ตอนที่ 198. เยือนแดนมังกรหลับ
ปลายเจี้ยนอันศกปีที่สิบเอ็ด เดือนอ้ายข้างแรมจัด เป็นเทศกาลฤดูหนาว ลมหนาวพราวพร่างโชยพัดหิมะอันเบาหวิวปลิวว่อน ปกคลุมเรือกสวนไร่นาป่าเขาขาวโพลน เล่าปี่และสองน้องร่วมสาบานขี่ม้าจากเมืองซินเอี๋ยแต่เช้าตรู่ ออกประตูเมืองด้านตะวันตกมุ่งหน้าไปตำบลลงเสีย
พลังวิริยะภาพในใจของพี่ใหญ่ของคำสาบานแห่งสวนท้อร้อนรุ่มเต็มหัวอกดุจกองเพลิงลุกโชติช่วง ขจัดความหนาวเหน็บของร่างกายจนสร่างสิ้น ในขณะที่น้องร่วมสาบานทั้งสองกลับเข้าไม่ถึงซึ่งพลังนี้ ดังนั้นความเย็นยะเยือกจึงกระทบกายแล้วสะท้านเข้าไปถึงขั้วหัวใจ แม้กระนั้นความภักดีต่อผู้พี่ใหญ่มั่นคงนัก จึงมิได้ระย่อท้อถอยทั้ง ๆ ที่ภายในใจสงสัยนักว่าเทศกาลฤดูหนาวที่แม้การศึกสงครามก็ยังต้องงดไว้นั้น ไฉนผู้เป็นพี่ใหญ่จึงมิยอมรั้งรอ ทนฝ่าลมหนาวให้ได้ยากลำบากถึงปานนี้
เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ขี่ม้าฝ่าลมหนาวยามอรุณผ่านชุมชนบ้านเรือนราษฎรสู่ท้องทุ่งมุ่งหน้าไปตำบลลงเสียได้สองชั่วยามก็ล่วงเข้าเขตป่าเขาแดนมังกรซุ่มนั้น
มหายุทธนาการระหว่างเชื้อพระวงศ์พเนจรผู้มีปณิธานมั่นในอันที่จะกอบกู้ฟื้นฟูพระราชวงศ์ฮั่น ทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุข แต่อ่อนด้อยปัญญาความสามารถในยุทธศาสตร์และการสงคราม มีเพียงคุณธรรมและความนอบน้อมเป็นอาวุธ กับพญามังกรผู้แจ้งฟ้าจบดิน เรืองอานุภาพทางปัญญาเป็นเอกอยู่แต่ผู้เดียว และมุ่งมั่นปลีกวิเวกเพื่อถึงซึ่งธรรมชาติตามวิถีแห่งเต๋ากำลังเริ่มขึ้นแล้ว
บัลลังก์มังกรทองและความสถาพรแห่งพระราชวงศ์ฮั่นจึงถูกเดิมพันด้วยความสำเร็จหรือความล้มเหลวของมหายุทธนาการนี้ว่า พลังอำนาจแห่งคุณธรรม ความศรัทธาแลความอุตสาหะจะสามารถเอาชนะใจจูงพญามังกรที่ซ่อนกายปลีกวิเวกอยู่ ณ ตำบลมังกรซุ่ม ให้เลื้อยลงจากเขาโงลังกั๋งได้สำเร็จหรือไม่
หิมะที่ปกคลุมยอดไม้ในแนวป่าต้องแสงพระสุริยันยามเริ่มคล้อยผ่านศีรษะค่อยจางลง เห็นความเขียวขจีของป่าเขาและสีเงินของหิมะปรากฏครอบงำทั่วเทือกเขามังกรหลับ แสงอาทิตย์ได้ประพรมไออุ่นแก่สามพี่น้องพอได้คลายความเหน็บหนาว ตกบ่ายก็ถึงด้านเหนือของแนวเขาเป็นทิวเทือก ทอดตัวเป็นทิวยาวสงบนิ่งราวกับเป็นกริยาของพญามังกรนอนขนดตัว ดูขรึมขลังน่าเกรงขามสมนามเทือกเขามังกรหลับตามคำร่ำลือนั้น
พอผ่านพ้นแนวป่าด้านเหนือของเทือกเขาเป็นทุ่งราบกว้าง พลันได้ยินเสียงเพลงในทำนองพื้นบ้านดังแว่วมาตามสายลมว่า
“นภากาศว้างกว้างไกล แผ่นดินผืนใหญ่ไพศาล
ชีพชนม์ไม่เนิ่นนาน เกิดแล้วผ่านล่วงลับลา
เหลือเพียงความดีชั่ว อยู่แทนตัวตราบดินฟ้า
สิ่งสินบุตรภรรยา ใช่ว่าจะตามตัวไป
กระนั้นในวันนี้ ยังมากมีผู้หลงใหล
หาสุขกลับทุกข์ใจ เหมือนสุมไฟไว้รุมทรวง
ยิ่งแบกยิ่งหนักบ่า ยังมีหน้าไปแหนหวง
พอละวางสิ่งทั้งปวง จึงพ้นห่วงสว่างใจ
อาศัยในความว่าง หิมะพร่างปลิวไสว
สายลมโลมพงไพร กล่อมขับให้มังกรนอน”
เสียงเพลงพื้นบ้านนี้ไม่ปรากฏความในสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) แต่ในสามก๊กฉบับสมบูรณ์นั้นปรากฏว่ามีเสียงเพลงพื้นบ้านตรงกัน โดยมีเนื้อความว่า
“ฟากฟ้าประดุจฝาครอบกลม พื้นธรณีประดุจกระดานหมากรุก
โลกียชนแบ่งชั่วและดี ช่วงชิงศักดิ์ศรีหรืออัปยศ
มีศักดิ์ศรีย่อมเป็นสุข ผู้อัปยศย่อมวุ่นวาย
น่ำเอี๊ยงมีผู้ซ่อนเร้นอาศัย หลับอย่างสูงส่งแต่นอนไม่เพียงพอ”
เล่าปี่ฟังเสียงเพลงที่ลอยมาตามลมด้วยความสนใจ เพราะเนื้อหาอันปรากฏในเพลงนั้นหาใช่เพลงพื้นบ้านธรรมดาไม่ หากบ่งนัยถึงความอันล้ำลึกแสดงธรรมแห่งลัทธิเต๋า มีเนื้อหาที่สอดคล้องรองรับกับหลักแห่งพระไตรลักษณ์และสุญญตาในพระพุทธศาสนา
เล่าปี่จึงเร่งฝีเท้าม้าไปทางเสียงเพลงนั้น เห็นชาวไร่ห้าคนกำลังทำไร่อยู่ ณ ทุ่งราบแห่งนั้น เล่าปี่จึงตรงเข้าไปแล้วลงจากหลังม้าเดินเข้าไปถามว่าเพลงพื้นบ้านอันพวกท่านได้ร้องอยู่เมื่อครู่นี้มีเนื้อความลึกซึ้งกินใจนัก ขอทราบว่าผู้ใดเป็นผู้แต่ง
ชายชาวไร่เห็นแขกผู้แปลกหน้าสนใจในเพลงพื้นบ้านที่พวกเขาร้องเล่นเป็นปกติก็หัวเราะแล้วตอบว่าเพลงนี้อาจารย์ฮกหลงเป็นผู้แต่งให้บรรดาชาวนาชาวไร่ในย่านนี้ได้ขับร้องเล่นในยามทำไร่นาเพื่อบรรเทาความเหนื่อยล้าให้คลายหาย
เล่าปี่ได้ยินนามอาจารย์ฮกหลงตรงกับนามของคนที่ตัวมุ่งหน้ามาคำนับก็มีความยินดีนัก จึงถามต่อไปว่าตัวข้าพเจ้าเดินทางมาบ้านนี้ มีความปรารถนาได้เสวนาคำนับกับอาจารย์ฮกหลง แต่มิรู้แหล่งสำนักว่าอยู่แห่งหนไหน พวกท่านคงเป็นคนพื้นบ้านย่านนี้ขอจงมีเมตตาช่วยบอกทางให้ข้าพเจ้าได้สมปรารถนาเถิด
กลุ่มชายชาวไร่ฟังถ้อยคำเล่าปี่สุภาพอ่อนน้อมระรื่นหูนักก็มีใจเมตตา จึงบอกว่าจากที่นี่อ้อมไปทางขวามือแล้วอ้อมสันเขาลงไปทางทิศใต้เป็นเขาโงลังกั๋ง มีป่าสนดงใหญ่ให้เป็นที่สังเกต ท่านจงตรงเข้าไปในดงสนนั้นก็จะพบบ้านของอาจารย์ฮกหลง
แล้วว่าที่หน้าบ้านมีต้นไม้ใหญ่เป็นสำคัญ กระท่อมดิน เครื่องประตูหน้าต่างทำด้วยไม้ไผ่ หลังคามุงด้วยฟาง หลังต้นไม้ใหญ่นั้นแล้วคือสำนักของอาจารย์
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ กลับมาขึ้นม้าขี่วกอ้อมสันเขาไปทางขวามือ ตรงไปแล้ววกลงใต้ราวสามสิบเส้น พอพ้นทิวเขาที่เป็นวงประดุจวงแขนมาถึงต้นเขาที่มีลักษณะคล้ายศีรษะมังกรกลางหุบเขา เป็นที่ลาดราบปกคลุมด้วยป่าสนเขียวชอุ่ม ทุกยอดสนประดับด้วยฟองสีเงินแห่งหิมะสวยงามตระการตา
เล่าปี่หยุดม้ามองไปข้างหน้าเห็นแต่ความเขียวขจีประดับสีเงินของเกล็ดหิมะแผ่ปกคลุมไปทั่ว เล่าปี่มองไม่เห็นสำนักหรือต้นไม้ใหญ่ตามคำของชาวไร่ก็ฉงนใจ แต่ด้วยความมั่นใจว่าคำของชาวบ้านเป็นคำซื่อไม่เจือด้วยเล่ห์กลแลลมลวงเหมือนกับคำนักการเมือง จึงขับม้าตรงเข้าไปในดงไม้นั้น
การที่เล่าปี่มาถึงชายป่าแล้วเห็นแต่ป่าเขียวชอุ่มประดับด้วยสีเงินเนื่องเพราะมายาภาพแห่งวิชาบังไพรที่สามารถสร้างมายาภาพปกบังอาคารสถานที่หรือบุคคลได้ดังปรารถนา มีอยู่สองแขนงวิชาคือวิชาบังไพรที่อาศัยวิทยาคม ดังตัวอย่างที่ปรากฏตามคำร่ำลือถึงการสร้างมายาภาพปกบังเมืองลับแลไว้ทั้งเมือง ส่วนอีกแขนงวิชาหนึ่งคือวิชาบังไพรที่อาศัยการจัดวางต้นไม้ แนวป่า หรือวัตถุ สร้างมายาภาพให้เห็นสิ่งมีเป็นสิ่งที่ไม่มี
เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ขี่ม้าฝ่าเข้าไปในดงสนท่ามกลางเสียงสนพลิ้วลู่ลมหนาวดังหวิวหวูไม่ขาดสาย ครู่หนึ่งจึงมาถึงสะพานข้ามลำธารที่มีหิมะลอยฟูฟ่องเต็มท้องน้ำ เล่าปี่พินิจพิเคราะห์ความสงบร่มรื่นเห็นสมเป็นบรรยากาศอันเป็นที่สถิตแห่งผู้เรืองปัญญาก็รู้สึกเลื่อมใสผู้เลือกเฟ้นสถานที่แห่งนี้เป็นที่พำนักยิ่งนัก
ครั้นข้ามสะพานไปถึงอีกฝั่งหนึ่งก็ถึงดงหม่อนเงียบครึ้ม บรรยากาศอันสงบศานติแผ่ปกคลุมทั่วอาณาบริเวณ เล่าปี่ค่อยชะลอม้าลงแต่ยังคงขี่ตรงไปข้างหน้า พอพ้นลับจากดงหม่อนก็ถึงสะพานข้ามลำธารขนาดเล็กอีกแห่งหนึ่ง
พอพ้นสะพานมองไปตรงหน้าเห็นกระท่อมน้อยหลังหนึ่งตั้งอยู่กลางดงไผ่ เล่าปี่สังเกตเห็นดงไผ่เป็นที่ประหลาดนัก คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเคยเห็นมาแต่ก่อนจึงหวนรำลึกถึงคำของชีซีเมื่อครั้งที่อธิบายค่ายกลพยุหะประตูปราการทองคำแปดทิศซึ่งครั้งนั้นชีซีได้ปรารภขึ้นว่าโจหยินเป็นขุนพลอ่อนหัดจัดวางค่ายกลพยุหะในการศึก แล้วว่าเพื่อนของตนคนหนึ่งได้ทำค่ายกลพยุหะนี้เป็นเพียงรั้วประตูบ้านเท่านั้น
เล่าปี่รำลึกดังนี้แล้วก็หยุดม้าไว้ที่เชิงสะพาน ทอดสายตามองทิวแถวแนวไผ่โดยรอบกระท่อมน้อยก็ประจักษ์แจ้งว่ามีลักษณาการเป็นอย่างเดียวกันกับค่ายกลพยุหะประตูปราการทองคำแปดทิศ เล่าปี่ก็ยิ่งมั่นใจว่าคนผู้นี้นี่แล้วคือผู้แจ้งฟ้าจบดินที่เป็นเอกอยู่แต่ผู้เดียวหาผู้เสมอสองมิได้
เล่าปี่จึงขี่ม้านำหน้ากวนอู เตียวหุย ตรงเข้าไปตามประตูปราการดิน ซึ่งเป็นแนวตรงไปยังตัวกระท่อมน้อย พอพ้นแนวปราการแถวที่สามก็มีซุ้มประตูหลังคาคลุมด้วยฟางหญ้าคล้ายกับมีป้ายอยู่ที่ซุ้มประตูนั้น แต่เมื่อดูแล้วกลับไม่มีเนื้อความประการใด กลายเป็นความว่างเปล่าหรือว่านี่คือความเป็นอันปริศนาแห่งลัทธิเต๋า
อันการที่กระท่อมน้อยของขงเบ้งตั้งอยู่กลางหุบเขานั้น หากถือตำราภูมิสถาปัตย์หรือฮวงจุ้ยในปัจจุบันก็ประจักษ์ชัดว่าขัดกับหลักฮวงจุ้ยตั้งแต่บรรพแรกสุดซึ่งห้ามตั้งอาคารบ้านเรือนในหุบเขา ถ้าเช่นนั้นการที่ขงเบ้งตั้งบ้านอยู่กลางหุบเขาดังนี้จะไม่หมายความว่าขงเบ้งไร้ความรู้เกี่ยวกับภูมิสถาปัตย์กระนั้นหรือ
ความประการนี้แม้คัมภีร์พิชัยสงครามที่มีมาทุกฉบับว่าด้วยภูมิประเทศแลยุทธภูมินั้นก็ต้องตรงกันว่าห้ามตั้งทัพในหุบเขา เหตุผลแห่งพิชัยสงครามอยู่ตรงที่ภูมิประเทศในหุบเขานั้นเป็นที่ลุ่มและมักเป็นวิสัยของการเดินทัพที่ยากจักสำรวจภูมิประเทศโดยถ้วนถี่ หากมีฝนตกหรือน้ำหลากแล้ว น้ำก็จะท่วมค่ายทหารแลไพร่พลจนพินาศสิ้น หรืออีกประการหนึ่งหากข้าศึกเจนภูมิประเทศก็อาจยกทหารขึ้นไปบนเนินเขาแล้วระดมยิงด้วยเกาทัณฑ์ก็จะเสียทีแก่ข้าศึกดังที่คนรุ่นหลังได้เรียนรู้จากการที่กองทัพเวียดมินต์ระดมทหารและปืนใหญ่ขึ้นไปตั้งบนยอดเขาแล้วระดมยิงมายังป้อมเดียนเบียนฟูของฝรั่งเศส ซึ่งฝรั่งเศสภูมิใจและมั่นใจนักหนาว่าเป็นป้อมปราการที่ไม่มีข้าศึกเหนือเสือใต้จะทำลายได้โดยเด็ดขาด ป้อมเดียนเบียนฟูจึงพังพินาศไปและทำให้การศึกในเวียดนามเหนือพลิกโฉมหน้า นำความปราชัยครั้งยิ่งใหญ่สู่กองทัพฝรั่งเศส
แต่ทว่าความอันบัญญัติไว้ในพิชัยสงครามแลคัมภีร์ภูมิสถาปัตย์นั้นเป็นเพียงความทั่วไป วางไว้สำหรับผู้ที่ไม่เจนภูมิประเทศ เพื่อยึดถือเป็นหลักปฏิบัติในการรักษาตัวให้รอดปลอดภัยจากภัยธรรมชาติและข้าศึกเท่านั้น
อัน “ฮวงจุ้ย” คือ “ฮวง” และ “จุ้ย”
“ฮวง” ได้แก่ลม ความในพระสูตรระบุว่าลมมีต้นกำเนิดอยู่ใต้พิภพ แผ่นพื้น ผิวดินรองรับด้วยน้ำ น้ำรองรับด้วยลม ลมรองรับด้วยไฟ อันเป็นใจกลางของพิภพ เมื่อลมกำเนิดแล้วส่วนหนึ่งได้ขึ้นไปห่อหุ้มบรรยากาศของโลกเป็นต้นลม มีความวิปริตแรงกล้าเมื่อใดก็กลายเป็นพายุ มีอานุภาพทำลายล้างได้สุดจะหยั่งคาด ช่องทางเดินของลมบางที่มีพลังชนิดหนึ่งเจือปนเรียกว่า “พลังขี่” มีอานุภาพต่อร่างกาย ทำให้สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์อายุยืนยาว ลมเมื่อเคลื่อนไหวเข้าสู่กายกลายเป็นปราณ หล่อเลี้ยงชีวิตให้ดำรงอยู่ ฮวงที่ดีจึงต้องเป็น ฮวงที่ปกติ หากมีพลังขี่อยู่ด้วยแล้ว ย่อมนับว่าเป็นฮวงอันเลิศ แต่ปราณนั้นหากเกิดความผิดปกติขึ้นในกายก็อาจเป็นอันตรายโดยลำดับแม้ถึงแก่ชีวิต
“จุ้ย” คือน้ำ มีต้นกำเนิดอยู่ใต้พิภพรองรับไว้ด้วยลม แลน้ำนั้นรองรับพื้นผิวดินอยู่ จากแหล่งกำเนิดนี้ส่วนหนึ่งของน้ำได้ห่อหุ้มบรรยากาศของโลกเป็นต้นน้ำ ครั้นกลายเป็นน้ำตกลงยังภูเขา แลแผ่นดินแล้วไหลลงตามคลอง หนอง บึง บาง เป็นกลางน้ำ แล้วไหลเรื่อยรินลงสู่ทะเลแลมหาสมุทรเป็นปลายน้ำ ในกายอันยาววาหนาคืบก็ดุจดั่งพิภพที่มีน้ำอยู่เป็นส่วนมาก ดังนั้นจุ้ยที่ดีจึงต้องเป็นจุ้ยที่มีความเป็นปกติสะอาดบริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นน้ำนอกหรือในกาย แลน้ำนั้นหากผิดปกติขึ้นเมื่อใดก็จะกลายเป็นฝนหลั่ง ฟ้าหลาก น้ำท่วม เป็นพลังจักรวาลที่สามารถทำลายล้างได้สุดคณาไม่ต่างกับลม หากผิดปกติขึ้นในกายก็จะกลายเป็นโรคร้ายที่ทำลายได้แม้กระทั่งชีวิต
“ฮวงจุ้ย” ก็คือลมและน้ำ ดังความหมายอันได้แสดงทั้งสองประการนั้น
อันภูมิสถาปัตย์อันเป็นที่ตั้งกระท่อมน้อยของขงเบ้งนี้ ด้านหลังแม้อิงเขาอยู่ข้างทิศเหนือ หันหน้าไปข้างทิศใต้ และอยู่ในหุบเขาก็จริง แต่ด้านหลังบ้านนั้นมีลำธารไหลผ่าน ดังนั้นหากมีน้ำหลากมาก็จะไหลลงสู่ลำธารแล้วไหลไปตามสายธารหุบห้วยจนถึงปลายน้ำ ไม่เป็นอันตรายแก่ตัวบ้านหรือผู้คน โดยเฉพาะการวางตำแหน่งบ้านไว้ตรงปูมกลางแห่งหยินหยางของค่ายกลพยุหะประตูปราการทองคำแปดทิศ ก็บ่งบอกอยู่ในตัวว่าผู้เป็นเจ้าของบ้านมิได้อนาทรร้อนใจในภัยธรรมชาติใด ๆ ว่าจะมาแผ้วพาน เพราะมีปราการลำธารธรรมชาติขวางกั้นคุ้มครองป้องกันเป็นอย่างดี
แลอาการที่วางหลังบ้านอิงเขาด้านทิศเหนือ หน้าบ้านผินสู่ทิศใต้นั้นย่อมหมายความชัดว่าผู้เป็นเจ้าของบ้านมิได้ใฝ่ในอำนาจ หากหมายเอาความสงบสุขสันติเป็นที่ตั้ง ตรงกันข้ามกับการตั้งบ้านผินหน้าบ้านสู่ทิศเหนือ ซึ่งบ่งบอกว่าแรงปรารถนาในใจของผู้เป็นเจ้าของบ้านคืออำนาจแลวาสนาอันเป็นที่ปองใฝ่ของปุถุชน.
พลังวิริยะภาพในใจของพี่ใหญ่ของคำสาบานแห่งสวนท้อร้อนรุ่มเต็มหัวอกดุจกองเพลิงลุกโชติช่วง ขจัดความหนาวเหน็บของร่างกายจนสร่างสิ้น ในขณะที่น้องร่วมสาบานทั้งสองกลับเข้าไม่ถึงซึ่งพลังนี้ ดังนั้นความเย็นยะเยือกจึงกระทบกายแล้วสะท้านเข้าไปถึงขั้วหัวใจ แม้กระนั้นความภักดีต่อผู้พี่ใหญ่มั่นคงนัก จึงมิได้ระย่อท้อถอยทั้ง ๆ ที่ภายในใจสงสัยนักว่าเทศกาลฤดูหนาวที่แม้การศึกสงครามก็ยังต้องงดไว้นั้น ไฉนผู้เป็นพี่ใหญ่จึงมิยอมรั้งรอ ทนฝ่าลมหนาวให้ได้ยากลำบากถึงปานนี้
เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ขี่ม้าฝ่าลมหนาวยามอรุณผ่านชุมชนบ้านเรือนราษฎรสู่ท้องทุ่งมุ่งหน้าไปตำบลลงเสียได้สองชั่วยามก็ล่วงเข้าเขตป่าเขาแดนมังกรซุ่มนั้น
มหายุทธนาการระหว่างเชื้อพระวงศ์พเนจรผู้มีปณิธานมั่นในอันที่จะกอบกู้ฟื้นฟูพระราชวงศ์ฮั่น ทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุข แต่อ่อนด้อยปัญญาความสามารถในยุทธศาสตร์และการสงคราม มีเพียงคุณธรรมและความนอบน้อมเป็นอาวุธ กับพญามังกรผู้แจ้งฟ้าจบดิน เรืองอานุภาพทางปัญญาเป็นเอกอยู่แต่ผู้เดียว และมุ่งมั่นปลีกวิเวกเพื่อถึงซึ่งธรรมชาติตามวิถีแห่งเต๋ากำลังเริ่มขึ้นแล้ว
บัลลังก์มังกรทองและความสถาพรแห่งพระราชวงศ์ฮั่นจึงถูกเดิมพันด้วยความสำเร็จหรือความล้มเหลวของมหายุทธนาการนี้ว่า พลังอำนาจแห่งคุณธรรม ความศรัทธาแลความอุตสาหะจะสามารถเอาชนะใจจูงพญามังกรที่ซ่อนกายปลีกวิเวกอยู่ ณ ตำบลมังกรซุ่ม ให้เลื้อยลงจากเขาโงลังกั๋งได้สำเร็จหรือไม่
หิมะที่ปกคลุมยอดไม้ในแนวป่าต้องแสงพระสุริยันยามเริ่มคล้อยผ่านศีรษะค่อยจางลง เห็นความเขียวขจีของป่าเขาและสีเงินของหิมะปรากฏครอบงำทั่วเทือกเขามังกรหลับ แสงอาทิตย์ได้ประพรมไออุ่นแก่สามพี่น้องพอได้คลายความเหน็บหนาว ตกบ่ายก็ถึงด้านเหนือของแนวเขาเป็นทิวเทือก ทอดตัวเป็นทิวยาวสงบนิ่งราวกับเป็นกริยาของพญามังกรนอนขนดตัว ดูขรึมขลังน่าเกรงขามสมนามเทือกเขามังกรหลับตามคำร่ำลือนั้น
พอผ่านพ้นแนวป่าด้านเหนือของเทือกเขาเป็นทุ่งราบกว้าง พลันได้ยินเสียงเพลงในทำนองพื้นบ้านดังแว่วมาตามสายลมว่า
“นภากาศว้างกว้างไกล แผ่นดินผืนใหญ่ไพศาล
ชีพชนม์ไม่เนิ่นนาน เกิดแล้วผ่านล่วงลับลา
เหลือเพียงความดีชั่ว อยู่แทนตัวตราบดินฟ้า
สิ่งสินบุตรภรรยา ใช่ว่าจะตามตัวไป
กระนั้นในวันนี้ ยังมากมีผู้หลงใหล
หาสุขกลับทุกข์ใจ เหมือนสุมไฟไว้รุมทรวง
ยิ่งแบกยิ่งหนักบ่า ยังมีหน้าไปแหนหวง
พอละวางสิ่งทั้งปวง จึงพ้นห่วงสว่างใจ
อาศัยในความว่าง หิมะพร่างปลิวไสว
สายลมโลมพงไพร กล่อมขับให้มังกรนอน”
เสียงเพลงพื้นบ้านนี้ไม่ปรากฏความในสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) แต่ในสามก๊กฉบับสมบูรณ์นั้นปรากฏว่ามีเสียงเพลงพื้นบ้านตรงกัน โดยมีเนื้อความว่า
“ฟากฟ้าประดุจฝาครอบกลม พื้นธรณีประดุจกระดานหมากรุก
โลกียชนแบ่งชั่วและดี ช่วงชิงศักดิ์ศรีหรืออัปยศ
มีศักดิ์ศรีย่อมเป็นสุข ผู้อัปยศย่อมวุ่นวาย
น่ำเอี๊ยงมีผู้ซ่อนเร้นอาศัย หลับอย่างสูงส่งแต่นอนไม่เพียงพอ”
เล่าปี่ฟังเสียงเพลงที่ลอยมาตามลมด้วยความสนใจ เพราะเนื้อหาอันปรากฏในเพลงนั้นหาใช่เพลงพื้นบ้านธรรมดาไม่ หากบ่งนัยถึงความอันล้ำลึกแสดงธรรมแห่งลัทธิเต๋า มีเนื้อหาที่สอดคล้องรองรับกับหลักแห่งพระไตรลักษณ์และสุญญตาในพระพุทธศาสนา
เล่าปี่จึงเร่งฝีเท้าม้าไปทางเสียงเพลงนั้น เห็นชาวไร่ห้าคนกำลังทำไร่อยู่ ณ ทุ่งราบแห่งนั้น เล่าปี่จึงตรงเข้าไปแล้วลงจากหลังม้าเดินเข้าไปถามว่าเพลงพื้นบ้านอันพวกท่านได้ร้องอยู่เมื่อครู่นี้มีเนื้อความลึกซึ้งกินใจนัก ขอทราบว่าผู้ใดเป็นผู้แต่ง
ชายชาวไร่เห็นแขกผู้แปลกหน้าสนใจในเพลงพื้นบ้านที่พวกเขาร้องเล่นเป็นปกติก็หัวเราะแล้วตอบว่าเพลงนี้อาจารย์ฮกหลงเป็นผู้แต่งให้บรรดาชาวนาชาวไร่ในย่านนี้ได้ขับร้องเล่นในยามทำไร่นาเพื่อบรรเทาความเหนื่อยล้าให้คลายหาย
เล่าปี่ได้ยินนามอาจารย์ฮกหลงตรงกับนามของคนที่ตัวมุ่งหน้ามาคำนับก็มีความยินดีนัก จึงถามต่อไปว่าตัวข้าพเจ้าเดินทางมาบ้านนี้ มีความปรารถนาได้เสวนาคำนับกับอาจารย์ฮกหลง แต่มิรู้แหล่งสำนักว่าอยู่แห่งหนไหน พวกท่านคงเป็นคนพื้นบ้านย่านนี้ขอจงมีเมตตาช่วยบอกทางให้ข้าพเจ้าได้สมปรารถนาเถิด
กลุ่มชายชาวไร่ฟังถ้อยคำเล่าปี่สุภาพอ่อนน้อมระรื่นหูนักก็มีใจเมตตา จึงบอกว่าจากที่นี่อ้อมไปทางขวามือแล้วอ้อมสันเขาลงไปทางทิศใต้เป็นเขาโงลังกั๋ง มีป่าสนดงใหญ่ให้เป็นที่สังเกต ท่านจงตรงเข้าไปในดงสนนั้นก็จะพบบ้านของอาจารย์ฮกหลง
แล้วว่าที่หน้าบ้านมีต้นไม้ใหญ่เป็นสำคัญ กระท่อมดิน เครื่องประตูหน้าต่างทำด้วยไม้ไผ่ หลังคามุงด้วยฟาง หลังต้นไม้ใหญ่นั้นแล้วคือสำนักของอาจารย์
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ กลับมาขึ้นม้าขี่วกอ้อมสันเขาไปทางขวามือ ตรงไปแล้ววกลงใต้ราวสามสิบเส้น พอพ้นทิวเขาที่เป็นวงประดุจวงแขนมาถึงต้นเขาที่มีลักษณะคล้ายศีรษะมังกรกลางหุบเขา เป็นที่ลาดราบปกคลุมด้วยป่าสนเขียวชอุ่ม ทุกยอดสนประดับด้วยฟองสีเงินแห่งหิมะสวยงามตระการตา
เล่าปี่หยุดม้ามองไปข้างหน้าเห็นแต่ความเขียวขจีประดับสีเงินของเกล็ดหิมะแผ่ปกคลุมไปทั่ว เล่าปี่มองไม่เห็นสำนักหรือต้นไม้ใหญ่ตามคำของชาวไร่ก็ฉงนใจ แต่ด้วยความมั่นใจว่าคำของชาวบ้านเป็นคำซื่อไม่เจือด้วยเล่ห์กลแลลมลวงเหมือนกับคำนักการเมือง จึงขับม้าตรงเข้าไปในดงไม้นั้น
การที่เล่าปี่มาถึงชายป่าแล้วเห็นแต่ป่าเขียวชอุ่มประดับด้วยสีเงินเนื่องเพราะมายาภาพแห่งวิชาบังไพรที่สามารถสร้างมายาภาพปกบังอาคารสถานที่หรือบุคคลได้ดังปรารถนา มีอยู่สองแขนงวิชาคือวิชาบังไพรที่อาศัยวิทยาคม ดังตัวอย่างที่ปรากฏตามคำร่ำลือถึงการสร้างมายาภาพปกบังเมืองลับแลไว้ทั้งเมือง ส่วนอีกแขนงวิชาหนึ่งคือวิชาบังไพรที่อาศัยการจัดวางต้นไม้ แนวป่า หรือวัตถุ สร้างมายาภาพให้เห็นสิ่งมีเป็นสิ่งที่ไม่มี
เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ขี่ม้าฝ่าเข้าไปในดงสนท่ามกลางเสียงสนพลิ้วลู่ลมหนาวดังหวิวหวูไม่ขาดสาย ครู่หนึ่งจึงมาถึงสะพานข้ามลำธารที่มีหิมะลอยฟูฟ่องเต็มท้องน้ำ เล่าปี่พินิจพิเคราะห์ความสงบร่มรื่นเห็นสมเป็นบรรยากาศอันเป็นที่สถิตแห่งผู้เรืองปัญญาก็รู้สึกเลื่อมใสผู้เลือกเฟ้นสถานที่แห่งนี้เป็นที่พำนักยิ่งนัก
ครั้นข้ามสะพานไปถึงอีกฝั่งหนึ่งก็ถึงดงหม่อนเงียบครึ้ม บรรยากาศอันสงบศานติแผ่ปกคลุมทั่วอาณาบริเวณ เล่าปี่ค่อยชะลอม้าลงแต่ยังคงขี่ตรงไปข้างหน้า พอพ้นลับจากดงหม่อนก็ถึงสะพานข้ามลำธารขนาดเล็กอีกแห่งหนึ่ง
พอพ้นสะพานมองไปตรงหน้าเห็นกระท่อมน้อยหลังหนึ่งตั้งอยู่กลางดงไผ่ เล่าปี่สังเกตเห็นดงไผ่เป็นที่ประหลาดนัก คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเคยเห็นมาแต่ก่อนจึงหวนรำลึกถึงคำของชีซีเมื่อครั้งที่อธิบายค่ายกลพยุหะประตูปราการทองคำแปดทิศซึ่งครั้งนั้นชีซีได้ปรารภขึ้นว่าโจหยินเป็นขุนพลอ่อนหัดจัดวางค่ายกลพยุหะในการศึก แล้วว่าเพื่อนของตนคนหนึ่งได้ทำค่ายกลพยุหะนี้เป็นเพียงรั้วประตูบ้านเท่านั้น
เล่าปี่รำลึกดังนี้แล้วก็หยุดม้าไว้ที่เชิงสะพาน ทอดสายตามองทิวแถวแนวไผ่โดยรอบกระท่อมน้อยก็ประจักษ์แจ้งว่ามีลักษณาการเป็นอย่างเดียวกันกับค่ายกลพยุหะประตูปราการทองคำแปดทิศ เล่าปี่ก็ยิ่งมั่นใจว่าคนผู้นี้นี่แล้วคือผู้แจ้งฟ้าจบดินที่เป็นเอกอยู่แต่ผู้เดียวหาผู้เสมอสองมิได้
เล่าปี่จึงขี่ม้านำหน้ากวนอู เตียวหุย ตรงเข้าไปตามประตูปราการดิน ซึ่งเป็นแนวตรงไปยังตัวกระท่อมน้อย พอพ้นแนวปราการแถวที่สามก็มีซุ้มประตูหลังคาคลุมด้วยฟางหญ้าคล้ายกับมีป้ายอยู่ที่ซุ้มประตูนั้น แต่เมื่อดูแล้วกลับไม่มีเนื้อความประการใด กลายเป็นความว่างเปล่าหรือว่านี่คือความเป็นอันปริศนาแห่งลัทธิเต๋า
อันการที่กระท่อมน้อยของขงเบ้งตั้งอยู่กลางหุบเขานั้น หากถือตำราภูมิสถาปัตย์หรือฮวงจุ้ยในปัจจุบันก็ประจักษ์ชัดว่าขัดกับหลักฮวงจุ้ยตั้งแต่บรรพแรกสุดซึ่งห้ามตั้งอาคารบ้านเรือนในหุบเขา ถ้าเช่นนั้นการที่ขงเบ้งตั้งบ้านอยู่กลางหุบเขาดังนี้จะไม่หมายความว่าขงเบ้งไร้ความรู้เกี่ยวกับภูมิสถาปัตย์กระนั้นหรือ
ความประการนี้แม้คัมภีร์พิชัยสงครามที่มีมาทุกฉบับว่าด้วยภูมิประเทศแลยุทธภูมินั้นก็ต้องตรงกันว่าห้ามตั้งทัพในหุบเขา เหตุผลแห่งพิชัยสงครามอยู่ตรงที่ภูมิประเทศในหุบเขานั้นเป็นที่ลุ่มและมักเป็นวิสัยของการเดินทัพที่ยากจักสำรวจภูมิประเทศโดยถ้วนถี่ หากมีฝนตกหรือน้ำหลากแล้ว น้ำก็จะท่วมค่ายทหารแลไพร่พลจนพินาศสิ้น หรืออีกประการหนึ่งหากข้าศึกเจนภูมิประเทศก็อาจยกทหารขึ้นไปบนเนินเขาแล้วระดมยิงด้วยเกาทัณฑ์ก็จะเสียทีแก่ข้าศึกดังที่คนรุ่นหลังได้เรียนรู้จากการที่กองทัพเวียดมินต์ระดมทหารและปืนใหญ่ขึ้นไปตั้งบนยอดเขาแล้วระดมยิงมายังป้อมเดียนเบียนฟูของฝรั่งเศส ซึ่งฝรั่งเศสภูมิใจและมั่นใจนักหนาว่าเป็นป้อมปราการที่ไม่มีข้าศึกเหนือเสือใต้จะทำลายได้โดยเด็ดขาด ป้อมเดียนเบียนฟูจึงพังพินาศไปและทำให้การศึกในเวียดนามเหนือพลิกโฉมหน้า นำความปราชัยครั้งยิ่งใหญ่สู่กองทัพฝรั่งเศส
แต่ทว่าความอันบัญญัติไว้ในพิชัยสงครามแลคัมภีร์ภูมิสถาปัตย์นั้นเป็นเพียงความทั่วไป วางไว้สำหรับผู้ที่ไม่เจนภูมิประเทศ เพื่อยึดถือเป็นหลักปฏิบัติในการรักษาตัวให้รอดปลอดภัยจากภัยธรรมชาติและข้าศึกเท่านั้น
อัน “ฮวงจุ้ย” คือ “ฮวง” และ “จุ้ย”
“ฮวง” ได้แก่ลม ความในพระสูตรระบุว่าลมมีต้นกำเนิดอยู่ใต้พิภพ แผ่นพื้น ผิวดินรองรับด้วยน้ำ น้ำรองรับด้วยลม ลมรองรับด้วยไฟ อันเป็นใจกลางของพิภพ เมื่อลมกำเนิดแล้วส่วนหนึ่งได้ขึ้นไปห่อหุ้มบรรยากาศของโลกเป็นต้นลม มีความวิปริตแรงกล้าเมื่อใดก็กลายเป็นพายุ มีอานุภาพทำลายล้างได้สุดจะหยั่งคาด ช่องทางเดินของลมบางที่มีพลังชนิดหนึ่งเจือปนเรียกว่า “พลังขี่” มีอานุภาพต่อร่างกาย ทำให้สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์อายุยืนยาว ลมเมื่อเคลื่อนไหวเข้าสู่กายกลายเป็นปราณ หล่อเลี้ยงชีวิตให้ดำรงอยู่ ฮวงที่ดีจึงต้องเป็น ฮวงที่ปกติ หากมีพลังขี่อยู่ด้วยแล้ว ย่อมนับว่าเป็นฮวงอันเลิศ แต่ปราณนั้นหากเกิดความผิดปกติขึ้นในกายก็อาจเป็นอันตรายโดยลำดับแม้ถึงแก่ชีวิต
“จุ้ย” คือน้ำ มีต้นกำเนิดอยู่ใต้พิภพรองรับไว้ด้วยลม แลน้ำนั้นรองรับพื้นผิวดินอยู่ จากแหล่งกำเนิดนี้ส่วนหนึ่งของน้ำได้ห่อหุ้มบรรยากาศของโลกเป็นต้นน้ำ ครั้นกลายเป็นน้ำตกลงยังภูเขา แลแผ่นดินแล้วไหลลงตามคลอง หนอง บึง บาง เป็นกลางน้ำ แล้วไหลเรื่อยรินลงสู่ทะเลแลมหาสมุทรเป็นปลายน้ำ ในกายอันยาววาหนาคืบก็ดุจดั่งพิภพที่มีน้ำอยู่เป็นส่วนมาก ดังนั้นจุ้ยที่ดีจึงต้องเป็นจุ้ยที่มีความเป็นปกติสะอาดบริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นน้ำนอกหรือในกาย แลน้ำนั้นหากผิดปกติขึ้นเมื่อใดก็จะกลายเป็นฝนหลั่ง ฟ้าหลาก น้ำท่วม เป็นพลังจักรวาลที่สามารถทำลายล้างได้สุดคณาไม่ต่างกับลม หากผิดปกติขึ้นในกายก็จะกลายเป็นโรคร้ายที่ทำลายได้แม้กระทั่งชีวิต
“ฮวงจุ้ย” ก็คือลมและน้ำ ดังความหมายอันได้แสดงทั้งสองประการนั้น
อันภูมิสถาปัตย์อันเป็นที่ตั้งกระท่อมน้อยของขงเบ้งนี้ ด้านหลังแม้อิงเขาอยู่ข้างทิศเหนือ หันหน้าไปข้างทิศใต้ และอยู่ในหุบเขาก็จริง แต่ด้านหลังบ้านนั้นมีลำธารไหลผ่าน ดังนั้นหากมีน้ำหลากมาก็จะไหลลงสู่ลำธารแล้วไหลไปตามสายธารหุบห้วยจนถึงปลายน้ำ ไม่เป็นอันตรายแก่ตัวบ้านหรือผู้คน โดยเฉพาะการวางตำแหน่งบ้านไว้ตรงปูมกลางแห่งหยินหยางของค่ายกลพยุหะประตูปราการทองคำแปดทิศ ก็บ่งบอกอยู่ในตัวว่าผู้เป็นเจ้าของบ้านมิได้อนาทรร้อนใจในภัยธรรมชาติใด ๆ ว่าจะมาแผ้วพาน เพราะมีปราการลำธารธรรมชาติขวางกั้นคุ้มครองป้องกันเป็นอย่างดี
แลอาการที่วางหลังบ้านอิงเขาด้านทิศเหนือ หน้าบ้านผินสู่ทิศใต้นั้นย่อมหมายความชัดว่าผู้เป็นเจ้าของบ้านมิได้ใฝ่ในอำนาจ หากหมายเอาความสงบสุขสันติเป็นที่ตั้ง ตรงกันข้ามกับการตั้งบ้านผินหน้าบ้านสู่ทิศเหนือ ซึ่งบ่งบอกว่าแรงปรารถนาในใจของผู้เป็นเจ้าของบ้านคืออำนาจแลวาสนาอันเป็นที่ปองใฝ่ของปุถุชน.