ตอนที่ 195. เมื่อเสียหินก็ได้หยก
เทียหยกที่ปรึกษาของโจโฉอาสาคิดอ่านวางแผนพรากชีซีจากเล่าปี่เพื่อตัดกำลังและอานุภาพทางการทหารของกองทัพเล่าปี่ให้มาอยู่กับโจโฉ ครั้นมารดาชีซีไม่เต็มใจเรียกชีซีมาเมืองหลวง เทียหยกจึงวางอุบายแล้วปลอมลายเขียนและลายมือของมารดาชีซี อ้างเอาความกตัญญูเรียกชีซีมาเมืองหลวงเพื่อช่วยชีวิตของมารดาไว้จากอาญาของโจโฉ
คนสนิทของเทียหยกเดินทางไปถึงเมืองซินเอี๋ยแล้ว สืบถามหาบ้านพักของชีซีพบแล้วจึงนำหนังสือนั้นมอบแก่ชีซี
ชีซีรับหนังสือมาอ่านดู เห็นเป็นลายมือของมารดาจำได้ถนัดก็ตกใจแล้วร้องไห้รักมารดา แรงแห่งกตัญญูที่มีอยู่ประจำใจได้บดบังความคิดชีซีมิให้คิดหน้าคิดหลังและเหตุผลต้นปลาย หลงเชื่อความในหนังสือนั้นโดยสนิทใจ จึงถือหนังสือนั้นเข้าไปหาเล่าปี่
เล่าปี่เห็นชีซีเข้ามาพบด้วยสีหน้าเศร้าหมองก็หลากใจ ถามว่าตันฮกท่านมีเรื่องราวขุ่นข้องหมองใจประการใดหรือ
ชีซีจึงว่าข้าพเจ้ามาอยู่ด้วยท่านนานแล้วแต่มิเคยได้เล่าความจริงเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของข้าพเจ้าให้ท่านทราบ ว่าแล้วชีซีจึงเล่าประวัติความเป็นมาแต่ต้นให้เล่าปี่ทราบทุกประการ
ชีซีได้กล่าวต่อไปว่านับแต่ข้าพเจ้ามาอยู่ด้วยท่านแล้ว ท่านได้ให้ความเมตตาชุบเลี้ยงถึงขนาด ให้ความไว้วางใจอย่างเต็มที่ ยากที่จะหาผู้ใดมีน้ำใจเสมอด้วยท่าน ข้าพเจ้ามีความกตัญญูคิดถึงคุณ ปรารถนาจะสนองคุณท่านให้สำเร็จตามปณิธาน แต่บัดนี้กรรมตามมาทันข้าพเจ้าแล้ว ด้วยโจโฉทราบว่าข้าพเจ้ามาอยู่ด้วยท่าน ช่วยคิดอ่านการสงคราม จึงแค้นเคืองข้าพเจ้า แล้วให้ทหารไปจับเอามารดาข้าพเจ้าไปคุมขังไว้ และจะลงโทษประหาร มารดาข้าพเจ้าจึงให้คนถือหนังสือมาตามข้าพเจ้าให้ไปหาโจโฉ หากข้าพเจ้าไม่ไปโจโฉก็จะฆ่ามารดาข้าพเจ้าเสีย ข้าพเจ้าก็จะเสียไปซึ่งความกตัญญูที่มีต่อมารดา โทษแลความครหาก็จะมีแก่ข้าพเจ้าไปภายหน้ามหันต์นัก แม้ตัวข้าพเจ้าเองเล่าเติบโตมาถึงบัดนี้ก็ไม่เคยได้ทดแทนคุณของมารดา จะขัดคำให้มารดาต้องตกตายเพราะขาดความกตัญญูดังนี้ข้าพเจ้าก็ไม่อาจมีชีวิตเป็นผู้เป็นคนได้สืบไป จึงจำต้องมาบอกกล่าวให้ท่านทราบ ขอท่านจงกรุณาให้ข้าพเจ้าได้แทนคุณมารดาไปหาโจโฉเพื่อไถ่ชีวิตของมารดาไว้ ข้าพเจ้าไปแล้วจะไม่ไปลับ แต่จะคิดอ่านกลับหลังมาสนองคุณท่านให้จงได้
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็สงสาร ในขณะเดียวกันก็เสียดายชีซีเป็นอันมาก ใจหนึ่งอยากได้ตัวชีซีไว้แต่ใจหนึ่งก็เห็นแก่ความกตัญญูรู้คุณมารดา ไม่อาจทำใจห้ามปรามชีซีได้ เล่าปี่พะว้าพะวังดังนี้ก็ร้องไห้แล้วว่า “อันธรรมดาแม่ลูกกันนี้ก็เหมือนชีวิตเดียวกัน เมื่อมีเหตุฉะนี้ก็เป็นประเพณีบุตรจะสงเคราะห์แก่มารดา ใครห่อนจะอาจทิ้งมารดาเสียได้ ซึ่งท่านจะไปหาโจโฉก็ตามเถิด เมื่อมารดาท่านพ้นภัยแล้วจึงคิดอ่านกลับมาช่วยสั่งสอนเราสืบไป แต่ทว่าบัดนี้ตัวท่านกับเราจะจากไปแล้ว จงยับยั้งอยู่สักราตรีหนึ่งก่อน เวลาพรุ่งนี้เราจะแต่งโต๊ะเลี้ยงท่านให้สบายใจแล้วจึงค่อยไป”
เล่าปี่และชีซีต่างคนต่างร้องไห้อาลัยรักกันเป็นอันมาก ครั้นควรแก่เวลาแล้วเล่าปี่จึงว่าตันฮกท่านจงกลับไปเรือนเตรียมตัวเดินทางให้พร้อมเถิด ชีซีได้ฟังดังนั้นจึงคำนับลาเล่าปี่ออกมาจัดเตรียมข้าวของเพื่อเดินทางไปหามารดา
ตันฮกออกไปถึงประตูจวน สวนกับซุนเขียนที่ปรึกษา ซุนเขียนเห็นสีหน้าตันฮกหม่นหมองนักก็เกรงใจ ทักทายกันพอเป็นพิธีแล้วซุนเขียนจึงเข้ามาหาเล่าปี่ แล้วว่าข้าพเจ้าสวนทางกับตันฮกเห็นผิดปกติไป มีสิ่งใดเกิดขึ้นหรือ
เล่าปี่จึงเล่าความที่ตันฮกจะไปหาโจโฉช่วยชีวิตมารดาให้ซุนเขียนฟังทุกประการ
ซุนเขียนได้ฟังดังนั้นก็ตกใจแล้วว่าตันฮกมีสติปัญญาเป็นอันมาก มาอยู่รับราชการด้วยท่านก็ได้รับความไว้วางใจจากท่านถึงขนาด รู้ตื้นลึกหนาบางทั้งในด้านกองทัพและในด้านเมืองซินเอี๋ยเป็นอย่างดีทุกประการ หากปล่อยให้ตันฮกไปอยู่กับโจโฉแล้ว โจโฉก็จะบำรุงเลี้ยงดูถึงขนาด น้ำใจคนก็ย่อมเปลี่ยนไป ความตื้นลึกหนาบางทั้งปวงที่รู้อยู่ก็จะบอกกล่าวแก่โจโฉสิ้น ดังนั้นตันฮกไปครั้งนี้อันตรายจะเกิดแก่ท่าน
แล้วซุนเขียนจึงเสนอว่าสมควรที่ท่านจะต้องกักตัวหรือหาทางรั้งตันฮกไว้ เมื่อตันฮกไม่ไปหาโจโฉ โจโฉก็จะประหารมารดาของตันฮกเสีย ความโกรธแค้นพยาบาทก็จะมีแก่ตันฮกเป็นอันมาก ดังนี้แล้วตันฮกก็จะเต็มใจทำราชการด้วยท่าน ช่วยคิดอ่านแผนการทำสงครามกับโจโฉอย่างเต็มกำลังเพื่อล้างแค้นให้แก่มารดา
เล่าปี่จึงว่าความอันท่านกล่าวทั้งนี้ฝืนใจข้าพเจ้านัก เพราะเป็นความที่ล่วงคุณธรรม ทำให้แม่ลูกพรากกัน ก่อให้ลูกสิ้นความกตัญญูต่อมารดา เหมือนหนึ่งรั้งลูกให้ฆ่ามารดาผิดธรรมเนียมที่มีมาแต่ก่อน แม้ผู้คนไม่ทราบความนี้เทพยดาฟ้าดินและน้ำใจเราเองก็จะลงทัณฑ์ตัวเรามิให้มีความสุขสืบไปเลย
และว่าเราเห็นแก่คุณธรรมเป็นที่ตั้ง แม้อันตรายจะเกิดแก่เราก็สุดแท้แต่ชะตาฟ้าดินกำหนด เหตุนี้เราจึงปลงใจอนุญาตให้ตันฮกกลับไปหามารดาได้ดังประสงค์ แม้ในภายหน้าตันฮกละไมตรีของเราเสีย คิดอ่านแผนการให้โจโฉทำร้ายเราแม้ถึงตายเราก็จะไม่ยอมละความสัตย์นี้เป็นอันขาด
เล่าปี่กล่าวความท่ามกลางใบหน้าอันเศร้าสลด ความเสียดายอาลัยในตัวตันฮกประดังเข้ามาในหัวอก น้ำตาเล่าปี่ก็ไหลอาบแก้มโดยไม่รู้สึกตัว ซุนเขียนและบรรดาทหารซึ่งอยู่ในที่นั้นเห็นดังนั้นจึงพากันสรรเสริญน้ำใจเล่าปี่ที่ตั้งมั่นในคุณธรรมยิ่งนัก
ตลอดราตรีนั้นทั้งเล่าปี่และชีซีต่างรู้สึกว่าช่างยาวนานเหลือประมาณนัก ต่างคนต่างนอนไม่หลับ ครุ่นคิดถึงความเมตตาอาทรและความวางใจที่มีแก่กันและกัน ครุ่นคิดถึงวันเวลาในภายหน้าว่าจะเป็นประการใด หรือว่าสิ้นชั่วราตรีนี้แล้ว จะต้องพรากจากกันชั่วกัลปาวสาน จนค่อนรุ่งทั้งเล่าปี่และชีซีจึงสามารถหลับตาลงได้สนิท
รุ่งขึ้นเล่าปี่ตื่นแต่เช้าสั่งให้แต่งโต๊ะเลี้ยงส่งตันฮก เมื่อได้เวลาก็ให้ทหารไปเชิญตันฮกมากินโต๊ะ พอชีซีเข้ามาต่างคนต่างคำนับทักทายกันแล้วเข้ามาสวมกอดกันด้วยความอาลัยเป็นนักหนา จากนั้นเล่าปี่จึงพาชีซีเข้าไปนั่งที่โต๊ะ
เล่าปี่ได้หยิบจอกสุราชวนชีซีดื่มร่ำลา พอชีซีจับจอกสุราขึ้นจึงกล่าวว่า “ข้าพเจ้ารู้ว่าโจโฉจับมารดาไปทำโทษจำจองไว้ฉะนี้ หัวใจข้าพเจ้าร้อนดุจเพลิงสุมอยู่ในอก ถึงมาตรว่าจะเอาของอันมีโอชารสมาให้กินก็มิลงคอเลย”
เล่าปี่จึงปลอบว่า “อันท่านทุกข์ถึงมารดาก็เป็นประเพณีอยู่แล้ว แต่ทุกข์ของเราซึ่งท่านจะจากไปบัดนี้ก็ร้อนอยู่ในอกเหมือนกัน ถึงจะเอาตับหงส์แลตับมังกรอันมีรสดุจหนึ่งว่าเป็นทิพย์นั้นมากิน ก็หารู้จักว่าเป็นรสอันใดไม่”
กล่าวดังนั้นแล้วเล่าปี่จึงชวนชีซีดื่มสุราพร้อมกัน พอวางจอกสุราลงต่างคนต่างก็ร้องไห้
ครั้นกินโต๊ะเสร็จเล่าปี่จึงจัดม้าให้ชีซีขี่ ตัวเล่าปี่ขี่ม้าเต๊กเลาพาชีซีมาที่พักเพื่อขนสัมภาระสิ่งของแล้วเล่าปี่ก็ขี่ม้าเคียงคู่กับชีซีออกไปส่งชีซีถึงประตูเมือง
พอถึงประตูเมืองชีซีได้ลงจากหลังม้า คำนับคารวะเล่าปี่แล้วว่าข้าพเจ้ามาอยู่ด้วยท่านได้รับความกรุณาจากท่านเป็นอันมาก ยามที่จะพรากจากกันนี้ก็ยังได้รับความเมตตาออกมาส่งถึงที่ประตูเมือง พระคุณนี้ล้นฟ้าล้นหัวใจข้าพเจ้านัก ภายภาคหน้าหากไม่ตายเสียก่อนก็จะคิดอ่านสนองคุณท่านให้จงได้
เล่าปี่ลงจากหลังม้ารับคำนับชีซีแล้วเข้าไปกุมเอามือทั้งสองของชีซีไว้แล้วว่า ตัวข้าพเจ้านี้อุปมาดั่งขอนไม้ล่องลอยอยู่ในแม่น้ำ เป็นไปตามยถากรรม ไม่เห็นทางสว่างข้างหน้าว่าปณิธานที่จะกอบกู้แผ่นดิน ทำนุบำรุงราษฎรจะเป็นผลสำเร็จ ครั้นได้พบท่านความสว่างก็บังเกิดขึ้นเล็งเห็นว่าเกิดมาชีวิตนี้คงไม่เสียทีเปล่า แลสติปัญญาของท่านคือเครื่องนำทางชีวิตใหม่ให้แก่ข้าพเจ้าไปบรรลุถึงปณิธานนั้น แต่ข้าพเจ้านี้วาสนาน้อยนัก ได้พบแสงสว่างแห่งปัญญาท่านไม่ทันนานก็ต้องถึงกาลพลัดพรากจากกัน เมื่อสิ้นท่านช่วยสั่งสอนบำรุงแล้วก็เหมือนหนึ่งวาสนาของข้าพเจ้าสิ้นตามไปด้วย เล่าปี่ว่าแล้วก็ร้องไห้
ชีซีจึงว่าแม้ข้าพเจ้าอยู่ด้วยท่านไม่นานช้าแต่ก็ประจักษ์ด้วยน้ำใจรักแลเมตตาของท่าน น้ำใจนี้จึงซึ้งอยู่ในอกไม่อาจลืมเลือนได้ชั่วชีวิต ถึงแม้กรรมตามมาทัน ก็พรากข้าพเจ้าให้ไปจากท่านก็แต่ตัวดอก ใจนั้นยังมั่นอยู่ในความกตัญญูต่อท่านไม่ผันแปรเลย
แล้วว่าแม้ข้าพเจ้าจะไปอยู่ด้วยโจโฉ ถึงโจโฉจะทำนุบำรุงข้าพเจ้าสักเพียงไหนก็ดี ข้าพเจ้าขอสาบานไว้ต่อฟ้า ณ เบื้องหน้าท่านนี้ว่าสืบไปเมื่อหน้าข้าพเจ้าจะไม่คิดอ่านแผนการอุบายใด ๆ ให้แก่โจโฉเพื่อทำร้ายหรือเป็นผลกระทบต่อท่านในทางร้ายเป็นอันขาด แม้หากข้าพเจ้าละคำสาบานนี้ ณ บัดใดขอเทพยดาฟ้าดินได้ประหารข้าพเจ้าเสีย ณ บัดนั้น
เล่าปี่จึงว่าตัวท่านมีสติปัญญาความสามารถเป็นอันมาก ได้ช่วยอบรมสั่งสอนคิดอ่านการสงครามจึงทำให้ข้าพเจ้ามีความหวังว่าปณิธานจะสำเร็จ เมื่อสิ้นท่านแล้วความหวังแลปณิธานนั้นเป็นอันมอดตาม ข้าพเจ้าแต่ผู้เดียวเมื่อไร้ผู้อบรมทำนุบำรุงทางสติปัญญาความคิดอ่านฉะนี้แล้วอยู่เมืองสืบไปก็ไร้ความหมาย มีแต่จะถูกคนอื่นเขาเหยียบย่ำซ้ำร้าย ฉะนั้นข้าพเจ้าจะหลีกลี้หนีไปอยู่เสียในป่าให้ควรแก่วาสนาที่อาภัพอับจนฉะนี้
ชีซีจึงว่าตัวท่านเป็นเชื้อพระวงศ์ มีน้ำใจโอบอ้อมอารีแก่อาณาประชาราษฎรทั้งปวง ทั้งความคิดสติปัญญาก็มีอยู่ จะมาทอดทิ้งปณิธานเสียเพราะข้าพเจ้านี้ไม่ชอบ ถึงแม้ข้าพเจ้าจะจากท่านไปแต่แผ่นดินก็ใช่ว่าจะไร้ซึ่งผู้มีความคิดสติปัญญา เมื่อท่านมีมานะพยายามก็คงจะแสวงหาได้ดังปรารถนา
ชีซีว่าดังนี้แล้วจึงว่ากับทหารที่ตามเล่าปี่มาว่าข้าพเจ้าขออำลาท่านในบัดนี้แล้ว ขอพวกท่านจงอยู่รับใช้เล่าปี่ด้วยความสัตย์สุจริตต่อไปเถิด เมื่อใดที่เล่าปี่ทำการสำเร็จดังปณิธานแล้ว ท่านทั้งปวงจะมีความสุขโดยถ้วนหน้ากัน อย่าได้เอาเยี่ยงอย่างข้าพเจ้าซึ่งแม้มีน้ำใจก็ไม่สามารถทำการสนองคุณเล่าปี่ได้ดังประสงค์เลย
ชีซีกล่าวดังนั้นแล้วจึงขึ้นม้า ในขณะที่ทหารทั้งปวงฟังคำชีซีแล้วต่างพากันสงสารร้องไห้อาลัยรักชีซีทุกตัวคน
ชีซีขึ้นม้าแล้วคำนับลาเล่าปี่อีกครั้งหนึ่งแล้วชักบังเหียนม้าเตรียมจะจากไป เล่าปี่เห็นอาการดังนั้นก็มีความอาลัยละเหี่ยใจนัก ไม่อาจกลับเข้าเมืองได้ในทันทีจึงขี่ม้าตามไปส่งชีซีอีกพักใหญ่ จนถึงแนวพุ่มไม้ไกลพอประมาณแล้ว ชีซีจึงหันมากล่าวกับเล่าปี่ว่าท่านตามมาส่งข้าพเจ้านี้เป็นทางไกลนักหนาแล้ว พระคุณนี้ซึ้งตรึงใจข้าพเจ้านัก แต่ถึงอย่างไรข้าพเจ้าก็ต้องจากท่านไปวันยังค่ำ ขอท่านจงกลับเข้าเมืองไปเถิด
เล่าปี่ชักม้าเข้าไปเทียบม้าชีซี จับมือชีซีมากุมไว้แล้วว่าเราจากกันครั้งนี้แล้วอีกเมื่อไหร่ถึงจะได้พบกันอีก ว่าแล้วก็ร้องไห้ ซบหน้าลงกับคอม้า ชีซีเห็นดังนั้นกลั้นน้ำตามิอยู่ก็ร้องไห้ตาม แล้วตัดใจขี่ม้าวิ่งออกไป
เล่าปี่เห็นชีซีขี่ม้าจากไปดังนั้นก็ทอดสายตาตามหลังชีซีจนลับแนวพุ่มไม้ไป ด้วยน้ำใจอาลัยรักชีซียังล้นอยู่ในอกไม่อาจหักใจกลับเข้าเมืองได้ เล่าปี่จึงสั่งทหารให้ตัดพุ่มไม้ข้างหน้าเสีย
ในขณะที่ทหารระดมกำลังกันตัดพุ่มไม้ข้างหน้า ทหารที่อยู่ใกล้เล่าปี่สงสัยจึงถามว่าท่านให้ตัดพุ่มไม้เสียทั้งนี้เพื่อประสงค์สิ่งใด
เล่าปี่จึงว่าน้ำใจเราอาลัยรักชีซีนัก พุ่มไม้นี้บังตาเราไม่ให้เห็นชีซี เราใคร่จะเห็นชีซีจนลับไปจากครรลองสายตาจึงให้ตัดพุ่มไม้นั้นเสีย
ครู่หนึ่งพุ่มไม้ด้านหน้าก็ถูกทหารตัดลงจนเตียนโล่ง ในพลันนั้นเล่าปี่เห็นชีซีชักม้าเลี้ยวกลับหลังขี่ม้าตรงเข้ามา เล่าปี่ก็มีความยินดีด้วยสำคัญว่าชีซีเปลี่ยนใจจะไม่ไปหาโจโฉ และกลับมาอยู่ด้วยตัวเหมือนดังเดิม สีหน้าเล่าปี่ก็ยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้น แล้วกระตุ้นม้าขี่ออกไปข้างหน้า
พอชีซีเข้ามาใกล้เล่าปี่จึงร้องถามว่าท่านกลับมาทั้งนี้มีสิ่งใดจะว่ากล่าวกับข้าพเจ้าอีกหรือ
ความรักที่บริสุทธิ์ จริงใจ และเปี่ยมด้วยคุณธรรมย่อมได้รับความกรุณาจากสวรรค์ ดังนั้นการที่ชีซีซึ่งพึ่งอำลาจากไปแล้ว ขี่ม้ากลับมาในครั้งนี้ จึงมิใช่เป็นการย้อนกลับมาด้วยมือเปล่าเป็นแม่นมั่น.
คนสนิทของเทียหยกเดินทางไปถึงเมืองซินเอี๋ยแล้ว สืบถามหาบ้านพักของชีซีพบแล้วจึงนำหนังสือนั้นมอบแก่ชีซี
ชีซีรับหนังสือมาอ่านดู เห็นเป็นลายมือของมารดาจำได้ถนัดก็ตกใจแล้วร้องไห้รักมารดา แรงแห่งกตัญญูที่มีอยู่ประจำใจได้บดบังความคิดชีซีมิให้คิดหน้าคิดหลังและเหตุผลต้นปลาย หลงเชื่อความในหนังสือนั้นโดยสนิทใจ จึงถือหนังสือนั้นเข้าไปหาเล่าปี่
เล่าปี่เห็นชีซีเข้ามาพบด้วยสีหน้าเศร้าหมองก็หลากใจ ถามว่าตันฮกท่านมีเรื่องราวขุ่นข้องหมองใจประการใดหรือ
ชีซีจึงว่าข้าพเจ้ามาอยู่ด้วยท่านนานแล้วแต่มิเคยได้เล่าความจริงเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของข้าพเจ้าให้ท่านทราบ ว่าแล้วชีซีจึงเล่าประวัติความเป็นมาแต่ต้นให้เล่าปี่ทราบทุกประการ
ชีซีได้กล่าวต่อไปว่านับแต่ข้าพเจ้ามาอยู่ด้วยท่านแล้ว ท่านได้ให้ความเมตตาชุบเลี้ยงถึงขนาด ให้ความไว้วางใจอย่างเต็มที่ ยากที่จะหาผู้ใดมีน้ำใจเสมอด้วยท่าน ข้าพเจ้ามีความกตัญญูคิดถึงคุณ ปรารถนาจะสนองคุณท่านให้สำเร็จตามปณิธาน แต่บัดนี้กรรมตามมาทันข้าพเจ้าแล้ว ด้วยโจโฉทราบว่าข้าพเจ้ามาอยู่ด้วยท่าน ช่วยคิดอ่านการสงคราม จึงแค้นเคืองข้าพเจ้า แล้วให้ทหารไปจับเอามารดาข้าพเจ้าไปคุมขังไว้ และจะลงโทษประหาร มารดาข้าพเจ้าจึงให้คนถือหนังสือมาตามข้าพเจ้าให้ไปหาโจโฉ หากข้าพเจ้าไม่ไปโจโฉก็จะฆ่ามารดาข้าพเจ้าเสีย ข้าพเจ้าก็จะเสียไปซึ่งความกตัญญูที่มีต่อมารดา โทษแลความครหาก็จะมีแก่ข้าพเจ้าไปภายหน้ามหันต์นัก แม้ตัวข้าพเจ้าเองเล่าเติบโตมาถึงบัดนี้ก็ไม่เคยได้ทดแทนคุณของมารดา จะขัดคำให้มารดาต้องตกตายเพราะขาดความกตัญญูดังนี้ข้าพเจ้าก็ไม่อาจมีชีวิตเป็นผู้เป็นคนได้สืบไป จึงจำต้องมาบอกกล่าวให้ท่านทราบ ขอท่านจงกรุณาให้ข้าพเจ้าได้แทนคุณมารดาไปหาโจโฉเพื่อไถ่ชีวิตของมารดาไว้ ข้าพเจ้าไปแล้วจะไม่ไปลับ แต่จะคิดอ่านกลับหลังมาสนองคุณท่านให้จงได้
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็สงสาร ในขณะเดียวกันก็เสียดายชีซีเป็นอันมาก ใจหนึ่งอยากได้ตัวชีซีไว้แต่ใจหนึ่งก็เห็นแก่ความกตัญญูรู้คุณมารดา ไม่อาจทำใจห้ามปรามชีซีได้ เล่าปี่พะว้าพะวังดังนี้ก็ร้องไห้แล้วว่า “อันธรรมดาแม่ลูกกันนี้ก็เหมือนชีวิตเดียวกัน เมื่อมีเหตุฉะนี้ก็เป็นประเพณีบุตรจะสงเคราะห์แก่มารดา ใครห่อนจะอาจทิ้งมารดาเสียได้ ซึ่งท่านจะไปหาโจโฉก็ตามเถิด เมื่อมารดาท่านพ้นภัยแล้วจึงคิดอ่านกลับมาช่วยสั่งสอนเราสืบไป แต่ทว่าบัดนี้ตัวท่านกับเราจะจากไปแล้ว จงยับยั้งอยู่สักราตรีหนึ่งก่อน เวลาพรุ่งนี้เราจะแต่งโต๊ะเลี้ยงท่านให้สบายใจแล้วจึงค่อยไป”
เล่าปี่และชีซีต่างคนต่างร้องไห้อาลัยรักกันเป็นอันมาก ครั้นควรแก่เวลาแล้วเล่าปี่จึงว่าตันฮกท่านจงกลับไปเรือนเตรียมตัวเดินทางให้พร้อมเถิด ชีซีได้ฟังดังนั้นจึงคำนับลาเล่าปี่ออกมาจัดเตรียมข้าวของเพื่อเดินทางไปหามารดา
ตันฮกออกไปถึงประตูจวน สวนกับซุนเขียนที่ปรึกษา ซุนเขียนเห็นสีหน้าตันฮกหม่นหมองนักก็เกรงใจ ทักทายกันพอเป็นพิธีแล้วซุนเขียนจึงเข้ามาหาเล่าปี่ แล้วว่าข้าพเจ้าสวนทางกับตันฮกเห็นผิดปกติไป มีสิ่งใดเกิดขึ้นหรือ
เล่าปี่จึงเล่าความที่ตันฮกจะไปหาโจโฉช่วยชีวิตมารดาให้ซุนเขียนฟังทุกประการ
ซุนเขียนได้ฟังดังนั้นก็ตกใจแล้วว่าตันฮกมีสติปัญญาเป็นอันมาก มาอยู่รับราชการด้วยท่านก็ได้รับความไว้วางใจจากท่านถึงขนาด รู้ตื้นลึกหนาบางทั้งในด้านกองทัพและในด้านเมืองซินเอี๋ยเป็นอย่างดีทุกประการ หากปล่อยให้ตันฮกไปอยู่กับโจโฉแล้ว โจโฉก็จะบำรุงเลี้ยงดูถึงขนาด น้ำใจคนก็ย่อมเปลี่ยนไป ความตื้นลึกหนาบางทั้งปวงที่รู้อยู่ก็จะบอกกล่าวแก่โจโฉสิ้น ดังนั้นตันฮกไปครั้งนี้อันตรายจะเกิดแก่ท่าน
แล้วซุนเขียนจึงเสนอว่าสมควรที่ท่านจะต้องกักตัวหรือหาทางรั้งตันฮกไว้ เมื่อตันฮกไม่ไปหาโจโฉ โจโฉก็จะประหารมารดาของตันฮกเสีย ความโกรธแค้นพยาบาทก็จะมีแก่ตันฮกเป็นอันมาก ดังนี้แล้วตันฮกก็จะเต็มใจทำราชการด้วยท่าน ช่วยคิดอ่านแผนการทำสงครามกับโจโฉอย่างเต็มกำลังเพื่อล้างแค้นให้แก่มารดา
เล่าปี่จึงว่าความอันท่านกล่าวทั้งนี้ฝืนใจข้าพเจ้านัก เพราะเป็นความที่ล่วงคุณธรรม ทำให้แม่ลูกพรากกัน ก่อให้ลูกสิ้นความกตัญญูต่อมารดา เหมือนหนึ่งรั้งลูกให้ฆ่ามารดาผิดธรรมเนียมที่มีมาแต่ก่อน แม้ผู้คนไม่ทราบความนี้เทพยดาฟ้าดินและน้ำใจเราเองก็จะลงทัณฑ์ตัวเรามิให้มีความสุขสืบไปเลย
และว่าเราเห็นแก่คุณธรรมเป็นที่ตั้ง แม้อันตรายจะเกิดแก่เราก็สุดแท้แต่ชะตาฟ้าดินกำหนด เหตุนี้เราจึงปลงใจอนุญาตให้ตันฮกกลับไปหามารดาได้ดังประสงค์ แม้ในภายหน้าตันฮกละไมตรีของเราเสีย คิดอ่านแผนการให้โจโฉทำร้ายเราแม้ถึงตายเราก็จะไม่ยอมละความสัตย์นี้เป็นอันขาด
เล่าปี่กล่าวความท่ามกลางใบหน้าอันเศร้าสลด ความเสียดายอาลัยในตัวตันฮกประดังเข้ามาในหัวอก น้ำตาเล่าปี่ก็ไหลอาบแก้มโดยไม่รู้สึกตัว ซุนเขียนและบรรดาทหารซึ่งอยู่ในที่นั้นเห็นดังนั้นจึงพากันสรรเสริญน้ำใจเล่าปี่ที่ตั้งมั่นในคุณธรรมยิ่งนัก
ตลอดราตรีนั้นทั้งเล่าปี่และชีซีต่างรู้สึกว่าช่างยาวนานเหลือประมาณนัก ต่างคนต่างนอนไม่หลับ ครุ่นคิดถึงความเมตตาอาทรและความวางใจที่มีแก่กันและกัน ครุ่นคิดถึงวันเวลาในภายหน้าว่าจะเป็นประการใด หรือว่าสิ้นชั่วราตรีนี้แล้ว จะต้องพรากจากกันชั่วกัลปาวสาน จนค่อนรุ่งทั้งเล่าปี่และชีซีจึงสามารถหลับตาลงได้สนิท
รุ่งขึ้นเล่าปี่ตื่นแต่เช้าสั่งให้แต่งโต๊ะเลี้ยงส่งตันฮก เมื่อได้เวลาก็ให้ทหารไปเชิญตันฮกมากินโต๊ะ พอชีซีเข้ามาต่างคนต่างคำนับทักทายกันแล้วเข้ามาสวมกอดกันด้วยความอาลัยเป็นนักหนา จากนั้นเล่าปี่จึงพาชีซีเข้าไปนั่งที่โต๊ะ
เล่าปี่ได้หยิบจอกสุราชวนชีซีดื่มร่ำลา พอชีซีจับจอกสุราขึ้นจึงกล่าวว่า “ข้าพเจ้ารู้ว่าโจโฉจับมารดาไปทำโทษจำจองไว้ฉะนี้ หัวใจข้าพเจ้าร้อนดุจเพลิงสุมอยู่ในอก ถึงมาตรว่าจะเอาของอันมีโอชารสมาให้กินก็มิลงคอเลย”
เล่าปี่จึงปลอบว่า “อันท่านทุกข์ถึงมารดาก็เป็นประเพณีอยู่แล้ว แต่ทุกข์ของเราซึ่งท่านจะจากไปบัดนี้ก็ร้อนอยู่ในอกเหมือนกัน ถึงจะเอาตับหงส์แลตับมังกรอันมีรสดุจหนึ่งว่าเป็นทิพย์นั้นมากิน ก็หารู้จักว่าเป็นรสอันใดไม่”
กล่าวดังนั้นแล้วเล่าปี่จึงชวนชีซีดื่มสุราพร้อมกัน พอวางจอกสุราลงต่างคนต่างก็ร้องไห้
ครั้นกินโต๊ะเสร็จเล่าปี่จึงจัดม้าให้ชีซีขี่ ตัวเล่าปี่ขี่ม้าเต๊กเลาพาชีซีมาที่พักเพื่อขนสัมภาระสิ่งของแล้วเล่าปี่ก็ขี่ม้าเคียงคู่กับชีซีออกไปส่งชีซีถึงประตูเมือง
พอถึงประตูเมืองชีซีได้ลงจากหลังม้า คำนับคารวะเล่าปี่แล้วว่าข้าพเจ้ามาอยู่ด้วยท่านได้รับความกรุณาจากท่านเป็นอันมาก ยามที่จะพรากจากกันนี้ก็ยังได้รับความเมตตาออกมาส่งถึงที่ประตูเมือง พระคุณนี้ล้นฟ้าล้นหัวใจข้าพเจ้านัก ภายภาคหน้าหากไม่ตายเสียก่อนก็จะคิดอ่านสนองคุณท่านให้จงได้
เล่าปี่ลงจากหลังม้ารับคำนับชีซีแล้วเข้าไปกุมเอามือทั้งสองของชีซีไว้แล้วว่า ตัวข้าพเจ้านี้อุปมาดั่งขอนไม้ล่องลอยอยู่ในแม่น้ำ เป็นไปตามยถากรรม ไม่เห็นทางสว่างข้างหน้าว่าปณิธานที่จะกอบกู้แผ่นดิน ทำนุบำรุงราษฎรจะเป็นผลสำเร็จ ครั้นได้พบท่านความสว่างก็บังเกิดขึ้นเล็งเห็นว่าเกิดมาชีวิตนี้คงไม่เสียทีเปล่า แลสติปัญญาของท่านคือเครื่องนำทางชีวิตใหม่ให้แก่ข้าพเจ้าไปบรรลุถึงปณิธานนั้น แต่ข้าพเจ้านี้วาสนาน้อยนัก ได้พบแสงสว่างแห่งปัญญาท่านไม่ทันนานก็ต้องถึงกาลพลัดพรากจากกัน เมื่อสิ้นท่านช่วยสั่งสอนบำรุงแล้วก็เหมือนหนึ่งวาสนาของข้าพเจ้าสิ้นตามไปด้วย เล่าปี่ว่าแล้วก็ร้องไห้
ชีซีจึงว่าแม้ข้าพเจ้าอยู่ด้วยท่านไม่นานช้าแต่ก็ประจักษ์ด้วยน้ำใจรักแลเมตตาของท่าน น้ำใจนี้จึงซึ้งอยู่ในอกไม่อาจลืมเลือนได้ชั่วชีวิต ถึงแม้กรรมตามมาทัน ก็พรากข้าพเจ้าให้ไปจากท่านก็แต่ตัวดอก ใจนั้นยังมั่นอยู่ในความกตัญญูต่อท่านไม่ผันแปรเลย
แล้วว่าแม้ข้าพเจ้าจะไปอยู่ด้วยโจโฉ ถึงโจโฉจะทำนุบำรุงข้าพเจ้าสักเพียงไหนก็ดี ข้าพเจ้าขอสาบานไว้ต่อฟ้า ณ เบื้องหน้าท่านนี้ว่าสืบไปเมื่อหน้าข้าพเจ้าจะไม่คิดอ่านแผนการอุบายใด ๆ ให้แก่โจโฉเพื่อทำร้ายหรือเป็นผลกระทบต่อท่านในทางร้ายเป็นอันขาด แม้หากข้าพเจ้าละคำสาบานนี้ ณ บัดใดขอเทพยดาฟ้าดินได้ประหารข้าพเจ้าเสีย ณ บัดนั้น
เล่าปี่จึงว่าตัวท่านมีสติปัญญาความสามารถเป็นอันมาก ได้ช่วยอบรมสั่งสอนคิดอ่านการสงครามจึงทำให้ข้าพเจ้ามีความหวังว่าปณิธานจะสำเร็จ เมื่อสิ้นท่านแล้วความหวังแลปณิธานนั้นเป็นอันมอดตาม ข้าพเจ้าแต่ผู้เดียวเมื่อไร้ผู้อบรมทำนุบำรุงทางสติปัญญาความคิดอ่านฉะนี้แล้วอยู่เมืองสืบไปก็ไร้ความหมาย มีแต่จะถูกคนอื่นเขาเหยียบย่ำซ้ำร้าย ฉะนั้นข้าพเจ้าจะหลีกลี้หนีไปอยู่เสียในป่าให้ควรแก่วาสนาที่อาภัพอับจนฉะนี้
ชีซีจึงว่าตัวท่านเป็นเชื้อพระวงศ์ มีน้ำใจโอบอ้อมอารีแก่อาณาประชาราษฎรทั้งปวง ทั้งความคิดสติปัญญาก็มีอยู่ จะมาทอดทิ้งปณิธานเสียเพราะข้าพเจ้านี้ไม่ชอบ ถึงแม้ข้าพเจ้าจะจากท่านไปแต่แผ่นดินก็ใช่ว่าจะไร้ซึ่งผู้มีความคิดสติปัญญา เมื่อท่านมีมานะพยายามก็คงจะแสวงหาได้ดังปรารถนา
ชีซีว่าดังนี้แล้วจึงว่ากับทหารที่ตามเล่าปี่มาว่าข้าพเจ้าขออำลาท่านในบัดนี้แล้ว ขอพวกท่านจงอยู่รับใช้เล่าปี่ด้วยความสัตย์สุจริตต่อไปเถิด เมื่อใดที่เล่าปี่ทำการสำเร็จดังปณิธานแล้ว ท่านทั้งปวงจะมีความสุขโดยถ้วนหน้ากัน อย่าได้เอาเยี่ยงอย่างข้าพเจ้าซึ่งแม้มีน้ำใจก็ไม่สามารถทำการสนองคุณเล่าปี่ได้ดังประสงค์เลย
ชีซีกล่าวดังนั้นแล้วจึงขึ้นม้า ในขณะที่ทหารทั้งปวงฟังคำชีซีแล้วต่างพากันสงสารร้องไห้อาลัยรักชีซีทุกตัวคน
ชีซีขึ้นม้าแล้วคำนับลาเล่าปี่อีกครั้งหนึ่งแล้วชักบังเหียนม้าเตรียมจะจากไป เล่าปี่เห็นอาการดังนั้นก็มีความอาลัยละเหี่ยใจนัก ไม่อาจกลับเข้าเมืองได้ในทันทีจึงขี่ม้าตามไปส่งชีซีอีกพักใหญ่ จนถึงแนวพุ่มไม้ไกลพอประมาณแล้ว ชีซีจึงหันมากล่าวกับเล่าปี่ว่าท่านตามมาส่งข้าพเจ้านี้เป็นทางไกลนักหนาแล้ว พระคุณนี้ซึ้งตรึงใจข้าพเจ้านัก แต่ถึงอย่างไรข้าพเจ้าก็ต้องจากท่านไปวันยังค่ำ ขอท่านจงกลับเข้าเมืองไปเถิด
เล่าปี่ชักม้าเข้าไปเทียบม้าชีซี จับมือชีซีมากุมไว้แล้วว่าเราจากกันครั้งนี้แล้วอีกเมื่อไหร่ถึงจะได้พบกันอีก ว่าแล้วก็ร้องไห้ ซบหน้าลงกับคอม้า ชีซีเห็นดังนั้นกลั้นน้ำตามิอยู่ก็ร้องไห้ตาม แล้วตัดใจขี่ม้าวิ่งออกไป
เล่าปี่เห็นชีซีขี่ม้าจากไปดังนั้นก็ทอดสายตาตามหลังชีซีจนลับแนวพุ่มไม้ไป ด้วยน้ำใจอาลัยรักชีซียังล้นอยู่ในอกไม่อาจหักใจกลับเข้าเมืองได้ เล่าปี่จึงสั่งทหารให้ตัดพุ่มไม้ข้างหน้าเสีย
ในขณะที่ทหารระดมกำลังกันตัดพุ่มไม้ข้างหน้า ทหารที่อยู่ใกล้เล่าปี่สงสัยจึงถามว่าท่านให้ตัดพุ่มไม้เสียทั้งนี้เพื่อประสงค์สิ่งใด
เล่าปี่จึงว่าน้ำใจเราอาลัยรักชีซีนัก พุ่มไม้นี้บังตาเราไม่ให้เห็นชีซี เราใคร่จะเห็นชีซีจนลับไปจากครรลองสายตาจึงให้ตัดพุ่มไม้นั้นเสีย
ครู่หนึ่งพุ่มไม้ด้านหน้าก็ถูกทหารตัดลงจนเตียนโล่ง ในพลันนั้นเล่าปี่เห็นชีซีชักม้าเลี้ยวกลับหลังขี่ม้าตรงเข้ามา เล่าปี่ก็มีความยินดีด้วยสำคัญว่าชีซีเปลี่ยนใจจะไม่ไปหาโจโฉ และกลับมาอยู่ด้วยตัวเหมือนดังเดิม สีหน้าเล่าปี่ก็ยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้น แล้วกระตุ้นม้าขี่ออกไปข้างหน้า
พอชีซีเข้ามาใกล้เล่าปี่จึงร้องถามว่าท่านกลับมาทั้งนี้มีสิ่งใดจะว่ากล่าวกับข้าพเจ้าอีกหรือ
ความรักที่บริสุทธิ์ จริงใจ และเปี่ยมด้วยคุณธรรมย่อมได้รับความกรุณาจากสวรรค์ ดังนั้นการที่ชีซีซึ่งพึ่งอำลาจากไปแล้ว ขี่ม้ากลับมาในครั้งนี้ จึงมิใช่เป็นการย้อนกลับมาด้วยมือเปล่าเป็นแม่นมั่น.