่ทั้งทางการเมือง การทหารให้มากที่สุด และเป้าหมายแห่งการซื้อเวลาในครั้งนี้ได้ปรากฏชัดเจนว่าคือการยึดได้เมืองเสฉวน นั่นคือเล่าปี่ได้บรรลุยุทธศาสตร์สามก๊กขั้นที่สอง หากถึงเวลานั้นแล้วกำลังอำนาจของเล่าปี่ทั้งทางการเมืองและการทหารก็จะเติบใหญ่ สามารถรับมือกับโจโฉได้โดยไม่ต้องประหวั่นพรั่นพรึงหรือต้องอาศัยแรงสนับสนุนจากซุนกวนอีกต่อไป ในขณะเดียวกันเมื่อเล่าปี่เติบใหญ่เข้มแข็งดังนั้นแล้ว ไหนเลยซุนกวนจะกล้าทวงเอาเมืองเกงจิ๋ว ความซับซ้อนซ่อนเงื่อนอันเป็นสิ่งซ่อนเร้นอยู่ในสัญญาดังกล่าวนั้นโลซกกลับมองไม่เห็น ครั้นได้สัญญาแล้วจึงดีอกดีใจ รีบเอาหนังสือสัญญาล่องเรือกลับไปเมืองกังตั๋ง
ครั้นเรือของโลซกเทียบท่าที่เมืองฉสองกุ๋นแล้ว โลซกจึงขึ้นจากเรือไปหาจิวยี่ที่กองบัญชาการทหาร ต่างฝ่ายต่างคำนับกันตามธรรมเนียมแล้วจิวยี่สังเกตเห็นโลซกมีสีหน้าผ่องใสก็สำคัญว่าโลซกไปทวงเมืองเกงจิ๋วได้สำเร็จ จึงถามโลซกว่าท่านเดินทางไปเมืองเกงจิ๋วครั้งนี้คงทำการของนายเราให้ลุล่วงดังประสงค์ จึงกลับมาด้วยใบหน้าที่ผ่องใสฉะนี้
โลซกได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้าเป็นทีรับว่าใช่แล้ว จากนั้นจึงเอาหนังสือสัญญาที่เล่าปี่ลงนามไว้มอบให้แก่จิวยี่ดู
พอจิวยี่อ่านเนื้อความในสัญญาจบก็โกรธโลซก กระทืบเท้าสะบัดชายแขนเสื้อแล้วว่า “ท่านนี้แพ้ความคิดขงเบ้งแล้ว ซึ่งว่ามาในหนังสือว่ายืมเมืองเกงจิ๋วนั้นเห็นหามีกำหนดไม่ จะรู้ว่าเล่าปี่จะได้เมืองเสฉวนเมื่อใดแม้ตีเมืองเสฉวนไม่ได้เราก็จะมิได้เมืองเกงจิ๋วคืน หนังสือฉะนี้จะเอามาต้องการสิ่งใด แล้วมิหนำซ้ำใส่ชื่อตัวเป็นนายประกันด้วยอีกเล่า ถ้าเล่าปี่ไม่คืนเมืองให้ความผิดก็จะไม่พ้นตัวท่าน แม้ซุนกวนจะเอาโทษท่านจะคิดประการใด”
โลซกได้ฟังคำจิวยี่ก็ได้คิด จึงตกใจและตกตะลึงไปครู่หนึ่งด้วยเกรงว่าความผิดจะมาถึงตัว แต่กระนั้นยังคงกล่าวปลอบใจตัวต่อไปว่า อันเล่าปี่ ขงเบ้งนี้ก็ได้คบหากันมาชั่วเวลาหนึ่งแล้ว ท่วงท่าทำนองก็ซื่อตรง เห็นจะไม่คิดคดหลอกลวงเป็นแน่แท้
จิวยี่ได้ฟังก็ตำหนิโลซกว่า “ท่านอย่าซื่อนัก อันเล่าปี่นั้นภายนอกโอบอ้อมอารี กระทำดุจมีความสัตย์ น้ำใจนั้นจะทำการใดประกอบด้วยเล่ห์กลล่อลวง ขงเบ้งเล่าก็มีสติปัญญาคิดอ่านกลับกลอกต่าง ๆ เห็นว่าน้ำใจเล่าปี่และขงเบ้งจะไม่เหมือนใจท่าน”
โลซกได้ฟังคำจิวยี่ก็เกิดความวิตกเพราะแลไปก็ไม่เห็นทางออกประการอื่น สีหน้าของโลซกจึงหม่นหมองเศร้าสร้อย แล้วกล่าวกับจิวยี่ด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า คำท่านว่ามาดังนี้ก็มีเหตุผลหนักแน่น ความผิดย่อมมีอยู่แก่ข้าพเจ้าเป็นอันมาก จะคิดอ่านแก้ไขประการใด
จิวยี่เห็นหน้าโลซกและน้ำเสียงที่หดหู่ดังนั้นก็สงสาร รำลึกถึงไมตรีที่มีมาแต่หนหลังจึงว่า “ข้าพเจ้าคิดถึงท่านซึ่งมีคุณ ได้ให้อาหารแก่ข้าพเจ้าเมื่อคราวขัดสนนั้นจึงช่วยเตือนสติทั้งนี้ ท่านอย่าคิดวุ่นวายไปเลย เราคอยท่าทหารซึ่งไปสืบข่าวราชการโจโฉกลับมาแล้วจึงจะคิดการสืบไป”
โลซกได้ฟังคำปลอบของจิวยี่และท่าทีที่จิวยี่แสดงให้ปรากฏนั้นยังเปี่ยมไปด้วยไมตรีที่มีมาแต่ก่อนแล้วคิดอ่านผ่อนปรนช่วยเหลือก็ค่อยคลายใจ แต่ความวิตกที่แพ้ความคิดแก่ขงเบ้งแล้วทำให้การของซุนกวนเสียหายก็ยังคงกรุ่นอยู่ในอก ด้วยวิตกดังนี้โลซกจึงหามีความสบายไม่
ปัญหาความขัดแย้งระหว่างเล่าปี่และซุนกวนด้วยเรื่องเมืองเกงจิ๋วได้ก่อตัวขึ้นแล้ว เพราะซุนกวนถือว่าเมื่อโจโฉปราชัยในสงครามเซ็กเพ็ก ฝ่ายกังตั๋งซึ่งเป็นคู่ศึกและมีฐานะเป็นผู้มีชัยในสงครามได้สูญเสียรี้พล อาวุธยุทโธปกรณ์ และเงินทองไปเป็นจำนวนมาก ย่อมมีสิทธิในดินแดนและสินศึกทั้งปวงของข้าศึก ดังนั้นจึงอ้างเอาสิทธินี้เหนือดินแดนแคว้นเกงจิ๋ว ส่วนฝ่ายเล่าปี่นั้นถือว่าดินแดนแคว้นเกงจิ๋วเป็นของเล่าเปียวมาแต่ก่อน ทั้งเล่าปี่ก็ถือได้ว่าเป็นน้องของเล่าเปียว และเป็นเชื้อวงศ์ของพระเจ้าเหี้ยนเต้ อันแผ่นดินทั้งปวงนั้นถือได้ว่าเป็นของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ดังนั้นเล่าปี่ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์จึงมีความชอบธรรมที่จะสืบทอดอำนาจของเล่าเปียวต่อไปในแดนเกงจิ๋ว ทั้งในสงครามเซ็กเพ็กก็ใช่ว่าฝ่ายกังตั๋งจะสู้รบโดยลำพัง หากมีเล่าปี่เป็นพันธมิตรที่วางใจ โดยให้ขงเบ้งไปร่วมคิดอ่านการศึกจนสามารถวางแผนและเรียกลมสลาตันให้พัดมา ทำให้จิวยี่สามารถวางเพลิงเผากองทัพโจโฉได้สำเร็จ หากมิได้ลมสลาตันมาแล้วอย่าว่าแต่ฝ่ายกังตั๋งจะมาทวงเมืองเกงจิ๋วเลย แม้เมืองกังตั๋งเองก็จะรักษาไว้ไม่ได้ แต่เนื่องเพราะกำลังอำนาจทางการทหารของโจโฉยังแข็งกล้าอยู่ในภาคเหนือ ซุนกวนเองก็ไม่กล้าแตกหักกับเล่าปี่ ส่วนเล่าปี่ก็ยังหวังจับมือเป็นพันธมิตรกับซุนกวนเพื่อป้องปรามมิให้โจโฉยกมารุกรานต่อไปอีก ดังนั้นสภาพการณ์ดังนี้จึงกำหนดให้ขงเบ้งต้องดำเนินอุบายยืมเมืองเกงจิ๋วเพื่อซื้อเวลาให้เล่าปี่เติบใหญ่เสียก่อน
ความจริงสถานการณ์ระหว่างฝ่ายกังตั๋งและเล่าปี่ในบัดนี้นั้นหามีฝ่ายใดได้เปรียบเสียเปรียบกันเท่าใดไม่ เพราะฝ่ายกังตั๋งแม้จะสงบสันติมั่นคง แต่ก็บอบช้ำจากการศึก ทั้งจากสงครามเซ็กเพ็กและจากสงครามที่ซุนกวนปราชัยที่เมืองหับป๋าจนสูญเสียไทสูจู้ทหารเอก ตัวจิวยี่เองก็เพิ่งคลายจากความป่วย ดังนั้นสภาพการณ์ของฝ่ายกังตั๋งจึงยังไม่พร้อมรบ แตกต่างจากฝ่ายเล่าปี่ซึ่งบัดนี้ได้ครองหัวเมืองฝ่ายใต้ที่ตั้งอยู่ฝั่งเหนือของแม่น้ำแยงซีเกือบตลอดแนว กำลังทหารเพิ่มพูนเติบใหญ่ ทั้งได้ทหารเอกเพิ่มมาอีกสองคนคือฮองตงและอุยเอี๋ยน ศักยะสงครามของฝ่ายเล่าปี่ยังสดชื่นอยู่เพราะมิได้บอบช้ำในการสงครามประการใด สภาพเช่นนี้ฝ่ายเล่าปี่จึงพร้อมที่จะรบกับซุนกวนได้ แต่เนื่องจากขงเบ้งได้ถือเอาฐานะทางการเมืองนำการทหาร ดังนั้นแม้กำลังทหารจะพร้อมรบ แต่ยุทโธบายทางการเมืองคือการสร้างพันธมิตรเพื่อก้าวไปสู่การบรรลุแผนยุทธศาสตร์สามก๊กขั้นที่สอง ดังนั้นสิ่งที่ขงเบ้งต้องการในยามนี้คือเวลา เพื่อรอให้เล่าปี่เข้มแข็งเติบใหญ่และได้เมืองเสฉวนแล้ว เพราะต้องซื้อเวลาจึงต้องยอมรับเป็นสัญญาว่ายืมเมืองเกงจิ๋วจากซุนกวน ทั้ง ๆ ที่เล่าปี่ก็ครองเมืองเกงจิ๋วอยู่แล้ว นี่คือการใช้การเมืองนำการทหาร ซึ่งเหมาเจ๋อตงได้สรุปเป็นหลักปฏิบัติของชาวพรรคคอมมิวนิสต์จีนว่า “พรรคต้องบงการปืน จะยอมให้ปืนบงการพรรคไม่ได้เป็นอันขาด” ซึ่งมีความหมายว่าการเมืองต้องนำการทหาร จะยอมให้การทหารมานำการเมืองไม่ได้เป็นอันขาด
อยู่มาวันหนึ่งจิวยี่และโลซกกำลังปรึกษาหารือกันที่กองบัญชาการทหาร ทหารที่ไปสอดแนมราชการข้างเมืองเกงจิ๋วได้เดินทางกลับมาเมืองกังตั๋ง และเข้ามารายงานแก่จิวยี่ว่าบัดนี้ชาวเมืองเกงจิ๋วได้แต่งขาวห่มขาว โพกผ้าขาวไว้ทุกข์กันทุกคน ทั่วทั้งเมืองมีบรรยากาศที่เศร้าโศกสลด
จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ รีบไต่ถามว่าการเป็นไปเช่นนี้เพราะเหตุสิ่งใดหรือ
ทหารสอดแนมได้รายงานต่อไปว่า เหตุมีมาเนื่องแต่นางกำฮูหยินผู้เป็นภรรยาของเล่าปี่ป่วยหนักแล้วถึงแก่ความตาย เล่าปี่จึงให้ชาวเมืองทั้งปวงไว้ทุกข์ แต่เพราะเหตุที่นางกำฮูหยินเป็นสตรีที่มีเมตตาอาทรต่อราษฎรจึงเป็นที่รักของผู้คน ดังนั้นชาวเมืองจึงพากันร้องไห้รักนางกำฮูหยิน
จิวยี่ฟังรายงานจบแล้วจึงโบกมือขับให้ทหารนั้นกลับออกไป แล้วเอียงหน้ากล่าวกับโลซกแต่เบา ๆ ว่า “เราคิดกลอุบายได้สิ่งหนึ่ง เล่าปี่อยู่ในเงื้อมมือเราแล้ว”
โลซกแม้เสียทีแก่ความคิดของขงเบ้ง แต่เป็นคนมีน้ำใจไมตรี ดังนั้นจึงพลอยเสียใจไปกับเล่าปี่ที่สูญเสียภรรยา ครั้นได้ฟังจิวยี่มีสีหน้าปิติยินดีและพูดขึ้นด้วยท่าทีที่ตื่นเต้นดังนั้นก็สงสัย จึงถามว่าท่านจะอาศัยสถานการณ์ช่วงนี้ยกไปตีเมืองเกงจิ๋วกระนั้นหรือ
จิวยี่จึงว่า “บัดนี้เล่าปี่หาภรรยาไม่ เห็นจะคิดอ่านหาภรรยาใหม่ นางซุนฮูหยินน้องของนายเรายังมิได้มีสามี แล้วก็มีฝีมืออยู่ เราจะจัดข้าหญิงสักร้อยคนให้ถือเครื่องศัตราวุธเข้าอยู่ในตึก จัดแจงที่อยู่ให้ชอบกล แล้วจะให้ซุนกวนมีหนังสือไปถึงเล่าปี่ว่าจะยกน้องสาวให้เป็นภรรยา ลวงให้เล่าปี่มาทำงาน ณ เมืองลำชี เราคิดอ่านจับตัวเล่าปี่ใส่คุกไว้แล้วจึงจะให้ทหารไปหาขงเบ้ง ให้เอาเมืองเกงจิ๋วมาเปลี่ยนเอาตัวเล่าปี่ เมื่อได้เมืองเกงจิ๋วแล้วจึงจะคิดการสืบไป ตัวท่านก็จะพ้นความผิด”
โลซกฟังแผนการของจิวยี่ในตอนแรกก็รู้สึกว่าชอบกลและตะขิดตะขวงใจเพราะเป็น “แผนอุบายนางลวง” ที่เอาน้องสาวของเจ้านายไปลวงหลอกเพื่อจับกุมเล่าปี่ วิสัยและน้ำใจอันเป็นบัณฑิตยังมีอยู่ในตัวของโลซก น้ำใจจึงนึกโน้มไปในทางที่ไม่เห็นด้วย แต่ครั้นฟังแผนการของจิวยี่ไปถึงตอนท้ายกลับกลายเป็นว่าจิวยี่คิดอ่านแผนการครั้งนี้เพื่อช่วยเหลือโลซกให้พ้นภัยจากที่เสียที่ทำสัญญาให้เล่าปี่ยืมเมืองเกงจิ๋ว และทำให้โลซกตรอมใจวิตกอยู่ทุกคืนวัน วิสัยและน้ำใจแห่งบัณฑิตก็พ่ายแพ้แก่ภยาคติที่บังเกิดขึ้นกับใจ จึงเห็นชอบกับแผนการความคิดของจิวยี่ แล้วสนับสนุนความคิดของจิวยี่ว่าท่านคิดอ่านแผนการครั้งนี้คงได้เมืองเกงจิ๋วกลับคืนเป็นมั่นคง คุณจะมีอยู่แก่ข้าพเจ้าเป็นอันมาก
จิวยี่แม้เป็นนายทัพที่เฉลียวฉลาด แต่ก็ประจักษ์ถึงปรีชาสามารถในเชิงชั้นการเมืองการทหารของโลซก ครั้นได้ฟังคำหนุนจากโลซกก็มีความยินดี สำคัญว่าแผนการที่เสนอนั้นเป็นแผนการที่ล้ำเลิศ อันสามารถจะเอาเมืองเกงจิ๋วกลับคืนได้โดยง่าย โดยหารู้ไม่ว่าความเห็นด้วยของโลซกครั้งนี้มิได้เกิดจากภูมิปัญญาแห่งบัณฑิต หากบังเกิดแต่จริตภยาคติที่เข้าครองใจนั้นต่างหาก เพราะนี่แล้วคือวิสัยน้ำใจคนที่แม้มีสติปัญญาความรู้ความสามารถและคุณธรรมสักปานไหน แต่เมื่ออคติสี่ คือ โลภคติ โทสะคติ โมหะคติ และภยาคติเข้าครอบงำแล้ว สติปัญญาความรู้ความสามารถและคุณธรรมประจำใจย่อมเบี่ยงเบนผันแปรวิปริตไปเป็นธรรมดา
ดังนั้นจิวยี่จึงทำหนังสือถึงซุนกวนตามแผนการความคิดซึ่งได้กล่าวกับโลซกแล้วให้โลซกถือหนังสือนั้นเอาไปส่งแก่ซุนกวน กำชับให้โลซกส่งให้กับมือของซุนกวนให้จงได้
โลซกรับเอาหนังสือแล้วคำนับลาจิวยี่แล้วออกเดินทางไปหาซุนกวนที่เมืองลำชี
โลซกเข้าไปคำนับซุนกวนตามธรรมเนียม แล้วส่งหนังสือสัญญาซึ่งทำกับเล่าปี่และหนังสือของจิวยี่ให้แก่ซุนกวน
ซุนกวนรับเอาหนังสือสองฉบับจากโลซกแล้ว เปิดอ่านดูสัญญาที่ทำกับเล่าปี่ก่อน พออ่านจบความซุนกวนก็มีสีหน้าไม่พอใจ เงยหน้าขึ้นถามโลซกว่าหนังสือสัญญานี้ท่านเอามาให้ข้าพเจ้าด้วยประสงค์สิ่งใด
โลซกไม่ตอบคำถาม เพราะรู้ว่าขืนตอบไปก็ไม่เป็นผลดีใด ๆ แก่ตัวเอง จึงว่าขอให้ท่านเปิดอ่านหนังสือของจิวยี่เสียก่อน
ซุนกวนได้ยินดังนั้นก็เข้าใจว่าในหนังสือของจิวยี่มีความสำคัญอันยิ่งยวดกว่าสัญญาของเล่าปี่จึงรีบเปิดหนังสือของจิวยี่ออกอ่าน
พออ่านจบใบหน้าของซุนกวนก็มีความผ่องใสขึ้น พยักหน้าสองสามครั้งเป็นทีมีความเห็นด้วยกับแผนการความคิดของจิวยี่ ดังนั้นซุนกวนจึงไม่ติดใจในสัญญาที่โลซกไปทำกับเล่าปี่เพราะเห็นแผนการตามความคิดของจิวยี่นั้นจักสำเร็จเป็นแน่แท้ จึงปรึกษากับโลซกว่าอันแผนการความคิดของจิวยี่ครั้งนี้คงจะได้เมืองเกงจิ๋วกลับคืนได้โดยง่าย ปมเงื่อนแห่งความสำเร็จอยู่ที่ตัวพ่อสื่อซึ่งจะไปเจรจาว่ากล่าวกับเล่าปี่ให้พร้อมใจเดินทางมาเมืองกังตั๋ง
แล้วซุนกวนจึงกล่าวสืบไปว่า คนซึ่งจะเป็นพ่อสื่อไปเจรจาว่ากล่าวกับเล่าปี่ให้ตกลงพร้อมใจตามความคิดของจิวยี่นั้นเห็นมีแต่ลิห้อมผู้เดียวที่มีเชิงชั้นเจรจานุ่มนวลอ่อนโยนเป็นผู้ใหญ่น่าเลื่อมใสนับถือ
โลซกไม่พูดจาว่ากล่าว ได้แต่ค้อมศีรษะเป็นทีเห็นด้วยกับดำริของซุนกวน
ซุนกวนจึงให้ทหารไปเชิญลิห้อมเข้ามาพบ แล้วแจ้งแก่ลิห้อมว่า “บัดนี้ภรรยาเล่าปี่ตายแล้ว เราใคร่จะยกนางซุนฮูหยินให้เป็นภรรยาเล่าปี่ เรากับเล่าปี่จะได้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ช่วยกันทำการกำจัดโจโฉ แต่ไม่มีผู้ใดจะไปพูดจาด้วยเล่าปี่ เห็นแต่ท่านผู้เดียวจะช่วยธุระเราไปหาเล่าปี่ ณ เมืองเกงจิ๋วได้”.