ตอนที่ 196. ไขความลับแห่งฟ้า
ความอาลัยอาวรณ์เปี่ยมล้นในหัวอกของเล่าปี่ จึงสั่งให้ทหารตัดพุ่มไม้ที่บังสายตาเพื่อจะได้เห็นชีซีจนพ้นครรลองแห่งนัยน์ตา พลันเห็นชีซีขี่ม้ากลับมาก็ยินดี สำคัญผิดคิดว่าชีซีจะเปลี่ยนใจ แต่ตัวชีซีนั้นกลับมาครั้งนี้เนื่องเพราะลืมความสำคัญที่จะต้องบอกแก่เล่าปี่
ครั้นปะหน้าเล่าปี่แล้ว ชีซีจึงว่า “ข้าพเจ้าจะบอกเนื้อความแก่ท่านก็ยังมิทันที่จะเจรจาเลย ด้วยจะจากกันกับท่าน หัวใจข้าพเจ้าประดุจคั่วข้าวตอก เพราะความทุกข์มิทันคิด บัดนี้พอรำลึกได้ข้าพเจ้าจึงกลับมา หวังจะบอกเนื้อความแก่ท่าน คือมีคนผู้หนึ่งอยู่นอกเมืองซงหยง มีปัญญาความคิดหลักแหลม ขอให้ท่านไปเชิญตัวผู้นั้นมาจะได้ช่วยคิดอ่านทำการสืบไป”
ชีซีมิได้บอกนามของผู้มีสติปัญญานั้น เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงว่าท่านผู้มีปัญญานี้อยู่แห่งหนตำบลใด ท่านจงเอ็นดูพาข้าพเจ้าไปแนะนำให้ได้รู้จักตัวสักหน่อยหนึ่ง
ชีซีจึงว่าตัวข้าพเจ้านี้แม้จะเร่งด่วนกลับไปหามารดาแต่ก็พอที่จะนำพาท่านไปได้อยู่ แต่ทว่าการไปพบผู้มีสติปัญญานั้นจะทำโดยหักหาญหรืออาศัยปัจจัยอย่างอื่นย่อมไม่ควร ชอบที่ท่านจะอุตส่าห์ตั้งความสุจริตใจไปคำนับแล้วเชิญเข้าทำราชการจึงจะควร
แล้วว่าอันบุคคลผู้นี้หากได้มาทำราชการด้วยแล้ว “ก็เหมือนพระเจ้าฮั่นโกโจได้เตียวเหลียงผู้มีปัญญามาไว้เป็นที่ปรึกษา”
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ตะลึงงัน เพราะพระเจ้าฮั่นโกโจปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่นนั้นแต่เดิมมาก็เหมือนดั่งผู้ไร้วาสนา และมีชะตาคล้ายกับตัวเล่าปี่นัก ทำการศึกกับฌ้อปาอ๋องครั้งใดก็พ่ายแพ้ เล่าปังหรือพระเจ้าฮั่นโกโจพ่ายแพ้การสงครามแก่ฌ้อปาอ๋องติดต่อกันถึงเจ็ดครั้ง ครั้นได้เตียวเหลียงผู้ชาญการพิชัยสงครามมาเป็นที่ปรึกษาแล้ว สถานการณ์สงครามก็พลิกผันไปอย่างสิ้นเชิง ในที่สุดก็สามารถเอาชัยชนะแก่ฌ้อปาอ๋องและสถาปนาราชวงศ์ฮั่นได้สำเร็จ กิตติศัพท์ของเตียวเหลียงเป็นที่เลื่องลือต่อเนื่องมาถึงสี่ร้อยปี จนแม้ในศาลพระเทพบิดรแห่งราชวงศ์ฮั่นอันเป็นที่ตั้งพระป้ายของอดีตพระมหากษัตริย์ก็ปรากฏว่าข้างพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระเจ้าฮั่นโกโจก็ประดับไว้ด้วยภาพขุนพลคู่บารมีซ้ายขวาคือเตียวเหลียงและฮั่นสิน เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งวีรชนให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาและเอาแบบอย่าง แม้ถึงวันนี้วันเวลาผ่านไปร่วมสองพันปีแล้ว เกียรติคุณและเกียรติศักดิ์ของเตียวเหลียงก็ยังได้ชื่อว่าเป็นขุนพลผู้เรืองปัญญาคู่บารมีพระเจ้าฮั่นโกโจ
เล่าปี่สงสัยในตัวบุคคลผู้นี้นักจึงถามชีซีว่าอันผู้มีสติปัญญาตามคำท่านนี้หากจะเทียบกับตัวท่านแล้ว จะเสมอกับท่านหรือเป็นประการใด
ชีซีจึงว่าคนผู้นี้เรืองปัญญาจ้าจรัสยิ่งนัก ความคิดแลสติปัญญาของข้าพเจ้าไม่อาจนำไปเทียมเทียบได้ ไกลกันเหลือคณานับ หากจักอุปมาคนผู้นี้เป็นพญาหงส์ข้าพเจ้าก็เป็นได้เพียงกาแก่ที่มีนัยน์ตาอันฝ้าฟางเท่านั้น หรือหากอุปมาคนผู้นี้เป็นพญากิเลน ข้าพเจ้าก็เป็นได้เพียงม้าแก่อันมีกำลังน้อยเท่านั้นความคิด ความรู้ และสติปัญญาของคนผู้นี้เลิศล้ำกว่าผู้ใดในแผ่นดิน ภูมิปัญญาของคนผู้นี้ประดุจฟ้าครอบคลุมดินฉะนั้น
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้พรรณนาความตอนนี้ไว้ว่า “ซึ่งจะเอาความคิดแลปัญญาข้าพเจ้าไปเปรียบนั้นไกลกันนัก ตัวข้าพเจ้าอุปมาเหมือนหนึ่งกาจะมาเปรียบพญาหงส์นั้นไม่ควร อนึ่งม้าอาชามีกำลังอันน้อยหรือจะมาเปรียบพญาราชสีห์ได้ อันคนคนนี้มีปัญญาลึกซึ้งกว้างขวางนัก อาจสามารถที่จะหยั่งรู้การในแผ่นดินแลอากาศ เป็นเอกอยู่แต่ผู้เดียว ซึ่งจะหาผู้ใดเปรียบเสมอถึงสองนั้นมิได้”
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดียิ่งนัก ถามต่อไปว่าคนผู้นี้มีชื่อเสียงเรียงนามประการใด ท่านจงว่าให้แจ้งเถิด
ชีซีจึงว่าคนผู้นี้มีแซ่จูกัด มีชื่อว่าเหลียง หรือขงเบ้ง อายุรุ่นราวคราวเดียวกับข้าพเจ้า แต่หาบิดามารดาไม่แล้ว อยู่อาศัยอยู่กับจูกัดกิ๋นผู้เป็นน้องชาย ทำไร่ไถนาเลี้ยงชีวิตอยู่ ณ เขาโงลังกั๋ง หรือเทือกเขามังกรหลับ ตำบลลงเสีย หรือนัยหนึ่งก็คือตำบลมังกรซุ่ม ชาวบ้านในย่านนั้นเรียกขงเบ้งตามสมญานามของผู้ปฏิบัติแห่งลัทธิเต๋าว่าฮกหลงหรือ “ มังกรผู้ซ่อนกาย” หากท่านอุตส่าห์ตั้งความสุจริตเชิญขงเบ้งมาทำราชการด้วยแล้ว การจะปราบปรามยุคเข็ญ สถาปนาสันติภาพ สันติสุขขึ้นในแผ่นดิน ย่อมอยู่ในวิสัยที่จะสำเร็จได้เป็นมั่นคง
เล่าปี่จึงว่าเมื่อครั้งข้าพเจ้าพลัดไปที่บ้านของสุมาเต๊กโชนั้น สุมาเต๊กโชได้เอ่ยนามผู้มีสติปัญญาให้ได้รู้จักไว้สองคน คือฮกหลง แลฮองซู ว่าสองคนนี้มีสติปัญญาหลักแหลมกว้างไกลนัก หากได้คนใดคนหนึ่งมาร่วมทำการแล้ว ก็จะสามารถปราบยุคเข็ญ ทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุขได้ นามของคนตามที่ท่านได้กล่าวนี้คือฮกหลงหรือฮองซู คนใดคนหนึ่งตามที่สุมาเต๊กโชได้แจ้งให้ข้าพเจ้าทราบใช่หรือมิใช่
ชีซีจึงว่าบุคคลผู้นี้คือฮกหลง ส่วนฮองซูนั้นมีชื่อว่าบังทอง อยู่ ณ เมืองซงหยง
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี ปรบมือแหงนหน้าขึ้นมองฟ้าแล้วว่าสวรรค์เมตตาแก่ตัวเราแล้ว คนดีมีสติปัญญาอยู่ใกล้เพียงสายตาเท่านี้ แต่เราหาได้รู้จักไม่ ดีที่ว่าท่านได้กล่าวความนัยให้รู้จึงได้ทราบว่าทั้งฮกหลงและฮองซูสองผู้เรืองปัญญาแห่งแผ่นดินมีถิ่นฐานอยู่ ณ เขตแดนเมืองซงหยงนี้เอง
ความรู้สึกของเล่าปี่ในขณะนี้มีความสว่างไสวในอารมณ์ จิตเต็มไปด้วยความปรีดาปราโมทย์ สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) บรรยายไว้ว่าเล่าปี่นั้น “มีความยินดีสว่างในอารมณ์ ดุจหนึ่งบุคคลหลับตาอยู่แลลืมขึ้น”
ชีซีบอกความแก่เล่าปี่สิ้นแล้ว จึงคำนับลาเล่าปี่แล้วชักม้าผละไป ส่วนเล่าปี่ก็พาทหารกลับเข้าเมืองซินเอี๋ย
ฝ่ายชีซีเมื่อขับม้าผละจากเล่าปี่แล้ว ความอาลัยอาวรณ์เล่าปี่ยังคงครอบงำความรู้สึกนึกคิดอย่างเต็มเปี่ยม เกิดความคิดห่วงใยว่าเล่าปี่จะไปเชิญขงเบ้งไม่สำเร็จ จึงควบม้าแวะไปทางเขาโงลังกั๋ง เข้าไปพบขงเบ้งดังที่คุ้นเคยมาแต่ก่อน
ขงเบ้งเห็นชีซีมาหาด้วยอาการรีบร้อนก็ประหลาดใจนัก ถามชีซีว่าท่านแวะมาหาเราในครั้งนี้มีธุระประการใดหรือ ชีซีจึงเล่าความที่ได้ไปอยู่กับเล่าปี่จนกระทั่งต้องพลัดพรากจากกันให้ขงเบ้งฟังทุกประการ แล้วว่าก่อนที่ข้าพเจ้าจะอำลาเล่าปี่มานี้ได้แนะนำเล่าปี่ให้มาเชิญท่านซึ่งเป็นผู้เรืองปัญญาไปช่วยคิดอ่านปราบยุคเข็ญของแผ่นดินเพื่อทำนุบำรุงฮ่องเต้และอาณาประชาราษฎรให้เป็นสุข อันตัวท่านนี้มีสติปัญญาเป็นอันมาก ชอบที่จะรับใช้แผ่นดินเพื่อประโยชน์แห่งมหาชน หาควรปล่อยให้ความรู้แลสติปัญญานั้นมลายหายไปกับวันเวลา เสียทีที่เกิดมาแล้วตายไปโดยเปล่าประโยชน์
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็โกรธชีซี แล้วตำหนิว่า “ท่านจะไปจากเล่าปี่นั้นไม่มีสิ่งใดจะให้เล่าปี่หรือ จึงจะมาเอาเราไปเป็นเครื่องเซ่น” ขงเบ้งกล่าวดังนั้นแล้วจึงสะบัดชายแขนเสื้อไพล่ไว้ข้างหลัง แล้วหันกลับเดินเข้าไปในบ้าน
ชีซีเห็นดังนั้นก็รู้สึกละอายใจจึงรีบออกมาขึ้นม้ารีบเดินทางไปเมืองฮูโต๋
ทางฝ่ายเล่าปี่ครั้นกลับเข้าเมืองซินเอี๋ยแล้วก็เตรียมจัดแจงข้าวของจะออกไปคำนับขงเบ้ง ณ เขาโงลังกั๋ง ในขณะนั้นทหารรักษาการณ์ได้เข้ามารายงานว่ามีอาจารย์ในลัทธิเต๋าผู้หนึ่งรูปร่างสง่างามนักจะมาขอพบท่าน
เล่าปี่ได้ยินดังนั้นอารมณ์ความรู้สึกที่ครุ่นคำนึงถึงขงเบ้งเต็มอยู่ในหัวอกจึงสำคัญผิดคิดว่าขงเบ้งมาขอพบก็ดีใจ รีบวางข้าวของแล้วผลุนผลันออกมาที่ห้องรับรอง
ปรากฏว่าแขกผู้มาเยือนหาใช่ขงเบ้งไม่ แต่กลายเป็นสุมาเต๊กโช เล่าปี่เห็นดังนั้นก็มีความยินดี ตรงเข้าไปคำนับสุมาเต๊กโช แล้วว่าเป็นบุญของข้าพเจ้าที่ได้พบท่านอีกครั้งหนึ่งในวันนี้ นับแต่จากกันวันนั้นแล้วข้าพเจ้ายังคิดคำนึงถึงท่านตลอดมา และคอยหาเวลาอันควรจะไปคำนับท่านถึงที่ ว่าแล้วเล่าปี่ก็สั่งเด็กรับใช้ให้ไปยกน้ำชามาคารวะสุมาเต๊กโช แล้วถามว่าท่านมาเยือนข้าพเจ้าครั้งนี้มีธุระสิ่งใดหรือ
สุมาเต๊กโชจึงว่าตัวข้าพเจ้าเป็นคนบ้านป่า หามีกิจธุระสิ่งใดไม่ แต่ที่มาครั้งนี้เนื่องเพราะได้ยินกิตติศัพท์ว่าชีซีมาอยู่รับราชการด้วยท่านแล้ว มีใจรำลึกถึงจึงแวะมาเยือน
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงว่าบัดนี้ชีซีได้เดินทางไปเมืองฮูโต๋แล้ว และได้เล่าความแต่หนหลังให้สุมาเต๊กโชฟังทุกประการ
สุมาเต๊กโชฟังคำเล่าปี่แล้วลุกขึ้นยืน แล้วว่าชีซีมั่นอยู่แต่ความกตัญญู ความคิดแลสติปัญญาจึงถูกบดบัง ไม่เฉลียวใจถึงกลของโจโฉ อันมารดาชีซีนี้มีความซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินและพระราชวงศ์ฮั่นนัก น้ำใจย่อมจักปรารถนาให้ชีซีอยู่รับราชการด้วยท่านซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ เพื่อจะได้ช่วยคิดอ่านทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุข
แล้วว่าอันน้ำใจมารดาชีซีนี้ถึงมาตรแม้นว่าโจโฉจะจับกุมลงทัณฑ์ทรมานสักปานใด คงไม่ยินยอมพร้อมใจเรียกชีซีให้ไปทำราชการด้วยโจโฉ คงจะอดทนแม้สาหัสนักก็คงยอมตายเฉพาะตัว การที่มีจดหมายของมารดาชีซีมาครั้งนี้คงเป็นอุบายของโจโฉปลอมจดหมายนั้น ชีซีไปเมืองฮูโต๋ครั้งนี้จึงเท่ากับเป็นการฆ่ามารดาเสียเป็นมั่นคง
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ รีบถามขึ้นว่าไฉนท่านจึงคาดการณ์ดั่งนี้
สุมาเต๊กโชจึงว่า น้ำใจมารดาชีซีย่อมต้องการให้บุตรอยู่รับราชการด้วยท่าน เมื่อเห็นบุตรเสียทีแก่ความคิดของโจโฉย่อมเป็นที่ขัดเคืองใจและได้รับความอัปยศนัก คงจะฆ่าตัวตายเสียเป็นแน่
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงว่า การคาดคะเนของท่านครั้งนี้มีทางที่จะเป็นไปได้อย่างยิ่ง เล่าปี่กล่าวความแล้วก็สลดใจ เพราะรู้สึกว่าการปล่อยให้ชีซีกลับไปครั้งนี้ตัวเองมีส่วนร่วมในการทำให้มารดาชีซีต้องถึงแก่ความตายอยู่ด้วย แล้วว่าตัวข้าพเจ้านี้สติปัญญาด้อยนัก จึงไม่ทันคิดและไม่ได้ทักท้วง แต่แม้หากจะไม่ให้ชีซีไปก็จะขัดต่อคุณธรรมที่บุตรพึงมีความกตัญญูต่อบุพการี
เล่าปี่กล่าวต่อไปว่าก่อนที่ชีซีจะจากไปได้แนะนำให้ข้าพเจ้าไปเชิญขงเบ้งมาทำราชการด้วย อันขงเบ้งผู้นี้คือคนที่ชื่อฮกหลงซึ่งท่านได้เคยบอกเล่าแก่ข้าพเจ้าใช่หรือไม่
สุมาเต๊กโชจึงว่าจูกัดเหลียง-ขงเบ้งก็คือฮกหลง คนเดียวกับที่ข้าพเจ้าได้บอกกล่าวแก่ท่าน คนผู้นี้รุ่นราวคราวเดียวกับชีซี บังทอง และยังคบหาเพื่อนสนิทอีกสองคน ล้วนมีสติปัญญาเป็นอันมาก
เล่าปี่จึงถามขึ้นด้วยความแปลกใจว่าเหตุไฉนเมืองซงหยงจึงมีผู้มีสติปัญญามารวมตัวกันอยู่เป็นอันมากฉะนี้
สุมาเต๊กโชจึงไขความแก่เล่าปี่ว่าเมื่อสามปีก่อนหน้านี้ ในขณะที่ข้าพเจ้าและชีซีกำลังดื่มน้ำชาเล่นหมากล้อมกันอยู่นั้น มีซินแสชราผู้หนึ่งแวะผ่านมาร่วมสนทนาด้วย ในระหว่างการสนทนานั้นซินแสผู้นี้ได้ปรารภขึ้นว่า ได้สังเกตการณ์ในอากาศตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีมาแล้ว พบว่าบนท้องฟ้าเหนือดินแดนเมืองซงหยงนี้มีปรากฏการณ์ประหลาด ดาวพฤหัสได้โคจรมาสัมผัสกับดวงจันทร์ โดยมีดาวพระศุกร์เข้ามาร่วมในรัศมี ในขณะเดียวกันก็มีดาวดวงใหม่ประหลาดนักโคจรเข้ามาสมทบ ดาวดวงนี้ยังไม่มีใครรู้จักเท่าที่สังเกตเป็นดาวที่ส่งผลให้แก่การค้นพบสิ่งใหม่ในจักรวาล และการเกิดปรากฏการณ์อันลี้ลับ
ซินแสได้ไขความลับให้ทราบว่าปรากฏการณ์ทั้งมวลนี้คือสัญญาณจากฟ้าที่บ่งบอกว่าผู้เรืองปัญญาในแผ่นดินได้จุติและมารวมตัวกันอยู่ ณ แดนเมืองซงหยงนี้ และคนหนึ่งในจำนวนนี้มีสติปัญญาและความรู้กว้างขวางแจ้งฟ้าจบดิน เป็นหนึ่งอยู่แต่ผู้เดียวในพิภพ คนผู้นี้จะทำให้ชะตาแห่งราชวงศ์ฮั่นที่สวรรค์กำหนดให้ถึงคราวดับสูญได้ยืนยาวสืบไป
สุมาเต๊กโชเล่าต่อไปว่าได้ไต่ถามซินแสนั้นว่าคนผู้นี้หมายถึงผู้ใด ซินแสได้ไขว่าคนผู้นี้มีบทบาทเกี่ยวกับบัลลังก์จักรพรรดิ ดังนั้นชื่อหรือฉายาของคนผู้นี้จึงต้องเกี่ยวด้วยความหมายแห่งมังกร
เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าและชีซีจึงเชื่อว่าคนผู้นี้ย่อมหมายถึงฮกหลง จูกัดเหลียง-ขงเบ้งนั่นเอง
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวขึ้นว่าตัวข้าพเจ้านี้โชควาสนาอาภัพ เกรงว่าขงเบ้งจะไม่ยอมรับคำเชิญเข้ามาร่วมทำการกับข้าพเจ้า
สุมาเต๊กโชได้ฟังดังนั้นไม่ตอบคำเล่าปี่ แหงนหน้าขึ้นแล้วรำพึงว่าชีซีเอย…ตัวเจ้าจะจากไปไฉนจึงไม่ไปแต่ตัว “จะให้ขงเบ้งได้ความระกำใจ รากโลหิตออกเมื่อภายหลังนี้หาควรไม่”
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ประหลาดใจ จึงถามว่าไฉนท่านจึงกล่าวความดังนี้
สุมาเต๊กโชจึงว่า “เราเห็นขงเบ้งจะมาอยู่ทำราชการด้วยท่านนี้เป็นการใหญ่หลวงนัก เห็นจะต้องคิดอ่านผ่อนผันทุกเวลา ก็จะช้ำอกหนักใจจึงว่าทั้งนี้ อันขงเบ้งมีสติปัญญาเป็นอันมากเหมือนกับขวัญต๋ง งักเย ซึ่งได้ทำนุบำรุงแผ่นดินครั้งซุนสิวนั้น.”
ครั้นปะหน้าเล่าปี่แล้ว ชีซีจึงว่า “ข้าพเจ้าจะบอกเนื้อความแก่ท่านก็ยังมิทันที่จะเจรจาเลย ด้วยจะจากกันกับท่าน หัวใจข้าพเจ้าประดุจคั่วข้าวตอก เพราะความทุกข์มิทันคิด บัดนี้พอรำลึกได้ข้าพเจ้าจึงกลับมา หวังจะบอกเนื้อความแก่ท่าน คือมีคนผู้หนึ่งอยู่นอกเมืองซงหยง มีปัญญาความคิดหลักแหลม ขอให้ท่านไปเชิญตัวผู้นั้นมาจะได้ช่วยคิดอ่านทำการสืบไป”
ชีซีมิได้บอกนามของผู้มีสติปัญญานั้น เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงว่าท่านผู้มีปัญญานี้อยู่แห่งหนตำบลใด ท่านจงเอ็นดูพาข้าพเจ้าไปแนะนำให้ได้รู้จักตัวสักหน่อยหนึ่ง
ชีซีจึงว่าตัวข้าพเจ้านี้แม้จะเร่งด่วนกลับไปหามารดาแต่ก็พอที่จะนำพาท่านไปได้อยู่ แต่ทว่าการไปพบผู้มีสติปัญญานั้นจะทำโดยหักหาญหรืออาศัยปัจจัยอย่างอื่นย่อมไม่ควร ชอบที่ท่านจะอุตส่าห์ตั้งความสุจริตใจไปคำนับแล้วเชิญเข้าทำราชการจึงจะควร
แล้วว่าอันบุคคลผู้นี้หากได้มาทำราชการด้วยแล้ว “ก็เหมือนพระเจ้าฮั่นโกโจได้เตียวเหลียงผู้มีปัญญามาไว้เป็นที่ปรึกษา”
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ตะลึงงัน เพราะพระเจ้าฮั่นโกโจปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่นนั้นแต่เดิมมาก็เหมือนดั่งผู้ไร้วาสนา และมีชะตาคล้ายกับตัวเล่าปี่นัก ทำการศึกกับฌ้อปาอ๋องครั้งใดก็พ่ายแพ้ เล่าปังหรือพระเจ้าฮั่นโกโจพ่ายแพ้การสงครามแก่ฌ้อปาอ๋องติดต่อกันถึงเจ็ดครั้ง ครั้นได้เตียวเหลียงผู้ชาญการพิชัยสงครามมาเป็นที่ปรึกษาแล้ว สถานการณ์สงครามก็พลิกผันไปอย่างสิ้นเชิง ในที่สุดก็สามารถเอาชัยชนะแก่ฌ้อปาอ๋องและสถาปนาราชวงศ์ฮั่นได้สำเร็จ กิตติศัพท์ของเตียวเหลียงเป็นที่เลื่องลือต่อเนื่องมาถึงสี่ร้อยปี จนแม้ในศาลพระเทพบิดรแห่งราชวงศ์ฮั่นอันเป็นที่ตั้งพระป้ายของอดีตพระมหากษัตริย์ก็ปรากฏว่าข้างพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระเจ้าฮั่นโกโจก็ประดับไว้ด้วยภาพขุนพลคู่บารมีซ้ายขวาคือเตียวเหลียงและฮั่นสิน เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งวีรชนให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาและเอาแบบอย่าง แม้ถึงวันนี้วันเวลาผ่านไปร่วมสองพันปีแล้ว เกียรติคุณและเกียรติศักดิ์ของเตียวเหลียงก็ยังได้ชื่อว่าเป็นขุนพลผู้เรืองปัญญาคู่บารมีพระเจ้าฮั่นโกโจ
เล่าปี่สงสัยในตัวบุคคลผู้นี้นักจึงถามชีซีว่าอันผู้มีสติปัญญาตามคำท่านนี้หากจะเทียบกับตัวท่านแล้ว จะเสมอกับท่านหรือเป็นประการใด
ชีซีจึงว่าคนผู้นี้เรืองปัญญาจ้าจรัสยิ่งนัก ความคิดแลสติปัญญาของข้าพเจ้าไม่อาจนำไปเทียมเทียบได้ ไกลกันเหลือคณานับ หากจักอุปมาคนผู้นี้เป็นพญาหงส์ข้าพเจ้าก็เป็นได้เพียงกาแก่ที่มีนัยน์ตาอันฝ้าฟางเท่านั้น หรือหากอุปมาคนผู้นี้เป็นพญากิเลน ข้าพเจ้าก็เป็นได้เพียงม้าแก่อันมีกำลังน้อยเท่านั้นความคิด ความรู้ และสติปัญญาของคนผู้นี้เลิศล้ำกว่าผู้ใดในแผ่นดิน ภูมิปัญญาของคนผู้นี้ประดุจฟ้าครอบคลุมดินฉะนั้น
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้พรรณนาความตอนนี้ไว้ว่า “ซึ่งจะเอาความคิดแลปัญญาข้าพเจ้าไปเปรียบนั้นไกลกันนัก ตัวข้าพเจ้าอุปมาเหมือนหนึ่งกาจะมาเปรียบพญาหงส์นั้นไม่ควร อนึ่งม้าอาชามีกำลังอันน้อยหรือจะมาเปรียบพญาราชสีห์ได้ อันคนคนนี้มีปัญญาลึกซึ้งกว้างขวางนัก อาจสามารถที่จะหยั่งรู้การในแผ่นดินแลอากาศ เป็นเอกอยู่แต่ผู้เดียว ซึ่งจะหาผู้ใดเปรียบเสมอถึงสองนั้นมิได้”
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดียิ่งนัก ถามต่อไปว่าคนผู้นี้มีชื่อเสียงเรียงนามประการใด ท่านจงว่าให้แจ้งเถิด
ชีซีจึงว่าคนผู้นี้มีแซ่จูกัด มีชื่อว่าเหลียง หรือขงเบ้ง อายุรุ่นราวคราวเดียวกับข้าพเจ้า แต่หาบิดามารดาไม่แล้ว อยู่อาศัยอยู่กับจูกัดกิ๋นผู้เป็นน้องชาย ทำไร่ไถนาเลี้ยงชีวิตอยู่ ณ เขาโงลังกั๋ง หรือเทือกเขามังกรหลับ ตำบลลงเสีย หรือนัยหนึ่งก็คือตำบลมังกรซุ่ม ชาวบ้านในย่านนั้นเรียกขงเบ้งตามสมญานามของผู้ปฏิบัติแห่งลัทธิเต๋าว่าฮกหลงหรือ “ มังกรผู้ซ่อนกาย” หากท่านอุตส่าห์ตั้งความสุจริตเชิญขงเบ้งมาทำราชการด้วยแล้ว การจะปราบปรามยุคเข็ญ สถาปนาสันติภาพ สันติสุขขึ้นในแผ่นดิน ย่อมอยู่ในวิสัยที่จะสำเร็จได้เป็นมั่นคง
เล่าปี่จึงว่าเมื่อครั้งข้าพเจ้าพลัดไปที่บ้านของสุมาเต๊กโชนั้น สุมาเต๊กโชได้เอ่ยนามผู้มีสติปัญญาให้ได้รู้จักไว้สองคน คือฮกหลง แลฮองซู ว่าสองคนนี้มีสติปัญญาหลักแหลมกว้างไกลนัก หากได้คนใดคนหนึ่งมาร่วมทำการแล้ว ก็จะสามารถปราบยุคเข็ญ ทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุขได้ นามของคนตามที่ท่านได้กล่าวนี้คือฮกหลงหรือฮองซู คนใดคนหนึ่งตามที่สุมาเต๊กโชได้แจ้งให้ข้าพเจ้าทราบใช่หรือมิใช่
ชีซีจึงว่าบุคคลผู้นี้คือฮกหลง ส่วนฮองซูนั้นมีชื่อว่าบังทอง อยู่ ณ เมืองซงหยง
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี ปรบมือแหงนหน้าขึ้นมองฟ้าแล้วว่าสวรรค์เมตตาแก่ตัวเราแล้ว คนดีมีสติปัญญาอยู่ใกล้เพียงสายตาเท่านี้ แต่เราหาได้รู้จักไม่ ดีที่ว่าท่านได้กล่าวความนัยให้รู้จึงได้ทราบว่าทั้งฮกหลงและฮองซูสองผู้เรืองปัญญาแห่งแผ่นดินมีถิ่นฐานอยู่ ณ เขตแดนเมืองซงหยงนี้เอง
ความรู้สึกของเล่าปี่ในขณะนี้มีความสว่างไสวในอารมณ์ จิตเต็มไปด้วยความปรีดาปราโมทย์ สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) บรรยายไว้ว่าเล่าปี่นั้น “มีความยินดีสว่างในอารมณ์ ดุจหนึ่งบุคคลหลับตาอยู่แลลืมขึ้น”
ชีซีบอกความแก่เล่าปี่สิ้นแล้ว จึงคำนับลาเล่าปี่แล้วชักม้าผละไป ส่วนเล่าปี่ก็พาทหารกลับเข้าเมืองซินเอี๋ย
ฝ่ายชีซีเมื่อขับม้าผละจากเล่าปี่แล้ว ความอาลัยอาวรณ์เล่าปี่ยังคงครอบงำความรู้สึกนึกคิดอย่างเต็มเปี่ยม เกิดความคิดห่วงใยว่าเล่าปี่จะไปเชิญขงเบ้งไม่สำเร็จ จึงควบม้าแวะไปทางเขาโงลังกั๋ง เข้าไปพบขงเบ้งดังที่คุ้นเคยมาแต่ก่อน
ขงเบ้งเห็นชีซีมาหาด้วยอาการรีบร้อนก็ประหลาดใจนัก ถามชีซีว่าท่านแวะมาหาเราในครั้งนี้มีธุระประการใดหรือ ชีซีจึงเล่าความที่ได้ไปอยู่กับเล่าปี่จนกระทั่งต้องพลัดพรากจากกันให้ขงเบ้งฟังทุกประการ แล้วว่าก่อนที่ข้าพเจ้าจะอำลาเล่าปี่มานี้ได้แนะนำเล่าปี่ให้มาเชิญท่านซึ่งเป็นผู้เรืองปัญญาไปช่วยคิดอ่านปราบยุคเข็ญของแผ่นดินเพื่อทำนุบำรุงฮ่องเต้และอาณาประชาราษฎรให้เป็นสุข อันตัวท่านนี้มีสติปัญญาเป็นอันมาก ชอบที่จะรับใช้แผ่นดินเพื่อประโยชน์แห่งมหาชน หาควรปล่อยให้ความรู้แลสติปัญญานั้นมลายหายไปกับวันเวลา เสียทีที่เกิดมาแล้วตายไปโดยเปล่าประโยชน์
