ตอนที่ 180. ศุภมงคลนิมิต

 เล่าปี่อาศัยเล่าเปียวอยู่ที่เมืองเกงจิ๋ว สร้างผลงานและความชอบ ปราบปรามโจรผู้ร้ายจนสงบราบคาบและอาสาให้กวนอู เตียวหุย จูล่ง รับหน้าที่เป็นผู้รักษาด่าน ป้องกันเมืองเกงจิ๋วไว้ถึงสามด้าน แม้เมื่อเล่าเปียวพอใจม้าที่ยึดได้จากเตียวบู เล่าปี่ก็มอบให้เป็นของขวัญแก่เล่าเปียว ทำให้เล่าเปียวไว้ใจ วางใจ และพึงใจเล่าปี่เป็นอันมาก

           ความดัง ความดี และความเด่นของเล่าปี่ด้านหนึ่งย่อมเป็นคุณแก่เล่าปี่ที่จะอาศัยทำราชการในเมืองเกงจิ๋วอย่างมีความสุข แต่อีกด้านหนึ่งกลับก่อเหง้าหน่อของเพทภัยให้เกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบ กรณีเป็นดังภาษิตที่ว่า “จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครเขาอยากเห็นเราเด่นเกิน”

           เล่าเปียวกลับจากตรวจการนอกเมืองแล้วขี่ม้าซึ่งเล่าปี่มอบให้กลับเข้าเมืองด้วยความยินดี เล่าปี่ได้ตามมาส่งเล่าเปียวจนถึงหน้าจวนแล้วจึงแยกกลับที่พัก

           ในขณะที่เล่าเปียวขี่ม้าเข้าไปในบริเวณจวน ปรากฏว่าเก๊งอวดซึ่งเป็นนายทหารและที่ปรึกษาคนสำคัญของเมืองเกงจิ๋วมารอพบอยู่ก่อนแล้ว เก๊งอวดทราบว่าเล่าเปียวกำลังกลับเข้ามาที่จวนจึงออกไปต้อนรับ

           พอเก๊งอวดเห็นม้าที่เล่าเปียวขี่มีลักษณะสง่างามแต่แฝงไว้ด้วยความชอบกลประหลาดนัก จึงถามเล่าเปียวว่าม้านี้ท่านได้มาจากที่ไหน

           เล่าเปียวตอบว่าเดิมม้านี้เป็นของเตียวบู เล่าปี่ไปปราบปรามเตียวบูและตันสูน สังหารเตียวบูแล้วจึงยึดม้านี้มา และมอบให้แก่เราเป็นของขวัญ

           เก๊งอวดประคองเล่าเปียวลงจากหลังม้าแล้วเข้าไปสังเกตตรงบริเวณอานม้าเห็นขนสีดำแซมอยู่ในสีดอกเลา มีลักษณะคล้ายดาบ และยังมีสีดำเป็นจุด ๆ อีกข้างละสี่จุด เก๊งอวดเดินวนมาดูที่หัวม้าเห็นที่ขอบตามีร่องน้ำตา จึงตรวจดูที่กีบเท้าม้าปรากฏว่ามีกีบเท้าที่ใหญ่กว่ากีบเท้าม้าปกติ ช่วงโคนข้อเท้าใหญ่และแข็งแรงกว่าปกติมาก

           เก๊งอวดยืนไตร่ตรองลักษณะม้าอย่างเงียบขรึม ในขณะที่เล่าเปียวเห็นอาการของเก๊งอวดแล้วก็สงสัย จึงหยุดยืนมองเก๊งอวดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่ามีสิ่งใดผิดปกติหรือ

           เก๊งอวดจึงว่าข้าพเจ้าพอมีความรู้เรื่องลักษณะของม้า เพราะพี่ของข้าพเจ้าชื่อว่าเก๊งเหลียงนั้นมีความรู้ชำนาญในการดูลักษณะม้าว่าดีแลร้าย ก่อนที่เก๊งเหลียงผู้พี่จะถึงแก่ความตายนั้น ได้บอกตำราดูลักษณะม้าไว้กับข้าพเจ้าให้ร่ำเรียนสืบทอดสืบไป

           แล้วว่าข้าพเจ้าได้พิเคราะห์ดูลักษณะม้าซึ่งท่านขี่แล้ว แม้ว่าจะแข็งแรงสง่างาม มีฝีเท้ารวดเร็วสมเป็นม้าศึกก็จริงอยู่ “แต่ลักษณะร้ายที่ริมจักษุทั้งสองข้างล่างนั้นเป็นร่องน้ำตา ที่ขวัญนั้นมีขนร้ายแซมอยู่”

           เก๊งอวดได้กล่าวต่อไปว่า ม้าลักษณะนี้เป็นม้าที่กินเจ้าของ เตียวบูขี่ม้านี้จึงถึงแก่ความตาย ดังนั้นการที่ท่านเอาม้านี้ไว้ขี่จึงเป็นอัปมงคล และให้โทษแก่เจ้าของ ท่านจงคิดอ่านแก้ไขให้พ้นไปจากตัวเถิด

           เล่าเปียวได้ฟังดังนั้นก็เชื่อถือในคำเก๊งอวดเพราะเคยเห็นประจักษ์มาแต่ก่อน ดังนั้นในวันต่อมาเล่าเปียวจึงให้ทหารคนสนิทไปเชิญเล่าปี่มากินโต๊ะที่จวน

           คำของเก๊งอวดนั้นทำให้ความระแวงในใจของเล่าเปียวเพิ่มพูนมากขึ้น เพราะคิดไปว่าเมื่อม้านี้มีลักษณะร้าย ไฉนเล่าปี่จึงมอบให้แก่เรา หรือว่าเล่าปี่จะคิดร้ายต่อเรา พอความระแวงเพิ่มขึ้นดังนี้ จึงไปสมเข้ากับมารยายุของนางชัวฮูหยิน เล่าเปียวจึงคิดที่จะดำเนินการตามความเห็นของนางชัวฮูหยินให้เล่าปี่ไปอยู่เสียที่ไกลตัว

           ครั้นเล่าปี่มากินโต๊ะที่จวนแล้ว เล่าเปียวจึงแจ้งแก่เล่าปี่ว่าตามที่ท่านมอบม้าแก่เราเป็นของขวัญนั้นขอบใจยิ่งนัก แต่ทว่าตัวเรานี้ชราแล้วมิได้ออกสู่การสงคราม ดังนั้นม้านี้อยู่ที่เราจึงไม่มีประโยชน์สมแก่คุณค่า ท่านจงรับม้านี้กลับคืนไปใช้ในการศึกสงครามจะเป็นประโยชน์ยิ่งกว่า แล้วว่าท่านมาอยู่อาศัยในเมืองเกงจิ๋วนี้ได้สร้างความดีความชอบไว้แก่ชาวเมืองเป็นอันมาก ดังนั้นข้าพเจ้าจะให้ท่านไปรักษาเมืองซินเอี๋ยเพื่อเป็นฐานกำลังสนับสนุนนายทหารที่ไปรักษาด่าน แลเมืองซินเอี๋ยนี้เสบียงอาหารก็บริบูรณ์ ท่านจงรับหน้าที่จัดส่งเสบียงให้แก่นายทหารที่รักษาด่านทั้งสามทางนั้นด้วย

           เล่าปี่ไม่ทราบความนัยที่เล่าเปียวต้องการจะคืนม้า และไม่ทราบความระแวงที่เพิ่มขึ้นในใจของเล่าเปีว ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี แล้วว่าเมื่อท่านให้ความกรุณาดังนี้ ข้าพเจ้าก็ขอรับม้าไว้ใช้ในราชการและขอขอบคุณท่านเป็นอันมาก ส่วนการด้านเมืองซินเอี๋ยนั้นข้าพเจ้าจะรักษาไว้ให้ปลอดภัยและจะจัดเสบียงส่งให้แก่ด่านทั้งสามตามคำสั่งของท่านไม่ให้ขาดเหลือ

           เสร็จจากกินโต๊ะแล้วเล่าปี่จึงคำนับลาเล่าเปียว พอลงมาถึงหน้าจวนทหารประจำจวนของเล่าเปียวได้จูงม้าเข้ามามอบ เล่าปี่สั่งให้ทหารคนสนิทที่ตามมาจูงม้าที่ขี่มาแต่เดิมกลับไป ตัวเล่าปี่เดินมาที่ม้า เอามือทั้งสองลูบหน้าม้าแล้วว่าเป็นบุญของเราสองที่ได้กลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง เรามีความยินดีที่ได้เจ้ากลับคืนมาครั้งนี้ จงเต็มใจอยู่กับเราเหมือนเพื่อนผู้รู้ใจสืบไปเถิด

           ม้านั้นได้ยินคำเล่าปี่ก็เหมือนหนึ่งรู้คำคน พยักหน้าคล้ายกับอาการตอบรับ เล่าปี่เห็นดังนั้นก็หัวเราะ รีบขึ้นม้าขี่ตามทหารกลับไปที่พัก

           ครั้นรุ่งขึ้นเล่าปี่จึงพาครอบครัวและบรรดาทหารสนิทยกออกจากเมืองเกงจิ๋วไปรักษาเมืองซินเอี๋ยตามคำสั่งของเล่าเปียว

           พอมาถึงประตูเมืองเห็นชายผู้หนึ่งชื่ออีเจี้ย มีบุคลิกเป็นผู้คงแก่เรียน เป็นขุนนางรับราชการอยู่ที่เมืองเกงจิ๋ว เล่าปี่รู้จักนับถือกันมาแต่ก่อน เล่าปี่เห็นอีเจี้ยยืนรออยู่ที่ประตูเมืองก็ลงจากหลังม้าเดินเข้ามาคำนับแล้วบอกว่าเล่าเปียวได้สั่งการให้ข้าพเจ้าเดินทางไปรักษาเมืองซินเอี๋ยและจัดส่งเสบียงให้แก่ด่านทั้งสาม ได้มาพบท่านครั้งนี้นับเป็นโอกาสอันดีเพราะจะได้ถือโอกาสอำลาท่านไปพร้อมกัน

           อีเจี้ยคำนับตอบเล่าปี่แล้วว่า ข้าพเจ้าเป็นเพื่อนกับเก๊งอวด วันวานนี้ข้าพเจ้าไปเยี่ยมเก๊งอวดตามปกติ เก๊งอวดได้เล่าให้ฟังว่าเห็นม้าที่เล่าเปียวขี่มีลักษณะร้ายนัก ตามตำราลักษณะม้าบ่งชัดว่าม้าที่มีลักษณะนี้มีชื่อว่าเต๊กเลา จักเป็นอันตรายแก่เจ้าของ จึงแจ้งเล่าเปียวให้ทราบความ เล่าเปียวเกรงภัยจะเกิดแก่ตัว จึงมอบม้านี้คืนแก่ท่าน ท่านไม่ทราบความหรือจึงเอาม้านี้มาขี่

           เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็กล่าวคำขอบใจอีเจี้ยแล้วว่า ตัวข้าพเจ้านี้อาภัพอับวาสนานัก ทำการสนองคุณแผ่นดินมาเป็นเวลาช้านานก็ยังคงร่อนเร่พเนจรอยู่ดังนี้ เมื่อวาสนาข้าพเจ้าเป็นดังนี้ก็สุดแท้แต่กรรมเวรจะบันดาลให้เป็นไป ม้าจะมีลักษณะดีแลร้ายประการใดก็คงไม่ทำให้ข้าพเจ้าอาภัพอับวาสนาไปมากกว่านี้แล้ว

           เล่าปี่ขอบคุณอีเจี้ยแล้วคำนับลาอีเจี้ยเดินทางไปเมืองซินเอี๋ย เมื่อไปถึงเมืองซินเอี๋ยแล้วได้เรียกประชุมขุนนางแลข้าราชการเมืองซินเอี๋ย กำหนดนโยบายให้ขุนนางและกรมการเมืองทั้งปวงตั้งหน้าตั้งตาทำนุบำรุงอาณาประชาราษฎรให้เป็นสุข เร่งปราบปรามโจรผู้ร้ายและยาเสพติด ส่งเสริมราษฎรในการทำการเกษตรและในการค้าขายผลิตผลทางการเกษตร เพื่อให้ราษฎรมีกำลังซื้อและเป็นรากฐานแห่งการค้าขายภายในเมืองให้เจริญรุ่งเรือง ผู้ใดเบียดเบียนราษฎรหรือประพฤติปฏิบัติไม่ชอบด้วยหน้าที่ราชการจะถูกลงโทษสถานหนัก

           ชาวเมืองอยู่เย็นเป็นสุขเพราะการปกครองที่เป็นธรรมของเล่าปี่ จึงมีความยินดีโดยทั่วกัน อิเจี้ยแม้จะเป็นขุนนางอยู่ที่เมืองเกงจิ๋วแต่มีน้ำใจศรัทธาชอบพอเล่าปี่ได้กิตติศัพท์การปกครองของเล่าปี่ว่าทำให้ราษฎรมีความสุขก็ดีใจ ถือโอกาสมาเยี่ยมเยียนเล่าปี่มิได้ขาด

           เจี้ยนอันศกปีที่สิบเอ็ด นางกำฮูหยินซึ่งเป็นภรรยาผู้ใหญ่ของเล่าปี่ตั้งครรภ์ และฝันว่าได้กลืนดาวจระเข้เข้าไปในท้องจึงตกใจตื่นขึ้น พอรุ่งเช้าจึงให้หาเต้าหยินแล้วเล่าความฝันให้ฟัง เต้าหยินได้ฟังความฝัน ซักถามเวลาฝันว่าเป็นเวลาค่อนรุ่ง คำนวณตามตำราแล้วจึงพยากรณ์ว่าบุตรในท้องของฮูหยินจะเป็นผู้ชาย ดาวจระเข้นั้นมีดวงหนึ่งเป็นดาวประจำพระองค์พระมหากษัตริย์ ดังนั้นบุตรของฮูหยินจึงเป็นผู้มีบุญ และเบื้องหน้าจะได้เป็นพระมหากษัตริย์ นางกำฮูหยินได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี มอบของขวัญจำนวนมากให้แก่เต้าหยินนั้น แล้วเล่าความให้เล่าปี่ทราบทุกประการ

           ครั้นถึงเดือนสามข้างขึ้นเวลากลางคืน นกกะเรียนขาวตัวหนึ่งบินมาเกาะที่จวนของเล่าปี่ส่งเสียงร้องสี่สิบกว่าครั้ง แล้วบินไปทางด้านตะวันตก เวลานั้นนางกำฮูหยินเจ็บครรภ์ หญิงรับใช้ประจำจวนและหมอตำแยถูกเรียกตัวมาประจำหน้าที่เตรียมการคลอด นางกำฮูหยินปวดครรภ์มากขึ้นโดยลำดับ และคลอดบุตรเป็นผู้ชายแต่เวลานั้น พลันที่บุตรนางกำฮูหยินร้อง “อุแว้” ขึ้นเป็นครั้งแรก ภายในห้องมีกลิ่นหอมอบอวลเป็นที่อัศจรรย์

           เล่าปี่ได้รับรายงานว่าภรรยาผู้ใหญ่คลอดบุตรเป็นชายก็มีความยินดี รีบมาเยี่ยมฮูหยินและบุตรในทันที พอสาวใช้และหมอตำแยเอาเด็กมาให้ชม เล่าปี่เห็นบุตรมีอาการครบถ้วนสามสิบสองและมีผิวพรรณผุดผ่องนัก จึงตั้งชื่อบุตรนั้นว่า  อาเต๊า ซึ่งแปลว่าดาวจระเข้ เพื่อให้เป็นมงคลนามสมดังความฝันของนางกำฮูหยินเมื่อครั้งตั้งครรภ์นั้น

           สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) พรรณนาความตอนนี้ว่าในขณะใกล้คลอดนั้น “ได้ยินเสียงนกวายุภักษ์ร้องอยู่ตรงหลังคาประมาณสี่สิบคำ แล้วได้ยินร้องไปสู่ทิศตะวันตก แลมีกลิ่นเครื่องหอมนั้นบันดาลฟุ้งตลบไปในตึกที่อยู่ แล้วนางกำฮูหยินก็คลอดบุตรออกมาเป็นชาย”

           นกวายุภักษ์คือนกที่กินลมเป็นอาหาร มีอยู่ในตำนานของรามเกียรติ์ ทางราชการไทยละทิ้งตราแผ่นดินอันเป็นตราที่พระมหากษัตริย์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นไว้ใช้ในราชการแต่ครั้งแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หันมานิยมเอารูปสิงสาราสัตว์เป็นตราสัญลักษณ์ประจำกระทรวงทบวงกรม และได้ใช้ตรานกวายุภักษ์เป็นตราสัญลักษณ์ของกระทรวงการคลัง เพื่อแสดงความหมายว่าบรรดาขุนนางข้าราชการทั้งปวงของกระทรวงนี้ต้องเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต จงรักภักดีต่อแผ่นดิน ไม่กินนอก ไม่กินใน ไม่ฉ้อราษฎร์บังหลวง ให้สมกับคุณสมบัติของนกวายุภักษ์ที่ไม่กินอาหารอย่างอื่นนอกจากลม ความตั้งใจดั่งนี้ด้านหนึ่งอาจจะเห็นได้ว่าเป็นความตั้งใจดีที่ต้องการส่งเสริมคุณธรรมของข้าราชการให้มีความสัตย์สุจริตในการปฏิบัติหน้าที่ราชการ แต่ในอีกด้านหนึ่งก็แฝงความหมายอยู่ในตัวเช่นเดียวกันว่าเนื่องเพราะมีขุนนางข้าราชการที่ฉ้อราษฎร์บังหลวงอยู่ไม่น้อยจึงต้องสร้างเกราะไว้คุ้มกันตัว ไว้เป็นเครื่องโฆษณาชวนเชื่อให้คนทั้งปวงเชื่อว่าเป็นผู้ซื่อสัตย์สุจริต จะเป็นไปในทางใดนั้นล้วนเป็นเรื่องที่ปวงชนย่อมพิจารณาวินิจฉัยได้เอง แต่ทว่าผลการสำรวจการฉ้อราษฎร์บังหลวงปรากฏว่ากรมสำคัญของกระทรวงการคลังหลายกรมเป็นแหล่งฉ้อราษฏร์บังหลวงมากที่สุดติดอันดับต้น ๆ ในบรรดาหน่วยงานทั้งปวงของทางราชการ

           สามก๊กฉบับภาษาจีนระบุว่านกที่บินมาเกาะหลังคาจวนของเล่าปี่ในคืนที่อาเต๊าคลอดนั้นคือนกกะเรียนขาว ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์มงคลเพราะเป็นนกที่บรรดาเซียนทั้งปวงใช้เป็นพาหนะและเป็นบริวาร การที่เจ้าพระยาพระคลัง (หน) ถอดความเป็นนกวายุภักษ์ก็เพื่อให้สอดคล้องกับค่านิยมของคนไทยที่ว่าอาเต๊าเป็นผู้มีบุญ จะเป็นพระมหากษัตริย์ในวันข้างหน้า แต่ถ้าหากจะให้ตรงกับความหมายที่แท้ก็ชอบที่จะต้องแปลว่าเป็นพญาครุฑซึ่งเป็นพาหนะของพระนารายณ์ และใช้เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงความเป็นพระมหากษัตริย์ แต่สถานการณ์การเมืองในขณะนั้นและฐานะของขุนนางข้าราชการในขณะนั้นย่อมไม่กล้าบังอาจที่จะถอดความแปลความหมายนกกะเรียนให้เป็นพญาครุฑ เพราะถือกันว่าพระมหากษัตริย์ของไทยนั้นทรงดำรงพระฐานะที่สูงส่งกว่าพระมหากษัตริย์ทั้งปวงคือทรงเป็นสมมติเทพ ดังนั้นถึงคราวที่พระมหากษัตริย์หรือพระเจ้าแผ่นดินของชาติอื่นมาเยือนประเทศไทย จึงใช้คำว่าเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

           การที่นกกะเรียนหรือนกวายุภักษ์ส่งเสียงร้องสี่สิบกว่าครั้งแล้วบินไปทางทิศตะวันตก คือนิมิตที่แสดงว่าอาเต๊าจะได้เป็นพระมหากษัตริย์ในดินแดนตะวันตกคือเมืองเสฉวน อันเป็นดินแดนที่พระเจ้าฮั่นโกโจปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่นอาศัยเป็นดินแดนที่ก่อร่างสร้างตัวและสถาปนาราชวงศ์ฮั่น จำนวนครั้งของเสียงนกร้องคือนิมิตที่บ่งบอกว่าอาเต๊าจะได้ครองราชย์สี่สิบกว่าปี

           เล่าปี่ยินดีที่ได้บุตรคนแรกเป็นผู้ชายตามคตินิยมของคนจีน จึงให้จัดพิธีบวงสรวงขอบคุณเทพยดา และจัดงานมหรสพให้ราษฎรได้รื่นเริงทั่วทั้งเมืองซินเอี๋ย.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร