ตอนที่ 188. กุนซือผู้ซ่อนกาย

เล่าเปียวละอายใจที่น้องเมียคิดร้ายวางแผนสังหารเล่าปี่ แรงโทสะจึงประดังขึ้นมาและสั่งทหารให้จับตัวชัวมอเอาไปประหาร แต่พอถูกเมียทัดทานและซุนเขียนที่ปรึกษาของเล่าปี่ก็ทักท้วงสมทบเข้ามาอีกทางหนึ่งเล่าเปียวก็ได้คิด

            เล่าเปียวฟังคำซุนเขียนแล้วคิดแต่ในใจว่าซุนเขียนย่อมมีความแค้นเคืองชัวมอแทนเล่าปี่ แต่กล่าวความทักท้วงทั้งนี้เนื่องเพราะเล็งเห็นว่าหากเล่าเปียวประหารชัวมอเสียแล้ว พรรคพวกของชัวมอในเมืองเกงจิ๋วนี้ก็มีเป็นจำนวนมากย่อมจะผูกพยาบาทคิดอ่านแก้แค้นเล่าปี่ให้ได้รับอันตราย เมื่อตรองตามคำของซุนเขียนก็ยิ่งเห็นจริงตามคำนั้น

            คิดดังนั้นแล้วเล่าเปียวจึงว่ากับชัวมอว่าความผิดของเจ้าครั้งนี้โทษถึงตาย แต่เมื่อซุนเขียนที่ปรึกษาของเล่าปี่ร้องขอให้บรรเทาโทษไว้ดังนี้เราจะยกโทษให้เสียครั้งหนึ่ง สืบไปเบื้องหน้าหากเจ้าคิดร้ายต่อเล่าปี่อีกเราก็จะไม่เกรงใจ และจะลงโทษประหารสถานเดียวเท่านั้น เจ้าจงจำคำเราไว้ให้จงดี

            ว่าแล้วเล่าเปียวก็ไล่ชัวมอให้ออกไปจากจวน แล้วให้ทหารไปเชิญเล่ากี๋บุตรผู้ใหญ่เข้ามาพบ ปรารภความทั้งปวงให้เล่ากี๋ทราบ แล้วสั่งให้เล่ากี๋ไปเมืองซินเอี๋ยพร้อมกับซุนเขียนเพื่อขอขมาต่อเล่าปี่

            ซุนเขียนและเล่ากี๋จึงคำนับคารวะอำลาเล่าเปียวเดินทางไปเมืองซินเอี๋ยแต่เวลานั้น ครั้นถึงเมืองซินเอี๋ย ซุนเขียนได้พาเล่ากี๋เข้าไปพบเล่าปี่ เล่ากี๋คำนับคารวะเล่าปี่ตามธรรมเนียมแล้วจึงว่าซึ่งชัวมอวางแผนคิดร้ายต่อท่านนั้นความทราบถึงบิดาข้าพเจ้าแล้ว สั่งทหารให้จับชัวมอเพื่อลงโทษประหาร แต่ท่านที่ปรึกษาซุนเขียนได้ร้องขอให้ยกโทษ บิดาจึงยกโทษให้ตามคำของซุนเขียนแล้วให้ข้าพเจ้ามากราบขอขมาท่านอา อย่าได้ผูกใจพยาบาทเอาโทษชัวมอต่อไปเลย

            เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี แล้วว่าน้ำใจบิดาเจ้าประเสริฐนัก เรื่องเพียงเท่านี้อย่าได้คิดให้ขุ่นข้องหมองใจสืบไป ตัวเรานี้มิได้ผูกใจแค้นอาฆาตพยาบาทหลงเหลืออยู่ในใจแม้แต่น้อย เจ้ามาวันนี้เราดีใจนัก ดังนั้นจงมากินโต๊ะกันให้เป็นที่สำราญใจเถิด

            เล่าปี่พาเล่ากี๋เข้าไปกินโต๊ะที่ห้องข้างในแต่ลำพังสองอาหลาน ในขณะที่เสพสุรากินโต๊ะกันอยู่นั้นเล่ากี๋มีสีหน้าสลดลงแล้วร้องไห้ เล่าปี่เห็นดังนั้นก็ตกใจรีบถามว่าหลานเรามีสิ่งใดเป็นทุกข์จึงร้องไห้ดังนี้เล่า

            เล่ากี๋ตอบว่าตั้งแต่มารดาข้าพเจ้าสิ้นแล้วก็เหมือนร่มโพธิ์ร่มไทรที่คุ้มกายใจให้ร่มเย็นโค่นหักสะบั้นลง มีแต่ความทุกข์ร้อนหมองใจไม่เคยขาดด้วยว่านางชัวฮูหยินผู้เป็นมารดาเลี้ยงของข้าพเจ้านี้เป็นสตรีที่เต็มไปด้วยความคิดริษยาอาฆาต แต่ละวันคิดแต่จะผลาญสังหารข้าพเจ้า

            แล้วว่าเมื่อข้าพเจ้ายังน้อยนางชัวฮูหยินพยายามบำรุงบำเรอด้วยอาหารอย่างดี ที่มีไขมันมาก มีหมูสามชั้นเป็นต้น ทำให้ผู้คนทั้งปวงสรรเสริญว่านางนั้นมีน้ำใจเอ็นดูต่อข้าพเจ้า ซึ่งถึงแม้ว่าจะเป็นบุตรเกิดแต่ภรรยาผู้ใหญ่ที่ล่วงลับ มิได้คิดว่าบุตรตนหรือบุตรคนอื่น ข้าพเจ้าเองก็พลอยหลงปลื้มไปกับมารดาเลี้ยงจนตัวข้าพเจ้าอ้วนท้วนผิดปกติไป

            เล่ากี๋เล่าต่อไปว่าเดชะบุญที่ครูสอนหนังสือของข้าพเจ้าเห็นอาการผิดสังเกตในตัวข้าพเจ้าจึงเรียกไปไต่ถาม ครั้นทราบความที่มารดาเลี้ยงบำรุงบำเรอด้วยอาหารดังนั้นแล้ว จึงรู้แผนการสังหารอันอำมหิตของมารดาเลี้ยงว่ามุ่งหมายให้ข้าพเจ้าต้องตายด้วยไขมันจุกอก ดังนั้นครูของข้าพเจ้าจึงสั่งให้ข้าพเจ้าไปพบที่สำนักของครูแล้วชงน้ำชาให้ข้าพเจ้ากินทุกวัน เพื่อลดทอนพิษร้ายและกำจัดไขมันอันเกิดขึ้นในตัว จึงทำให้ข้าพเจ้ารอดตายมาจนถึงทุกวันนี้

            แล้วว่าพอข้าพเจ้าเติบใหญ่ขึ้น มารดาเลี้ยงก็คิดอ่านกีดกันข้าพเจ้าในทุกทางด้วยต้องการให้บุตรของนางนั้นสืบทอดอำนาจเจ้าเมืองเกงจิ๋วต่อจากบิดา นางจึงคิดอ่านหาช่องทางที่จะสังหารข้าพเจ้าอยู่มิได้ขาด พลาดเข้าวันใดข้าพเจ้าคงไม่มีหน้าได้มากราบคารวะท่านอาอีกแล้ว ขอสติปัญญาท่านอาช่วยคิดอ่านผ่อนผันให้ข้าพเจ้ารอดพ้นจากความตายด้วยเถิด

            เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็สงสารเล่ากี๋นักจึงว่า “ทุกวันนี้จะรักษาตัวได้ก็เพราะมีอัชฌาสัยอันรอบคอบ ท่านจงอุตส่าห์ปฏิบัติตามน้ำใจนางชัวฮูหยิน อย่าให้นางเคืองขัดประการใดได้แล้วก็จะพ้นจากอันตรายทั้งปวง”

            เล่ากี๋ได้ฟังคำเล่าปี่ก็รับคำว่าจะทำตามคำสอนของเล่าปี่นั้น แต่ใจก็ไม่เชื่อว่านางชัวฮูหยินจะละวางความคิดที่จะสังหารตัว เล่ากี๋จึงร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่จนกระทั่งได้เวลาจึงคำนับลาเล่าปี่กลับไปที่พัก

            ครั้นรุ่งขึ้นเล่าปี่จึงขี่ม้าออกจากจวนไปส่งเล่ากี๋ถึงประตูเมือง เล่ากี๋คำนับคารวะขอบคุณเล่าปี่แล้วจึงเดินทางกลับไปเมืองเกงจิ๋ว เล่าปี่หยุดม้ามองตามเล่ากี๋ ชั่วครู่หนึ่งก็ชักม้าเดินทางกลับเข้าไปในเมือง

            ในขณะที่เล่าปี่ขี่ม้าผ่านตลาด เห็นชายวัยกลางคนคนหนึ่งแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบบชาวบ้าน นอนไขว่ห้างอยู่ข้างทาง แล้วร้องเพลงเป็นทำนองท้องถิ่นใจความว่า “แผ่นดินจะกลับ ก็เหมือนไฟดับสิ้นแสง ถ้ากบทูจะหัก จะเอาไม้อันน้อยค้ำ มิอาจจะทานกำลังไว้ได้ ชาวบ้านนอกผู้มีปัญญา ย่อมจะแสวงหานายที่มีน้ำใจโอบอ้อมอารี แลผู้ที่จะแสวงหาผู้ที่มีปัญญา หารู้จักเราไม่”

            คำว่า “กบทู” คือคานยอดหลังคา แต่สามก๊กฉบับภาษาจีนระบุความตอนนี้ว่า “คฤหาสน์ใหญ่ใกล้พังทะลาย จะเอาเสาไม้อันน้อยค้ำนั้นไม่ได้” ซึ่งมีความหมายอย่างเดียวกัน

            ความจริงชายผู้นี้คือชีซีแขกที่ไปเยือนสุมาเต๊กโชในยามวิกาล และได้สนทนาความกับสุมาเต๊กโช โดยที่เล่าปี่ได้ยินคำสนทนานั้นโดยตลอด จนกระทั่งสิ้นความแล้ว  สุมาเต๊กโชจึงให้สัญญาณเป็นนัยให้เบาเสียงสนทนาลง แล้วกระซิบบอกชีซีว่าบัดนี้พระเจ้าอาเล่าปี่ได้หนีภัยมาอาศัยอยู่ที่บ้านของเรา อันพระเจ้าอาเล่าปี่นี้เป็นผู้มีสติปัญญา มีน้ำใจโอบอ้อมอารีต่อคนทั้งปวง มีปณิธานแน่วแน่ที่จะกอบกู้แผ่นดิน ทำนุบำรุงฮ่องเต้แลราษฎร บัดนี้ยังขาดที่ปรึกษาผู้มีสติปัญญา จึงควรที่ชีซีจะได้พิจารณาอาสาเข้าทำราชการ

            ชีซีได้ฟังคำสุมาเต๊กโชดั่งนั้นแล้วจึงว่าข้าพเจ้าผิดหวังจากเล่าเปียวมาครั้งหนึ่งแล้ว การจะด่วนผลีผลามขอเข้าทำการด้วยเล่าปี่โดยไม่พินิจพิจารณาจงดีก่อนก็อาจซ้ำรอยเดิม ดังนั้นจำเป็นที่จะต้องลองใจเล่าปี่เสียก่อนว่ามีสายตาแลสติปัญญารู้จักบัณฑิตหรือไม่ จากนั้นจึงค่อยตัดสินใจ

            สุมาเต๊กโชฟังคำชีซีแล้วจึงว่า “ดีแล้ว” ชีซีจึงว่าข้าพเจ้ามาหาท่านในยามวิกาลหวังจะร่วมสนทนาและพักแรมสักราตรีหนึ่ง แต่หากพักร่วมชายคากับพระเจ้าอาเล่าปี่ก็ไม่อาจทดสอบลองใจได้ถนัด ดังนั้นข้าพเจ้าขออำลาท่านไปแต่คืนนี้ สุมาเต๊กโชก็ว่า “ดีแล้ว” ชีซีจึงคำนับลาสุมาเต๊กโชไปแต่ในเวลานั้นแล้วสดับตรับฟังข่าวของเล่าปี่อยู่ที่ในเมือง ครั้นต่อมาทราบว่าเล่าปี่ขี่ม้าออกไปส่งเล่ากี๋ที่ประตูเมือง จึงแสร้งทำมานอนไขว้ห้างร้องเพลงอยู่กลางตลาด คอยท่าเล่าปี่อยู่

            เล่าปี่ได้ยินเพลงที่ชายวัยกลางคนร้องดังนั้นแล้ว ใจก็ประหวัดไปถึงความอันได้สนทนากับสุมาเต๊กโชว่าคนดีมีสติปัญญาอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล และหลากใจว่าเนื้อเพลงซึ่งชายชาวบ้านผู้นี้ร้องร่ายนั้นมีเนื้อหาชอบกล เป็นความนัยอันลึกซึ้งอยู่ ทั้งความหมายของเนื้อเพลงก็มีลักษณะแฝงไว้ด้วยการเมืองอันล้ำลึก ราวกับได้สรุปสถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบันไว้อย่างชัดเจนภายในเนื้อเพลงไม่กี่ตอน ทั้งยังได้กล่าวถึงผู้มีสติปัญญาแสวงหาเจ้านาย แลเจ้านายที่แสวงหาผู้มีสติปัญญาก็มีอยู่แต่มิรู้จักกัน

            เล่าปี่รำลึกดังนี้แล้วก็ฉุกใจคิดว่าหรือว่าคนผู้นี้หากมิใช่ฮกหลงก็ต้องเป็นฮองซูตามคำของสุมาเต๊กโชเป็นมั่นคง คิดดังนี้แล้วเล่าปี่จึงกระตุกบังเหียนม้าให้หยุด ผลันลงจากหลังม้าตรงเข้าไปที่ชายนั้น ทรุดนั่งลงกับพื้น คำนับชายนั้นแล้วว่าท่านจงกรุณาตามข้าพเจ้าไปสนทนาในที่อันควรสนทนาสักหน่อยหนึ่งเถิด

            ชายนั้นลุกขึ้นนั่ง จ้องหน้าเล่าปี่ เล่าปี่ก็จ้องหน้าชายนั้นแล้วยิ้มให้ ค้อมศีรษะลงคำนับอีกครั้งหนึ่งแล้วว่าสถานที่นี้เป็นกลางตลาด ไม่สมควรที่ข้าพเจ้าจะกล่าวความซึ่งจะควรกล่าวแก่ท่าน ขอท่านจงตามข้าพเจ้าไปสนทนาด้วยกัน

            ชายนั้นลุกขึ้นไม่กล่าวความประการใด แต่ลักษณาการบ่งบอกถึงความเต็มใจรับคำเชิญเล่าปี่ เล่าปี่เห็นดังนั้นจึงเรียกทหารที่ติดตามมาให้เอาม้าให้ชายนั้นขี่ แล้วพาชายนั้นเข้าไปในเมืองซินเอี๋ยตรงไปที่จวน เชิญให้นั่งในที่อันสมควรสำหรับรับแขกเมืองแล้วถามว่าท่านนี้มีชื่อใด สำนักอยู่แห่งหนตำบลใด เหตุไฉนจึงได้มาร้องเพลงอยู่ในตลาด

            ชายนั้นตอบว่า “ข้าพเจ้าชื่อตันฮก อยู่ตำบลเองชง ข้าพเจ้าแจ้งว่าท่านนี้มีน้ำใจโอบอ้อมอารี ครั้นข้าพเจ้าจะจู่ลู่เข้ามาหาท่านนั้นก็ไม่สมควร ข้าพเจ้าจึงแกล้งทำเพลงทั้งนี้ปรารถนาจะให้ท่านรู้จัก”

            เล่าปี่ได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี เข้าใจว่าตันฮก ซึ่งแปลว่า “ตันผู้ซ่อนกาย” ผู้นี้คงเป็นคนใดคนหนึ่งในฮกหลงหรือฮองซู และความที่ชายนั้นกล่าวก็สอดคล้องกับเนื้อเพลงตรงกับความหมายที่ตัวเข้าใจ จึงคำนับตันฮกแล้วเชิญให้ตันฮกอยู่ทำราชการด้วยกัน

            ตันฮกได้ฟังคำเชิญของเล่าปี่ก็มีความยินดี ลุกขึ้นคำนับเล่าปี่ แล้วว่าเมื่อพระเจ้าอามีเมตตาข้าพเจ้าดั่งนี้ ข้าพเจ้าก็มีความเต็มใจที่จะอยู่ทำราชการรับใช้ท่านสืบไปด้วยได้กิตติศัพท์อันระบือลือเลื่องมาแต่ครั้งท่านปราบปรามโจรโพกผ้าเหลือง หวังกอบกู้แผ่นดินให้เป็นสุข ทั้งเลื่องลือกันทั่วทั้งแผ่นดินว่าท่านนี้มีสติปัญญา น้ำใจโอบอ้อมอารีรักราษฎรนัก สติปัญญาอันน้อยของข้าพเจ้าจักทุ่มเททำการช่วยท่านคิดอ่านจนสุดกำลัง

            เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี ตันฮกจึงกล่าวต่อไปว่าข้าพเจ้าสังเกตเห็นม้าที่ท่านขี่มีลักษณะชอบกลอยู่ ใคร่จะขอดูให้ชัดเจนสักครั้งหนึ่ง

            เล่าปี่จึงสั่งทหารให้ไปเอาม้าเต๊กเลามาที่หน้าจวน แล้วพาตันฮกออกไปดู

            ตันฮกพิเคราะห์ดูลักษณะม้าเต๊กเลาแล้วเห็นต้องด้วยลักษณะร้ายแก่เจ้าของ จึงว่าม้าตัวนี้มีลักษณะทุกประการต้องตามตำรา มีชื่อว่าม้าเต๊กเลา มีกำลังมาก ฝีเท้าก็รวดเร็ว แต่ทว่าจะเป็นอันตรายแก่เจ้าของ หากท่านขี่ม้านี้สืบไป อันตรายถึงชีวิตก็จะเกิดแก่ท่านเป็นมั่นคง

            เล่าปี่จึงว่าใคร ๆ เขาก็ว่าม้าเต๊กเลานี้มีลักษณะร้าย เป็นอันตรายแก่เจ้าของ หากเป็นดังคำท่านและคำที่เขาว่าไฉนม้านี้จึงพาข้าพเจ้าหนีชัวมอกระโจนข้ามแม่น้ำตันเขซึ่งลึกและกว้างถึงเก้าวาสิบวา พาข้าพเจ้าให้ปลอดภัยจากแผนสังหารของชัวมอเล่า

            ตันฮกจึงว่าม้าเต๊กเลาช่วยชีวิตท่านครั้งนี้ก็จริงอยู่ สืบไปเบื้องหน้าท่านก็จะเป็นอันตรายเพราะม้านี้เป็นมั่นคง แต่ทว่าเมื่อน้ำใจท่านรักม้านี้อยู่ ข้าพเจ้าก็ได้เรียนรู้กลกระเท่ห์วิธีหนึ่งซึ่งจะแก้ร้ายให้คลายเป็นดีได้ หากได้ปฏิบัติตามแบบแผนแห่งกระเท่ห์นี้แล้ว แม้ท่านขี่ม้านี้ไปในภายหน้าก็จะไม่เป็นอันตราย

            เล่าปี่จึงถามว่าจะทำประการใดจึงจะแก้ไขลักษณะร้ายให้กลายเป็นดีดังคำท่าน

            ตันฮกจึงว่าบุคคลใดก็ตามที่ท่านไม่ชอบใจ หรือที่ท่านประสงค์จะล้างผลาญให้สูญสิ้น จงหากลวิธีเอาม้านี้ไปให้ผู้นั้นขี่ ผู้นั้นก็จะได้รับเคราะห์และอันตรายแทนท่านก่อน จากนั้นท่านจึงเอาม้ามาขี่ก็จักไม่มีอันตรายสืบไป

            เล่าปี่ได้ฟังคำตันฮกดังนั้นสีหน้าก็บึ้งตึงโกรธตันฮก แล้วว่า “ท่านนี้มีความปรารถนามาอยู่กับเรา เราก็คิดว่าจะช่วยสั่งสอนทำนุบำรุงเราให้เป็นธรรม ควรแลหรือมาสั่งสอนมิให้เป็นธรรม จะให้ทำร้ายแก่ผู้อื่นฉะนี้เรามิขอได้ยิน”

            ตันฮกได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วว่าน้ำใจท่านช่างประเสริฐนัก น้ำใจท่านช่างประเสริฐนัก ท่านอย่าเพิ่งวู่วาม ข้าพเจ้ากล่าวความทั้งนี้เพียงเพื่อจะลองน้ำใจท่านว่าตั้งอยู่ในธรรม แลสุจริตเหมือนดังคำคนเขาร่ำลือจริงหรือไม่ บัดนี้ได้ประจักษ์ความจริงแก่หูแก่ตาแล้ว จึงอิ่มเอิบในใจที่เปี่ยมด้วยความศรัทธาและเชื่อมั่นว่าเลือกนายไม่ผิดคนแล้ว

            เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็หายโกรธ แล้วกล่าวขอโทษตันฮกที่ได้กล่าวคำล่วงเกินในลักษณะที่รุนแรง และถ่อมตัวว่าคำอันคนเขาร่ำลือนั้น มักมีวิสัยที่ต้องใสสีตีไข่จนเกินจริง แลจะยึดถือเป็นจริงแท้นั้นมิได้ก่อน ตัวข้าพเจ้าก็เป็นคนธรรมดา การประพฤติปฏิบัติตัวก็เป็นเพียงพอประมาณเท่านั้น ท่านมาอยู่ด้วยข้าพเจ้าแล้วจงเมตตาช่วยอบรมสอนสั่งทำนุบำรุงแต่ที่ชอบ เพื่อประโยชน์และความสุขของคนทั้งปวงนั้น 

            จากนั้นเล่าปี่จึงแต่งตั้งให้ตันฮกเป็นที่ปรึกษา และเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของกองทัพเล่าปี่.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร