ตอนที่ 199. ฮวงจุ้ยสำนักมังกร

กระท่อมน้อยของขงเบ้งตั้งอยู่ในหุบเขามังกรหลับ หากจะพิจารณาแต่ผิวเผินเพียงประถมก็อาจเห็นว่าขัดต่อหลักแห่งฮวงจุ้ย ผิดไปจากคัมภีร์ภูมิสถาปัตย์ แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่เพราะผู้เรืองปัญญาที่แจ้งฟ้าจบดินนี้ไหนเลยจะตั้งบ้านฐานถิ่นโดยไม่คำนึงถึงสิ่งนี้

            แม้ว่ากระท่อมน้อยนี้ตั้งอยู่ในหุบเขา แต่เนื่องจากเป็นเทือกเขาที่ทอดยาวเป็นขนดประหนึ่งมังกรนอนขนดซุ่มตัวอยู่บนฟองคลื่น ดังนั้นจึงไม่อับลม สายลมสามารถพัดผ่านได้ตามช่องเขาทุกฤดูกาล ทั้งยังมีธารน้ำอันอุดมโดยรอบไหลริน เป็นที่ตั้งแห่งความมั่งคั่งชั่วนาตาปี

            ภูมิทำเลดังนี้จึงนับเป็นภูมิทำเลที่อุดมและบริบูรณ์ด้วย “ฮวง”และ “จุ้ย” ยิ่งกว่าปูมอันเลิศที่ระบุไว้ในคัมภีร์เสียอีก

            สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) จึงพรรณนาภูมิสถาปัตย์บ้านขงเบ้งไว้ว่า “ภูมิฐานบ้านเรือนเห็นสะอาดสะอ้านชอบมาพากล แม้เทศกาลร้อนก็มิได้ร้อนเพราะลมพัดมาได้ เมื่อถึงฤดูฝนก็เป็นที่ร่มปิดหยาดฝนมิได้ถูกต้อง หน้าฤดูหนาวก็มิได้เย็นด้วยละอองน้ำค้าง สมควรเป็นที่อยู่ผู้มีสติปัญญาจริง”

            ในขณะที่เล่าปี่กำลังขี่ม้าฝ่าเข้าไปในดงสน บรรดานกที่มีปกติสุขสงบอยู่ในดงไม้ไร้ผู้รบกวนได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังมาแต่ไกลก็พากันตกใจ ร้องและบินอึกทึกพล่านเป็นแนวตามทางที่เล่าปี่ขี่ม้าไปนั้น

            ในขณะนั้นจูกัดเหลียง-ขงเบ้ง นั่งอ่านหนังสืออยู่ในกระท่อมน้อย ได้ยินเสียงนกร้องเป็นที่ผิดสังเกต มองไปข้างหน้าเห็นคนสามคนขี่ม้ามาแต่ไกลก็นึกถึงคำของชีซีว่าเล่าปี่จะมาคำนับเชิญไปรับราชการจึงคิดขึ้นแต่ในใจว่า “เขาเล่าลืออยู่ว่าเล่าปี่มีสติปัญญา ประกอบด้วยอัธยาศัยแลความเพียรเป็นอันมากนั้น จะจริงหรือประการใด ครั้นจะอยู่ให้พบตัวบัดนี้ก็จะไม่แจ้งว่าเล่าปี่มีความเพียรแลหาเพียรไม่ ซึ่งเราจะไปอยู่ด้วยนั้นใหญ่หลวงนัก ยังจะเป็นประโยชน์หรือมิเป็นประโยชน์ จะลองดูให้รู้น้ำใจเล่าปี่ก่อน”

            เมื่อคำนึงดังนี้แล้วจึงเรียกศิษย์ตัวน้อยเข้ามาสั่งความที่จะโต้ตอบกับเล่าปี่ สิ้นสั่งแล้วขงเบ้งจึงเข้าไปซ่อนอยู่ในห้องข้างใน

            ความอันปรากฏขึ้นในห้วงสำนึกของขงเบ้งนี้บ่งชี้ชัดเจนว่าพญามังกรแห่งเขาโงลังกั๋งได้หยั่งคาดการณ์ในเบื้องหน้าแจ่มแจ้งแก่ใจแล้วว่าชะตาฟ้าได้กำหนดให้ต้องลงจากเขาโงลังกั๋งไปทำราชการด้วยเล่าปี่ ซึ่งการนั้น “ใหญ่หลวงนัก” จึงหวังจะประจักษ์ความเพียรแลอัธยาศัยน้ำใจของเล่าปี่เสียชั้นหนึ่งก่อน

            เล่าปี่หยุดม้าอยู่ที่เชิงสะพาน กวาดสายตาสังเกตอาณาบริเวณโดยรอบ เห็นริมธารนั้นมีกังหันน้ำสำหรับชักน้ำเข้าสู่ไร่หม่อน เห็นเสาไม้ปักอยู่กลางแจ้งมีรอยขีดเป็นเครื่องหมายบนพื้นดินโดยรอบรัศมี ประหนึ่งว่าจะเป็นการรวบรวมข้อมูลหรือสถิติอันเกิดแต่ความสัมพันธ์ระหว่างแสงตะวันกับเงาไม้อยู่เป็นประจำ

            เล่าปี่พินิจพิเคราะห์ด้วยความตะลึงพรึงเพริดอยู่ครู่หนึ่งจึงลงจากหลังม้า ตรงเข้าไปที่ลานบ้าน สังเกตเห็นตัวบ้านตั้งอยู่ในตำแหน่งอันเป็นจุดศูนย์กลางแห่งหยิน หยางของค่ายกลพยุหะประตูปราการทองคำแปดทิศก็ยิ่งอัศจรรย์ใจ

            ที่บริเวณหน้าบ้านเป็นลานสะอาดสะอ้าน ข้างซ้ายมีไม้ปักไว้กลางแจ้งอีกแห่งหนึ่ง บนพื้นทางด้านทิศตะวันตกและทิศตะวันออกมีเครื่องหมายบ่งบอกเวลาตั้งแต่เช้าจรดบ่าย ส่วนทางขวามีไม้ปักไว้กลางแจ้งอีกอันหนึ่งผูกปลายไว้ด้วยภู่อันแลเห็นได้ว่าเป็นที่หมายสังเกตแห่งทิศทางลมแลอากาศ ตรงลานหน้าบ้านมีไม้เป็นท่อนวางเป็นรูปวงกลมโดยท่อนหนึ่งคล้ายกับเป็นโต๊ะกลาง ส่วนอีกสี่ท่อนคล้ายกับเป็นเก้าอี้นั่ง รู้สึกได้ว่าเจ้าของบ้านใช้เป็นที่ต้อนรับแขกในฤดูอันร่มรื่น

            เล่าปี่กวาดสายตาไปโดยรอบก็ประจักษ์ว่ากระท่อมน้อยนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขา บนพื้นอันเป็นที่ราบโดยแนวด้านหลังบ้านนั้นมีลำธารน้ำไหลผ่านวกเวียนอ้อมรอบทางหน้าบ้าน สายลมโชยมากระทบหน้าแต่แผ่วโผยสบายอารมณ์ยิ่งนัก ความรู้สึกของเล่าปี่ ณ บัดนี้สว่างไสวและรื่นเริงในอารมณ์ เป็นความอิ่มเอิบเปรมใจที่ไม่เคยสัมผัสมาแต่ก่อน

            เล่าปี่เดินตรงเข้าไปที่ประตูบ้าน เห็นเด็กน้อยเดินออกมาที่ประตูเล่าปี่ก็มีความยินดีเป็นอันมาก มิทันที่จะได้กล่าวความ เด็กน้อยก็ถามขึ้นก่อนว่าท่านเป็นใคร มีชื่อเสียงเรียงนามประการใด เหตุไฉนจึงได้มาถึงที่นี่

            เล่าปี่จึงว่า “เราชื่อห้วนจงกุ๋นยี่เส่งเต็งเฮาเล่าปี่ เป็นเชื้อวงศ์ของพระเจ้าเหี้ยนเต้ จะมาคำนับอาจารย์ของท่าน”

            เพียงปะหน้ากับเด็กน้อยในสำนักของขงเบ้ง เล่าปี่ก็เกรงถ้อยคำว่าจะเป็นอันไม่สุภาพ จึงกล่าวนามและตำแหน่งเต็มของตนตามทางราชการ ซึ่งแปลให้ตรงกับความหมายและความรู้สึกของคนไทยได้ว่า “ข้าพเจ้าแม่ทัพปีกซ้ายชั้นพระยาในตำแหน่งเจ้าเมืองซินเอี๋ย มีฐานะเป็นพระเจ้าอาของพระเจ้าเหี้ยนเต้ชื่อเล่าปี่”

            เด็กน้อยได้ฟังดังนั้นก็ส่ายหน้า แล้วเอ่ยขึ้นว่าชื่อเสียงเรียงนามของท่านนี้ยาวนัก ข้าพเจ้าฟังไม่ทันจำไม่ได้ ขอจงบอกชื่อแต่สั้น ๆ เถิด เล่าปี่จึงว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ก็จงบอกอาจารย์ของท่านเถิดว่าข้าพเจ้าเล่าปี่มาคำนับ

            เด็กนั้นจึงว่า “บัดนี้อาจารย์ข้าพเจ้าไม่อยู่ จะไปตำบลใดมิได้แจ้ง”

            เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกผิดหวังแต่ถามต่อไปว่าอาจารย์เจ้าออกจากบ้านไปทั้งนี้จะกลับมา ณ วันเวลาใด

            เด็กน้อยจึงตอบว่าอาจารย์ของข้าพเจ้านี้ การไปกลับมีปกติไม่แน่นอน บางทีไปวันหนึ่งกลับ บางทีไปสามวันกลับ บางทีไปห้าวันกลับ บางทีก็ถึงสิบวัน ครั้งนี้อาจารย์ก็มิได้บอกว่าจะกลับมาเมื่อใด

            เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็เสียใจ อึ้งอยู่ กวนอู เตียวหุย เห็นว่าเป็นเวลาเย็นแล้ว แลลมหนาวก็เริ่มแรง หิมะเริ่มโปรยหนักมากขึ้น จึงเตือนเล่าปี่ว่าบัดนี้เมื่อขงเบ้งไม่อยู่เรือนและไม่แน่ว่าจะกลับวันเวลาใด หากจะรั้งรออยู่เกรงว่าขงเบ้งไม่กลับมาในวันนี้ก็จะเดินทางกลับยากลำบากนัก เพราะเหตุพายุหิมะส่อเค้าจะพัดมาในยามใกล้ค่ำ กระนั้นเลยขอพี่ใหญ่จงกลับเมืองซินเอี๋ยเสียก่อนแล้วค่อยแต่งผู้คนมาสอดแนม ทราบข่าวชัดว่าขงเบ้งกลับมาเมื่อใดแล้วจึงค่อยมาอีกครั้งหนึ่ง

            เล่าปี่ฟังคำเตือนของกวนอู เตียวหุย ก็เงยหน้าขึ้นฟ้า ทอดตาไปตามป่าไผ่ เห็นทอดใบไหวเอนแลหิมะนั้นปลิวว่อน ลมหนาวกระทบกายเย็นยะเยือก เห็นสมจริงตามคำก็ทอดถอนใจใหญ่ แล้วหันมากล่าวกับเด็กน้อยว่าเวลาวันนี้เราจะกลับไปก่อน อาจารย์เจ้ากลับมาเมื่อใดแล้วจงบอกให้ทราบว่าตัวเราชื่อเล่าปี่เป็นเชื้อวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้มาคำนับแต่ไม่พบ จะกลับมาคำนับใหม่ในวันหน้า

            เด็กน้อยก็รับคำแล้วว่าท่านจงวางใจ อาจารย์ข้าพเจ้ากลับมาเมื่อใดแล้วก็จะแจ้งความตามคำท่าน

            เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มให้กับเด็กน้อย แล้วพากวนอู เตียวหุย ขึ้นม้ากลับออกจากบริเวณบ้านของขงเบ้งจะกลับไปเมืองซินเอี๋ย

            ครั้นเล่าปี่ขี่ม้ามาได้สามสิบเส้นพบชายคนหนึ่งในวัยสามสิบ ใบหน้าผ่องใส ดวงตามีประกายเจิดจ้า แต่งตัวเรียบง่ายแบบนักศึกษา “รูปร่างกิริยาสมควรเป็นอาจารย์” มีลักษณะผิดแปลกกว่าชาวป่าทั้งปวงเดินสวนทางมาก็สำคัญผิดคิดว่าเป็นขงเบ้ง จึงรีบลงจากหลังม้าตรงเข้าไปคำนับ แล้วถามว่าท่านนี้ชื่ออาจารย์ฮกหลงหรือ

            ชายนั้นรับคำนับตามธรรมเนียมแล้วว่าตัวเรานี้มิใช่อาจารย์ฮกหลงดอก เราชื่อซุยเป๋งเป็นเพื่อนของขงเบ้ง ท่านนี้ชื่อใด และเดินทางมาจากแห่งหนตำบลใด

            เล่าปี่จึงตอบว่าตัวข้าพเจ้าชื่อเล่าปี่ เป็นเชื้อวงศ์ของพระเจ้าเหี้ยนเต้ จะมาคำนับขงเบ้งแต่ไม่พบตัว เห็นเป็นเวลาเย็นแล้วจึงจะกลับไปก่อน มาปะหน้าท่านซึ่งเป็นเพื่อนขงเบ้งก็ถือว่าเป็นบุญตัวนัก ดังนั้นเมื่อมีวาสนาได้พบหน้าท่านแล้วขอท่านได้เมตตาให้โอกาสสนทนากับข้าพเจ้าสักหน่อยหนึ่ง

            ซุยเป๋งเห็นเล่าปี่มีกิริยามารยาทอันงามและอ่อนน้อมก็สงสาร เหลียวไปเห็นในที่ใกล้มีเนินหินพอเป็นที่นั่งสนทนาได้จึงผายมือเชิญเล่าปี่ไปนั่งสนทนากันที่เนินหินนั้น แล้วถามว่าท่านมาหาขงเบ้งในยามฤดูหนาวเหน็บดังนี้มีประสงค์สิ่งใดหรือ

            เล่าปี่จึงว่าแผ่นดินบัดนี้เป็นจลาจล ขุนศึกต่างๆ พากันแก่งแย่งแข่งอำนาจทำสงครามกันไม่หยุดหย่อน อาณาประชาราษฎรได้รับความเดือดร้อนตกอยู่ในทุกข์เข็ญทุกหย่อมหญ้า ตัวข้าพเจ้าเป็นเชื้อพระวงศ์ไม่อาจดูดายด้วยเอ็นดูราษฎรนัก จึงตั้งปณิธานที่จะช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุข แต่ข้าพเจ้ามีสติปัญญาน้อย คิดอ่านทำการไม่ตลอด จึงเดินทางมาบ้านนี้หวังจะคำนับเชิญขงเบ้งไปอยู่ช่วยทำราชการปราบปรามยุคเข็ญให้เป็นสุขสืบไป

            ซุยเป๋งฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่าเป็นธรรมดาแห่งสรรพสิ่ง มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วดับไป ความหมุนเวียนเปลี่ยนไปเป็นธรรมชาติที่ไม่อาจมีผู้ใดยับยั้งแปรผันให้เป็นอย่างอื่น แต่กระนั้นน้ำใจท่านที่เอ็นดูราษฎร ยอมยากลำบากมาหาขงเบ้งถึงบ้านนี้ต้องนับว่าเป็นน้ำใจอันดีงามควรแก่เชื้อพระวงศ์ แต่ทว่าการจะฝืนกฎแห่งฟ้าดินเป็นการใหญ่หลวงนัก แผ่นดินแต่ก่อนมาตั้งแต่ครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจก็เป็นสุข เป็นสุขแล้วก็เป็นศึกกลายเป็นจลาจลเพราะอองมังเป็นขบถแย่งชิงเอาแผ่นดินจนพระเจ้าฮั่นกองบู๊ปราบปรามกบฏได้สำเร็จ ชิงแผ่นดินกลับคืน เสร็จศึกแล้วแผ่นดินก็เป็นสุข สงครามแลสันติภาพ การศึกแลศานติเกิดขึ้นหมุนเวียนเปลี่ยนไปดังนี้สี่ร้อยปีแล้ว บัดนี้แผ่นดินถึงคราวเป็นจลาจล ซึ่งท่านจะคิดอ่านปราบปรามการจลาจลยามที่จะต้องเป็นจลาจลให้เป็นสุขนั้น เป็นการขัดต่อวิถีแห่งฟ้า เกลือกไม่สมปรารถนาก็จะป่วยการเสียเปล่า อันเกิดมาเป็นคนทุกวันนี้พึงพิจารณาเห็นสัจธรรมแลความผันแปรนั้น บุญธรรมกรรมแต่งประการใดย่อมเป็นไปตามนั้น จะหักห้ามหรือฝืนวาสนาอันเป็นลิขิตฟ้าดินนั้นมิได้

            เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงติงว่าความอันท่านกล่าวนั้นก็ชอบอยู่แต่ตัวข้าพเจ้าเป็นข้าแผ่นดิน เป็นเชื้อวงศ์แห่งพระเจ้าฮั่นโกโจ เห็นแผ่นดินเป็นจลาจลแลราษฎรทุกข์ร้อนหนักอยู่ดังนี้จะนิ่งเฉยเสียก็จะเหมือนสิ้นซึ่งความกตัญญูรู้คุณต่อแผ่นดิน จำจะเพียรพยายามไปตามกำลังความสามารถ

            ซุยเป๋งจึงยกความในคัมภีร์วิถีแห่งฟ้าขึ้นแสดงว่า “กระทำการใดอย่างสอดคล้องกับวิถีแห่งฟ้าย่อมเกิดมงคล กระทำการใดอย่างสับสนไม่สอดคล้องกับวิถีแห่งฟ้าย่อมเกิดอัปมงคล การได้รับผลดีก็เพราะครองตัวสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ของฟ้า เกิดวิบัติก็เพราะครองตัวแปลกแยกกับกฎเกณฑ์ของฟ้า หลักเหตุผลย่อมเป็นไปเช่นนี้อย่าได้ลงโทษโกรธว่าฟ้าบันดาลเลย”

            และกล่าวต่อไปว่า “เมื่อรู้การควร ไม่ควร ฟ้าดินย่อมมารับใช้เรา สรรพสิ่งย่อมมารับใช้เรา พฤติกรรมก็ย่อมดีงามเพรียบพร้อม จิตใจก็ย่อมดีงามเพรียบพร้อม ชีวิตย่อมไม่มีภัยอันตรายใดทำร้าย ดังนี้ปราชญ์จึงว่าคือผู้เข้าถึงฟ้า”

            กล่าวสิ้นคำลงซุยเป๋งจึงลุกขึ้นยืนแล้วว่า เมื่อท่านมีความมุ่งมั่นปรารถนาแรงกล้าฉะนี้แล้ว ก็จงไปคิดอ่านกับขงเบ้งเถิด

            เล่าปี่จึงว่าซึ่งท่านมีเมตตาสั่งสอนความอันลึกซึ้งสอดคล้องกับวิถีดำเนินแห่งธรรมชาติทั้งปวงนั้นเป็นคุณแก่ข้าพเจ้านัก แต่อย่าคิดว่าข้าพเจ้าลบหลู่ไม่รู้คุณเลย ตัวข้าพเจ้านี้มีความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวที่จะช่วยทำนุบำรุงราษฎรให้เป็นสุข กำจัดยุคเข็ญให้สิ้นสูญสู่สันติ จำจะต้องพบขงเบ้งให้จงได้ ขอท่านได้เมตตาช่วยแนะนำให้ได้พบกับขงเบ้งตามความปรารถนาก็จะเป็นคุณนัก

            ซุยเป๋งจึงว่าตัวข้าพเจ้ามาบัดนี้ก็ต้องการจะมาหาขงเบ้ง  ก็แลเมื่อตัวท่านไปหาขงเบ้งก่อนแล้วมิพบตัว ข้าพเจ้าก็ไม่อาจทราบได้ว่าขงเบ้งไปแห่งหนตำบลใด และจะกลับเมื่อใด

            เล่าปี่นับแต่ชีซีพรากจากไปแล้ว ในใจนั้นให้รู้สึกว้าเหว่เป็นอันมาก ครั้นได้พบกับซุยเป๋งและฟังคำเจรจาเป็นหลักฐานก็รู้สึกศรัทธา แม้จะฟังว่าซุยเป๋งไม่ต้องการคิดอ่านฝืนลิขิตแห่งฟ้า แต่ก็ข่มใจแล้วเอ่ยปากถามซุยเป๋งว่า ตัวท่านทุกวันนี้ทำอาชีพการงานสิ่งใดหรือ

            ซุยเป๋งจึงว่าตัวข้าพเจ้าเป็นคนบ้านป่า มีอาชีพทำนาไร่ ยามว่างก็ศึกษาหาความรู้ท่องโคลงกลอน เล่นหมากล้อมตามประสาชาวบ้าน

            เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงออกปากเชิญซุยเป๋งให้ออกไปทำราชการ ณ เมืองซินเอี๋ย

            ซุยเป๋งจึงตอบว่าตัวข้าพเจ้าเป็นชาวป่าบ้านนอก ปรารถนาแต่ความสุขสบายส่วนตัว ไม่ปรารถนายศถาบรรดาศักดิ์ ขอขอบใจในน้ำใจท่าน หากวันเวลาข้างหน้าว่างเว้นแล้วจะเข้าไปในสนทนาด้วยท่าน ว่าแล้วซุนเป๋งก็คำนับลาเล่าปี่แล้วเดินไปทางเขาโงลังกั๋ง.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร