ตอนที่ 185. เงาพญามังกร

 ชัวมอวางแผนการสังหารเล่าปี่ไว้อย่างรอบคอบรัดกุม แต่เล่าปี่ทราบแผนการร้ายจึงหนีไปทางประตูเมืองด้านตะวันตก แล้วข้ามแม่น้ำตังเขซึ่งลึกและกว้างเก้าวาสิบวาไปได้อย่างหวุดหวิดพิสดาร แต่ในขณะที่ชัวมอทราบข่าวว่าเล่าปี่หนีแล้วระดมทหารเพื่อไล่ตามเล่าปี่นั้น ความชุลมุนของทหารชัวมอทั้งภายในและภายนอกศาลาว่าราชการจึงปรากฏขึ้น

            พอทหารของชัวมอลุกลี้ลุกลนตามชัวมอไป บรรดาเจ้าเมืองทั้งปวงเห็นผิดสังเกตก็แตกฮือชุลมุนขึ้น จูล่งนั่งกินโต๊ะอยู่ข้างนอกเห็นผิดสังเกตจึงถือกระบี่วิ่งเข้าไปในศาลาว่าราชการแต่ไม่เห็นเล่าปี่ก็ตกใจ เดินกลับออกมาก็ได้ยินเสียงทหารพูดจากันว่าเล่าปี่หนีไปทางประตูเมืองตะวันตก และชัวมอยกทหารไล่ตามไปแล้ว จูล่งจึงพา ทหารสามร้อยนายขึ้นม้ายกตามเล่าปี่ไป

            พอจูล่งพาทหารพ้นประตูเมืองด้านตะวันตกมาครู่หนึ่งก็สวนกับชัวมอนำทหารกลับมา จูล่งจึงร้องถามชัวมอว่าขณะนี้เล่าปี่นายเราอยู่ที่ไหน ชัวมอเห็นกิริยาอาการจูล่งเคร่งขรึมเป็นสง่าก็พรั่นพรึง ข่มใจแล้วตอบไปว่าข้าพเจ้าได้ทราบว่าเล่าปี่ได้ออกจากเมืองไปแล้ว แต่จะไปทางไหนนั้นไม่แจ้ง

            จูล่งอ่านและทราบสถานการณ์ดีว่าเรื่องทั้งนี้เกิดแต่ชัวมอคิดอ่านทำร้ายเล่าปี่ แต่จูล่งนั้นเป็นคนมีน้ำใจหนักแน่น ในเมื่อยังไม่พบหน้าเล่าปี่จึงไม่หุนหันพลันแล่น แต่รีบพาทหารสวนกับชัวมอตรงไปทางด้านตะวันตกจนถึงริมแม่น้ำตันเข เห็นแม่น้ำทั้งกว้างทั้งลึก ไม่คิดว่าเล่าปี่จะข้ามแม่น้ำนี้ไปได้ จึงรีบพาทหารย้อนกลับไล่ตามชัวมอ

            พอเข้ามาใกล้จูล่งก็ร้องเรียกให้ชัวมอหยุด แล้วว่าเล่าเปียวเชิญเล่าปี่นายเรามาเป็นประธานในงานชุมนุมบรรดาหัวเมืองทั้งปวงในครั้งนี้ ได้ทำผิดสิ่งใดต่อท่านจึงคิดอ่านทำร้ายนายเรา

            ชัวมอเกรงลักษณาการจูล่ง พรั่นพรึงอยู่ ได้ยินคำจูล่งเยือกเย็นดุจเสียงแห่งพญามัจจุราชก็ข่มใจกล่าวตอบเป็นทางเอาตัวรอดว่า เราไม่ได้คิดทำอันตรายต่อเล่าปี่ ที่ยกทหารมาทั้งนี้ก็เพื่ออารักขาบรรดาเจ้าเมืองทั้งปวงมิให้เป็นอันตราย

            จูล่งจึงว่าข้าพเจ้าทราบดีว่าการทั้งนี้เกิดแต่ท่านวางแผนลอบสังหารเล่าปี่ ข้าพเจ้าถามความท่านแต่โดยดี แต่ท่านกลับบ่ายเบี่ยงเลี่ยงเอาเรื่องอื่นมาพูด ว่าแล้วจูล่งก็จ้องหน้าไปที่ชัวมอ

            ชัวมอเห็นดังนั้นจึงอ่อนเสียงตอบไปว่า เราได้ทราบข่าวว่าเล่าปี่หนีไปทางทิศตะวันตกจึงยกทหารมาติดตามเพื่ออารักขาแต่ไม่พบตัวเล่าปี่จึงเดินทางกลับแต่ตัวเปล่า ซึ่งท่านก็ได้เห็นประจักษ์อยู่แก่ตาตัวเองแล้วไม่ใช่หรือ

            จูล่งกวาดสายตาไปที่ชัวมอแลทหารซึ่งติดตามทั้งนั้นแล้วไม่เห็นมีร่องรอยการต่อสู้ก็ค่อยเบาใจว่าเล่าปี่น่าจะไม่มีอันตราย แต่ยังไม่สิ้นสงสัยจึงชักม้าพาทหารกลับไปที่ริมแม่น้ำตันเขอีกครั้งหนึ่ง

            พอถึงริมแม่น้ำตรงจุดที่เล่าปี่ข้าม จูล่งสังเกตเห็นรอยเท้าม้าที่ริมตลิ่ง แล้วจ้องเขม็งไปที่ฟากแม่น้ำอีกข้างหนึ่งก็เห็นโคลนจากรอยเท้าม้าติดอยู่ที่ริมตลิ่งและที่ริมตลิ่งนั้นก็ยังชุ่มน้ำเปียกอยู่เห็นถนัด จูล่งใจหนึ่งก็คิดว่าเล่าปี่คงหนีข้ามแม่น้ำนี้ไป แต่อีกใจหนึ่งนั้นแคลงใจว่าแม่น้ำนี้ทั้งกว้างทั้งลึก เล่าปี่จะข้ามแม่น้ำนี้ไปได้อย่างไรกัน

            จูล่งสองจิตสองใจลังเลมิรู้ที่จะตัดสินใจไปทางข้างว่าเล่าปี่หนีข้ามแม่น้ำไปได้หรือไม่ หรือว่าจะหนีไปทางอื่น ลังเลสองจิตสองใจอยู่ดังนี้จึงคิดว่าอย่ากระนั้นเลยจะกลับไปถามชัวมอให้กระจ่างจะดีกว่า ว่าแล้วก็ชักม้าพาทหารไล่ตามชัวมอมาอีกครั้งหนึ่ง

            แต่พอจูล่งพาทหารมาถึงประตูเมืองด้านตะวันตกปรากฏว่าชัวมอเข้าเมือง   ซงหยงไปแล้ว จูล่งจึงตรงเข้าไปจับนายประตูแล้วขู่ถามขึ้นว่าเจ้าเห็นเล่าปี่นายเราออกไปจากประตูเมืองด้านนี้หรือไม่ ให้บอกมาตามความจริง หากกล่าวคำเท็จเราก็จะเด็ดหัวเจ้าเสีย

            นายประตูถูกจูล่งจับแล้วตะคอกถามดังนั้นก็ตกใจ รีบบอกตามความจริงว่าเล่าปี่หนีออกไปทางประตูนี้แต่เพียงผู้เดียว จูล่งได้ฟังดังนั้นก็โกรธชัวมอแต่คิดขึ้นมาว่าบัดนี้ชัวมอพาทหารเข้าไปในเมืองแล้ว อยู่ในท่ามกลางทหารเป็นจำนวนมาก แม้หากเราจะยกทหารเข้าไปก็ไม่ทำให้ได้พบตัวเล่าปี่ คิดดังนี้แล้วจูล่งจึงพาทหารยกกลับไปเมืองซินเอี๋ย

            ฝ่ายเล่าปี่หนีข้ามแม่น้ำตันเขมาได้แล้ว เสื้อผ้าเนื้อตัวก็เปียกปอน ซัดเซไปแต่ตัวคนเดียวก็เสียน้ำใจนัก รำพึงขึ้นแต่ในใจว่าตัวเรานี้ช่างอาภัพอับวาสนา แต่พลันนั้นก็สะกิดใจว่าเหตุไฉนจึงสามารถข้ามแม่น้ำตันเขทั้งลึกทั้งกว้างขนาดนั้นมาได้ ทั้งยังคิดสงสัยต่อไปว่าม้าเต๊กเลากระโจนเพียงครั้งเดียวเหตุไฉนจึงไปได้ไกลถึงเจ็ดแปดวาจนถึงที่น้ำตื้นได้เล่า

            หรือว่านี่เป็นเพราะเทพยดาอุปถัมภ์ค้ำชูช่วยเหลือมิให้เป็นอันตรายและอุ้มเท้าม้าให้กระโดดฝ่าข้ามแม่น้ำมาได้โดยปลอดภัย เล่าปี่ไตร่ตรองแล้วไม่เห็นโอกาสที่จะเป็นไปประการอื่นนอกจากสวรรค์บันดาลประการเดียว ความปิติปรีดาปราโมทย์ก็บังเกิดขึ้นในใจ ความท้อแท้หมดกำลังใจก็สร่างสิ้นไป เกิดพลังวิริยานุภาพแข็งกล้าขึ้นในฉับพลัน จนขี่ม้าเข้าถึงแดนเมืองลำเจี๋ยงโดยไม่รู้สึกตัว

            อา! เล่าปี่กำลังเหยียบเข้าสู่ดินแดนอันเป็นร่มเงาแห่งพญามังกรโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวตามบัญชาอันยุติธรรมแห่งสวรรค์นั่นแล้ว

            เล่าปี่มาถึงเขตแดนเมืองลำเจี๋ยง แสงตะวันก็คล้อยต่ำด้วยเป็นเวลาพลบ เห็นบรรดาชาวนาแบกจอบเสียมกลับบ้าน พอผ่านมาครู่หนึ่งเห็นเด็กน้อยอายุราวสิบสองขวบ ขี่ควายเป่าขลุ่ยสวนทางมาข้างหน้าในลักษณาการที่เปี่ยมด้วยความสุขและอิ่มเอิบใจ

            เสียงขลุ่ยดังมาแต่ไกลให้ความรู้สึกคล้ายกับความในบทเพลงสุนทราภรณ์บทหนึ่งที่ว่า “ต้นข้าวอ่อนพลิ้ว ชูยอดริ้วเรียงราย ขี่ควายแช่มช้อยค่อยเยื้องกราย อยู่นาไกลแสนเมืองแมนกลาย ๆ เดือนก็หงายพอกัน อยู่กรุงอยู่นา มันก็ฟ้าเดียวกัน ขี่ทุยขี่เก๋งก็เหมือนกัน ก็พระจันทร์ดวงเดียว”

            เล่าปี่ได้ยินเสียงขลุ่ยก็ทอดถอนใจใหญ่ รำพึงขึ้นในใจว่าตัวเรานี้เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ของพระวีรมหากษัตริย์อันยิ่งใหญ่เกรียงไกร แต่ไฉนอาภัพอับจนได้รับความทุกข์ลำบากถึงเพียงนี้ สู้เด็กน้อยชาวนาก็มิได้ เพราะดูไปแล้วแม้เป็นชาวบ้านธรรมดาสามัญอยู่ชนบทห่างไกลก็ยังเปี่ยมด้วยความสุขเสียนี่กระไร เล่าปี่คิดดังนี้แล้วก็กระตุกบังเหียนม้าให้หยุด ฟังเสียงขลุ่ยของเด็กน้อยต่อไป จนกระทั่งเด็กน้อยขี่ควายเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าของเล่าปี่

            เด็กน้อยกระตุกเชือกสนตะพายให้ควายหยุด แล้วจ้องดูหน้าเล่าปี่ เห็นสูงใหญ่ หูยาวถึงบ่า ประหลาดกว่าคนทั้งปวงจึงถามว่าตัวท่านนี้คือพระเจ้าอาเล่าปี่ที่เคยมีกิตติศัพท์ลือเลื่องในการปราบโจรโพกผ้าเหลืองใช่หรือไม่

            เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็แปลกใจว่าไฉนเด็กน้อยชาวนาผู้นี้จึงรู้จักตัวเรา จึงถามขึ้นว่าเจ้าหนูน้อย เจ้าอายุเพียงแต่เท่านี้ไฉนจึงรู้จักชื่อเสียงของเราเล่า

            เด็กนั้นจึงตอบว่าข้าพเจ้ายังอ่อนวัยไม่รู้ความการบ้านเมืองก็จริงอยู่ แต่ครูสอนหนังสือของข้าพเจ้านี้ได้คบหาเพื่อนฝูงเป็นอันมาก ข้าพเจ้าเคยได้ยินครูสนทนากับเพื่อน กล่าวความสรรเสริญกิตติศัพท์ของเล่าปี่ว่าประกอบด้วยลักษณะผู้มีบุญ สูงประมาณหกศอก หูใหญ่ยาวถึงบ่า มือยาวถึงเข่า จักษุกรอกไปเห็นใบหู แล้วว่าภายหน้าจะมีบุญเป็นใหญ่ในแผ่นดิน บัดนี้ข้าพเจ้ามาพบท่าน เห็นลักษณะสมดังคำครู จึงสงสัยแล้วไต่ถาม

            เล่าปี่จึงตอบว่าตัวเรานี้ชื่อเล่าปี่ เป็นเชื้อพระวงศ์ฮั่นจริงตามคำเจ้า เราอยากทราบว่าครูของเจ้าที่กล่าวความถึงตัวเรานั้นเป็นผู้ใด

            เด็กน้อยตอบว่าครูของข้าพเจ้าชื่อสุมาเต๊กโช

            เล่าปี่สงสัยจึงถามต่อไปว่าแล้วบรรดาเพื่อนของครูเจ้าเล่า มีใครบ้าง

            เด็กน้อยกล่าวตอบว่าเพื่อนสนิทของครูข้าพเจ้ามีสองคน คนหนึ่งชื่อบังเต๊กก๋งอายุแก่กว่าอาจารย์ข้าพเจ้าสิบปี เป็นอาของนักปราชญ์ที่มีนามว่าบังทอง โดยบังทองนั้นมีอายุน้อยกว่าครูของข้าพเจ้าห้าปี มีสติปัญญาหลักแหลม และรอบรู้ในการทั้งปวง เป็นที่รักของครูข้าพเจ้านัก จึงรับนับถือว่าเป็นน้อง แล้วว่าบังเต๊กก๋งและบังทองสองอาหลานซึ่งเป็นเพื่อนของครูข้าพเจ้ามีถิ่นอาศัยอยู่ในเมืองซงหยง ได้ไปมาหาสู่และพูดจาสรรเสริญถึงกิตติศัพท์ของท่านอยู่เนือง ๆ

            เล่าปี่จึงถามต่อไปว่าครูของเจ้ามีสำนักอยู่ที่ใด เด็กน้อยชี้มือไปที่พุ่มไม้อันไม่ไกลสายตานักแล้วว่าที่บ้านหลังพุ่มไม้ระยะยี่สิบเส้นจากที่ยืนอยู่นี้ นั่นแล้วคือบ้านของครูข้าพเจ้า

            เล่าปี่จึงว่าวันเวลานี้ตะวันพลบแล้ว เจ้าเด็กน้อยจงเอ็นดูพาเราไปพบครูของเจ้าสักหน่อยหนึ่ง เราใคร่จะได้เห็นแล้วคบหากับครูของเจ้า เด็กน้อยนั้นก็รับคำแล้วพาเล่าปี่ไป

            พอเล่าปี่เข้าไปถึงพุ่มไม้ใกล้บ้านก็ได้ยินเสียงพิณดังแว่วมาเป็นที่เสนาะโสต นุ่มนวลหนักหน่วงดังระลอกคลื่นในพระมหาสมุทรลุ่มลึกนัก ผิดจากเสียงพิณธรรมดาที่เคยได้ยิน เล่าปี่จึงถามว่านี่เป็นผู้ใดดีดพิณ เด็กน้อยตอบว่านี่เป็นเสียงพิณจากน้ำมือครูของข้าพเจ้า

            เล่าปี่จึงบอกให้เด็กนั้นหยุดอยู่แล้วว่าเสียงพิณนี้ไพเราะพิสดารนัก เราใคร่หยุดฟังเสียงเพลงพิณนี้สักครู่หนึ่ง เจ้าอย่าเพิ่งเข้าไปบอกครูว่าเรามาเยือน ปล่อยให้ครูของเจ้าได้สำราญใจกับการบรรเลงเพลงพิณต่อไปเถิด เราจะได้ถือโอกาสนี้ฟังเสียงพิณอันเปรียบด้วยทิพย์ดนตรีให้เป็นบุญแก่โสตเรา

            เล่าปี่กล่าวความพอสิ้นคำเสียงพิณนั้นก็หยุดลง มีเสียงคนรำพึงดังขึ้นว่า “เวลาวันนี้เราดีดพิณสละสลวย สายพิณมิได้ขัดข้อง ชะรอยจะมีคนผู้มีสติปัญญามาลักลอบฟังเป็นมั่นคง”

            ปรากฏร่างชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากประตูบ้าน มีรูปร่างผอมสูง ผมเกล้าเป็นมวย มีปิ่นไม้สีดำขัดเกล้ามวยนั้นไว้ เครายาวสลวยดำขลับ ตามีประกายสดใส ใส่เสื้อคลุมสีเทา ลักษณะการเดินเบาหวิวราวกับลอยมาตามลมสมเป็นอาจารย์ผู้ใหญ่ เด็กน้อยพอเห็นชายผู้นี้ก้าวมาถึงธรณีประตูจึงบอกเล่าปี่ว่านี่คือครูของข้าพเจ้าที่มีชื่อว่าสุมาเต๊กโช

            เล่าปี่เห็นและได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดียิ่งนัก ราวกับว่าได้มายืนอยู่เบื้องหน้าเทพยดาผู้มีฤทธายิ่งใหญ่ จึงตรงเข้าไปคำนับคารวะสุมาเต๊กโช

            สุมาเต๊กโชเห็นอากัปกิริยาเล่าปี่นุ่มนวลสง่างามและพิเคราะห์ดูเห็นเสื้อกางเกงเปียกปอนอยู่จึงว่า “ตัวท่านนี้มีบุญแลวาสนาเป็นอันมาก ภัยมาถึงตัวแล้วก็หนีเอาตัวรอดได้”

            เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็หลากใจปนสงสัยว่าไฉนบุคคลผู้นี้อยู่ที่ข้างในบ้านจึงได้ล่วงรู้ความเป็นไปที่ตัวเราได้ประสบมา เล่าปี่ก็ตะลึงอยู่กับที่

            ในขณะนั้นเจ้าเด็กน้อยได้คำนับคารวะสุมาเต๊กโชแล้วว่าคนผู้นี้คือพระเจ้าอาเล่าปี่ ได้พบกับข้าพเจ้าที่กลางทางแล้ววิงวอนขอให้ข้าพเจ้าพามาพบครู สุมาเต๊กโชได้ฟังดังนั้นจึงผายมือเชื้อเชิญเล่าปี่เข้าไปในบ้าน

            สุมาเต๊กโชเชิญเล่าปี่ให้นั่งลงกับที่ แล้วสั่งเด็กในบ้านให้ไปยกกาน้ำชาออกมาต้อนรับเล่าปี่ ในขณะเดียวกันก็กล่าวถามขึ้นอย่างราบเรียบว่าตัวท่านจะไปแห่งไหนจึงได้ผ่านมาทางนี้

            เล่าปี่จึงตอบว่าข้าพเจ้าได้ถือโอกาสอันว่างจากราชการออกมาท่องเที่ยวชนบท เห็นภูมิทัศน์อันเป็นธรรมชาติงดงามนัก จึงได้เที่ยวชมจนเพลินใจแล้วพลัดหลงมาถึงที่นี่ พบเจ้าเด็กน้อยจึงได้ทราบว่าท่านพำนักอยู่ ณ ถิ่นนี้ จึงมีความปรารถนาใคร่มาคารวะคำนับให้เป็นสิริมงคลไว้กับตัว และนับเป็นวาสนาของข้าพเจ้านักที่ได้มีโอกาสมาพบกับท่าน แล้วว่าการได้พบท่านในวันนี้ข้าพเจ้ามีความยินดีหาที่สุดมิได้

            สุมาเต๊กโชได้ฟังดังนั้นจึงว่าท่านจะอำพรางข้าพเจ้าไปทำไมกัน ข้าพเจ้าเห็นท่านแต่แรกก็รู้ว่าตัวท่านนี้เพิ่งเผชิญภยันตรายแล้วหลบหนีรอดตายมาได้

            เล่าปี่ได้ยินดังนั้นก็มั่นใจว่าสุมาเต๊กโชผู้นี้มีญาณวิเศษหยั่งรู้ความเป็นไปของตัวแน่แล้ว หากจะอำพรางความไว้ต่อไปย่อมไม่สมควร จึงเล่าความเป็นมาตั้งแต่ต้นจนกระทั่งหนีข้ามแม่น้ำตันเข แล้วพบกับสุมาเต๊กโชให้สุมาเต๊กโชฟังทุกประการ ในขณะที่ภายในใจนั้นบังเกิดความเลื่อมใสศรัทธาและตระหนักถึงความมหัศจรรย์ในตัวชายวัยกลางคนผู้นี้ที่สามารถหยั่งคาดหมายรู้ถึงเหตุการณ์ภายนอกที่ตัวประสบมาได้อย่างแม่นยำ.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร