ตอนที่ 186. คุณสมบัติของกุนซือ

 เล่าปี่หนีอันตรายเข้าสู่เขตแดนเมืองลำเจี๋ยงโดยไม่รู้ตัวว่าดินแดนนี้คือดินแดนที่อยู่ภายใต้ร่มเงาแห่งพญามังกร และเพียงแค่สัมผัสกับเงาอันเลือนลางแห่งพญามังกรที่ทาบอยู่ ณ ดินแดนแห่งนี้เท่านั้น เล่าปี่ก็ได้รู้ซึ้งถึงความมหัศจรรย์ที่ไม่เคยประสบมาแต่ก่อน ครั้นได้เล่าความเป็นมาจนกระทั่งได้มาพบกับสุมาเต๊กโชแล้ว เล่าปี่ก็ก้มหน้านิ่งด้วยความรัดทดใจในโชควาสนาของตัว

            สุมาเต๊กโชฟังคำเล่าปี่แล้วจึงว่าเราได้ยินกิตติศัพท์เลื่องลือมาแต่ก่อนว่าตัวท่านนี้มีสติปัญญาเป็นอันมาก ทั้งมีน้ำใจโอบอ้อมอารีแก่คนทั้งปวง แต่ไฉนหนอจึงยังตั้งตัวไม่ได้ ต้องร่อนเร่พเนจรอยู่ฉะนี้

            สุมาเต๊กโชผู้นี้ลำพังเพียงเล่นพิณโดยไม่ติดขัด ก็หยั่งรู้ได้ว่ามีผู้มีสติปัญญามาลอบฟังเพลงพิณ และเพียงแต่เห็นเสื้อผ้าและสีหน้าของเล่าปี่ก็รู้ว่าหนีภัยตาย ซึ่งแสดงอยู่ว่าบุคคลผู้นี้มีญาณหยั่งรู้บางอย่าง แต่ปรากฏว่าในสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) มิได้ไขถึงเหตุผลต้นปลาย จึงทำให้รู้สึกเพียงแค่ประหลาดมหัศจรรย์โดยไม่รู้ความเป็นมา ส่วนสามก๊กฉบับบริวิทเทเล่อร์ของอังกฤษระบุว่าสุมาเต๊กโชผู้นี้มีสมญานามอีกชื่อหนึ่งว่า “อาจารย์แว่นน้ำ” คือเมื่อเพ่งมองน้ำแล้วสามารถหยั่งรู้การในอนาคตแลอดีตได้ และสามก๊กฉบับวณิพกของยาขอบได้ระบุว่าสุมาเต๊กโชผู้นี้เป็นผู้ชาญอาโปกสิณ หรือนัยหนึ่งก็คือเป็นผู้ปฏิบัติธรรมเจริญกสิณแห่งธาตุน้ำ และเพราะอิทธิฤทธิ์แห่งกสิณวิธีนี้จึงทำให้สามารถหยั่งรู้การณ์อดีตและอนาคตได้ ซึ่งสอดคล้องกับความในฉบับภาษาอังกฤษของบริวิทเทเล่อร์นั้น

            ในพระพุทธศาสนามีวิถีปฏิบัติทางจิตไว้หลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นแบบอานาปาณสติ กายคตาสติ หรือกสิณวิธี เพื่อทำให้จิตตั้งมั่นเป็นปาริสุทโธ ทำให้จิตบริสุทธิ์เป็นปาริสุทโธ และทำให้จิตควรแก่การงานในหน้าที่ของจิตเป็นกัมมะนิโย โดยหนึ่งในกสิณวิธีนั้นคือการเจริญอาโปกสิณหรือการเพ่งน้ำเป็นอารมณ์ ทำให้จิตมีอาการครบทั้งสาม แล้วเป็นที่ตั้งแห่งอิทธิฤทธิ์ เพราะเมื่อจิตเป็นสมาธิถึงระดับอัปปนาสมาธิแล้ว สามารถถอนจิตนั้นกลับมาที่ขั้นอุปจารสมาธิ ซึ่งเป็นขั้นที่ใช้อิทธิฤทธิ์อำนาจแห่งจิตไปในการต่าง ๆ ได้ สำหรับผู้ที่เจริญอาโปกสิณหรือกสิณธาตุน้ำมีกำลังกล้าแล้ว สามารถใช้อำนาจแห่งจิตนั้นเพ่งไปในน้ำ หยั่งรู้ถึงเหตุการณ์เป็นมาในอดีตและอนาคตได้ สามารถทำให้แผ่นน้ำดุจแผ่นดิน สามารถเดินไปบนผิวน้ำได้ หรือสามารถทำให้น้ำเป็นช่องว่าง สามารถลอดหรือลงไปอยู่อาศัยได้ กระทั่งสามารถทำให้กระแสน้ำไหลทวนขึ้นแลลงได้ดังปรารถนา

            สุมาเต๊กโชเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมในลัทธิเต๋า บำเพ็ญเพียรทางจิตอยู่ในป่าเขาอันวิเวก แม้มิได้ปฏิบัติตามวิถีทางอันบัญญัติไว้ในพระพุทธศาสนา แต่วิถีปฏิบัติในลัทธิเต๋าเพื่อการเข้าสู่ถึงความเป็นธรรมชาติก็มีมรรควิธีที่ทำให้จิตมีอาการครบทั้งสามได้ เป็นแต่เป้าหมายสูงสุดนั้นไม่ใช่การหลุดพ้นจากทุกข์สิ้นเชิง หากคงมุ่งหวังสู่ความเป็นธรรมชาติ หรือความมีฤทธิ์ที่ยังมีกิเลสครอบงำอยู่

            การที่สุมาเต๊กโชได้ปฏิบัติโดยมรรควิธีแห่งลัทธิเต๋า โดยถือน้ำเป็นอารมณ์ในการเพ่งพินิจพิจารณาและฝึกฝนทางจิต ทำให้จิตตั้งมั่นบริสุทธิ์เป็นสมาธิควรแก่งาน และสามารถทำงานของจิตโดยอาศัยน้ำเป็นบาทฐานนั้น สามก๊กฉบับบริวิท  เทเล่อร์จึงแปลสมญาของสุมาเต๊กโชว่า “อาจารย์แว่นน้ำ” อาศัยการเพ่งน้ำสอดส่องเพื่อความรู้อดีตและอนาคต ในขณะที่ยาขอบซึ่งมีความรู้ทางพระพุทธศาสนาได้ถอดความให้สอดคล้องกับความเข้าใจของคนไทยว่าสุมาเต๊กโชเป็นผู้ชาญอาโปกสิณดังนี้

            สุมาเต๊กโชถามเล่าปี่ถึงต้นสายปลายเหตุว่าเหตุใดจึงยังตั้งตัวไม่ได้ ซึ่งเป็นคำถามที่สุมาเต๊กโชเองย่อมมีคำตอบในใจดีอยู่แล้ว เป็นการตั้งคำถามเพื่อต้องการฟังความคิดและความเข้าใจของเล่าปี่จากปากของเล่าปี่เอง หาใช่เป็นการตั้งคำถามโดยความไม่รู้แต่ประการใดไม่

            เล่าปี่ได้ฟังคำถามของสุมาเต๊กโชดังนั้นจึงว่า “ตัวข้าพเจ้าทุกวันนี้วาสนาน้อย ทั้งชะตาราศีก็อาภัพจึงได้ความลำบาก”

            สุมาเต๊กโชจึงว่า เกิดเป็นชายชาติอาชาไนย ไฉนจึงหวังพึ่งพาแต่วาสนาเล่า ท่านกล่าวความทั้งนี้มิต้องด้วยความเห็นของข้าพเจ้า การที่ท่านยังตั้งตัวมิได้แลต้องร่อนเร่พเนจรอยู่ดังนี้ก็เพราะ “ท่านหาคนดีมีสติปัญญาเป็นที่ปรึกษานั้นยังมิได้”

            เล่าปี่จึงว่า อันคนดีมีสติปัญญาเป็นที่ปรึกษาของข้าพเจ้านั้นก็มีอยู่ คือซุนเขียน บิต๊ก บิฮอง และกันหยง ทั้งสี่คนนี้ทำการอยู่ด้วยกัน เป็นที่ไว้วางใจกันมาช้านาน มีสติปัญญาและรอบรู้การบ้านเมือง เป็นที่ยอมรับนับถือว่าเป็นบัณฑิต ส่วนฝ่ายทหารนั้นเล่าข้าพเจ้าก็มีกวนอู เตียวหุย จูล่ง สำหรับกวนอูกับเตียวหุยนั้นมีฝีมือกล้าแข็ง แลยังเป็นพี่น้องร่วมสาบานที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมา ส่วนจูล่งแม้นมิได้ร่วมน้ำสาบานเป็นพี่น้องแต่ก็เหมือนดั่งพี่น้อง มีความซื่อสัตย์ภักดีและฝีมือเข้มแข็งกล้าหาญนัก ข้าพเจ้ามีทั้งที่ปรึกษาแลขุนพลพร้อมพรั่งดั่งนี้แล้ว แต่ที่ยังตั้งตัวมิได้ก็เพราะบุญวาสนาของข้าพเจ้าอาภัพ จะตำหนิติเตียนหรือโทษใครหาได้ไม่

            สุมาเต๊กโชจึงว่าอันซุนเขียน บิต๊ก บิฮอง แลกันหยงนั้น ถึงจะมีสติปัญญาก็เป็นเพียงสติปัญญาระดับนักวิชาการทั่วไป ประสบการณ์ความรู้ความสามารถก็เป็นแต่ด้านธุรการแลการปกครองตามแบบเดิม ๆ มา ไม่อาจอาศัยความรู้ความสามารถคิดอ่านการสงครามกอบกู้แผ่นดินให้สำเร็จได้ดังปรารถนา คนเหล่านี้ถึงมีก็เหมือนไม่มี ส่วนกวนอู เตียวหุย แลจูล่งนั้นแม้เป็นทหารมีฝีมือกล้าแข็ง สามารถต่อสู้กับข้าศึกนับหมื่นนับแสนได้ก็จริงอยู่ แต่ขาดผู้ใช้สอยจับวางให้มีอานุภาพสูงสุดเท่าที่พึงมี เหตุนี้การกอบกู้แผ่นดินตามปณิธานของท่านจึงยังไม่อาจบรรลุผลและต้องกระเสือกกระสนพเนจรร่อนเร่อยู่ดั่งวันนี้

            เล่าปี่จึงว่าถ้ากระนั้นคนดีที่มีสติปัญญาควรแก่การเป็นที่ปรึกษาในการกอบกู้แผ่นดินนั้นเป็นฉันใด

            สุมาเต๊กโชจึงว่าอันคนดีมีสติปัญญาควรแก่การเป็นที่ปรึกษาในการกอบกู้บ้านเมืองนั้นย่อมต้องเป็นผู้รู้แจ้งในวิชาทั้งสี่และในนิติทั้งสาม อันวิชาทั้งสี่แลนิติทั้งสามนี้เป็นไฉน

            สุมาเต๊กโชพรรณนาต่อไปว่าวิชาทั้งสี่นั้นได้แก่

            หนึ่ง วิชาพิชัยสงคราม ซึ่งว่าด้วยยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี ยุทธการ ยุทโธบาย และการดำเนินสงคราม ทั้งย่อมหมายรวมเอาการฝึกฝนบังคับบัญชาการทหารและการใช้กำลังทหารให้สอดคล้องกับสถานการณ์แลภูมิประเทศ

            สอง วิชาธรรมะ ซึ่งว่าด้วยความเป็นจริงแห่งธรรมชาติทั้งปวง กฎแห่งธรรมชาติทั้งปวง หน้าที่แห่งธรรมชาติทั้งปวงแลผลที่เกิดขึ้นตามธรรมชาตินั้น

            สาม วิชาหมากล้อม ซึ่งว่าด้วยการตัดสินใจแลการวางแผน ทั้งในด้านการเมือง การทูต การทหาร และประกอบเข้าเป็นอัธยาศัยที่ตัดสินใจโดยคะเนการทั้งปวงถ้วนทั่วทั้งกระดาน ทั้งฝ่ายเราและฝ่ายตรงกันข้าม กระจ่างแจ้งถึงสภาพการทั้งฝ่ายเราและฝ่ายข้าศึก แล้วคิดอ่านแผนการช่วงชิงชัย

            สี่ วิชาดาราศาสตร์ แลคัมภีร์พยากรณ์ ซึ่งว่าด้วยวิถีโคจรของดวงดาวบนนภากาศและความผันแปรแห่งธาตุทั้งห้าที่ยักย้ายถ่ายเทผันแปรก่อเกิดเป็นกลางวัน กลางคืน ฤดูกาลร้อนและหนาว เมฆ หมอก พายุ น้ำหลาก ตลอดจนปรากฏการณ์ธรรมชาติต่าง ๆ

            นี่คือวิชาทั้งสี่ที่พึงมีประจำตัวสำหรับคนผู้ควรเป็นที่ปรึกษาการแผ่นดิน ส่วนนิติทั้งสามนั้นคือ

            หนึ่ง โลกนิติ คือกฎ แบบแผนแลคติความนิยมที่เป็นไปในโลกว่าสิ่งใดคือธรรม สิ่งใดคืออธรรม สิ่งใดคือสุทธิ สิ่งใดคืออสุทธิ สิ่งใดคือมงคล สิ่งใดคืออัปมงคล สิ่งใดคือความปรารถนานิยมแห่งมหาชน สิ่งใดคือความไม่พึงปรารถนานิยมแห่งมหาชน

            สอง ธรรมนิติ คือกฎเกณฑ์ธรรมเนียมประเพณีแลแบบแผนในการครองแผ่นดิน บ้านเมือง และใจคน ให้ปรองดองสามัคคีสมานฉันท์ เป็นวิถีปฏิบัติในการครองอำนาจรัฐ ในการใช้อำนาจรัฐและในการรักษาอำนาจรัฐให้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของมหาชน

            สาม ราชนิติ คือบทกฎหมายพระอัยการทั้งปวงที่มีมาสำหรับแผ่นดิน เพื่อเป็นหลักปฏิบัติและห้ามปฏิบัติของอาณาประชาราษฎรและในการบริหารราชการแผ่นดิน ตลอดจนนิติปรัชญา นิตินโยบายที่ถือเอาประโยชน์สุขของมหาชนและความมั่งคงของแผ่นดินเป็นที่ตั้ง

            ผู้มีสติปัญญาผู้ใดประกอบบริบูรณ์ด้วยวิชาทั้งสี่แลนิติทั้งสามนั่นแล้วจึงมีค่าควรแก่ความเป็นที่ปรึกษาในการกอบกู้แลบริหารบ้านเมือง ผู้บริบูรณ์ด้วยวิชาทั้งสี่แลนิติทั้งสามนี่แล้วจึงพึงได้นามว่า “กุนซือ” ที่ปรึกษาดังนี้ท่านมีหรือไม่

            เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ตะลึงงัน ใจเปี่ยมไปด้วยความเคารพศรัทธาในภูมิปัญญาอันกว้างไกลของสุมาเต๊กโชยิ่งนัก เพราะความอันสุมาเต๊กโชกล่าวพรรณนานี้เป็นสิ่งซึ่งเล่าปี่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ครั้งได้ตรองพิจารณาแล้วเห็นว่าบรรดาผู้คนที่มีอยู่นั้นไม่มีบุคคลใดที่บริบูรณ์ด้วยวิชาทั้งสี่และนิติทั้งสามนี้เลย เล่าปี่จึงว่าความอันท่านกล่าวนี้ทำให้ข้าพเจ้าได้ตื่นขึ้นจากความฝัน ก้าวออกจากที่มืดสู่ที่สว่าง แม้คุณลักษณะของกุนซือดั่งนี้ ข้าพเจ้าจะไม่เคยได้เห็นได้ฟังมาก่อน แต่ตัวข้าพเจ้านี้ก็มีความปรารถนาตลอดมาที่ใคร่ได้ผู้มีสติปัญญามาช่วยคิดอ่านทำการ เมื่อได้ฟังคำท่านดั่งนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็วิตกนักว่าจะหากุนซือดังคำท่านได้จากที่ไหน

            สุมาเต๊กโชจึงว่า “โบราณท่านว่าไว้แต่ก่อนว่าสิบคนจะหาผู้กล้าหาญได้คนหนึ่ง ร้อยคนจะจัดหาผู้มีสติปัญญาได้คนหนึ่ง แลคนทั้งปวงก็มีอยู่เป็นอันมาก แม้ท่านจะประสงค์หาผู้มีสติปัญญานั้นก็จะได้สมความปรารถนา”

            สุมาเต๊กโชเล็งด้วยฌาณแห่งอาโปกสิณจึงกล่าวเป็นคำขาดว่าเล่าปี่จะสมความปรารถนาในการหากุนซือแต่ถ้อยร้อยคำที่กล่าวนั้นกลับกล่าวกลืนกลมดูเป็นธรรมดาแลปกติยิ่งนัก เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นหาได้สะกิดใจในคำพยากรณ์แห่งสุมาเต๊กโชนั้นไม่ เพราะใจมัวพะวงอยู่แต่การที่จะหากุนซือได้จากที่ไหน

            เล่าปี่จึงว่าตัวข้าพเจ้ามีสายตาอันสั้น มีปัญญาอันแคบ ไม่อาจล่วงรู้ถึงภูมิปัญญาแลความรู้ของผู้มีลักษณะอันเป็นกุนซือดังคำท่านได้ จึงขอท่านจงเมตตาช่วยอนุเคราะห์แนะนำกุนซือให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด

            สุมาเต๊กโชจึงว่าคนที่เป็นกุนซือนั้นแผ่นดินนี้มีอยู่ ขอบฟ้าที่กว้างไกลก็แลเห็นได้ด้วยตา ผู้มีสติปัญญาก็ย่อมอยู่ในที่ไม่ใกล้ไม่ไกลเท่าใดนัก เมื่อท่านมีความปรารถนามั่นคงที่จะใคร่เสวนาสมาคมแน่วแน่แล้ว ก็จงตั้งความวิริยะอุตสาหะสืบเสาะหาด้วยใจสุจริตก็จะประสบความสำเร็จได้ในวันหนึ่ง

            เล่าปี่จึงว่าขอบฟ้ากว้างไกลแลเห็นได้ก็จริงอยู่ แต่แผ่นดินนี้กว้างใหญ่ไพศาลนักผู้มีสติปัญญาที่ควรแก่ฐานะกุนซืออยู่ที่แห่งหนตำบลใดเล่า แม้ต่อให้ข้ามน้ำข้ามทะเลลุยป่าฝ่าเพลิงยากลำบากสักเพียงไหน ขอเพียงท่านไขชี้ให้ข้าพเจ้าทราบ ข้าพเจ้าก็จะไม่พรั่น พร้อมที่จะฝ่าฟันอุปสรรคทั้งปวงดั้นด้นไปหาจงได้

            สุมาเต๊กโชได้ยินคำอันมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวดังนั้นจึงว่า “อันฮกหลงกับฮองซูสองคนนี้ถ้าได้มาเป็นที่ปรึกษาด้วยแต่ผู้ใดผู้หนึ่งก็อาจสามารถจะคิดอ่านปราบปรามศัตรูแผ่นดินให้สงบได้”

            เล่าปี่ได้ยินนาม “ฮกหลง” แล “ฮองซู” จากปากสุมาเต๊กโชแล้วไม่ทราบว่านามนี้เป็นนามเฉพาะแห่งบุคคลหรือว่าเป็นชื่อแซ่หรือว่าเป็นสมญาก็สงสัย จึงถามว่าอันฮกหลงแลฮองซูที่ท่านบอกนั้นข้าพเจ้ายังไม่กระจ่างแจ้งว่าเป็นผู้ใด ขอท่านได้เอ็นดูบอกความให้กระจ่างพอที่ข้าพเจ้าจะรู้แลแสวงหาได้เถิด

            สุมาเต๊กโชได้ฟังดังนั้นก็ลุกขึ้นยืนปรบมือหัวเราะแล้วว่าพระเจ้าอาช่างมีใจร้อนใคร่ได้กุนซือเสียจริง ๆ แล้วว่าเวลาวันนี้จะค่ำแล้วอย่าเพิ่งรีบร้อนไต่ถามเรื่องนี้ต่อไปเลย จงพักอยู่ที่เรือนข้าพเจ้าให้เป็นที่สบายเสียคืนหนึ่งก่อน พรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะแจ้งความละเอียดให้ท่านทราบ

            เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็เกรงใจสุมาเต๊กโช ไม่กล้ารุกเร้าอีกต่อไปจึงรับคำเชิญ  สุมาเต๊กโชจึงให้ลูกศิษย์เอาม้าของเล่าปี่ไปผูก จัดแจงข้าวปลาอาหารเลี้ยงดู แล้วจัดที่พักหลับนอนให้แก่เล่าปี่ ในขณะที่อุ้งหัตถ์แห่งรัตติกาลได้แผ่ปกคลุมบ้านป่าแดนเมืองลำเจี๋ยง จนเห็นเพียงแสงไฟในบ้านสลัว ๆ เท่านั้น.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร