ตอนที่ 187. ใกล้ไกลเพียงขอบฟ้ากั้น
สุมาเต๊กโชผู้ชาญอาโปกสิณ ได้แสดงคุณลักษณะของผู้ที่จะเป็นกุนซือแก่เล่าปี่และได้เอ่ยนามของ “ฮกหลง” และ “ฮองซู” ว่าถ้าเล่าปี่ได้คนหนึ่งคนใดในสองคนนี้มาเป็นกุนซือแล้ว จะสามารถกอบกู้แผ่นดินได้สำเร็จ นามของ “ฮกหลง” และ “ฮองซู” และความอันสุมาเต๊กโชได้กล่าวในยามพลบยังคงก้องกระหึ่มอยู่ในหูและความนึกคิดของเล่าปี่ จนแม้ว่าม่านแห่งราตรีได้แผ่ปกคลุมแดนลำเจี๋ยงจนพ้นยามหนึ่งแล้วเล่าปี่ก็ยังนอนไม่หลับ
เล่าปี่นอนครุ่นคิดกังวลอยู่ว่าผู้ใดหนอนาม “ฮกหลง” และ “ฮองซู” และจะหาเจ้าของนามทั้งสองนี้ที่แห่งหนตำบลใด ได้แต่คอยความหวังว่าอรุณรุ่งพรุ่งนี้จะได้รับคำตอบที่กระจ่างจากสุมาเต๊กโช
ในขณะที่เล่าปี่คิดกังวลอยู่นั้นเวลาล่วงไปใกล้ยามสอง พลันได้ยินเสียงคนเคาะประตูบ้าน และมีเสียงคนเปิดประตูต้อนรับแขกผู้มาเยือนในยามวิกาลเข้าไปข้างในบ้าน แล้วได้ยินเสียงสุมาเต๊กโชเอ่ยขึ้นว่า ชีซีท่านมาเยือนข้าพเจ้าในยามค่ำมืดด้วยสีหน้ากังวลผิดหวังดังนี้ มีทุกข์ร้อนสิ่งใดอยู่ในอกหรือ
เสียงตอบจากเจ้าของนามชีซีดังขึ้นว่า ข้าพเจ้ามาพบท่านในคืนนี้เพราะใคร่สนทนาด้วยท่าน แล้วว่าข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์เลื่องลือมาแต่ก่อนว่าเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋วเป็นผู้มีสติปัญญา แลน้ำใจนั้นโอบอ้อมอารีต่อคนทั้งปวง ทั้งมีน้ำใจรักผู้มีสติปัญญาแสวงหาไว้ในราชการ เป็นคนสุจริต ไม่คิดคบเสวนาด้วยเหล่าพาล ข้าพเจ้านึกนิยมในกิตติศัพท์นี้จึงได้บากหน้าไปสมัครทำราชการด้วยเล่าเปียว หวังช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุข แต่พอไปอยู่กับเล่าเปียวเข้าจริงแล้ว ความจริงที่ปรากฏแก่ตาหาสมคำที่เลื่องลือไม่
สุมาเต๊กโชถามขึ้นว่าท่านไปอยู่กับเล่าเปียวแล้วการเป็นฉันใด
ชีซีตอบขึ้นว่าในสำนักของเล่าเปียวนั้นมีทั้งคนดีคนชั่วเคล้าคละกัน นั่นเป็นวิสัยของสังคมที่ต้องมีดีชั่ว เป็นแต่ว่าเล่าเปียวนั้นเกรงกลัวอำนาจของคนพาลสันดานหยาบ เกรงกลัวสตรีผู้เป็นภรรยา สมยอมให้ขยายอำนาจอิทธิพลในบ้านเมือง แลการปกครองข้าราชการขุนนางก็มิได้ถือเอาสติปัญญาความสามารถเป็นที่ตั้ง ปล่อยปละละเลยให้คนไม่ดีมีอำนาจมากขึ้น แม้เห็นผู้ใดเป็นพาลก็ไม่คิดอ่านกำจัดริดรอน ราชการเมืองเกงจิ๋วจึงวิปริตผันแปรไป ข้าพเจ้าเห็นว่าความประพฤติปฏิบัติของเจ้าเมืองแบบเล่าเปียวนี้ไม่มีทางที่จะทำนุบำรุงราษฎรให้เป็นสุข ป่วยการที่จะอยู่รับราชการด้วยสืบไปจึงหนีออกมา
แล้วว่าเมื่อหนีออกมาจากเล่าเปียวแล้วรำลึกถึงท่านจึงบากบั่นดั้นด้นมาจนเวลาค่ำมืดจึงมาถึง
สุมาเต๊กโชกล่าวขึ้นว่าตัวท่านนี้เป็นผู้มีสติปัญญาความสามารถ ชอบที่จะแสวงหาผู้มีน้ำใจโอบอ้อมอารีแลรักราษฎร มีปณิธานกอบบ้านกู้เมืองให้ร่มเย็นเป็นสุข ไม่ควรปล่อยให้วันเวลาแห่งชีวิตพ้นผ่าน ดังนี้จึงมิเสียทีที่เกิดมา อนึ่งนั้นแผ่นดินทุกวันนี้เป็นจลาจล เจ้านายผู้มีปณิธานคิดอ่านกอบกู้บ้านเมืองก็มีอยู่เสมือนหนึ่งคิ้วอันอยู่ใกล้จักษุ ไฉนท่านจึงไม่พิเคราะห์ดูจงดีก่อน จึงสูญเสียเวลาไปกับการสำนักด้วยเล่าเปียวฉะนี้
ชีซีจึงตอบว่าจริงตามคำท่านแล้ว เป็นแต่ข้าพเจ้ารีบร้อนใจไปก่อนจึงได้พลาดท่าเสียเวลาไป
เล่าปี่ได้ยินคำสนทนาจบลงเพียงเท่านี้ แล้วได้ยินเหมือนหนึ่งคนซุบซิบกันแต่ฟังไม่เป็นศัพท์ว่าเป็นเรื่องอะไร แต่ใจหนึ่งก็คิดว่าแขกผู้มาเยือนยามวิกาลนามชีซีผู้นี้น้ำเสียงและเนื้อหาแห่งคำเจรจานั้นหลักแหลมนุ่มนวลนัก หรือว่าจักเป็นคนใดคนหนึ่งในฮกหลงและฮองซู ทั้งเนื้อความที่สุมาเต๊กโชได้กล่าวกับตัวแต่ตอนพลบว่าคนมีสติปัญญาอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเท่าใดนัก ความคิดก็หนักไปในทางที่เชื่อว่าชีซีผู้นี้แล้วคือผู้มีสติปัญญาที่สุมาเต๊กโชได้เอ่ยถึง จึงคิดที่จะออกไปร่วมวงสนทนาด้วย
แต่เล่าปี่นั้นเป็นเชื้อพระวงศ์ มีกิริยามารยาทอันงดงาม แม้คิดดังนั้นแล้วแต่ใจก็ยั้งคิดเสียเองว่าตัวเรามาอาศัยในบ้านนี้ในฐานะแขก เวลานี้วิกาลแล้วเจ้าของบ้านมีแขกใหม่มาเยือนจึงมิใช่โอกาสอันควรที่เราจะละเลยมารยาทออกไปในยามนี้ ทั้งเห็นว่าเวลานี้ก็ดึกแล้ว ชีซีคงจะนอนค้างคืนที่เรือนของสุมาเต๊กโช ไว้พรุ่งนี้จะรีบตื่นแต่เช้าแล้วคอยเฝ้าทำความรู้จักจะดีกว่า สุมาเต๊กโชเป็นปราชญ์ ย่อมไม่อาจตำหนิติเตียนเราได้ คิดดังนั้นแล้วเล่าปี่ก็รีบนอนด้วยความอิ่มใจว่าความปรารถนาที่ใคร่ได้กุนซือจะบรรลุในยามเช้า
พอยามใกล้รุ่งเสียงไก่ขันเป็นสัญญาณแห่งวันใหม่ดังขึ้นเล่าปี่รีบลุกออกจากที่นอน ล้างหน้าแล้วออกมานั่งตั้งตารออยู่ที่ห้องโถง พออีกครู่หนึ่งสุมาเต๊กโชลุกออกมาเล่าปี่ได้ลุกขึ้นคำนับทักทายแล้วถามว่าแขกที่มาเยือนเมื่อคืนนี้ยังไม่ตื่นหรือ
สุมาเต๊กโชจึงว่าเมื่อคืนนี้ชีซีเพื่อนที่รักใคร่สนิทสนมชอบพอของข้าพเจ้าได้มาเยือน พูดดังนี้แล้วสุมาเต๊กโชก็หยุดนิ่งอยู่ เล่าปี่ทนมิได้จึงว่าท่านช่วยเอ็นดูแนะนำให้ข้าพเจ้าได้รู้จักสนทนาด้วยเถิด
สุมาเต๊กโชจึงว่าหลังจากชีซีสนทนากับข้าพเจ้าอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ได้ขอลาข้าพเจ้ากลับไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกผิดหวัง จึงว่าขึ้นว่าถ้าเช่นนั้นท่านจงกรุณาบอกนามของคนที่ท่านเรียกว่าชีซีให้ข้าพเจ้าได้รู้จักว่าเป็นผู้ใด
สุมาเต๊กโชได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วกล่าวขึ้นลอย ๆ ว่า “ดีแล้ว” ทำให้เล่าปี่ยิ่งสับสนงุนงงและสงสัย จึงถามไถ่ต่อไปว่าข้าพเจ้าไม่แจ้งในความอันเป็นปริศนา หรือว่าบุคคลผู้นี้คือหนึ่งในฮกหลงหรือฮองซูตามที่ท่านได้เอ่ยนามเมื่อวันวาน
สุมาเต๊กโชได้ยินคำเล่าปี่ดังนั้นก็หัวเราะอีก แล้วว่า “ดีแล้ว”
เล่าปี่เห็นสุมาเต๊กโชไม่ตอบคำและไม่แสดงความนัยแห่งปริศนา ได้แต่หัวเราะและกล่าวแต่คำว่า “ดีแล้ว” ดังนั้นก็เสียใจ เกิดความรู้สึกเหมือนดั่งศิษย์ที่ครูไม่ยอมบอกวิชา แล้วกล่าวขึ้นด้วยความน้อยใจว่า “ทุกวันนี้ข้าพเจ้ามีความปรารถนาจะทำนุบำรุงแผ่นดินพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้เป็นสุขก็ยังไม่สำเร็จ ถ้าได้ท่านผู้ประกอบไปด้วยสติปัญญาฉะนี้ไปเป็นที่ปรึกษาคิดอ่าน เห็นแผ่นดินพระเจ้าเหี้ยนเต้จะจำเริญ”
เล่าปี่อับจนปัญญาในการแสวงหาที่ปรึกษา ทั้งไม่แจ้งว่าฮกหลงและฮองซูเป็นผู้ใด หรือแม้แต่แขกผู้มาเยือนในยามวิกาลว่าเป็นใคร จึงคุกเข่าลงคำนับสุมาเต๊กโชแล้วว่า “ขอเชิญท่านไปทำราชการกับข้าพเจ้าเหมือนช่วยทำนุบำรุงพระเจ้าเหี้ยนเต้ด้วย”
สุมาเต๊กโชได้ยินเล่าปี่กล่าวดังนั้นก็มีน้ำใจสงสาร ก้มลงประคองเล่าปี่ให้ลุกขึ้นแล้วว่าตัวข้าพเจ้าเป็นชาวป่าชาวดง มีความรู้แลสติปัญญาน้อยนัก ไม่ถึงขั้นที่จะเป็นกุนซือช่วยเหลือท่านคิดการกอบกู้แผ่นดินได้ เพราะรู้ดีดั่งนี้จึงไม่อาจไปทำราชการอยู่ด้วยท่าน อันผู้มีสติปัญญามากกว่าข้าพเจ้าและสามารถเป็นกุนซือให้กับท่านได้นั้นมีอยู่ และอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลสุดสายตาท่านเท่าใดดอก จงตั้งใจสุจริตสืบเสาะหาก็คงจะพบสมความปรารถนา
ในขณะที่เล่าปี่โต้ตอบอยู่กับสุมาเต๊กโชนั้น พลันได้ยินเสียงม้าจำนวนมากวิ่งตรงเข้ามาที่บริเวณเรือนพักของสุมาเต๊กโช เล่าปี่ได้ยินก็ตกใจ คิดไปว่าเป็นทหารของชัวมอจากเมืองซงหยงมาติดตามไล่ล่าจึงเดินไปที่หน้าต่างเปิดแง้มดูเห็นเป็นจูล่งขี่ม้านำทหารประมาณร้อยคนเศษตรงมาที่เรือนพักก็มีความยินดีจึงเดินออกมาที่หน้าประตู
จูล่งเห็นเล่าปี่ก็ดีใจ รีบสั่งทหารให้หยุด แล้วลงจากหลังม้าตรงเข้าไปคำนับคารวะเล่าปี่ แล้วเล่าความทั้งปวงตั้งแต่วันที่เล่าปี่หนีออกจากเมืองซงหยงให้เล่าปี่ฟังทุกประการ
เล่าปี่สวมกอดจูล่งไว้แล้วเล่าความที่ขี่ม้าเต๊กเลากระโจนข้ามแม่น้ำตันเขแล้วพลัดหลงจนมาพบกับสุมาเต๊กโช แล้วบอกให้จูล่งคำนับคารวะ
จูล่งคารวะสุมาเต๊กโชแล้วหันมาเชิญเล่าปี่ให้รีบกลับไปเมืองซินเอี๋ย เพราะเกรงว่าชัวมอจะยุยงเล่าเปียวให้ยกกองทัพไปตีเมืองซินเอี๋ย เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นใจหนึ่งยังไม่อยากจากไป หวังจะได้รู้ความเกี่ยวกับผู้มีนาม “ฮกหลง” และ “ฮองซู” เสียก่อน แต่การข้างเมืองซินเอี๋ยตามที่จูล่งกล่าวนั้นก็สำคัญนัก เล่าปี่จึงจำต้องคำนับลาสุมาเต๊กโชแล้วขึ้นม้าพาจูล่งเดินทางกลับแต่เพลานั้น
เล่าปี่พาจูล่งและทหารเดินทางลับเรือนของสุมาเต๊กโชระยะทางยี่สิบเส้นจึงพบกับกวนอู และเตียวหุยพาทหารติดตามมาอีกขบวนหนึ่ง เล่าปี่ก็มีความยินดียิ่งนัก เล่าความทั้งปวงให้กวนอู เตียวหุยฟังทุกประการ แล้วพากันเดินทางต่อไปยังเมืองซินเอี๋ย
พอถึงเมืองซินเอี๋ยเล่าปี่จึงเชิญบรรดาที่ปรึกษา ขุนนางและแม่ทัพนายกองมาปรึกษา ปรารภความที่ชัวมอวางแผนสังหารแล้วปรึกษาว่าจะคิดอ่านประการใด
ซุนเขียนได้เสนอว่าการที่ชัวมอคิดอ่านวางแผนสังหารครั้งนี้ความยังไม่สิ้นกระแสว่าเล่าเปียวได้รู้เห็นหรือไม่ หากด่วนตัดสินใจไปทางใดทางหนึ่ง เกลือกเล่าเปียวมิรู้เห็นเป็นใจด้วยก็จะเสียไมตรีไป จึงชอบที่ท่านจะต้องมีหนังสือแจ้งความทั้งปวงให้เล่าเปียวทราบ แล้วคอยฟังท่าทีของเล่าเปียวจึงค่อยคิดการต่อไป
เล่าปี่ได้สอบถามที่ประชุมและไม่มีผู้ใดมีความคิดเห็นเป็นอย่างอื่น เล่าปี่จึงให้แต่งหนังสือถึงเล่าเปียว เล่าความทั้งสิ้นแล้วให้ซุนเขียนถือหนังสือนั้นไปเมืองเกงจิ๋ว
ครั้นเล่าเปียวทราบว่าซุนเขียนมาแต่เล่าปี่เมืองซินเอี๋ย จึงอนุญาตให้ซุนเขียนเข้ามาพบเพราะมีความข้องใจจะไต่ถาม เนื่องจากชัวมอมารายงานเล่าเปียวไว้ก่อนแล้วว่าในขณะที่บรรดาเจ้าเมืองต่างๆ ที่ขึ้นต่อเมืองเกงจิ๋วกำลังกินโต๊ะกันในงานชุมนุมหัวเมืองนั้น เล่าปี่พลันหนีไปโดยไม่แจ้งข่าวคราวให้ทราบ เกรงว่าเล่าปี่จะคิดร้ายต่อเมืองเกงจิ๋ว เล่าเปียวรับฟังรายงานจากชัวมอแล้วยังไม่ปลงใจเชื่อโดยสนิท กลับคิดว่าน่าจะมีเงื่อนงำแอบแฝง แลสมควรที่จะไต่ถามความจากเล่าปี่ให้กระจ่างก่อน
พอซุนเขียนคำนับคารวะตามธรรมเนียมแล้ว เล่าเปียวจึงถามขึ้นว่าในงานชุมนุมเจ้าเมืองที่ขึ้นต่อเมืองเกงจิ๋ว ขณะที่กำลังเลี้ยงโต๊ะเจ้าเมืองแลขุนนางข้าราชการนั้น ไฉนเล่าปี่จึงหนีกลับไปโดยไม่แจ้งเหตุให้ทราบก่อน มีเหตุผลเบื้องลึกเบื้องหลังประการใด
ซุนเขียนฟังดังนั้นก็ยื่นหนังสือของเล่าปี่แก่เล่าเปียวแล้วว่า ความทั้งปวงอันท่านแคลงอยู่ในใจนั้น เล่าปี่ได้มีหนังสือมาแจ้งแก่ท่าน ขอท่านจงอ่านดูเถิด
เล่าเปียวจึงรับหนังสือเอามาอ่าน พอทราบความว่าชัวมอวางแผนการสังหารเล่าปี่ เป็นเหตุให้เล่าปี่ต้องผลุนผลันหนีออกไปจากงานชุมนุมบรรดาเจ้าเมืองอย่างฉุกละหุก เล่าเปียวก็ปลงใจเชื่อความตามจดหมายของเล่าปี่นั้นจึงโกรธชัวมอยิ่งนัก สั่งทหารให้ไปเรียกตัวชัวมอมาพบในทันที
พอชัวมอเข้ามาพบ เล่าเปียวก็เท้าความแล้วด่าว่าชัวมอที่ลอบวางแผนร้ายให้เสื่อมเสียถึงเล่าเปียวอย่างรุนแรง แล้วสั่งทหารให้จับตัวชัวมอเอาไปประหาร แต่ในขณะที่เล่าเปียวกำลังด่าชัวมอด้วยเสียงอันดังเพราะแรงโทสะ หญิงรับใช้ในจวนของเล่าเปียวได้ยินความจึงรีบนำไปแจ้งแก่นางชัวฮูหยิน
นางชัวฮูหยินทราบความก็ตกใจ รีบออกมาหาเล่าเปียว พอได้ยินเล่าเปียวออกคำสั่งประหารชัวมอ จึงรีบคุกเข่าคำนับเล่าเปียวแล้วว่า ความผิดของชัวมอครั้งนี้แม้มีอยู่แต่ก็หาควรจะต้องรับโทษประหารไม่ เพราะการอันชัวมอทำไปนั้นหาได้คิดคดทรยศต่อท่าน หากกระทำไปเพราะเกรงภัยจะเกิดขึ้นแก่เมืองเกงจิ๋วแลบุตรท่าน น้ำใจของชัวมอแม้จะผิดก็ผิดแต่เพียงกับเล่าปี่ แต่ความภักดีในตัวท่านแลเมืองเกงจิ๋วนั้นยังเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ ดังนั้นขอจงเห็นแก่ข้าพเจ้าผ่อนผันยกโทษให้สักครั้งหนึ่ง
เล่าเปียวได้ฟังคำเมียใจหนึ่งก็กลัวเมีย ทั้งคำของเมียผู้เป็นที่รักและเกรงกลัวก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผลเสียทีเดียว แต่แรงโกรธ แรงเกลียดชัวมอยังคุมแค้นอยู่ในอก เล่าเปียวจึงได้แต่ส่ายศีรษะและไม่กล่าวความแต่ประการใด
นางชัวฮูหยินเห็นเป็นทีดังนั้นก็สั่งทหารให้ปล่อยตัวชัวมอเสีย ทหารเมืองเกงจิ๋วรู้อาการและสถานการณ์ดีจึงปล่อยตัวชัวมอตามคำของชัวฮูหยินนั้น
ซุนเขียนเห็นสภาพเช่นนั้นก็เข้าใจสถานการณ์กระจ่างว่าอย่างไรเสียเล่าเปียวคงไม่กล้าฝืนใจเมียสั่งประหารชัวมอจึงคิดสร้างบุญคุณไว้กับใจชัวมอแล้วว่า ชัวมอเป็นนายทหารสำคัญของเมืองเกงจิ๋ว หากสิ้นชัวมอเสียแล้วท่านก็จะขาดกำลังระวังเมือง อนึ่งนั้นเล่าการประหารชัวมอเสียก็ไม่เกิดประโยชน์อันใดแก่เล่าปี่ ทั้งเล่าปี่จะอาศัยอยู่ในแดนเมืองเกงจิ๋วนี้ต่อไปคงจะไม่เป็นสุขอีกแล้ว พระคุณท่านอันกรุณาแก่เล่าปี่ก็จะกลายเป็นโทษแก่เล่าปี่ไป.
เล่าปี่นอนครุ่นคิดกังวลอยู่ว่าผู้ใดหนอนาม “ฮกหลง” และ “ฮองซู” และจะหาเจ้าของนามทั้งสองนี้ที่แห่งหนตำบลใด ได้แต่คอยความหวังว่าอรุณรุ่งพรุ่งนี้จะได้รับคำตอบที่กระจ่างจากสุมาเต๊กโช
ในขณะที่เล่าปี่คิดกังวลอยู่นั้นเวลาล่วงไปใกล้ยามสอง พลันได้ยินเสียงคนเคาะประตูบ้าน และมีเสียงคนเปิดประตูต้อนรับแขกผู้มาเยือนในยามวิกาลเข้าไปข้างในบ้าน แล้วได้ยินเสียงสุมาเต๊กโชเอ่ยขึ้นว่า ชีซีท่านมาเยือนข้าพเจ้าในยามค่ำมืดด้วยสีหน้ากังวลผิดหวังดังนี้ มีทุกข์ร้อนสิ่งใดอยู่ในอกหรือ
เสียงตอบจากเจ้าของนามชีซีดังขึ้นว่า ข้าพเจ้ามาพบท่านในคืนนี้เพราะใคร่สนทนาด้วยท่าน แล้วว่าข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์เลื่องลือมาแต่ก่อนว่าเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋วเป็นผู้มีสติปัญญา แลน้ำใจนั้นโอบอ้อมอารีต่อคนทั้งปวง ทั้งมีน้ำใจรักผู้มีสติปัญญาแสวงหาไว้ในราชการ เป็นคนสุจริต ไม่คิดคบเสวนาด้วยเหล่าพาล ข้าพเจ้านึกนิยมในกิตติศัพท์นี้จึงได้บากหน้าไปสมัครทำราชการด้วยเล่าเปียว หวังช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุข แต่พอไปอยู่กับเล่าเปียวเข้าจริงแล้ว ความจริงที่ปรากฏแก่ตาหาสมคำที่เลื่องลือไม่
สุมาเต๊กโชถามขึ้นว่าท่านไปอยู่กับเล่าเปียวแล้วการเป็นฉันใด
ชีซีตอบขึ้นว่าในสำนักของเล่าเปียวนั้นมีทั้งคนดีคนชั่วเคล้าคละกัน นั่นเป็นวิสัยของสังคมที่ต้องมีดีชั่ว เป็นแต่ว่าเล่าเปียวนั้นเกรงกลัวอำนาจของคนพาลสันดานหยาบ เกรงกลัวสตรีผู้เป็นภรรยา สมยอมให้ขยายอำนาจอิทธิพลในบ้านเมือง แลการปกครองข้าราชการขุนนางก็มิได้ถือเอาสติปัญญาความสามารถเป็นที่ตั้ง ปล่อยปละละเลยให้คนไม่ดีมีอำนาจมากขึ้น แม้เห็นผู้ใดเป็นพาลก็ไม่คิดอ่านกำจัดริดรอน ราชการเมืองเกงจิ๋วจึงวิปริตผันแปรไป ข้าพเจ้าเห็นว่าความประพฤติปฏิบัติของเจ้าเมืองแบบเล่าเปียวนี้ไม่มีทางที่จะทำนุบำรุงราษฎรให้เป็นสุข ป่วยการที่จะอยู่รับราชการด้วยสืบไปจึงหนีออกมา
แล้วว่าเมื่อหนีออกมาจากเล่าเปียวแล้วรำลึกถึงท่านจึงบากบั่นดั้นด้นมาจนเวลาค่ำมืดจึงมาถึง
สุมาเต๊กโชกล่าวขึ้นว่าตัวท่านนี้เป็นผู้มีสติปัญญาความสามารถ ชอบที่จะแสวงหาผู้มีน้ำใจโอบอ้อมอารีแลรักราษฎร มีปณิธานกอบบ้านกู้เมืองให้ร่มเย็นเป็นสุข ไม่ควรปล่อยให้วันเวลาแห่งชีวิตพ้นผ่าน ดังนี้จึงมิเสียทีที่เกิดมา อนึ่งนั้นแผ่นดินทุกวันนี้เป็นจลาจล เจ้านายผู้มีปณิธานคิดอ่านกอบกู้บ้านเมืองก็มีอยู่เสมือนหนึ่งคิ้วอันอยู่ใกล้จักษุ ไฉนท่านจึงไม่พิเคราะห์ดูจงดีก่อน จึงสูญเสียเวลาไปกับการสำนักด้วยเล่าเปียวฉะนี้
ชีซีจึงตอบว่าจริงตามคำท่านแล้ว เป็นแต่ข้าพเจ้ารีบร้อนใจไปก่อนจึงได้พลาดท่าเสียเวลาไป
เล่าปี่ได้ยินคำสนทนาจบลงเพียงเท่านี้ แล้วได้ยินเหมือนหนึ่งคนซุบซิบกันแต่ฟังไม่เป็นศัพท์ว่าเป็นเรื่องอะไร แต่ใจหนึ่งก็คิดว่าแขกผู้มาเยือนยามวิกาลนามชีซีผู้นี้น้ำเสียงและเนื้อหาแห่งคำเจรจานั้นหลักแหลมนุ่มนวลนัก หรือว่าจักเป็นคนใดคนหนึ่งในฮกหลงและฮองซู ทั้งเนื้อความที่สุมาเต๊กโชได้กล่าวกับตัวแต่ตอนพลบว่าคนมีสติปัญญาอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเท่าใดนัก ความคิดก็หนักไปในทางที่เชื่อว่าชีซีผู้นี้แล้วคือผู้มีสติปัญญาที่สุมาเต๊กโชได้เอ่ยถึง จึงคิดที่จะออกไปร่วมวงสนทนาด้วย
แต่เล่าปี่นั้นเป็นเชื้อพระวงศ์ มีกิริยามารยาทอันงดงาม แม้คิดดังนั้นแล้วแต่ใจก็ยั้งคิดเสียเองว่าตัวเรามาอาศัยในบ้านนี้ในฐานะแขก เวลานี้วิกาลแล้วเจ้าของบ้านมีแขกใหม่มาเยือนจึงมิใช่โอกาสอันควรที่เราจะละเลยมารยาทออกไปในยามนี้ ทั้งเห็นว่าเวลานี้ก็ดึกแล้ว ชีซีคงจะนอนค้างคืนที่เรือนของสุมาเต๊กโช ไว้พรุ่งนี้จะรีบตื่นแต่เช้าแล้วคอยเฝ้าทำความรู้จักจะดีกว่า สุมาเต๊กโชเป็นปราชญ์ ย่อมไม่อาจตำหนิติเตียนเราได้ คิดดังนั้นแล้วเล่าปี่ก็รีบนอนด้วยความอิ่มใจว่าความปรารถนาที่ใคร่ได้กุนซือจะบรรลุในยามเช้า
พอยามใกล้รุ่งเสียงไก่ขันเป็นสัญญาณแห่งวันใหม่ดังขึ้นเล่าปี่รีบลุกออกจากที่นอน ล้างหน้าแล้วออกมานั่งตั้งตารออยู่ที่ห้องโถง พออีกครู่หนึ่งสุมาเต๊กโชลุกออกมาเล่าปี่ได้ลุกขึ้นคำนับทักทายแล้วถามว่าแขกที่มาเยือนเมื่อคืนนี้ยังไม่ตื่นหรือ
สุมาเต๊กโชจึงว่าเมื่อคืนนี้ชีซีเพื่อนที่รักใคร่สนิทสนมชอบพอของข้าพเจ้าได้มาเยือน พูดดังนี้แล้วสุมาเต๊กโชก็หยุดนิ่งอยู่ เล่าปี่ทนมิได้จึงว่าท่านช่วยเอ็นดูแนะนำให้ข้าพเจ้าได้รู้จักสนทนาด้วยเถิด
สุมาเต๊กโชจึงว่าหลังจากชีซีสนทนากับข้าพเจ้าอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ได้ขอลาข้าพเจ้ากลับไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกผิดหวัง จึงว่าขึ้นว่าถ้าเช่นนั้นท่านจงกรุณาบอกนามของคนที่ท่านเรียกว่าชีซีให้ข้าพเจ้าได้รู้จักว่าเป็นผู้ใด
สุมาเต๊กโชได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วกล่าวขึ้นลอย ๆ ว่า “ดีแล้ว” ทำให้เล่าปี่ยิ่งสับสนงุนงงและสงสัย จึงถามไถ่ต่อไปว่าข้าพเจ้าไม่แจ้งในความอันเป็นปริศนา หรือว่าบุคคลผู้นี้คือหนึ่งในฮกหลงหรือฮองซูตามที่ท่านได้เอ่ยนามเมื่อวันวาน
สุมาเต๊กโชได้ยินคำเล่าปี่ดังนั้นก็หัวเราะอีก แล้วว่า “ดีแล้ว”
เล่าปี่เห็นสุมาเต๊กโชไม่ตอบคำและไม่แสดงความนัยแห่งปริศนา ได้แต่หัวเราะและกล่าวแต่คำว่า “ดีแล้ว” ดังนั้นก็เสียใจ เกิดความรู้สึกเหมือนดั่งศิษย์ที่ครูไม่ยอมบอกวิชา แล้วกล่าวขึ้นด้วยความน้อยใจว่า “ทุกวันนี้ข้าพเจ้ามีความปรารถนาจะทำนุบำรุงแผ่นดินพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้เป็นสุขก็ยังไม่สำเร็จ ถ้าได้ท่านผู้ประกอบไปด้วยสติปัญญาฉะนี้ไปเป็นที่ปรึกษาคิดอ่าน เห็นแผ่นดินพระเจ้าเหี้ยนเต้จะจำเริญ”
เล่าปี่อับจนปัญญาในการแสวงหาที่ปรึกษา ทั้งไม่แจ้งว่าฮกหลงและฮองซูเป็นผู้ใด หรือแม้แต่แขกผู้มาเยือนในยามวิกาลว่าเป็นใคร จึงคุกเข่าลงคำนับสุมาเต๊กโชแล้วว่า “ขอเชิญท่านไปทำราชการกับข้าพเจ้าเหมือนช่วยทำนุบำรุงพระเจ้าเหี้ยนเต้ด้วย”
สุมาเต๊กโชได้ยินเล่าปี่กล่าวดังนั้นก็มีน้ำใจสงสาร ก้มลงประคองเล่าปี่ให้ลุกขึ้นแล้วว่าตัวข้าพเจ้าเป็นชาวป่าชาวดง มีความรู้แลสติปัญญาน้อยนัก ไม่ถึงขั้นที่จะเป็นกุนซือช่วยเหลือท่านคิดการกอบกู้แผ่นดินได้ เพราะรู้ดีดั่งนี้จึงไม่อาจไปทำราชการอยู่ด้วยท่าน อันผู้มีสติปัญญามากกว่าข้าพเจ้าและสามารถเป็นกุนซือให้กับท่านได้นั้นมีอยู่ และอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลสุดสายตาท่านเท่าใดดอก จงตั้งใจสุจริตสืบเสาะหาก็คงจะพบสมความปรารถนา
ในขณะที่เล่าปี่โต้ตอบอยู่กับสุมาเต๊กโชนั้น พลันได้ยินเสียงม้าจำนวนมากวิ่งตรงเข้ามาที่บริเวณเรือนพักของสุมาเต๊กโช เล่าปี่ได้ยินก็ตกใจ คิดไปว่าเป็นทหารของชัวมอจากเมืองซงหยงมาติดตามไล่ล่าจึงเดินไปที่หน้าต่างเปิดแง้มดูเห็นเป็นจูล่งขี่ม้านำทหารประมาณร้อยคนเศษตรงมาที่เรือนพักก็มีความยินดีจึงเดินออกมาที่หน้าประตู
จูล่งเห็นเล่าปี่ก็ดีใจ รีบสั่งทหารให้หยุด แล้วลงจากหลังม้าตรงเข้าไปคำนับคารวะเล่าปี่ แล้วเล่าความทั้งปวงตั้งแต่วันที่เล่าปี่หนีออกจากเมืองซงหยงให้เล่าปี่ฟังทุกประการ
เล่าปี่สวมกอดจูล่งไว้แล้วเล่าความที่ขี่ม้าเต๊กเลากระโจนข้ามแม่น้ำตันเขแล้วพลัดหลงจนมาพบกับสุมาเต๊กโช แล้วบอกให้จูล่งคำนับคารวะ
จูล่งคารวะสุมาเต๊กโชแล้วหันมาเชิญเล่าปี่ให้รีบกลับไปเมืองซินเอี๋ย เพราะเกรงว่าชัวมอจะยุยงเล่าเปียวให้ยกกองทัพไปตีเมืองซินเอี๋ย เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นใจหนึ่งยังไม่อยากจากไป หวังจะได้รู้ความเกี่ยวกับผู้มีนาม “ฮกหลง” และ “ฮองซู” เสียก่อน แต่การข้างเมืองซินเอี๋ยตามที่จูล่งกล่าวนั้นก็สำคัญนัก เล่าปี่จึงจำต้องคำนับลาสุมาเต๊กโชแล้วขึ้นม้าพาจูล่งเดินทางกลับแต่เพลานั้น
เล่าปี่พาจูล่งและทหารเดินทางลับเรือนของสุมาเต๊กโชระยะทางยี่สิบเส้นจึงพบกับกวนอู และเตียวหุยพาทหารติดตามมาอีกขบวนหนึ่ง เล่าปี่ก็มีความยินดียิ่งนัก เล่าความทั้งปวงให้กวนอู เตียวหุยฟังทุกประการ แล้วพากันเดินทางต่อไปยังเมืองซินเอี๋ย
พอถึงเมืองซินเอี๋ยเล่าปี่จึงเชิญบรรดาที่ปรึกษา ขุนนางและแม่ทัพนายกองมาปรึกษา ปรารภความที่ชัวมอวางแผนสังหารแล้วปรึกษาว่าจะคิดอ่านประการใด
ซุนเขียนได้เสนอว่าการที่ชัวมอคิดอ่านวางแผนสังหารครั้งนี้ความยังไม่สิ้นกระแสว่าเล่าเปียวได้รู้เห็นหรือไม่ หากด่วนตัดสินใจไปทางใดทางหนึ่ง เกลือกเล่าเปียวมิรู้เห็นเป็นใจด้วยก็จะเสียไมตรีไป จึงชอบที่ท่านจะต้องมีหนังสือแจ้งความทั้งปวงให้เล่าเปียวทราบ แล้วคอยฟังท่าทีของเล่าเปียวจึงค่อยคิดการต่อไป
เล่าปี่ได้สอบถามที่ประชุมและไม่มีผู้ใดมีความคิดเห็นเป็นอย่างอื่น เล่าปี่จึงให้แต่งหนังสือถึงเล่าเปียว เล่าความทั้งสิ้นแล้วให้ซุนเขียนถือหนังสือนั้นไปเมืองเกงจิ๋ว
ครั้นเล่าเปียวทราบว่าซุนเขียนมาแต่เล่าปี่เมืองซินเอี๋ย จึงอนุญาตให้ซุนเขียนเข้ามาพบเพราะมีความข้องใจจะไต่ถาม เนื่องจากชัวมอมารายงานเล่าเปียวไว้ก่อนแล้วว่าในขณะที่บรรดาเจ้าเมืองต่างๆ ที่ขึ้นต่อเมืองเกงจิ๋วกำลังกินโต๊ะกันในงานชุมนุมหัวเมืองนั้น เล่าปี่พลันหนีไปโดยไม่แจ้งข่าวคราวให้ทราบ เกรงว่าเล่าปี่จะคิดร้ายต่อเมืองเกงจิ๋ว เล่าเปียวรับฟังรายงานจากชัวมอแล้วยังไม่ปลงใจเชื่อโดยสนิท กลับคิดว่าน่าจะมีเงื่อนงำแอบแฝง แลสมควรที่จะไต่ถามความจากเล่าปี่ให้กระจ่างก่อน
พอซุนเขียนคำนับคารวะตามธรรมเนียมแล้ว เล่าเปียวจึงถามขึ้นว่าในงานชุมนุมเจ้าเมืองที่ขึ้นต่อเมืองเกงจิ๋ว ขณะที่กำลังเลี้ยงโต๊ะเจ้าเมืองแลขุนนางข้าราชการนั้น ไฉนเล่าปี่จึงหนีกลับไปโดยไม่แจ้งเหตุให้ทราบก่อน มีเหตุผลเบื้องลึกเบื้องหลังประการใด
ซุนเขียนฟังดังนั้นก็ยื่นหนังสือของเล่าปี่แก่เล่าเปียวแล้วว่า ความทั้งปวงอันท่านแคลงอยู่ในใจนั้น เล่าปี่ได้มีหนังสือมาแจ้งแก่ท่าน ขอท่านจงอ่านดูเถิด
เล่าเปียวจึงรับหนังสือเอามาอ่าน พอทราบความว่าชัวมอวางแผนการสังหารเล่าปี่ เป็นเหตุให้เล่าปี่ต้องผลุนผลันหนีออกไปจากงานชุมนุมบรรดาเจ้าเมืองอย่างฉุกละหุก เล่าเปียวก็ปลงใจเชื่อความตามจดหมายของเล่าปี่นั้นจึงโกรธชัวมอยิ่งนัก สั่งทหารให้ไปเรียกตัวชัวมอมาพบในทันที
พอชัวมอเข้ามาพบ เล่าเปียวก็เท้าความแล้วด่าว่าชัวมอที่ลอบวางแผนร้ายให้เสื่อมเสียถึงเล่าเปียวอย่างรุนแรง แล้วสั่งทหารให้จับตัวชัวมอเอาไปประหาร แต่ในขณะที่เล่าเปียวกำลังด่าชัวมอด้วยเสียงอันดังเพราะแรงโทสะ หญิงรับใช้ในจวนของเล่าเปียวได้ยินความจึงรีบนำไปแจ้งแก่นางชัวฮูหยิน
นางชัวฮูหยินทราบความก็ตกใจ รีบออกมาหาเล่าเปียว พอได้ยินเล่าเปียวออกคำสั่งประหารชัวมอ จึงรีบคุกเข่าคำนับเล่าเปียวแล้วว่า ความผิดของชัวมอครั้งนี้แม้มีอยู่แต่ก็หาควรจะต้องรับโทษประหารไม่ เพราะการอันชัวมอทำไปนั้นหาได้คิดคดทรยศต่อท่าน หากกระทำไปเพราะเกรงภัยจะเกิดขึ้นแก่เมืองเกงจิ๋วแลบุตรท่าน น้ำใจของชัวมอแม้จะผิดก็ผิดแต่เพียงกับเล่าปี่ แต่ความภักดีในตัวท่านแลเมืองเกงจิ๋วนั้นยังเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ ดังนั้นขอจงเห็นแก่ข้าพเจ้าผ่อนผันยกโทษให้สักครั้งหนึ่ง
เล่าเปียวได้ฟังคำเมียใจหนึ่งก็กลัวเมีย ทั้งคำของเมียผู้เป็นที่รักและเกรงกลัวก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผลเสียทีเดียว แต่แรงโกรธ แรงเกลียดชัวมอยังคุมแค้นอยู่ในอก เล่าเปียวจึงได้แต่ส่ายศีรษะและไม่กล่าวความแต่ประการใด
นางชัวฮูหยินเห็นเป็นทีดังนั้นก็สั่งทหารให้ปล่อยตัวชัวมอเสีย ทหารเมืองเกงจิ๋วรู้อาการและสถานการณ์ดีจึงปล่อยตัวชัวมอตามคำของชัวฮูหยินนั้น
ซุนเขียนเห็นสภาพเช่นนั้นก็เข้าใจสถานการณ์กระจ่างว่าอย่างไรเสียเล่าเปียวคงไม่กล้าฝืนใจเมียสั่งประหารชัวมอจึงคิดสร้างบุญคุณไว้กับใจชัวมอแล้วว่า ชัวมอเป็นนายทหารสำคัญของเมืองเกงจิ๋ว หากสิ้นชัวมอเสียแล้วท่านก็จะขาดกำลังระวังเมือง อนึ่งนั้นเล่าการประหารชัวมอเสียก็ไม่เกิดประโยชน์อันใดแก่เล่าปี่ ทั้งเล่าปี่จะอาศัยอยู่ในแดนเมืองเกงจิ๋วนี้ต่อไปคงจะไม่เป็นสุขอีกแล้ว พระคุณท่านอันกรุณาแก่เล่าปี่ก็จะกลายเป็นโทษแก่เล่าปี่ไป.