ตอนที่ 200. มหายุทธนาการครั้งที่สอง
เล่าปี่ไปเยือนกระท่อมน้อยของขงเบ้งเป็นครั้งแรกแล้วต้องผิดหวังกลับเมืองซินเอี๋ย ในขณะที่การทดลองน้ำใจเล่าปี่ของขงเบ้งในครั้งแรกได้ผ่านพ้นไป เหมือนยุทธนาการระหว่างผู้เชิญกับผู้ถูกเชิญได้ผ่านพ้นไปยกหนึ่งแล้วแต่ยังไม่สิ้นสุด
หลังจากนั้นอีกสี่ห้าวันเล่าปี่จึงให้ทหารไปสืบข่าวคราวของขงเบ้งที่เขาโงลังกั๋ง ครั้นทหารนั้นกลับมารายงานว่าบัดนี้ขงเบ้งอยู่ที่บ้าน เล่าปี่ก็มีความยินดี สั่งการให้เจ้าหน้าที่จัดแจงสิ่งของกำนัลจะออกไปคำนับขงเบ้งในวันรุ่งขึ้น
เตียวหุยเห็นผู้เป็นพี่ใหญ่สาละวนคิดอ่านอยู่แต่เรื่องของขงเบ้งไม่ว่างเว้นแม้แต่สักวันหนึ่งก็รู้สึกขัดใจ จึงกล่าวกับเล่าปี่ว่าไฉนพี่ใหญ่จึงลุ่มหลงแต่คำลือนับถือว่าขงเบ้งเป็นผู้มีสติปัญญา ความจริงจะเป็นประการใดยังไม่มีใครประจักษ์แจ้ง ขงเบ้งนั้นไม่ว่าประการใดก็เป็นแต่เพียงคนบ้านนอก หาควรที่พี่ใหญ่ซึ่งเป็นถึงเจ้าเมืองแลเชื้อพระวงศ์จะสู้ยากตรากตรำออกไปหาถึงบ้านป่า หากแม้นพี่ใหญ่ปรารถนาจะได้ตัวจริงแล้วข้าพเจ้าขออาสาสั่งทหารให้ไปคุมตัวขงเบ้งมาพบพี่ใหญ่ให้จงได้
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็โกรธเตียวหุย แล้วว่าขงเบ้งมีสติปัญญาเป็นอันมาก กิตติศัพท์ปรากฏลือเลื่องอยู่ ตัวเราแม้นยังไม่พบตัวขงเบ้งแต่ได้ประจักษ์ถึงความคิดแลสติปัญญาของคนผู้นี้ดีกว่าใคร ไฉนเจ้าจึงคิดอ่านหยาบช้าปรามาสขงเบ้งดังนี้
เตียวหุยได้ฟังพี่ใหญ่ขุ่นเคืองถึงเพียงนี้ก็เกรงใจ เล่าปี่เห็นดังนั้นจึงว่าพรุ่งนี้เราจะไปคำนับขงเบ้งแต่เช้า ตัวเจ้าและกวนอูแม้นไม่พอใจจะไปหาขงเบ้งก็จงอยู่รักษาเมืองซินเอี๋ย ว่าดังนั้นแล้วเล่าปี่ก็กลับเข้าไปในที่พัก
ครั้นรุ่งขึ้นเล่าปี่ตื่นแต่เช้า ออกมาขึ้นม้าซึ่งทหารเตรียมไว้ที่หน้าจวน พบกับกวนอู เตียวหุย เตรียมม้ารอคอยทีอยู่ก่อนแล้ว เล่าปี่เห็นน้องร่วมสาบานทั้งสองดังนั้นจึงถามว่าเจ้าทั้งสองเต็มใจจะไปหาขงเบ้งพร้อมกับเราหรือ
กวนอู เตียวหุย คำนับเล่าปี่แล้วว่าพี่ใหญ่จะไปแห่งหนตำบลใด พวกเราก็จะติดตามไป เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงขี่ม้าพากวนอู เตียวหุย แลทหารรับใช้ซึ่งคุมข้าวของที่จะไปคำนับขงเบ้งออกจากเมืองซินเอี๋ย
วันนั้นเป็นกลางฤดูหนาว อากาศหนาวเหน็บมากกว่าครั้งก่อน หิมะหนาปลิวว่อน สองข้างทางแลทิวป่าขาวโพลนหนาทึบ สามพี่น้องแห่งสวนท้อขี่ม้าฝ่าลมหนาวอันเย็นยะเยือกสั่นสะท้านไปทั้งตัวก็มิได้ย่อท้อ แต่พอเดินทางออกจากเมืองซินเอี๋ยมาได้สามสิบเส้นความหนาวเหน็บที่แรงขึ้นด้วยลมอันพัดผ่านท้องทุ่งยิ่งทำให้สามพี่น้องได้รับความทรมานนัก
เตียวหุยเริ่มจะทนกับความหนาวไม่ได้จึงกล่าวกับเล่าปี่ว่า “เทศกาลนี้เป็นฤดูหนาว อันยามหนาวเช่นนี้แม้จะคิดอ่านทำการสงครามเอาบ้านเอาเมืองนั้นก็ยังต้องงดไว้ ควรแล้วหรือมานับถือขงเบ้งซึ่งเป็นชาวบ้านนอกนี้หาประโยชน์ไม่ ขอท่านกลับไปเมืองก่อนเถิด”
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ตอบว่า “อันธรรมดาจะปรารถนาของดีก็ย่อมประกอบด้วยความอุตส่าห์จึงจะได้ ซึ่งเราทรมานกายมาทั้งนี้ก็ปรารถนาจะให้ได้ขงเบ้ง อนึ่งจะให้ขงเบ้งรู้ว่าเรามีความรักแลเพียรเป็นอันมาก ซึ่งตัวท่านกลัวแต่ความลำบากทนหนาวมิได้ก็ให้เร่งกลับไปในเมืองเถิด”
เตียวหุยได้ฟังเล่าปี่ยืนยันมั่นเหมาะดังนั้นจึงแสร้งกล่าวไปเสียอีกทางหนึ่งว่าข้าพเจ้ากล่าวความเพราะเกรงว่าพี่ใหญ่จะลำบากกายแล้วจะไม่สบาย จึงทัดทานดังนี้
เล่าปี่ฟังคำเตียวหุยแล้วรู้ว่าเป็นการแก้ตัวจึงตัดบทเสียว่า แต่นี้ไปเจ้าอย่าได้กล่าวความฉะนี้อีก
สามพี่น้องแห่งสวนท้อพากันขี่ม้าท่ามกลางสายหิมะที่ตกลงมาอย่างหนัก อีกครู่หนึ่งจึงเห็นโรงเตี๊ยมข้างทางอยู่เบื้องหน้า เล่าปี่และสองพี่น้องร่วมสาบานหนาวยะเยือกทรมานนักก็คิดหยุดพักที่โรงเตี๊ยมนี้สักครู่หนึ่ง พอได้ไออุ่นจากเตาผิงแล้วค่อยเดินทางต่อไป จึงขี่ม้าตรงไปที่โรงเตี๊ยมนั้น
พอเข้าไปใกล้ก็ได้ยินเสียงคนสนทนากันดังมาแต่ไกล
คนหนึ่งพูดว่า “จักรวาล โลกธาตุ ฤดูกาล พระสุริยันจันทรา มีการหมุนเวียนเปลี่ยนผันเป็นนิรันดร์ เพราะมีกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติอันแน่นอน สังคมมนุษย์เราย่อมจำเป็นต้องมีกฎกติกาเป็นแบบแผนจึงจะเป็นปกติสุขได้ เพราะเหตุนี้ต้องสร้างธรรมรัฐขึ้น จึงจะฟื้นฟูแผ่นดินให้เป็นสุข”
อีกคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า “อันธรรมรัฐนั้นเป็นแต่คำกล่าวเพื่อความระรื่นหู หาสาระแก่นสารอันใดมิได้ ประหนึ่งต้นไม้ไม่มีราก ภาพที่เห็นเป็นต้นไม้ก็จริง แต่ไม่อาจอาศัยดอกผลประการใดได้ ต้องลมแต่เพียงแผ่วเบาก็ล้มครืนลงแล้ว รัฐที่เต็มไปด้วยโจรานุโจรกระทำการแบบโจรโดยโจรและเพื่อโจรก็ชื่อว่าธรรมรัฐ รัฐที่เต็มไปด้วยนักพรตและผู้ปฏิบัติธรรมก็เป็นธรรมรัฐ รัฐที่เต็มไปด้วยพวกที่ไม่เอาไหน ไม่รู้จักรับผิดชอบก็เป็นธรรมรัฐ เพราะคำว่า “ธรรม” นั้นย่อมหมายถึงธรรมอันเป็นกุศล คือกุสลาธรรมา ธรรมอันเป็นอกุศล คืออกุสลาธรรมา และธรรมอันเป็นกลางคืออัพยากะตาธรรมา สังคมมนุษย์เราปั่นป่วนเป็นจลาจล ประชาชนทุกข์เข็ญ ก็เนื่องด้วยวิญญูชนจอมปลอมเที่ยวเสกสรรปั้นแต่งถ้อยคำระรื่นหูขึ้นลวงโลกฉะนี้”
เล่าปี่ฟังคนที่สองกล่าวสิ้นคำลง ม้าที่ขี่ก็มาถึงโรงเตี๊ยม พลันได้ยินเสียงอีกคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า “ป่วยการไยที่จะเอ่ยถึงความเพ้อฝันลวงโลกในเวลากลางวัน เราท่านก็แลเห็นอยู่มิใช่หรือว่าในป่าบ้านนี้มีฝูงนกมากหลาย ต่างหากินทำรังร้องเพลงขับขานด้วยความสุขสนุกสนาน มูลฐานหาได้อยู่ที่กฎเกณฑ์ กติกา หรือธรรมรัฐอะไรไม่ หากอยู่ที่อาหารอันอุดม และร่มป่าอันสมบูรณ์ ไร้การเบียดเบียนนั่นต่างหาก แผ่นดินก็เหมือนกันแต่ครั้งพระเจ้าจิ๋วบุนอ๋องพระมหากษัตริย์ผู้ประเสริฐก็ทรงเน้นการทำให้อาณาประชาราษฎรมีหน้าที่การงานอย่างทั่วถึง ส่งเสริมให้ปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารอันอุดมสมบูรณ์ การเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์ การประมง ได้ผลดีมีราคาดีตลอดรัชกาล อาณาประชาราษฎร์ในแผ่นดินของพระองค์มีรายได้เหลือกินเหลือใช้ การค้าขายตั้งแต่ชนบทชายแดนถึงราชธานีจึงรุ่งเรืองเฟื่องฟูตาม ชาวค้าขายต่างเมืองจึงพากันหลั่งไหลเข้ามาค้าขายลงทุนดุจสายน้ำหลากในฤดูฝน แผ่นดินสามารถจัดเก็บภาษีอากรได้เป็นอันมาก จนเงินท่วมพระคลังหลวง สามารถนำไปจับจ่ายใช้สอยพัฒนาแผ่นดินได้ทั่วทุกตำบล บ้านเมืองจึงเป็นสุข ราษฎรอยู่ดีกินดีเพราะเหตุฉะนี้ กฎเกณฑ์ กติกา และความคิดไหน ๆ หากไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขแห่งมหาชนแล้วย่อมเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ หาแก่นสารอันใดมิได้”
ความตอนนี้ไม่ปรากฎในสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) แต่ในสามก๊กฉบับสมบูรณ์ได้ระบุว่าเล่าปี่ได้ยินเสียงคนท่องโคลงซึ่งเป็นเรื่องราวพรรณนาสดุดีวีรกรรมของวีรชนในยุคเลียดก๊ก
เล่าปี่หยุดม้าฟังคำสนทนาของคนในโรงเตี๊ยมสิ้นคำแล้ว เห็นถ้อยร้อยเจรจาเกี่ยวด้วยความแผ่นดินแลการปกครองหลักแหลมนักก็สำคัญว่าคนใดคนหนึ่งในกลุ่มนี้คือขงเบ้ง จึงลงจากหลังม้าเข้าไปแอบดู เห็นบุคลิกหน้าตาท่าทางของคนเหล่านั้นมีลักษณะเป็นผู้คงแก่เรียน ดูภูมิฐาน มีความรู้แลสติปัญญาเป็นอันมาก จึงเข้าไปคำนับแล้วถามว่าท่านผู้ใดคืออาจารย์ฮกหลง
คนหนึ่งได้ตอบว่าพวกเราในที่นี้ไม่ใช่อาจารย์ฮกหลง แต่พวกเราเป็นเพื่อนกับขงเบ้ง เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกละอายใจที่ทักคนผิด จึงรีบคำนับลา แล้วขึ้นม้าไปเขาโงลังกั๋ง
ครั้นไปถึงซุ้มประตูหน้าบ้านของขงเบ้ง เล่าปี่ กวนอู เตียวหุยจึงลงจากหลังม้าเดินเข้าไปที่ประตูบ้าน พอดีเด็กน้อยคนเดิมได้ออกมาที่ซุ้มประตู เล่าปี่เห็นดังนั้นจึงถามว่าวันนี้อาจารย์ท่านอยู่บ้านหรือไม่
เด็กน้อยนั้นจึงว่าอาจารย์ข้าพเจ้านอนดูหนังสืออยู่ เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นดีใจ สำคัญว่าขงเบ้งนอนดูหนังสืออยู่ในบ้าน จึงกล่าวกับเด็กน้อยว่าเจ้าจงเมตตาพาเราเข้าไปพบอาจารย์ของเจ้าเถิด
พอเล่าปี่กล่าวสิ้นคำก็เห็นชายผู้หนึ่งอายุราวยี่สิบห้า เดินออกมาจากประตูบ้าน เล่าปี่สำคัญผิดคิดว่าเป็นขงเบ้งจึงรีบเดินตรงเข้าไปคำนับแล้วว่า “ข้าพเจ้านี้ชื่อว่าเล่าปี่ แต่ได้ยินเขาเล่าลือไปก็ช้านานแล้ว ข้าพเจ้าเป็นคนวาสนาน้อย ตั้งใจจะมาคำนับท่านก็มิรู้แห่งเลย ต่อชีซีบอกสำคัญให้ ข้าพเจ้าเสาะมาหาท่านครั้งหนึ่งแล้วก็มิพบ วันนี้มิเสียทีข้าพเจ้าตรำน้ำค้างทรมานกายมาได้พบท่านเป็นบุญตัวนักหนา”
ชายนั้นค้อมตัวรับคำนับเล่าปี่แล้วว่า “ท่านนี้หรือชื่อเล่าปี่เป็นเชื้อสายพระเจ้าเหี้ยนเต้ ตัวข้าพเจ้านี้ชื่อจูกัดกิ๋นเป็นน้องของขงเบ้งดอก พี่น้องสามคนด้วยกัน คนหนึ่งก็ชื่อจูกัดกิ๋นเป็นพี่ผู้ใหญ่ ไปทำราชการอยู่ด้วยซุนกวน ณ เมืองกังตั๋ง”
เล่าปี่ได้ฟังคำก็สำนึกว่าทักคนผิดอีกแล้ว รู้สึกละอายใจนัก แต่ก็ยังบากหน้าถามต่อไปว่าบัดนี้ขงเบ้งพี่ของท่านอยู่ที่ไหนเล่า จูกัดกิ๋นจึงว่าขงเบ้งพี่ข้าพเจ้าไม่อยู่ เพราะเพื่อนมาชวนไปเที่ยวแต่เช้าตรู่วันนี้แล้ว
เล่าปี่จึงถามต่อไปว่าขงเบ้งพี่ท่านไปเที่ยวกับเพื่อน ณ แห่งหนตำบลใด ข้าพเจ้าใคร่จะตามไป
จูกัดกิ๋นตอบว่าข้าพเจ้าไม่ทราบแน่ชัดว่าขงเบ้งไปเที่ยวแห่งหนตำบลใด เพราะบางทีก็ไปทางบก บางทีก็ไปเรือ และไม่ทราบกำหนดว่าจะกลับเมื่อใด
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็เสียใจ ทอดถอนใจใหญ่แล้วว่าตัวข้าพเจ้านี้วาสนาน้อยอาภัพนัก สู้ตรากตรำฝ่าหิมะและลมหนาวมาสองครั้งแล้วก็ไม่มีโอกาสได้พบกับขงเบ้งพี่ของท่าน
เตียวหุยยืนอยู่ข้างหลังได้ฟังดังนั้นจึงว่าเวลานี้พายุหิมะกำลังพัดกล้า ขอพี่ใหญ่ได้กลับเข้าไปในเมืองซินเอี๋ยเสียก่อน
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงหันมาว่ากับเตียวหุยว่า เราตรากตรำฝ่าความหนาวแลหิมะมาถึงเขาโงลังกั๋งได้ยากลำบากนัก ยังไม่ทันจะได้กล่าวความสักคำสองคำเลยเจ้าจะมาด่วนรบเร้าให้เรารีบกลับเข้าเมืองไป หาประโยชน์สิ่งใดเล่า หากเจ้าไม่เต็มใจอยู่ก็รีบกลับไปก่อน
เตียวหุยเห็นสีหน้าและน้ำเสียงของเล่าปี่ขุ่นเคืองดุดันก็ถอยออกมาข้างหลัง แล้วนิ่งอยู่
เล่าปี่จึงกล่าวกับจูกัดกิ๋นต่อไปว่า “เราได้ยินเขาเลื่องลือว่าพี่ท่านมีสติปัญญา ร่ำเรียนวิชารู้หลักแหลมเป็นอันมาก ตัวท่านเป็นน้องยังแจ้งว่าทุกวันนี้ยังเรียนสิ่งใดอยู่”
เล่าปี่พยายามสอบถามหาข้อมูลเกี่ยวกับความรู้แลสติปัญญาของขงเบ้งเพิ่มเติมจากจูกัดกิ๋นเพราะเห็นว่าเป็นคนที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับขงเบ้งมากที่สุด จูกัดกิ๋นได้ตอบเล่าปี่ว่า พี่ข้าพเจ้ามีสติปัญญานั้นจริงแล้ว แต่จะเล่าเรียนวิชาประการใดบ้างข้าพเจ้าไม่แจ้ง จึงไม่รู้ที่จะตอบท่านประการใด
เล่าปี่จึงว่าข้าพเจ้ามาคำนับขงเบ้งพี่ของท่านสองครั้งแล้วแต่ไม่พบ บัดนี้ตะวันจะพลบแล้ว พายุหิมะกำลังพัดกล้าจำจะขอลาไปก่อน แต่จะขอฝากลายน้ำหมึกแทนใจเราไว้คารวะขงเบ้ง พอให้รู้ว่าเราได้มาหาถึงสองครั้งแล้ว
จูกัดกิ๋นได้ฟังดังนั้นจึงเชิญให้เล่าปี่นั่งที่เก๋งหน้ากระท่อม แล้วเข้าไปหยิบเอาพู่กัน หมึกจีนและกระดาษออกมาให้เล่าปี่
เล่าปี่รับเอาเครื่องเขียนมาจากจูกัดกิ๋นแล้วเขียนหนังสือถึงขงเบ้งเป็นใจความว่า “ข้าพเจ้าชื่อเล่าปี่ มีความอุตส่าห์มาหาอาจารย์ฮกหลง ด้วยข้าพเจ้าแจ้งกิตติศัพท์เลื่องลือไปว่าท่านมีปัญญาวิชาคุณอันประเสริฐ หาผู้เสมอมิได้ ข้าพเจ้ามีความยินดีนัก อุตส่าห์ทรมานมาหาท่านถึงสองครั้งแล้วก็มิพบ เป็นคนบุญน้อยอาภัพนัก ขอท่านได้กรุณาแก่ข้าพเจ้าอย่าให้สูญความปรารถนาเลย ถ้าจะเมตตาแก่ข้าพเจ้าก็ขอให้ข้าพเจ้าได้พบสักครั้งหนึ่งเถิด แลมาบัดนี้ก็หวังจะพึ่งปัญญาวิชาคุณของท่าน เชิญไปทำราชการช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินอันเกิดจลาจลให้เป็นสุขสืบไป จะได้ปรากฏกำลังปัญญาแลความคิดของท่าน”
เล่าปี่เขียนหนังสือเสร็จแล้วจึงมอบหนังสือนั้นแก่จูกัดกิ๋น แล้วคำนับลาขึ้นม้าขี่กลับออกไป
พอขึ้นนั่งบนหลังม้าเด็กน้อยได้ชี้ไปด้านหลังของเล่าปี่แล้วร้องว่า “อาจารย์ผู้เฒ่ามาโน่นแล้ว.”
หลังจากนั้นอีกสี่ห้าวันเล่าปี่จึงให้ทหารไปสืบข่าวคราวของขงเบ้งที่เขาโงลังกั๋ง ครั้นทหารนั้นกลับมารายงานว่าบัดนี้ขงเบ้งอยู่ที่บ้าน เล่าปี่ก็มีความยินดี สั่งการให้เจ้าหน้าที่จัดแจงสิ่งของกำนัลจะออกไปคำนับขงเบ้งในวันรุ่งขึ้น
เตียวหุยเห็นผู้เป็นพี่ใหญ่สาละวนคิดอ่านอยู่แต่เรื่องของขงเบ้งไม่ว่างเว้นแม้แต่สักวันหนึ่งก็รู้สึกขัดใจ จึงกล่าวกับเล่าปี่ว่าไฉนพี่ใหญ่จึงลุ่มหลงแต่คำลือนับถือว่าขงเบ้งเป็นผู้มีสติปัญญา ความจริงจะเป็นประการใดยังไม่มีใครประจักษ์แจ้ง ขงเบ้งนั้นไม่ว่าประการใดก็เป็นแต่เพียงคนบ้านนอก หาควรที่พี่ใหญ่ซึ่งเป็นถึงเจ้าเมืองแลเชื้อพระวงศ์จะสู้ยากตรากตรำออกไปหาถึงบ้านป่า หากแม้นพี่ใหญ่ปรารถนาจะได้ตัวจริงแล้วข้าพเจ้าขออาสาสั่งทหารให้ไปคุมตัวขงเบ้งมาพบพี่ใหญ่ให้จงได้
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็โกรธเตียวหุย แล้วว่าขงเบ้งมีสติปัญญาเป็นอันมาก กิตติศัพท์ปรากฏลือเลื่องอยู่ ตัวเราแม้นยังไม่พบตัวขงเบ้งแต่ได้ประจักษ์ถึงความคิดแลสติปัญญาของคนผู้นี้ดีกว่าใคร ไฉนเจ้าจึงคิดอ่านหยาบช้าปรามาสขงเบ้งดังนี้
เตียวหุยได้ฟังพี่ใหญ่ขุ่นเคืองถึงเพียงนี้ก็เกรงใจ เล่าปี่เห็นดังนั้นจึงว่าพรุ่งนี้เราจะไปคำนับขงเบ้งแต่เช้า ตัวเจ้าและกวนอูแม้นไม่พอใจจะไปหาขงเบ้งก็จงอยู่รักษาเมืองซินเอี๋ย ว่าดังนั้นแล้วเล่าปี่ก็กลับเข้าไปในที่พัก
ครั้นรุ่งขึ้นเล่าปี่ตื่นแต่เช้า ออกมาขึ้นม้าซึ่งทหารเตรียมไว้ที่หน้าจวน พบกับกวนอู เตียวหุย เตรียมม้ารอคอยทีอยู่ก่อนแล้ว เล่าปี่เห็นน้องร่วมสาบานทั้งสองดังนั้นจึงถามว่าเจ้าทั้งสองเต็มใจจะไปหาขงเบ้งพร้อมกับเราหรือ
กวนอู เตียวหุย คำนับเล่าปี่แล้วว่าพี่ใหญ่จะไปแห่งหนตำบลใด พวกเราก็จะติดตามไป เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงขี่ม้าพากวนอู เตียวหุย แลทหารรับใช้ซึ่งคุมข้าวของที่จะไปคำนับขงเบ้งออกจากเมืองซินเอี๋ย
วันนั้นเป็นกลางฤดูหนาว อากาศหนาวเหน็บมากกว่าครั้งก่อน หิมะหนาปลิวว่อน สองข้างทางแลทิวป่าขาวโพลนหนาทึบ สามพี่น้องแห่งสวนท้อขี่ม้าฝ่าลมหนาวอันเย็นยะเยือกสั่นสะท้านไปทั้งตัวก็มิได้ย่อท้อ แต่พอเดินทางออกจากเมืองซินเอี๋ยมาได้สามสิบเส้นความหนาวเหน็บที่แรงขึ้นด้วยลมอันพัดผ่านท้องทุ่งยิ่งทำให้สามพี่น้องได้รับความทรมานนัก
เตียวหุยเริ่มจะทนกับความหนาวไม่ได้จึงกล่าวกับเล่าปี่ว่า “เทศกาลนี้เป็นฤดูหนาว อันยามหนาวเช่นนี้แม้จะคิดอ่านทำการสงครามเอาบ้านเอาเมืองนั้นก็ยังต้องงดไว้ ควรแล้วหรือมานับถือขงเบ้งซึ่งเป็นชาวบ้านนอกนี้หาประโยชน์ไม่ ขอท่านกลับไปเมืองก่อนเถิด”
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ตอบว่า “อันธรรมดาจะปรารถนาของดีก็ย่อมประกอบด้วยความอุตส่าห์จึงจะได้ ซึ่งเราทรมานกายมาทั้งนี้ก็ปรารถนาจะให้ได้ขงเบ้ง อนึ่งจะให้ขงเบ้งรู้ว่าเรามีความรักแลเพียรเป็นอันมาก ซึ่งตัวท่านกลัวแต่ความลำบากทนหนาวมิได้ก็ให้เร่งกลับไปในเมืองเถิด”
เตียวหุยได้ฟังเล่าปี่ยืนยันมั่นเหมาะดังนั้นจึงแสร้งกล่าวไปเสียอีกทางหนึ่งว่าข้าพเจ้ากล่าวความเพราะเกรงว่าพี่ใหญ่จะลำบากกายแล้วจะไม่สบาย จึงทัดทานดังนี้
เล่าปี่ฟังคำเตียวหุยแล้วรู้ว่าเป็นการแก้ตัวจึงตัดบทเสียว่า แต่นี้ไปเจ้าอย่าได้กล่าวความฉะนี้อีก
สามพี่น้องแห่งสวนท้อพากันขี่ม้าท่ามกลางสายหิมะที่ตกลงมาอย่างหนัก อีกครู่หนึ่งจึงเห็นโรงเตี๊ยมข้างทางอยู่เบื้องหน้า เล่าปี่และสองพี่น้องร่วมสาบานหนาวยะเยือกทรมานนักก็คิดหยุดพักที่โรงเตี๊ยมนี้สักครู่หนึ่ง พอได้ไออุ่นจากเตาผิงแล้วค่อยเดินทางต่อไป จึงขี่ม้าตรงไปที่โรงเตี๊ยมนั้น
พอเข้าไปใกล้ก็ได้ยินเสียงคนสนทนากันดังมาแต่ไกล
คนหนึ่งพูดว่า “จักรวาล โลกธาตุ ฤดูกาล พระสุริยันจันทรา มีการหมุนเวียนเปลี่ยนผันเป็นนิรันดร์ เพราะมีกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติอันแน่นอน สังคมมนุษย์เราย่อมจำเป็นต้องมีกฎกติกาเป็นแบบแผนจึงจะเป็นปกติสุขได้ เพราะเหตุนี้ต้องสร้างธรรมรัฐขึ้น จึงจะฟื้นฟูแผ่นดินให้เป็นสุข”
อีกคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า “อันธรรมรัฐนั้นเป็นแต่คำกล่าวเพื่อความระรื่นหู หาสาระแก่นสารอันใดมิได้ ประหนึ่งต้นไม้ไม่มีราก ภาพที่เห็นเป็นต้นไม้ก็จริง แต่ไม่อาจอาศัยดอกผลประการใดได้ ต้องลมแต่เพียงแผ่วเบาก็ล้มครืนลงแล้ว รัฐที่เต็มไปด้วยโจรานุโจรกระทำการแบบโจรโดยโจรและเพื่อโจรก็ชื่อว่าธรรมรัฐ รัฐที่เต็มไปด้วยนักพรตและผู้ปฏิบัติธรรมก็เป็นธรรมรัฐ รัฐที่เต็มไปด้วยพวกที่ไม่เอาไหน ไม่รู้จักรับผิดชอบก็เป็นธรรมรัฐ เพราะคำว่า “ธรรม” นั้นย่อมหมายถึงธรรมอันเป็นกุศล คือกุสลาธรรมา ธรรมอันเป็นอกุศล คืออกุสลาธรรมา และธรรมอันเป็นกลางคืออัพยากะตาธรรมา สังคมมนุษย์เราปั่นป่วนเป็นจลาจล ประชาชนทุกข์เข็ญ ก็เนื่องด้วยวิญญูชนจอมปลอมเที่ยวเสกสรรปั้นแต่งถ้อยคำระรื่นหูขึ้นลวงโลกฉะนี้”
เล่าปี่ฟังคนที่สองกล่าวสิ้นคำลง ม้าที่ขี่ก็มาถึงโรงเตี๊ยม พลันได้ยินเสียงอีกคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า “ป่วยการไยที่จะเอ่ยถึงความเพ้อฝันลวงโลกในเวลากลางวัน เราท่านก็แลเห็นอยู่มิใช่หรือว่าในป่าบ้านนี้มีฝูงนกมากหลาย ต่างหากินทำรังร้องเพลงขับขานด้วยความสุขสนุกสนาน มูลฐานหาได้อยู่ที่กฎเกณฑ์ กติกา หรือธรรมรัฐอะไรไม่ หากอยู่ที่อาหารอันอุดม และร่มป่าอันสมบูรณ์ ไร้การเบียดเบียนนั่นต่างหาก แผ่นดินก็เหมือนกันแต่ครั้งพระเจ้าจิ๋วบุนอ๋องพระมหากษัตริย์ผู้ประเสริฐก็ทรงเน้นการทำให้อาณาประชาราษฎรมีหน้าที่การงานอย่างทั่วถึง ส่งเสริมให้ปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารอันอุดมสมบูรณ์ การเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์ การประมง ได้ผลดีมีราคาดีตลอดรัชกาล อาณาประชาราษฎร์ในแผ่นดินของพระองค์มีรายได้เหลือกินเหลือใช้ การค้าขายตั้งแต่ชนบทชายแดนถึงราชธานีจึงรุ่งเรืองเฟื่องฟูตาม ชาวค้าขายต่างเมืองจึงพากันหลั่งไหลเข้ามาค้าขายลงทุนดุจสายน้ำหลากในฤดูฝน แผ่นดินสามารถจัดเก็บภาษีอากรได้เป็นอันมาก จนเงินท่วมพระคลังหลวง สามารถนำไปจับจ่ายใช้สอยพัฒนาแผ่นดินได้ทั่วทุกตำบล บ้านเมืองจึงเป็นสุข ราษฎรอยู่ดีกินดีเพราะเหตุฉะนี้ กฎเกณฑ์ กติกา และความคิดไหน ๆ หากไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขแห่งมหาชนแล้วย่อมเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ หาแก่นสารอันใดมิได้”
ความตอนนี้ไม่ปรากฎในสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) แต่ในสามก๊กฉบับสมบูรณ์ได้ระบุว่าเล่าปี่ได้ยินเสียงคนท่องโคลงซึ่งเป็นเรื่องราวพรรณนาสดุดีวีรกรรมของวีรชนในยุคเลียดก๊ก
เล่าปี่หยุดม้าฟังคำสนทนาของคนในโรงเตี๊ยมสิ้นคำแล้ว เห็นถ้อยร้อยเจรจาเกี่ยวด้วยความแผ่นดินแลการปกครองหลักแหลมนักก็สำคัญว่าคนใดคนหนึ่งในกลุ่มนี้คือขงเบ้ง จึงลงจากหลังม้าเข้าไปแอบดู เห็นบุคลิกหน้าตาท่าทางของคนเหล่านั้นมีลักษณะเป็นผู้คงแก่เรียน ดูภูมิฐาน มีความรู้แลสติปัญญาเป็นอันมาก จึงเข้าไปคำนับแล้วถามว่าท่านผู้ใดคืออาจารย์ฮกหลง
คนหนึ่งได้ตอบว่าพวกเราในที่นี้ไม่ใช่อาจารย์ฮกหลง แต่พวกเราเป็นเพื่อนกับขงเบ้ง เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกละอายใจที่ทักคนผิด จึงรีบคำนับลา แล้วขึ้นม้าไปเขาโงลังกั๋ง
ครั้นไปถึงซุ้มประตูหน้าบ้านของขงเบ้ง เล่าปี่ กวนอู เตียวหุยจึงลงจากหลังม้าเดินเข้าไปที่ประตูบ้าน พอดีเด็กน้อยคนเดิมได้ออกมาที่ซุ้มประตู เล่าปี่เห็นดังนั้นจึงถามว่าวันนี้อาจารย์ท่านอยู่บ้านหรือไม่
เด็กน้อยนั้นจึงว่าอาจารย์ข้าพเจ้านอนดูหนังสืออยู่ เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นดีใจ สำคัญว่าขงเบ้งนอนดูหนังสืออยู่ในบ้าน จึงกล่าวกับเด็กน้อยว่าเจ้าจงเมตตาพาเราเข้าไปพบอาจารย์ของเจ้าเถิด
พอเล่าปี่กล่าวสิ้นคำก็เห็นชายผู้หนึ่งอายุราวยี่สิบห้า เดินออกมาจากประตูบ้าน เล่าปี่สำคัญผิดคิดว่าเป็นขงเบ้งจึงรีบเดินตรงเข้าไปคำนับแล้วว่า “ข้าพเจ้านี้ชื่อว่าเล่าปี่ แต่ได้ยินเขาเล่าลือไปก็ช้านานแล้ว ข้าพเจ้าเป็นคนวาสนาน้อย ตั้งใจจะมาคำนับท่านก็มิรู้แห่งเลย ต่อชีซีบอกสำคัญให้ ข้าพเจ้าเสาะมาหาท่านครั้งหนึ่งแล้วก็มิพบ วันนี้มิเสียทีข้าพเจ้าตรำน้ำค้างทรมานกายมาได้พบท่านเป็นบุญตัวนักหนา”
ชายนั้นค้อมตัวรับคำนับเล่าปี่แล้วว่า “ท่านนี้หรือชื่อเล่าปี่เป็นเชื้อสายพระเจ้าเหี้ยนเต้ ตัวข้าพเจ้านี้ชื่อจูกัดกิ๋นเป็นน้องของขงเบ้งดอก พี่น้องสามคนด้วยกัน คนหนึ่งก็ชื่อจูกัดกิ๋นเป็นพี่ผู้ใหญ่ ไปทำราชการอยู่ด้วยซุนกวน ณ เมืองกังตั๋ง”
เล่าปี่ได้ฟังคำก็สำนึกว่าทักคนผิดอีกแล้ว รู้สึกละอายใจนัก แต่ก็ยังบากหน้าถามต่อไปว่าบัดนี้ขงเบ้งพี่ของท่านอยู่ที่ไหนเล่า จูกัดกิ๋นจึงว่าขงเบ้งพี่ข้าพเจ้าไม่อยู่ เพราะเพื่อนมาชวนไปเที่ยวแต่เช้าตรู่วันนี้แล้ว
เล่าปี่จึงถามต่อไปว่าขงเบ้งพี่ท่านไปเที่ยวกับเพื่อน ณ แห่งหนตำบลใด ข้าพเจ้าใคร่จะตามไป
จูกัดกิ๋นตอบว่าข้าพเจ้าไม่ทราบแน่ชัดว่าขงเบ้งไปเที่ยวแห่งหนตำบลใด เพราะบางทีก็ไปทางบก บางทีก็ไปเรือ และไม่ทราบกำหนดว่าจะกลับเมื่อใด
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็เสียใจ ทอดถอนใจใหญ่แล้วว่าตัวข้าพเจ้านี้วาสนาน้อยอาภัพนัก สู้ตรากตรำฝ่าหิมะและลมหนาวมาสองครั้งแล้วก็ไม่มีโอกาสได้พบกับขงเบ้งพี่ของท่าน
เตียวหุยยืนอยู่ข้างหลังได้ฟังดังนั้นจึงว่าเวลานี้พายุหิมะกำลังพัดกล้า ขอพี่ใหญ่ได้กลับเข้าไปในเมืองซินเอี๋ยเสียก่อน
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงหันมาว่ากับเตียวหุยว่า เราตรากตรำฝ่าความหนาวแลหิมะมาถึงเขาโงลังกั๋งได้ยากลำบากนัก ยังไม่ทันจะได้กล่าวความสักคำสองคำเลยเจ้าจะมาด่วนรบเร้าให้เรารีบกลับเข้าเมืองไป หาประโยชน์สิ่งใดเล่า หากเจ้าไม่เต็มใจอยู่ก็รีบกลับไปก่อน
เตียวหุยเห็นสีหน้าและน้ำเสียงของเล่าปี่ขุ่นเคืองดุดันก็ถอยออกมาข้างหลัง แล้วนิ่งอยู่
เล่าปี่จึงกล่าวกับจูกัดกิ๋นต่อไปว่า “เราได้ยินเขาเลื่องลือว่าพี่ท่านมีสติปัญญา ร่ำเรียนวิชารู้หลักแหลมเป็นอันมาก ตัวท่านเป็นน้องยังแจ้งว่าทุกวันนี้ยังเรียนสิ่งใดอยู่”
เล่าปี่พยายามสอบถามหาข้อมูลเกี่ยวกับความรู้แลสติปัญญาของขงเบ้งเพิ่มเติมจากจูกัดกิ๋นเพราะเห็นว่าเป็นคนที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับขงเบ้งมากที่สุด จูกัดกิ๋นได้ตอบเล่าปี่ว่า พี่ข้าพเจ้ามีสติปัญญานั้นจริงแล้ว แต่จะเล่าเรียนวิชาประการใดบ้างข้าพเจ้าไม่แจ้ง จึงไม่รู้ที่จะตอบท่านประการใด
เล่าปี่จึงว่าข้าพเจ้ามาคำนับขงเบ้งพี่ของท่านสองครั้งแล้วแต่ไม่พบ บัดนี้ตะวันจะพลบแล้ว พายุหิมะกำลังพัดกล้าจำจะขอลาไปก่อน แต่จะขอฝากลายน้ำหมึกแทนใจเราไว้คารวะขงเบ้ง พอให้รู้ว่าเราได้มาหาถึงสองครั้งแล้ว
จูกัดกิ๋นได้ฟังดังนั้นจึงเชิญให้เล่าปี่นั่งที่เก๋งหน้ากระท่อม แล้วเข้าไปหยิบเอาพู่กัน หมึกจีนและกระดาษออกมาให้เล่าปี่
เล่าปี่รับเอาเครื่องเขียนมาจากจูกัดกิ๋นแล้วเขียนหนังสือถึงขงเบ้งเป็นใจความว่า “ข้าพเจ้าชื่อเล่าปี่ มีความอุตส่าห์มาหาอาจารย์ฮกหลง ด้วยข้าพเจ้าแจ้งกิตติศัพท์เลื่องลือไปว่าท่านมีปัญญาวิชาคุณอันประเสริฐ หาผู้เสมอมิได้ ข้าพเจ้ามีความยินดีนัก อุตส่าห์ทรมานมาหาท่านถึงสองครั้งแล้วก็มิพบ เป็นคนบุญน้อยอาภัพนัก ขอท่านได้กรุณาแก่ข้าพเจ้าอย่าให้สูญความปรารถนาเลย ถ้าจะเมตตาแก่ข้าพเจ้าก็ขอให้ข้าพเจ้าได้พบสักครั้งหนึ่งเถิด แลมาบัดนี้ก็หวังจะพึ่งปัญญาวิชาคุณของท่าน เชิญไปทำราชการช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินอันเกิดจลาจลให้เป็นสุขสืบไป จะได้ปรากฏกำลังปัญญาแลความคิดของท่าน”
เล่าปี่เขียนหนังสือเสร็จแล้วจึงมอบหนังสือนั้นแก่จูกัดกิ๋น แล้วคำนับลาขึ้นม้าขี่กลับออกไป
พอขึ้นนั่งบนหลังม้าเด็กน้อยได้ชี้ไปด้านหลังของเล่าปี่แล้วร้องว่า “อาจารย์ผู้เฒ่ามาโน่นแล้ว.”