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็โกรธชีซี แล้วตำหนิว่า “ท่านจะไปจากเล่าปี่นั้นไม่มีสิ่งใดจะให้เล่าปี่หรือ จึงจะมาเอาเราไปเป็นเครื่องเซ่น” ขงเบ้งกล่าวดังนั้นแล้วจึงสะบัดชายแขนเสื้อไพล่ไว้ข้างหลัง แล้วหันกลับเดินเข้าไปในบ้าน
ชีซีเห็นดังนั้นก็รู้สึกละอายใจจึงรีบออกมาขึ้นม้ารีบเดินทางไปเมืองฮูโต๋
ทางฝ่ายเล่าปี่ครั้นกลับเข้าเมืองซินเอี๋ยแล้วก็เตรียมจัดแจงข้าวของจะออกไปคำนับขงเบ้ง ณ เขาโงลังกั๋ง ในขณะนั้นทหารรักษาการณ์ได้เข้ามารายงานว่ามีอาจารย์ในลัทธิเต๋าผู้หนึ่งรูปร่างสง่างามนักจะมาขอพบท่าน
เล่าปี่ได้ยินดังนั้นอารมณ์ความรู้สึกที่ครุ่นคำนึงถึงขงเบ้งเต็มอยู่ในหัวอกจึงสำคัญผิดคิดว่าขงเบ้งมาขอพบก็ดีใจ รีบวางข้าวของแล้วผลุนผลันออกมาที่ห้องรับรอง
ปรากฏว่าแขกผู้มาเยือนหาใช่ขงเบ้งไม่ แต่กลายเป็นสุมาเต๊กโช เล่าปี่เห็นดังนั้นก็มีความยินดี ตรงเข้าไปคำนับสุมาเต๊กโช แล้วว่าเป็นบุญของข้าพเจ้าที่ได้พบท่านอีกครั้งหนึ่งในวันนี้ นับแต่จากกันวันนั้นแล้วข้าพเจ้ายังคิดคำนึงถึงท่านตลอดมา และคอยหาเวลาอันควรจะไปคำนับท่านถึงที่ ว่าแล้วเล่าปี่ก็สั่งเด็กรับใช้ให้ไปยกน้ำชามาคารวะสุมาเต๊กโช แล้วถามว่าท่านมาเยือนข้าพเจ้าครั้งนี้มีธุระสิ่งใดหรือ
สุมาเต๊กโชจึงว่าตัวข้าพเจ้าเป็นคนบ้านป่า หามีกิจธุระสิ่งใดไม่ แต่ที่มาครั้งนี้เนื่องเพราะได้ยินกิตติศัพท์ว่าชีซีมาอยู่รับราชการด้วยท่านแล้ว มีใจรำลึกถึงจึงแวะมาเยือน
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงว่าบัดนี้ชีซีได้เดินทางไปเมืองฮูโต๋แล้ว และได้เล่าความแต่หนหลังให้สุมาเต๊กโชฟังทุกประการ
สุมาเต๊กโชฟังคำเล่าปี่แล้วลุกขึ้นยืน แล้วว่าชีซีมั่นอยู่แต่ความกตัญญู ความคิดแลสติปัญญาจึงถูกบดบัง ไม่เฉลียวใจถึงกลของโจโฉ อันมารดาชีซีนี้มีความซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินและพระราชวงศ์ฮั่นนัก น้ำใจย่อมจักปรารถนาให้ชีซีอยู่รับราชการด้วยท่านซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ เพื่อจะได้ช่วยคิดอ่านทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุข
แล้วว่าอันน้ำใจมารดาชีซีนี้ถึงมาตรแม้นว่าโจโฉจะจับกุมลงทัณฑ์ทรมานสักปานใด คงไม่ยินยอมพร้อมใจเรียกชีซีให้ไปทำราชการด้วยโจโฉ คงจะอดทนแม้สาหัสนักก็คงยอมตายเฉพาะตัว การที่มีจดหมายของมารดาชีซีมาครั้งนี้คงเป็นอุบายของโจโฉปลอมจดหมายนั้น ชีซีไปเมืองฮูโต๋ครั้งนี้จึงเท่ากับเป็นการฆ่ามารดาเสียเป็นมั่นคง
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ รีบถามขึ้นว่าไฉนท่านจึงคาดการณ์ดั่งนี้
สุมาเต๊กโชจึงว่า น้ำใจมารดาชีซีย่อมต้องการให้บุตรอยู่รับราชการด้วยท่าน เมื่อเห็นบุตรเสียทีแก่ความคิดของโจโฉย่อมเป็นที่ขัดเคืองใจและได้รับความอัปยศนัก คงจะฆ่าตัวตายเสียเป็นแน่
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงว่า การคาดคะเนของท่านครั้งนี้มีทางที่จะเป็นไปได้อย่างยิ่ง เล่าปี่กล่าวความแล้วก็สลดใจ เพราะรู้สึกว่าการปล่อยให้ชีซีกลับไปครั้งนี้ตัวเองมีส่วนร่วมในการทำให้มารดาชีซีต้องถึงแก่ความตายอยู่ด้วย แล้วว่าตัวข้าพเจ้านี้สติปัญญาด้อยนัก จึงไม่ทันคิดและไม่ได้ทักท้วง แต่แม้หากจะไม่ให้ชีซีไปก็จะขัดต่อคุณธรรมที่บุตรพึงมีความกตัญญูต่อบุพการี
เล่าปี่กล่าวต่อไปว่าก่อนที่ชีซีจะจากไปได้แนะนำให้ข้าพเจ้าไปเชิญขงเบ้งมาทำราชการด้วย อันขงเบ้งผู้นี้คือคนที่ชื่อฮกหลงซึ่งท่านได้เคยบอกเล่าแก่ข้าพเจ้าใช่หรือไม่
สุมาเต๊กโชจึงว่าจูกัดเหลียง-ขงเบ้งก็คือฮกหลง คนเดียวกับที่ข้าพเจ้าได้บอกกล่าวแก่ท่าน คนผู้นี้รุ่นราวคราวเดียวกับชีซี บังทอง และยังคบหาเพื่อนสนิทอีกสองคน ล้วนมีสติปัญญาเป็นอันมาก
เล่าปี่จึงถามขึ้นด้วยความแปลกใจว่าเหตุไฉนเมืองซงหยงจึงมีผู้มีสติปัญญามารวมตัวกันอยู่เป็นอันมากฉะนี้
สุมาเต๊กโชจึงไขความแก่เล่าปี่ว่าเมื่อสามปีก่อนหน้านี้ ในขณะที่ข้าพเจ้าและชีซีกำลังดื่มน้ำชาเล่นหมากล้อมกันอยู่นั้น มีซินแสชราผู้หนึ่งแวะผ่านมาร่วมสนทนาด้วย ในระหว่างการสนทนานั้นซินแสผู้นี้ได้ปรารภขึ้นว่า ได้สังเกตการณ์ในอากาศตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีมาแล้ว พบว่าบนท้องฟ้าเหนือดินแดนเมืองซงหยงนี้มีปรากฏการณ์ประหลาด ดาวพฤหัสได้โคจรมาสัมผัสกับดวงจันทร์ โดยมีดาวพระศุกร์เข้ามาร่วมในรัศมี ในขณะเดียวกันก็มีดาวดวงใหม่ประหลาดนักโคจรเข้ามาสมทบ ดาวดวงนี้ยังไม่มีใครรู้จักเท่าที่สังเกตเป็นดาวที่ส่งผลให้แก่การค้นพบสิ่งใหม่ในจักรวาล และการเกิดปรากฏการณ์อันลี้ลับ
ซินแสได้ไขความลับให้ทราบว่าปรากฏการณ์ทั้งมวลนี้คือสัญญาณจากฟ้าที่บ่งบอกว่าผู้เรืองปัญญาในแผ่นดินได้จุติและมารวมตัวกันอยู่ ณ แดนเมืองซงหยงนี้ และคนหนึ่งในจำนวนนี้มีสติปัญญาและความรู้กว้างขวางแจ้งฟ้าจบดิน เป็นหนึ่งอยู่แต่ผู้เดียวในพิภพ คนผู้นี้จะทำให้ชะตาแห่งราชวงศ์ฮั่นที่สวรรค์กำหนดให้ถึงคราวดับสูญได้ยืนยาวสืบไป
สุมาเต๊กโชเล่าต่อไปว่าได้ไต่ถามซินแสนั้นว่าคนผู้นี้หมายถึงผู้ใด ซินแสได้ไขว่าคนผู้นี้มีบทบาทเกี่ยวกับบัลลังก์จักรพรรดิ ดังนั้นชื่อหรือฉายาของคนผู้นี้จึงต้องเกี่ยวด้วยความหมายแห่งมังกร
เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าและชีซีจึงเชื่อว่าคนผู้นี้ย่อมหมายถึงฮกหลง จูกัดเหลียง-ขงเบ้งนั่นเอง
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวขึ้นว่าตัวข้าพเจ้านี้โชควาสนาอาภัพ เกรงว่าขงเบ้งจะไม่ยอมรับคำเชิญเข้ามาร่วมทำการกับข้าพเจ้า
สุมาเต๊กโชได้ฟังดังนั้นไม่ตอบคำเล่าปี่ แหงนหน้าขึ้นแล้วรำพึงว่าชีซีเอย…ตัวเจ้าจะจากไปไฉนจึงไม่ไปแต่ตัว “จะให้ขงเบ้งได้ความระกำใจ รากโลหิตออกเมื่อภายหลังนี้หาควรไม่”
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ประหลาดใจ จึงถามว่าไฉนท่านจึงกล่าวความดังนี้
สุมาเต๊กโชจึงว่า “เราเห็นขงเบ้งจะมาอยู่ทำราชการด้วยท่านนี้เป็นการใหญ่หลวงนัก เห็นจะต้องคิดอ่านผ่อนผันทุกเวลา ก็จะช้ำอกหนักใจจึงว่าทั้งนี้ อันขงเบ้งมีสติปัญญาเป็นอันมากเหมือนกับขวัญต๋ง งักเย ซึ่งได้ทำนุบำรุงแผ่นดินครั้งซุนสิวนั้น.”