ตอนที่ 194. เมื่อไม่ได้ด้วยใจก็ต้องเอาด้วยกล
โจหยินแตกทัพพาทหารที่เหลือไม่กี่พันคนหนีกลับเมืองหลวงอย่างทุลักทุเลท่ามกลางความประหลาดใจในความปราชัยที่เกิดขึ้นแบบไม่คาดคิด ครั้นถึงเมืองหลวงแล้วจึงเข้าไปรายงานการศึกให้โจโฉทราบ
ทั้งโจหยินและลิเตียนพอได้พบโจโฉก็คุกเข่าลงร้องไห้ แล้ววิงวอนขออภัยโทษที่พลาดพลั้งพ่ายแพ้เสียทีแก่ข้าศึกอย่างยับเยินในครั้งนี้
โจโฉมั่นใจในฝีมือและประสบการณ์ในการสงครามของโจหยินมาแต่ก่อน ทั้งตามรายงานก็ประจักษ์ว่ากำลังทหารของโจหยินที่ยกไปมีมากกว่ากำลังทหารของเล่าปี่กว่าสองเท่าก็สงสัย จึงซักไซร้ไล่เลียงตั้งแต่โจหยินเริ่มเคลื่อนทัพจนกระทั่งแตกพ่ายกลับมาอย่างละเอียด
พอทราบความที่โจหยินปราชัยด้วยการรบแบบค่ายกลพยุหะ และต้องกลหลายครั้งหลายหนเสียทีอย่างยับเยิน ก็ปรารภขึ้นว่าการครั้งนี้เกินกว่าสติปัญญาของเล่าปี่นัก เห็นทีในกองทัพของเล่าปี่คงจะมีผู้มีปัญญามาช่วยคิดอ่านวางแผนการสงครามเป็นแน่แท้
ว่าแล้วโจโฉจึงปลอบใจโจหยินและลิเตียนว่า “ท่านอย่าวิตกเลย อันธรรมดาว่าสงครามจะหมายชนะฝ่ายเดียวนั้นไม่ได้ ย่อมแพ้บ้าง ชนะบ้าง”
โจโฉกล่าวต่อไปว่าการศึกครั้งนี้ในกองทัพเล่าปี่มีผู้มีปัญญาลึกซึ้งในการศึกช่วยคิดอ่าน ท่านทั้งสองไม่อาจรับมือได้ เราจึงไม่เอาโทษ แต่อยากจะทราบว่าผู้ใดเป็นที่ปรึกษาของเล่าปี่ช่วยคิดอ่านวางแผนการในครั้งนี้
โจหยินจึงว่าข้าพเจ้าไม่เคยทราบมาก่อนว่าผู้ใดเป็นที่ปรึกษาของเล่าปี่ แต่ในระหว่างเดินทางกลับเมืองหลวงได้รับรายงานว่าเล่าปี่ได้ที่ปรึกษาชื่อตันฮกมาคิดอ่านวางแผนการศึกในครั้งนี้
โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงลุกขึ้นเดินวนไปวนมา ในขณะที่ในใจนั้นคิดว่าตันฮกผู้นี้เป็นใครกันหนอ เหตุไฉนเราจึงไม่เคยได้ยินชื่อหรือรู้จักมาแต่ก่อน โจโฉเดินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็นึกไม่ออกว่าตันฮกเป็นผู้ใด จึงปรารภขึ้นว่ามีใครรู้จักตันฮกผู้นี้บ้าง
เทียหยกได้ฟังดังนั้นจึงหัวเราะแล้วว่า “ตันฮกคนนี้เดิมชื่อชีซีอยู่เมืองเองจิ๋ว เมื่อหนุ่มนั้นเป็นคนมีเพื่อนมากเที่ยวเรียนวิชา ครั้นอยู่มาไปฆ่าเขาตายแล้วแกล้งทำอาการเป็นบ้า ครั้นเขาจับได้เอาตัวไปโบยตีไต่ถามก็มิได้บอกชื่อเสียงและเหตุผลทั้งปวงโดยจริง แกล้งนิ่งเสีย ผู้พิจารณาจึงเอาตัวมัดใส่เกวียนไปเที่ยวตระเวนตีฆ้องร้องป่าวว่าผู้ใดยังรู้จักชื่อคนนี้บ้าง บรรดาชาวบ้านร้านตลาดทั้งปวงซึ่งรู้จักกันนั้นก็กลัวชีซีจะซัดเอา มิอาจจะบอกได้ ครั้นตระเวนไปปะพวกเพื่อนชีซีเข้าจึงเอาตัวไปได้ ชีซีจึงหนีไปเรียนวิชาอยู่กับสุมาเต๊กโช เปลี่ยนชื่อว่าตันฮกตราบเท่าทุกวันนี้”
เทียหยกที่ปรึกษาของโจโฉได้เล่าประวัติความเป็นมาของชีซีให้โจโฉทราบโดยละเอียด โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงถามว่าอันสติปัญญาความสามารถของชีซีผู้นี้กับตัวท่าน หากจะเปรียบกันแล้วเป็นประการใด
เทียหยกจึงว่าอันสติปัญญาความสามารถของชีซีผู้นี้มากกว่าข้าพเจ้าเหลือประมาณนัก หากเปรียบเทียบชีซีเป็นดุจดั่งพระจันทร์คืนเพ็ญ ข้าพเจ้าก็เพียงดุจดั่งหิ่งห้อยเท่านั้น
โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงว่าการที่เล่าปี่ได้ผู้มีสติปัญญาความสามารถไปเป็นที่ปรึกษาดังนี้ย่อมคิดอ่านกำเริบมากกว่าแต่ก่อน อุปมาดั่งพญาพยัคฆ์ติดปีกก็จะผาดโผนโจนไปได้ทั่วโลกกว้าง ทำไฉนจะตัดปีกเล่าปี่เสียให้ได้ แลเมื่อชีซีมีสติปัญญาดั่งนี้ทำไฉนจึงจะได้ตัวไว้ใช้ในราชการ
โจโฉคิดอ่านช่วงชิงเอามันสมองของกองทัพเล่าปี่เพื่อให้เล่าปี่อ่อนเปลี้ยสิ้นฤทธิ์พิษสงไม่เป็นอุปสรรคขวากหนามอีกต่อไป ในขณะเดียวกันก็ต้องการมันสมองอันล้ำเลิศนี้มาเสริมกำลังกองทัพของตัว เทียหยกที่ปรึกษารู้ใจนายได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่าในเมื่อท่านอัครมหาเสนาบดีมีความปรารถนาดังนี้ ถึงแม้ชีซีจะอยู่กับเล่าปี่ข้าพเจ้าก็จะคิดอ่านให้ท่านได้ตัวชีซีไว้ใช้ในราชการจงได้
โจโฉได้ฟังก็ยินดีรีบถามขึ้นว่าท่านมีแผนการประการใดจึงจะได้ตัวชีซีมา
เทียหยกจึงว่าชีซีผู้นี้เป็นบุตรกตัญญูหาผู้ใดเสมอเหมือนมิได้ ชีซีนั้นบิดาตายแล้ว เหลืออยู่แต่มารดาผู้ชรา เดิมอาศัยอยู่กับชีของผู้น้องของชีซี แต่บัดนี้ชีของก็ตายลงอีกคนหนึ่ง มารดาของชีซีจึงกลายเป็นคนอนาถาไร้ผู้อุปการะดูแล ขอให้ท่านรับเอาตัวมารดาของชีซีมาเลี้ยงไว้ แล้วเกลี้ยกล่อมเอาใจให้เป็นใจด้วยท่าน จากนั้นจึงให้มารดาของชีซีมีหนังสือไปว่ากล่าวให้ชีซีมาอยู่ด้วยท่าน ชีซีมีน้ำใจกตัญญูคงจะไม่ขัดคำของมารดา ท่านก็จะได้ชีซีไว้ใช้ในราชการดังปรารถนา
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ สั่งการให้เจ้าหน้าที่พิธีการทูตของเมืองหลวงรีบจัดแจงรับตัวมารดาชีซีมาอุปการะเลี้ยงดูไว้ที่เมืองหลวง
มารดาชีซีเป็นหญิงชราบ้านนอกไม่รู้ความนัย ครั้นได้ทราบว่าทางการมีความเมตตาให้ความช่วยเหลืออุปการะดูแลก็มีความยินดี แล้วยินยอมเข้าเมืองหลวงตามคำเชิญนั้น
โจโฉครั้นทราบว่ามารดาชีซีมาถึงเมืองหลวงแล้วจึงสั่งให้จัดแจงที่พักและผู้คนรับใช้ดูแลเป็นอย่างดี จากนั้นจึงให้เชิญมารดาชีซีมาพบแล้วว่า “บัดนี้เราแจ้งว่าบุตรของท่านคนหนึ่งดีมีสติปัญญาไปอยู่ด้วยเล่าปี่อันเป็นกบฏต่อแผ่นดินหาควรไม่ ประดุจหนึ่งเอาแก้วไปทิ้งไว้ที่ตม สำหรับแต่จะอับไป ทุกวันนี้เราคิดเสียดายมิรู้แล้ว อนึ่งก็มีใจเอ็นดูแก่ท่านนักจึงให้ไปรับมาหวังจะให้มีหนังสือไปถึงชีซีบุตรท่านให้มาอยู่ทำราชการด้วยเราในเมืองหลวง จะช่วยพิดทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้เป็นขุนนางสืบไป”
โจโฉมีใจใคร่ได้ชีซีไว้เป็นกำลัง ทั้งเป็นการลดทอนกำลังอำนาจทางทหารของเล่าปี่ไปในตัวจึงมีความเร่งร้อน พอได้พบหน้ามารดาของชีซีก็รุกเร้าด้วยการสรรเสริญสติปัญญาของชีซีแล้วประณามเล่าปี่ว่าเป็นกบฏต่อแผ่นดิน ไม่ควรที่ชีซีจะไปอยู่ด้วย หากชอบที่จะมารับราชการในเมืองหลวง แล้วจะได้เพ็ดทูลให้มีอำนาจวาสนาสืบไป
ว่าแล้วโจโฉก็สั่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่เอากระดาษ พู่กัน และที่ฝนหมึกมาให้มารดาของชีซีเพื่อให้เขียนหนังสือเรียกชีซีมาเมืองหลวง
มารดาชีซีแม้เป็นหญิงชราบ้านนอกแต่ก็เป็นสตรีที่เฉลียวฉลาด ได้ฟังดังนั้นจึงแสร้งถามโจโฉว่าซึ่งท่านตำหนิว่าเล่าปี่เป็นกบฏต่อแผ่นดินนั้นท่านรู้จักเล่าปี่ว่าเป็นบุตรเป็นลูกเต้าเหล่าใครหรือไม่
โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงว่าเล่าปี่เป็นชาวเมืองตุ้นก้วน เป็นคนอนาถาทอเสื่อขาย หาตระกูลอันใดมิได้ ตัวเล่าปี่เองเป็นคนปลิ้นปล้อนกะล่อน ช่างเจรจาความหลอกลวงให้คนทั้งปวงหลงเชื่อว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ต่อภายนอกแสร้งทำเป็นคนมีน้ำใจโอบอ้อมอารีแก่คนทั้งปวง แต่ภายในมิได้คิดซื่อตรงต่อผู้ใด คิดคดอยู่ในข้องอ อยู่ในกระดูกและเปี่ยมไปด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูงคิดจะช่วงชิงเอาราชสมบัติ
โจโฉคิดว่าหญิงชราชาวบ้านนอกผู้นี้ไม่รู้ประวัติและกิตติศัพท์ของเล่าปี่ พอกล่าวความดังนี้แล้วก็ลุกขึ้นเดินเชิดหน้าด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง
มารดาชีซีได้ฟังดังนั้นก็โกรธแล้วตวาดใส่โจโฉว่า “มึงเป็นคนชั่วหาความอายมิได้ แสร้งใส่โทษเล่าปี่ว่าเป็นคนไม่ดี อันเล่าปี่นี้กูรู้มาแต่เดิมว่าเป็นเชื้อสายพระเจ้าเหี้ยนเต้ แล้วมีน้ำใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน โอบอ้อมอารีแก่อาณาประชาราษฎร แต่เด็กอมมือก็รู้ว่าเล่าปี่เป็นคนดี บัดนี้ลูกกูไปอยู่ด้วยเล่าปี่ก็เป็นที่สำนักอันใหญ่หลวงอยู่แล้ว แลตัวมึงซึ่งว่ามีความสัตย์ซื่อ จะช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินพระเจ้าเหี้ยนเต้นั้นก็เห็นว่ามึงเป็นศัตรูแผ่นดินอีก ซึ่งจะให้ลูกกูปราศจากเล่าปี่มาอยู่ทำราชการด้วยตัวมึงนั้นก็เหมือนออกจากที่สว่างมาเข้าที่มืดหาควรไม่”
มารดาของชีซีด่าว่าโจโฉอย่างไม่เกรงอกเกรงใจสิ้นคำแล้วก็เอาแท่งฝนหมึกขว้างใส่โจโฉ โจโฉหลบได้ทันก็มีความโกรธแค้นเป็นอันมากที่หญิงชราบ้านนอกเพียงเท่านี้มีน้ำใจบังอาจกระทำหยาบช้าด้วยวาจาและกริยาอาการต่อตัวถึงเพียงนี้ จึงสั่งทหารให้เอาตัวมารดาของชีซีไปประหาร
เทียหยกเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบกล่าวขึ้นว่าขออย่าเพิ่งประหาร แต่ให้ทหารเชิญมารดาชีซีไปที่เรือนพักก่อน โจโฉได้ฟังเทียหยกว่าดังนั้นเห็นกิริยามีความนัยอยู่จึงพยักหน้าเป็นทีให้ทหารทำตามคำของเทียหยก ทหารจึงเชิญตัวมารดาชีซีไปที่เรือนพัก
พอมารดาชีซีออกไปแล้ว เทียหยกจึงว่าการที่ท่านจะประหารมารดาของชีซีนั้นไม่ชอบ เพราะหญิงบ้านนอกคนนี้มีความเฉลียวฉลาดนัก คาดการว่าท่านจะอาศัยยืมมืออิงเอาความกตัญญูเรียกชีซีมาที่เมืองหลวง จึงคิดย้อนความคิดท่านยืมมือท่านสังหารตัวเสียเพื่อปกป้องชีซีไม่ให้มาทำราชการอยู่ด้วยท่าน ดังนั้นหากท่านสังหารนางก็เท่ากับว่าส่งเสริมนางให้บรรลุความประสงค์
อนึ่งเล่าหากท่านประหารหญิงบ้านนอกนี้แล้ว ความทราบถึงชีซีก็จะผูกอาฆาตพยาบาทท่าน แล้วคิดอ่านการสงครามแก่เล่าปี่เพื่อแก้แค้นแทนมารดา ท่านก็จะได้ความยากลำบากสืบไป ทั้งการสังหารหญิงชราบ้านนอกนี้หากความแพร่งพรายไปความครหานินทาก็จะมีแก่ท่านว่าเป็นผู้มีน้ำใจโหดเหี้ยมอำมหิต ทำให้เป็นที่เกลียดชังของเหล่าบัณฑิตทั้งปวง
แล้วเทียหยกจึงสรุปว่าการประหารมารดาของชีซีมีแต่ทางเสียในทุกทาง จึงเป็นการที่ไม่ควรกระทำโดยเด็ดขาด และเสนอว่าสมควรที่จะเลี้ยงดูมารดาชีซีเอาไว้ก่อน ถึงแม้ว่านางจะไม่เต็มใจเรียกชีซีมารับราชการในเมืองหลวง ข้าพเจ้าก็มีแผนการอุบายอาศัยนางเอาตัวชีซีมามอบแก่ท่านจงได้
โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงว่าเมื่อท่านมีแผนการในใจฉะนี้แล้วจงจัดการไปตามความคิดของท่านตามที่เห็นควรเถิด เทียหยกได้ฟังดังนั้นจึงคำนับลาโจโฉแล้วออกมาสั่งเจ้าหน้าที่ต้อนรับให้ดูแลเอาใจใส่ความเป็นอยู่ของมารดาชีซีเป็นอย่างดี
วันหนึ่งเทียหยกจึงทำทีไปเยือนมารดาชีซี เข้าไปคำนับอย่างนอบน้อมแล้วว่าตัวข้าพเจ้าชื่อเทียหยก เป็นสหายสนิทรักใคร่กับชีซีมาแต่ก่อน ตัวท่านเป็นมารดาของชีซีจึงเหมือนหนึ่งเป็นมารดาของข้าพเจ้าด้วย ขอจงให้โอกาสข้าพเจ้าได้ปรนนิบัติรับใช้ท่านแทนชีซีด้วย
มารดาชีซีเห็นกิริยาอาการของเทียหยกน่าเชื่อถือและฟังว่าเป็นเพื่อนสนิทของบุตรตัวก็ดีใจ ต้อนรับขับสู้เทียหยกเป็นอันดี หลังจากโอภาปราศรัยกันตามสมควรแล้วเทียหยกก็คำนับลากลับออกมา
หลังจากวันนั้นแล้วเทียหยกก็หมั่นไปเยี่ยมเยือน นำอาหารและของฝากตลอดจนเสื้อผ้าไปคำนับมารดาชีซีมิได้ขาด บางครั้งไม่ไปด้วยตนเองก็อ้างว่าติดราชการแล้วเขียนเป็นหนังสือไปคำนับมารดาของชีซี
มารดาชีซีแม้เป็นหญิงบ้านนอกแต่ก็รู้ขนบธรรมเนียมแลมารยาท ครั้นวางใจเทียหยกด้วยสำคัญผิดว่าเป็นสหายสนิทของชีซีก็ให้ความสนิทสนมตามสมควรแก่เพื่อนของบุตร ครั้นคราวใดเทียหยกมาคำนับด้วยตนเองไม่ได้และมีหนังสือมาคำนับแทนตัวมารดาชีซีก็วางใจมีหนังสือตอบขอบคุณกลับไปทุกครั้ง
เทียหยกได้รับหนังสือตอบจากมารดาชีซีหกเจ็ดฉบับก็จับทางลีลาการเขียนหนังสือของมารดาชีซีได้ จึงตั้งหน้าฝึกหัดเขียนเลียนแบบทั้งลายเขียนและลายชื่อจนเหมือนกับลายเขียนและลายชื่อของมารดาชีซีไม่ผิดเพี้ยน
เมื่อเทียหยกมั่นใจว่าสามารถลอกเลียนลายมือและลายเขียนของมารดาชีซีไม่ผิดเพี้ยนดังนั้นแล้ว จึงเขียนจดหมายปลอมถึงชีซีฉบับหนึ่งว่า “เราผู้เป็นมารดาบอกมาถึงชีซีผู้บุตรให้รู้ ด้วยชีของผู้น้องเจ้านั้นถึงแก่ความตายแล้ว ตัวแม่เป็นคนชราหาผู้ใดจะเลี้ยงรักษาพยาบาลมิได้ โจโฉจับเอาแม่มาทำโทษแล้วจะให้เอาไปฆ่าเสีย เพราะเหตุเจ้ามาอยู่ด้วยเล่าปี่คิดจะทำร้ายโจโฉ หากเทียหยกเมตตาแม่เห็นว่าเป็นคนชรา ช่วยว่ากล่าวให้งดไว้จึงมิตาย แม้ว่าเจ้ามีความกตัญญูเอ็นดูแม่มาหาโจโฉแล้ว ชีวิตแม่ก็จะไม่มีอันตราย แม้เจ้าไม่อาลัยถึงแม่ มิได้มาตามหนังสือนี้เมื่อใดแม่ก็จะตายเพราะอาญาโจโฉเป็นมั่นคง”
เทียหยกปลอมจดหมายเสร็จแล้วจึงสั่งให้คนสนิทถือจดหมายนั้นไปให้แก่ชีซี ณ เมืองซินเอี๋ย แล้วกำชับให้แจ้งแก่ชีซีว่ามารดาของชีซีว่าจ้างให้ลอบถือหนังสือมา ส่วนความอย่างอื่นนั้นมิได้แจ้ง
เล่าปี่เพิ่งสัมผัสกับสติปัญญาของคนระดับกุนซือ มีความอิ่มอกอิ่มใจนัก ไม่ได้สังหรณ์ใจว่ากำลังถูกสวรรค์กลั่นแกล้ง พรากยอดกุนซือไปจากตัว ด้วยอุบายอันโสมมในครั้งนี้.
ทั้งโจหยินและลิเตียนพอได้พบโจโฉก็คุกเข่าลงร้องไห้ แล้ววิงวอนขออภัยโทษที่พลาดพลั้งพ่ายแพ้เสียทีแก่ข้าศึกอย่างยับเยินในครั้งนี้
โจโฉมั่นใจในฝีมือและประสบการณ์ในการสงครามของโจหยินมาแต่ก่อน ทั้งตามรายงานก็ประจักษ์ว่ากำลังทหารของโจหยินที่ยกไปมีมากกว่ากำลังทหารของเล่าปี่กว่าสองเท่าก็สงสัย จึงซักไซร้ไล่เลียงตั้งแต่โจหยินเริ่มเคลื่อนทัพจนกระทั่งแตกพ่ายกลับมาอย่างละเอียด
พอทราบความที่โจหยินปราชัยด้วยการรบแบบค่ายกลพยุหะ และต้องกลหลายครั้งหลายหนเสียทีอย่างยับเยิน ก็ปรารภขึ้นว่าการครั้งนี้เกินกว่าสติปัญญาของเล่าปี่นัก เห็นทีในกองทัพของเล่าปี่คงจะมีผู้มีปัญญามาช่วยคิดอ่านวางแผนการสงครามเป็นแน่แท้
ว่าแล้วโจโฉจึงปลอบใจโจหยินและลิเตียนว่า “ท่านอย่าวิตกเลย อันธรรมดาว่าสงครามจะหมายชนะฝ่ายเดียวนั้นไม่ได้ ย่อมแพ้บ้าง ชนะบ้าง”
โจโฉกล่าวต่อไปว่าการศึกครั้งนี้ในกองทัพเล่าปี่มีผู้มีปัญญาลึกซึ้งในการศึกช่วยคิดอ่าน ท่านทั้งสองไม่อาจรับมือได้ เราจึงไม่เอาโทษ แต่อยากจะทราบว่าผู้ใดเป็นที่ปรึกษาของเล่าปี่ช่วยคิดอ่านวางแผนการในครั้งนี้
โจหยินจึงว่าข้าพเจ้าไม่เคยทราบมาก่อนว่าผู้ใดเป็นที่ปรึกษาของเล่าปี่ แต่ในระหว่างเดินทางกลับเมืองหลวงได้รับรายงานว่าเล่าปี่ได้ที่ปรึกษาชื่อตันฮกมาคิดอ่านวางแผนการศึกในครั้งนี้
โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงลุกขึ้นเดินวนไปวนมา ในขณะที่ในใจนั้นคิดว่าตันฮกผู้นี้เป็นใครกันหนอ เหตุไฉนเราจึงไม่เคยได้ยินชื่อหรือรู้จักมาแต่ก่อน โจโฉเดินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็นึกไม่ออกว่าตันฮกเป็นผู้ใด จึงปรารภขึ้นว่ามีใครรู้จักตันฮกผู้นี้บ้าง
เทียหยกได้ฟังดังนั้นจึงหัวเราะแล้วว่า “ตันฮกคนนี้เดิมชื่อชีซีอยู่เมืองเองจิ๋ว เมื่อหนุ่มนั้นเป็นคนมีเพื่อนมากเที่ยวเรียนวิชา ครั้นอยู่มาไปฆ่าเขาตายแล้วแกล้งทำอาการเป็นบ้า ครั้นเขาจับได้เอาตัวไปโบยตีไต่ถามก็มิได้บอกชื่อเสียงและเหตุผลทั้งปวงโดยจริง แกล้งนิ่งเสีย ผู้พิจารณาจึงเอาตัวมัดใส่เกวียนไปเที่ยวตระเวนตีฆ้องร้องป่าวว่าผู้ใดยังรู้จักชื่อคนนี้บ้าง บรรดาชาวบ้านร้านตลาดทั้งปวงซึ่งรู้จักกันนั้นก็กลัวชีซีจะซัดเอา มิอาจจะบอกได้ ครั้นตระเวนไปปะพวกเพื่อนชีซีเข้าจึงเอาตัวไปได้ ชีซีจึงหนีไปเรียนวิชาอยู่กับสุมาเต๊กโช เปลี่ยนชื่อว่าตันฮกตราบเท่าทุกวันนี้”
เทียหยกที่ปรึกษาของโจโฉได้เล่าประวัติความเป็นมาของชีซีให้โจโฉทราบโดยละเอียด โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงถามว่าอันสติปัญญาความสามารถของชีซีผู้นี้กับตัวท่าน หากจะเปรียบกันแล้วเป็นประการใด
เทียหยกจึงว่าอันสติปัญญาความสามารถของชีซีผู้นี้มากกว่าข้าพเจ้าเหลือประมาณนัก หากเปรียบเทียบชีซีเป็นดุจดั่งพระจันทร์คืนเพ็ญ ข้าพเจ้าก็เพียงดุจดั่งหิ่งห้อยเท่านั้น
โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงว่าการที่เล่าปี่ได้ผู้มีสติปัญญาความสามารถไปเป็นที่ปรึกษาดังนี้ย่อมคิดอ่านกำเริบมากกว่าแต่ก่อน อุปมาดั่งพญาพยัคฆ์ติดปีกก็จะผาดโผนโจนไปได้ทั่วโลกกว้าง ทำไฉนจะตัดปีกเล่าปี่เสียให้ได้ แลเมื่อชีซีมีสติปัญญาดั่งนี้ทำไฉนจึงจะได้ตัวไว้ใช้ในราชการ
โจโฉคิดอ่านช่วงชิงเอามันสมองของกองทัพเล่าปี่เพื่อให้เล่าปี่อ่อนเปลี้ยสิ้นฤทธิ์พิษสงไม่เป็นอุปสรรคขวากหนามอีกต่อไป ในขณะเดียวกันก็ต้องการมันสมองอันล้ำเลิศนี้มาเสริมกำลังกองทัพของตัว เทียหยกที่ปรึกษารู้ใจนายได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่าในเมื่อท่านอัครมหาเสนาบดีมีความปรารถนาดังนี้ ถึงแม้ชีซีจะอยู่กับเล่าปี่ข้าพเจ้าก็จะคิดอ่านให้ท่านได้ตัวชีซีไว้ใช้ในราชการจงได้
โจโฉได้ฟังก็ยินดีรีบถามขึ้นว่าท่านมีแผนการประการใดจึงจะได้ตัวชีซีมา
เทียหยกจึงว่าชีซีผู้นี้เป็นบุตรกตัญญูหาผู้ใดเสมอเหมือนมิได้ ชีซีนั้นบิดาตายแล้ว เหลืออยู่แต่มารดาผู้ชรา เดิมอาศัยอยู่กับชีของผู้น้องของชีซี แต่บัดนี้ชีของก็ตายลงอีกคนหนึ่ง มารดาของชีซีจึงกลายเป็นคนอนาถาไร้ผู้อุปการะดูแล ขอให้ท่านรับเอาตัวมารดาของชีซีมาเลี้ยงไว้ แล้วเกลี้ยกล่อมเอาใจให้เป็นใจด้วยท่าน จากนั้นจึงให้มารดาของชีซีมีหนังสือไปว่ากล่าวให้ชีซีมาอยู่ด้วยท่าน ชีซีมีน้ำใจกตัญญูคงจะไม่ขัดคำของมารดา ท่านก็จะได้ชีซีไว้ใช้ในราชการดังปรารถนา
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ สั่งการให้เจ้าหน้าที่พิธีการทูตของเมืองหลวงรีบจัดแจงรับตัวมารดาชีซีมาอุปการะเลี้ยงดูไว้ที่เมืองหลวง
มารดาชีซีเป็นหญิงชราบ้านนอกไม่รู้ความนัย ครั้นได้ทราบว่าทางการมีความเมตตาให้ความช่วยเหลืออุปการะดูแลก็มีความยินดี แล้วยินยอมเข้าเมืองหลวงตามคำเชิญนั้น
โจโฉครั้นทราบว่ามารดาชีซีมาถึงเมืองหลวงแล้วจึงสั่งให้จัดแจงที่พักและผู้คนรับใช้ดูแลเป็นอย่างดี จากนั้นจึงให้เชิญมารดาชีซีมาพบแล้วว่า “บัดนี้เราแจ้งว่าบุตรของท่านคนหนึ่งดีมีสติปัญญาไปอยู่ด้วยเล่าปี่อันเป็นกบฏต่อแผ่นดินหาควรไม่ ประดุจหนึ่งเอาแก้วไปทิ้งไว้ที่ตม สำหรับแต่จะอับไป ทุกวันนี้เราคิดเสียดายมิรู้แล้ว อนึ่งก็มีใจเอ็นดูแก่ท่านนักจึงให้ไปรับมาหวังจะให้มีหนังสือไปถึงชีซีบุตรท่านให้มาอยู่ทำราชการด้วยเราในเมืองหลวง จะช่วยพิดทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้เป็นขุนนางสืบไป”
โจโฉมีใจใคร่ได้ชีซีไว้เป็นกำลัง ทั้งเป็นการลดทอนกำลังอำนาจทางทหารของเล่าปี่ไปในตัวจึงมีความเร่งร้อน พอได้พบหน้ามารดาของชีซีก็รุกเร้าด้วยการสรรเสริญสติปัญญาของชีซีแล้วประณามเล่าปี่ว่าเป็นกบฏต่อแผ่นดิน ไม่ควรที่ชีซีจะไปอยู่ด้วย หากชอบที่จะมารับราชการในเมืองหลวง แล้วจะได้เพ็ดทูลให้มีอำนาจวาสนาสืบไป
ว่าแล้วโจโฉก็สั่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่เอากระดาษ พู่กัน และที่ฝนหมึกมาให้มารดาของชีซีเพื่อให้เขียนหนังสือเรียกชีซีมาเมืองหลวง
มารดาชีซีแม้เป็นหญิงชราบ้านนอกแต่ก็เป็นสตรีที่เฉลียวฉลาด ได้ฟังดังนั้นจึงแสร้งถามโจโฉว่าซึ่งท่านตำหนิว่าเล่าปี่เป็นกบฏต่อแผ่นดินนั้นท่านรู้จักเล่าปี่ว่าเป็นบุตรเป็นลูกเต้าเหล่าใครหรือไม่
โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงว่าเล่าปี่เป็นชาวเมืองตุ้นก้วน เป็นคนอนาถาทอเสื่อขาย หาตระกูลอันใดมิได้ ตัวเล่าปี่เองเป็นคนปลิ้นปล้อนกะล่อน ช่างเจรจาความหลอกลวงให้คนทั้งปวงหลงเชื่อว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ต่อภายนอกแสร้งทำเป็นคนมีน้ำใจโอบอ้อมอารีแก่คนทั้งปวง แต่ภายในมิได้คิดซื่อตรงต่อผู้ใด คิดคดอยู่ในข้องอ อยู่ในกระดูกและเปี่ยมไปด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูงคิดจะช่วงชิงเอาราชสมบัติ
โจโฉคิดว่าหญิงชราชาวบ้านนอกผู้นี้ไม่รู้ประวัติและกิตติศัพท์ของเล่าปี่ พอกล่าวความดังนี้แล้วก็ลุกขึ้นเดินเชิดหน้าด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง
มารดาชีซีได้ฟังดังนั้นก็โกรธแล้วตวาดใส่โจโฉว่า “มึงเป็นคนชั่วหาความอายมิได้ แสร้งใส่โทษเล่าปี่ว่าเป็นคนไม่ดี อันเล่าปี่นี้กูรู้มาแต่เดิมว่าเป็นเชื้อสายพระเจ้าเหี้ยนเต้ แล้วมีน้ำใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน โอบอ้อมอารีแก่อาณาประชาราษฎร แต่เด็กอมมือก็รู้ว่าเล่าปี่เป็นคนดี บัดนี้ลูกกูไปอยู่ด้วยเล่าปี่ก็เป็นที่สำนักอันใหญ่หลวงอยู่แล้ว แลตัวมึงซึ่งว่ามีความสัตย์ซื่อ จะช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินพระเจ้าเหี้ยนเต้นั้นก็เห็นว่ามึงเป็นศัตรูแผ่นดินอีก ซึ่งจะให้ลูกกูปราศจากเล่าปี่มาอยู่ทำราชการด้วยตัวมึงนั้นก็เหมือนออกจากที่สว่างมาเข้าที่มืดหาควรไม่”
มารดาของชีซีด่าว่าโจโฉอย่างไม่เกรงอกเกรงใจสิ้นคำแล้วก็เอาแท่งฝนหมึกขว้างใส่โจโฉ โจโฉหลบได้ทันก็มีความโกรธแค้นเป็นอันมากที่หญิงชราบ้านนอกเพียงเท่านี้มีน้ำใจบังอาจกระทำหยาบช้าด้วยวาจาและกริยาอาการต่อตัวถึงเพียงนี้ จึงสั่งทหารให้เอาตัวมารดาของชีซีไปประหาร
เทียหยกเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบกล่าวขึ้นว่าขออย่าเพิ่งประหาร แต่ให้ทหารเชิญมารดาชีซีไปที่เรือนพักก่อน โจโฉได้ฟังเทียหยกว่าดังนั้นเห็นกิริยามีความนัยอยู่จึงพยักหน้าเป็นทีให้ทหารทำตามคำของเทียหยก ทหารจึงเชิญตัวมารดาชีซีไปที่เรือนพัก
พอมารดาชีซีออกไปแล้ว เทียหยกจึงว่าการที่ท่านจะประหารมารดาของชีซีนั้นไม่ชอบ เพราะหญิงบ้านนอกคนนี้มีความเฉลียวฉลาดนัก คาดการว่าท่านจะอาศัยยืมมืออิงเอาความกตัญญูเรียกชีซีมาที่เมืองหลวง จึงคิดย้อนความคิดท่านยืมมือท่านสังหารตัวเสียเพื่อปกป้องชีซีไม่ให้มาทำราชการอยู่ด้วยท่าน ดังนั้นหากท่านสังหารนางก็เท่ากับว่าส่งเสริมนางให้บรรลุความประสงค์
อนึ่งเล่าหากท่านประหารหญิงบ้านนอกนี้แล้ว ความทราบถึงชีซีก็จะผูกอาฆาตพยาบาทท่าน แล้วคิดอ่านการสงครามแก่เล่าปี่เพื่อแก้แค้นแทนมารดา ท่านก็จะได้ความยากลำบากสืบไป ทั้งการสังหารหญิงชราบ้านนอกนี้หากความแพร่งพรายไปความครหานินทาก็จะมีแก่ท่านว่าเป็นผู้มีน้ำใจโหดเหี้ยมอำมหิต ทำให้เป็นที่เกลียดชังของเหล่าบัณฑิตทั้งปวง
แล้วเทียหยกจึงสรุปว่าการประหารมารดาของชีซีมีแต่ทางเสียในทุกทาง จึงเป็นการที่ไม่ควรกระทำโดยเด็ดขาด และเสนอว่าสมควรที่จะเลี้ยงดูมารดาชีซีเอาไว้ก่อน ถึงแม้ว่านางจะไม่เต็มใจเรียกชีซีมารับราชการในเมืองหลวง ข้าพเจ้าก็มีแผนการอุบายอาศัยนางเอาตัวชีซีมามอบแก่ท่านจงได้
โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงว่าเมื่อท่านมีแผนการในใจฉะนี้แล้วจงจัดการไปตามความคิดของท่านตามที่เห็นควรเถิด เทียหยกได้ฟังดังนั้นจึงคำนับลาโจโฉแล้วออกมาสั่งเจ้าหน้าที่ต้อนรับให้ดูแลเอาใจใส่ความเป็นอยู่ของมารดาชีซีเป็นอย่างดี
วันหนึ่งเทียหยกจึงทำทีไปเยือนมารดาชีซี เข้าไปคำนับอย่างนอบน้อมแล้วว่าตัวข้าพเจ้าชื่อเทียหยก เป็นสหายสนิทรักใคร่กับชีซีมาแต่ก่อน ตัวท่านเป็นมารดาของชีซีจึงเหมือนหนึ่งเป็นมารดาของข้าพเจ้าด้วย ขอจงให้โอกาสข้าพเจ้าได้ปรนนิบัติรับใช้ท่านแทนชีซีด้วย
มารดาชีซีเห็นกิริยาอาการของเทียหยกน่าเชื่อถือและฟังว่าเป็นเพื่อนสนิทของบุตรตัวก็ดีใจ ต้อนรับขับสู้เทียหยกเป็นอันดี หลังจากโอภาปราศรัยกันตามสมควรแล้วเทียหยกก็คำนับลากลับออกมา
หลังจากวันนั้นแล้วเทียหยกก็หมั่นไปเยี่ยมเยือน นำอาหารและของฝากตลอดจนเสื้อผ้าไปคำนับมารดาชีซีมิได้ขาด บางครั้งไม่ไปด้วยตนเองก็อ้างว่าติดราชการแล้วเขียนเป็นหนังสือไปคำนับมารดาของชีซี
มารดาชีซีแม้เป็นหญิงบ้านนอกแต่ก็รู้ขนบธรรมเนียมแลมารยาท ครั้นวางใจเทียหยกด้วยสำคัญผิดว่าเป็นสหายสนิทของชีซีก็ให้ความสนิทสนมตามสมควรแก่เพื่อนของบุตร ครั้นคราวใดเทียหยกมาคำนับด้วยตนเองไม่ได้และมีหนังสือมาคำนับแทนตัวมารดาชีซีก็วางใจมีหนังสือตอบขอบคุณกลับไปทุกครั้ง
เทียหยกได้รับหนังสือตอบจากมารดาชีซีหกเจ็ดฉบับก็จับทางลีลาการเขียนหนังสือของมารดาชีซีได้ จึงตั้งหน้าฝึกหัดเขียนเลียนแบบทั้งลายเขียนและลายชื่อจนเหมือนกับลายเขียนและลายชื่อของมารดาชีซีไม่ผิดเพี้ยน
เมื่อเทียหยกมั่นใจว่าสามารถลอกเลียนลายมือและลายเขียนของมารดาชีซีไม่ผิดเพี้ยนดังนั้นแล้ว จึงเขียนจดหมายปลอมถึงชีซีฉบับหนึ่งว่า “เราผู้เป็นมารดาบอกมาถึงชีซีผู้บุตรให้รู้ ด้วยชีของผู้น้องเจ้านั้นถึงแก่ความตายแล้ว ตัวแม่เป็นคนชราหาผู้ใดจะเลี้ยงรักษาพยาบาลมิได้ โจโฉจับเอาแม่มาทำโทษแล้วจะให้เอาไปฆ่าเสีย เพราะเหตุเจ้ามาอยู่ด้วยเล่าปี่คิดจะทำร้ายโจโฉ หากเทียหยกเมตตาแม่เห็นว่าเป็นคนชรา ช่วยว่ากล่าวให้งดไว้จึงมิตาย แม้ว่าเจ้ามีความกตัญญูเอ็นดูแม่มาหาโจโฉแล้ว ชีวิตแม่ก็จะไม่มีอันตราย แม้เจ้าไม่อาลัยถึงแม่ มิได้มาตามหนังสือนี้เมื่อใดแม่ก็จะตายเพราะอาญาโจโฉเป็นมั่นคง”
เทียหยกปลอมจดหมายเสร็จแล้วจึงสั่งให้คนสนิทถือจดหมายนั้นไปให้แก่ชีซี ณ เมืองซินเอี๋ย แล้วกำชับให้แจ้งแก่ชีซีว่ามารดาของชีซีว่าจ้างให้ลอบถือหนังสือมา ส่วนความอย่างอื่นนั้นมิได้แจ้ง
เล่าปี่เพิ่งสัมผัสกับสติปัญญาของคนระดับกุนซือ มีความอิ่มอกอิ่มใจนัก ไม่ได้สังหรณ์ใจว่ากำลังถูกสวรรค์กลั่นแกล้ง พรากยอดกุนซือไปจากตัว ด้วยอุบายอันโสมมในครั้งนี้.