ตอนที่ 179. ทำดีแล้วเด่นก็เป็นภัย
เจี้ยนอันศกปีที่สิบเอ็ด หรือประมาณปีพุทธศักราช 750 เดือนสิบเอ็ด โจโฉปราบปรามหัวเมืองภาคเหนือราบคาบแล้วยกกองทัพกลับเมืองหลวง บำรุงทแกล้วทหารและปรับปรุงกองทัพ เพื่อเตรียมปราบปรามหัวเมืองฝ่ายใต้ต่อไป
สถานการณ์ในช่วงนี้เสี้ยนหนามที่แข็งข้อกับโจโฉทางภาคพายัพมีม้าเท้ง หันซุย ทางภาคตะวันตกมีเล่าเจี้ยงเจ้าเมืองเสฉวน และเตียวฬ่อเจ้าเมืองตังฉวน ทางฝ่ายใต้มีเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋ว และซุนกวนเจ้าเมืองกังตั๋ง
โจโฉครองอำนาจรัฐแน่นหนาเข้มแข็งมากขึ้นทุกวันและแผ่ขยายอำนาจออกไปอย่างกว้างขวางมากกว่าครั้งใด ๆ ในขณะที่ซุนกวนนั้นเล่าก็ครองอำนาจเป็นปึกแผ่นในดินแดนกังตั๋ง คงเหลืออยู่แต่เล่าปี่เท่านั้นที่ยังคงเป็นเชื้อพระวงศ์พเนจร และบัดนี้ได้เร่ร่อนมาอาศัยเล่าเปียวอยู่ที่เมืองเกงจิ๋ว
ดูสภาพของเล่าปี่ในวันนี้แล้วยังไม่เห็นเค้าลางว่าจะตั้งตัวขึ้นเป็นใหญ่และทำให้แผ่นดินกลายเป็นสามก๊กขึ้นมาได้อย่างไร เพราะดินแดนสักกะผีกลิ้นก็ไม่มีครอบครองเป็นเจ้าของ บรรดาที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญการสงครามก็ไม่ปรากฏตัว มีแต่ซุนเขียน บิต๊ก และกันหยง ซึ่งเป็นเพียงที่ปรึกษาระดับธรรมดาเท่านั้น ส่วนขุนพลกลับเข้มแข็งคือมีกวนอู เตียวหุย และจูล่ง เป็นยอดทหารเสือ
แต่เพราะเหตุที่เล่าเปียวนั้นมีน้ำใจโอบอ้อมอารี โดยเฉพาะกับเล่าปี่นั้นเล่าเปียวได้ยอมรับนับถือว่าเป็นเชื้อพระวงศ์และมีแซ่เดียวกัน จึงทำนุบำรุงดูแลอุปการะเล่าปี่เป็นอย่างดี แต่ถึงกระนั้นฐานะเล่าปี่ก็ยังคงเป็นเพียงผู้อาศัยเจ้าเมืองเกงจิ๋วอยู่นั่นเอง
อยู่มาวันหนึ่งในขณะที่เล่าเปียวออกว่าราชการ เจ้าหน้าที่กรมการเมืองได้กล่าวรายงานว่าบัดนี้เตียวบูกับตันสูนซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนของด่านเมืองกังแฮที่ติดต่อกับเมืองกังตั๋งนั้นประพฤติมิชอบในราชการ ใช้อำนาจข่มเหงราษฎรและกำเริบถึงขนาดให้ลูกน้องเที่ยวปล้นชิงวิ่งราวทรัพย์สินของประชาชน
และได้รายงานต่อไปว่าสถานการณ์ในขณะนี้เตียวบู ตันสูนได้กำเริบมากขึ้นตั้งตัวแข็งข้อกับทางราชการ ซ่องสุมผู้คนอยู่ในเขตแดนเมืองกังแฮ จึงขอให้ทางเจ้าเมืองส่งกำลังไปปราบปราม
เล่าเปียวได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงปรึกษาด้วยขุนนางและข้าราชการว่า ทำอย่างไรจึงจะปราบปราบเตียวบูและตันสูนเพื่อให้ความสงบสุขกลับคืนมาได้อีกครั้งหนึ่ง
เล่าปี่ได้ฟังปรารภดังนั้นจึงขออาสาพากำลังทหารไปปราบปรามเตียวบูและตันสูน เล่าเปียวได้ฟังดังนั้นก็ดีใจจึงสั่งจัดกำลังทหารสามหมื่นและให้เล่าปี่เป็นแม่ทัพยกไปปราบปรามเตียวบูและตันสูน
เล่าปี่รับคำสั่งแล้วพากวนอู เตียวหุย จูล่ง ยกทหารสามหมื่นออกจากเมืองเกงจิ๋ว ตรงไปยังเขตแดนเมืองกังแฮในพื้นที่ซึ่งเป็นเขตเคลื่อนไหวของเตียวบูและตันสูน แล้วให้ตั้งค่ายมั่นไว้
ทางด้านเตียวบูและตันสูนได้ซ่องสุมผู้คนไว้เป็นกำลังเป็นจำนวนมาก ตั้งตัวแข็งเมืองไม่ขึ้นต่อเมืองเกงจิ๋วอีกต่อไป ครั้นได้ทราบข่าวว่าเล่าปี่ยกกองทัพมาปราบปรามก็พาทหารยกออกไปรบด้วยเล่าปี่
ตัวเตียวบูและตันสูนยืนม้าคู่กันหน้ากองทหาร แล้วท้าให้เล่าปี่ออกมารบ เล่าปี่เห็นดังนั้นจึงพากวนอู เตียวหุย จูล่ง และทหารยกออกจากค่ายไปตั้งเผชิญหน้ากับกองทหารของเตียวบูและตันสูน เว้นพื้นที่ตรงกลางไว้เป็นลานรบ
เล่าปี่สังเกตเห็นม้าซึ่งเตียวบูขี่นั้นประกอบด้วยลักษณะของม้าศึก สูงใหญ่ ช่วงขากำยำแข็งแรง ข้อเท้าใหญ่กว่าปกติ หูสั้นตั้งชัน หางเป็นพวงภู่ ขนเป็นสีดอกเลา จึงว่ากับกวนอู เตียวหุย และจูล่งว่าม้านี้มีลักษณะที่ยอดเยี่ยม สมควรเป็นม้าศึก
จูล่งได้ฟังดังนั้นจึงว่าข้าพเจ้าขออาสาออกไปรบด้วยเตียวบูและตันสูน แล้วจะจับม้านี้มาเป็นบรรณาการแก่ท่านจงได้ เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต
จูล่งได้รับอนุญาตจากเล่าปี่ให้ออกรบแล้ว กระทืบโกลนม้าออกไปกลางลานรบ กลองศึกทั้งสองฝ่ายดังกระหึ่มเป็นสัญญาณให้ทหารเอกทั้งสองฝ่ายเข้ารบกัน
จูล่งรบกับเตียวบูได้สามเพลงก็เอาทวนแทงเตียวบูตกม้าตาย พอเตียวบูตกลงจากหลังม้าจูล่งก็ชักบังเหียนม้าตรงไปที่ม้าซึ่งเตียวบูขี่ คว้าเอาบังเหียนม้านั้นมากุมไว้ แล้วขี่ม้าจะกลับมาทางด้านเล่าปี่โดยจูงม้าของเตียวบูตามมาด้วย
ตันสูนเห็นจูล่งสังหารเตียวบูก็โกรธ พอเห็นจูล่งจูงม้าของเตียวบูหันหลังกลับจะเข้าไปหาเล่าปี่จึงเห็นเป็นโอกาสที่จะลอบเข้าทำร้ายจูล่งได้ ดังนั้นตันสูนจึงชักม้าปรี่ตรงเข้าไปทางด้านหลังของจูล่ง
เตียวหุยสังเกตการณ์อยู่อย่างใกล้ชิด เห็นเหตุการณ์ดังนั้นจึงชักบังเหียนม้าปรี่เข้าไปสกัดตันสูนไว้ แล้วเอาทวนแทงตันสูนตกม้าตาย
ทหารของเตียวบูและตันสูนเห็นนายทัพทั้งสองคนถูกจูล่งและเตียวหุยสังหารภายใต้เพลงรบไม่กี่เพลงก็พากันตกใจแตกตื่น บ้างก็แตกหนี ส่วนที่เหลือได้ยอมเข้าสวามิภักดิ์กับเล่าปี่
เล่าปี่รับทหารของเตียวบูและตันสูนเข้าสังกัดในกองทัพแล้วปราบปรามโจรผู้ร้าย ณ ชายแดนเมืองกังแฮจนสงบราบคาบจึงยกกองทัพกลับเมืองเกงจิ๋ว
พอกองทัพเคลื่อนเข้าใกล้เขตเมืองเกงจิ๋ว เล่าปี่จึงสั่งให้ม้าเร็วรีบเข้าไปรายงานให้เล่าเปียวทราบ เล่าเปียวทราบความแล้วมีความยินดีนัก รีบพาทหารคนสนิทออกมารอรับเล่าปี่อยู่ที่นอกประตูเมือง
เล่าปี่ยกกองทัพกลับถึงประตูเมืองเกงจิ๋ว เห็นเล่าเปียวมารอรับอยู่ก็ดีใจ ลงจากหลังม้าคารวะเล่าเปียวแล้วรายงานการศึกให้เล่าเปียวฟังทุกประการ
เล่าเปียวฟังรายงานการศึกแล้วสรรเสริญและยกย่องความดีความชอบของเล่าปี่เป็นอันมาก จากนั้นจึงนำเล่าปี่และกองทหารกลับเข้าไปในเมือง สั่งการให้แต่งโต๊ะเลี้ยงเล่าปี่ แม่ทัพนายกองและทหารทั้งปวงที่ชนะศึกกลับมาอย่างสมเกียรติ
ในขณะที่เสพสุรากินโต๊ะกันอยู่นั้น เล่าเปียวได้ปรารภขึ้นว่าเมืองเกงจิ๋วนี้เป็นเมืองหน้าด่าน มีความเสี่ยงต่ออันตรายและสงครามทุกเมื่อ เพราะบ้านเมืองขณะนี้เป็นจลาจล พวกขุนศึกหัวเมืองต่าง ๆ คิดช่วงชิงขยายอิทธิพลและอำนาจ ดังนั้นสถานการณ์สงครามจึงวางใจไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
เล่าเปียวประเมินว่าทางด้านใต้นั้นซุนกวนได้ครองอำนาจในเมืองกังตั๋ง ซ่องสุมกำลังพลไว้เป็นอันมาก ทางด้านตะวันตกก็ยังมีเตียวล่อเจ้าเมืองตังฉวน แลนอกเขตเมืองจีนก็มีเมืองลำอวดซึ่งมีเขตแดนติดต่อกัน ทั้งสามทางนี้อาจจะยกกองทัพเข้ามารุกรานแดนเมืองเกงจิ๋วได้ทุกเมื่อ จึงมีความวิตกว่าภัยสงครามอาจเกิดขึ้นจากทั้งสามด้านนี้
เล่าเปียวได้สอบถามความเห็นเล่าปี่ว่า ทำอย่างไรจึงจะป้องกันเมืองเกงจิ๋วให้ปลอดภัยได้
เล่าปี่จึงว่าข้าพเจ้ามียอดทหารเสืออยู่สามคน สามารถที่จะรับมือกับการรุกรานได้ ดังนั้นหากท่านพอใจที่จะมอบหมายให้ทหารเอกคนใดของข้าพเจ้าไปรักษาเขตแดนก็จงแต่งตั้งมอบหมายตามที่เห็นสมควรเถิด
เล่าเปียวได้ฟังดังนั้นจึงบอกเล่าปี่ให้เรียกสามทหารเสือมาที่โต๊ะเพื่อจะได้ดูหน้าค่าตาและทำความรู้จัก เล่าปี่จึงเรียกกวนอู เตียวหุย จูล่งเข้ามาคารวะคำนับเล่าเปียว
เล่าเปียวได้พิเคราะห์บุคลิกลักษณะกวนอู เตียวหุย และจูล่งแล้ว เห็นว่ามีรูปร่างลักษณะสมเป็นทหารเอกก็พึงใจ จึงแต่งตั้งให้เตียวหุยเป็นผู้คุมกำลังกองทหาร ยกไปรักษาด่านซึ่งต่อแดนกับเมืองลำอวด ให้กวนอูเป็นผู้คุมกำลังกองทหารยกไปรักษาด่านด้านเมืองตังฉวน ส่วนจูล่งให้เป็นผู้คุมกำลังกองทหารยกไปรักษาด่านซึ่งอยู่ต่อแดนกับเมืองกังตั๋ง
สามนายทหารเอกรับคำสั่งเล่าเปียวแล้ว วันรุ่งขึ้นจึงคำนับลาเล่าปี่แล้วไปที่กองทหาร คุมทหารในบังคับบัญชายกออกจากเมืองเกงจิ๋วไปตั้งรักษาด่านทั้งสามด้าน
เล่าเปียวให้ความไว้วางใจเล่าปี่ถึงกับมอบให้นายทหารเอกของเล่าปี่คุมกำลังทหารไปรักษาด่านสำคัญของเมืองเกงจิ๋วทั้งสามด้าน เพราะความไว้วางใจที่เห็นว่าเล่าปี่เป็นผู้มีความสัตย์สุจริต เป็นเชื้อพระวงศ์และแซ่เดียวกัน มั่นใจว่าเล่าปี่จะไม่คิดร้ายหรือทำอันตรายแก่เมืองเกงจิ๋ว
แต่ในขณะที่เล่าเปียวสบายใจอยู่กับสถานการณ์ที่มั่นใจว่าจะปลอดจากภัยรุกรานทั้งสามด้านนั้น ปัญหาทางการเมืองภายในเมืองเกงจิ๋วเองก็เกิดขึ้น เนื่องจากชัวมอซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองกำลังทหารของเมืองเกงจิ๋วและมีศักดิ์เป็นน้องของนางชัวฮูหยินผู้เป็นภรรยาของเล่าเปียวเห็นว่าการที่เล่าเปียววางใจเล่าปี่ให้คุมกำลังทหารรักษาด่านถึงสามด้านดังนี้ หากเล่าปี่คิดร้ายเมืองเกงจิ๋วและพรรคพวกของตัวก็จะเป็นอันตราย ทั้งมีน้ำจิตริษยาต่อเล่าปี่ที่ได้รับความไว้วางใจจากเล่าเปียวถึงเพียงนี้จึงไม่พอใจเล่าปี่เป็นอันมาก
ดังนั้นชัวมอจึงเข้าไปที่จวนของเล่าเปียวขอพบนางชัวฮูหยินผู้พี่ แล้วว่า “บัดนี้เล่าเปียวเชื่อถือเล่าปี่ ให้ทหารเล่าปี่ทั้งสามคนนั้นคุมทหารออกไปตั้งอยู่ปลายแดนทั้งสามตำบล ตัวเล่าปี่นั้นอยู่ในเมืองนานไปข้าพเจ้าเห็นจะมีภัยถึงเล่าเปียวเป็นมั่นคง”
ว่าแล้วก็ยุนางชัวฮูหยินผู้พี่ว่าหากอำนาจของเล่าปี่ในเมืองเกงจิ๋วมีมากขึ้นเพียงใด อำนาจของตระกูลชัวของเราก็จะถูกเบียดให้ลดน้อยถอยลงเท่านั้น ในฐานะที่พี่ท่านเป็นถึงฮูหยินของเล่าเปียว นับเป็นหลักชัยสำคัญของตระกูลชัว จงใคร่ครวญไตร่ตรองให้จงดี
นางชัวฮูหยินได้ฟังคำชัวมอผู้น้องแล้ว วิสัยอิจฉาริษยาและหวงอำนาจประจำตัวก็คุกรุ่นขึ้น มีสีหน้าไม่ปกติให้เห็นอย่างชัดเจน ชัวมอเห็นอาการของพี่สาวดั่งนั้นก็รู้ว่าแผนการยุให้รำ ตำให้แยกของตัวบรรลุผลแล้วจึงถือโอกาสคำนับลาผู้พี่
ครั้นค่ำลงพอเล่าเปียวกลับจากว่าราชการมาที่จวน นางชัวฮูหยินเข้าไปทำทีเอาอกเอาใจเล่าเปียวเป็นพิเศษ แล้วใช้มารยาหญิงว่ากับเล่าเปียวว่านับแต่เล่าปี่มาอาศัยอยู่ที่เมืองเกงจิ๋วนี้ ได้คบหาซ่องสุมผู้คนไว้เป็นอันมาก คนทั้งปวงเห็นว่าเล่าปี่เป็นเชื้อพระวงศ์ซึ่งฮ่องเต้ก็นับถือยกย่องว่าเป็นพระเจ้าอา จึงพากันเข้าเป็นพวกของเล่าปี่เป็นอันมาก เล่าปี่ยิ่งมีเกียรติภูมิและพรรคพวกมากขึ้นเพียงใด ก็จะบดบังบารมีของท่านซึ่งเป็นเจ้าเมืองให้ลดน้อยถอยลงเพียงนั้น
แล้วว่าบัดนี้ท่านให้ทหารเอกของเล่าปี่ไปรักษาด่านไว้ถึงสามตำบล ในขณะที่เล่าปี่ซ่องสุมผู้คนอยู่ในเมือง วันใดที่เล่าปี่คิดร้ายต่อท่าน วันนั้นท่านคงเสียทีเป็นมั่นคง ขอท่านจงระวังตัวและคิดอ่านแก้ไขไว้ให้ทันท่วงที
เล่าเปียวได้ฟังคำเมียแล้วกลับแย้งว่า “อันเล่าปี่นั้นเป็นคนสัตย์ซื่อ มิได้คิดร้ายต่อเรา”
นางชัวฮูหยินได้ฟังดังนั้นก็ติงว่าวิสัยเสือก่อนจับสัตว์เป็นอาหารนั้น หากดู ลักษณาการแล้วก็จะเห็นความนุ่มนวลอ่อนช้อยเนิบนาบราวกับว่าไม่มีพิษภัยแต่ประการใด แต่เมื่อเป็นทีแล้วก็จะขยุ้มจับสัตว์นั้นเป็นเหยื่อ วันนี้ท่านเห็นเล่าปี่ว่าเป็นคนซื่อ หากวันหน้าเล่าปี่ไม่ซื่อเหมือนใจท่านคิด โอกาสแก้ไขป้องกันตัวให้ปลอดภัยจะมีอยู่หรือไฉน
เล่าเปียวได้ฟังดังนั้นก็นิ่งเสียไม่ตอบคำ แต่ข้างในใจของเล่าเปียวจะคิดอ่านประการใดยากที่ใครอื่นจะล่วงรู้ได้ แต่ทว่าน้ำใจคนนั้นเมื่อถูกคนชี้ในทางร้าย มักมีวิสัยที่จะน้อมไปในทางระแวงแคลงใจ ดังนั้นเล่าเปียวในวันนี้แม้ยังเชื่อมั่นเล่าปี่ว่าสัตย์ซื่อไม่คิดร้ายต่อตัว แต่ในใจนั้นย่อมต้องตั้งความระแวงเล่าปี่อยู่ไม่มากก็น้อย
วันหนึ่งเล่าเปียวขี่ม้าพาทหารออกตรวจการเขตรอบนอกของเมืองเกงจิ๋วโดยมีเล่าปี่ติดตามไปด้วย พอขี่ม้าตรวจการไปได้พักใหญ่เล่าเปียวจึงให้หยุดขบวน และตรวจดูภูมิประเทศที่ถูกน้ำท่วมเป็นประจำ ครั้นตรวจการเสร็จจะขึ้นม้าเดินทางต่อไป เล่าเปียวสังเกตเห็นม้าของเตียวบูที่เล่าปี่ขี่อยู่นั้นมีลักษณะชอบกลงดงามนัก จึงสอบถามเล่าปี่ว่าม้านี้ท่านได้แต่ไหนมา
เล่าปี่ตอบว่าม้านี้เป็นม้าของเตียวบูเคยใช้ขี่ เมื่อเตียวบูเจ้าของม้าตายแล้ว ข้าพเจ้าจึงได้ม้านี้มา
เล่าเปียวเป็นเจ้าเมืองที่นิยมชมชอบม้า ได้ฟังดังนั้นจึงเดินเข้ามาใกล้ม้า ตรวจดูลักษณะของม้าโดยละเอียด แล้วชมว่าม้านี้ช่างเป็นม้าวิเศษสง่างามสมเป็นม้าศึก
เล่าปี่เห็นเล่าเปียวพอใจม้าจึงลงจากหลังม้า เข้ามาคำนับเล่าเปียวแล้วว่าม้านี้สง่างามสมเป็นม้าศึก ข้าพเจ้าขอมอบแก่ท่านเป็นของขวัญ เล่าเปียวเห็นดังนั้นก็มีความยินดี กล่าวขอบใจเล่าปี่แล้วเอาม้านั้นมาขี่และมอบม้าที่ขี่มาให้แก่เล่าปี่ขี่กลับเข้าเมือง.
สถานการณ์ในช่วงนี้เสี้ยนหนามที่แข็งข้อกับโจโฉทางภาคพายัพมีม้าเท้ง หันซุย ทางภาคตะวันตกมีเล่าเจี้ยงเจ้าเมืองเสฉวน และเตียวฬ่อเจ้าเมืองตังฉวน ทางฝ่ายใต้มีเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋ว และซุนกวนเจ้าเมืองกังตั๋ง
โจโฉครองอำนาจรัฐแน่นหนาเข้มแข็งมากขึ้นทุกวันและแผ่ขยายอำนาจออกไปอย่างกว้างขวางมากกว่าครั้งใด ๆ ในขณะที่ซุนกวนนั้นเล่าก็ครองอำนาจเป็นปึกแผ่นในดินแดนกังตั๋ง คงเหลืออยู่แต่เล่าปี่เท่านั้นที่ยังคงเป็นเชื้อพระวงศ์พเนจร และบัดนี้ได้เร่ร่อนมาอาศัยเล่าเปียวอยู่ที่เมืองเกงจิ๋ว
ดูสภาพของเล่าปี่ในวันนี้แล้วยังไม่เห็นเค้าลางว่าจะตั้งตัวขึ้นเป็นใหญ่และทำให้แผ่นดินกลายเป็นสามก๊กขึ้นมาได้อย่างไร เพราะดินแดนสักกะผีกลิ้นก็ไม่มีครอบครองเป็นเจ้าของ บรรดาที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญการสงครามก็ไม่ปรากฏตัว มีแต่ซุนเขียน บิต๊ก และกันหยง ซึ่งเป็นเพียงที่ปรึกษาระดับธรรมดาเท่านั้น ส่วนขุนพลกลับเข้มแข็งคือมีกวนอู เตียวหุย และจูล่ง เป็นยอดทหารเสือ
แต่เพราะเหตุที่เล่าเปียวนั้นมีน้ำใจโอบอ้อมอารี โดยเฉพาะกับเล่าปี่นั้นเล่าเปียวได้ยอมรับนับถือว่าเป็นเชื้อพระวงศ์และมีแซ่เดียวกัน จึงทำนุบำรุงดูแลอุปการะเล่าปี่เป็นอย่างดี แต่ถึงกระนั้นฐานะเล่าปี่ก็ยังคงเป็นเพียงผู้อาศัยเจ้าเมืองเกงจิ๋วอยู่นั่นเอง
อยู่มาวันหนึ่งในขณะที่เล่าเปียวออกว่าราชการ เจ้าหน้าที่กรมการเมืองได้กล่าวรายงานว่าบัดนี้เตียวบูกับตันสูนซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนของด่านเมืองกังแฮที่ติดต่อกับเมืองกังตั๋งนั้นประพฤติมิชอบในราชการ ใช้อำนาจข่มเหงราษฎรและกำเริบถึงขนาดให้ลูกน้องเที่ยวปล้นชิงวิ่งราวทรัพย์สินของประชาชน
และได้รายงานต่อไปว่าสถานการณ์ในขณะนี้เตียวบู ตันสูนได้กำเริบมากขึ้นตั้งตัวแข็งข้อกับทางราชการ ซ่องสุมผู้คนอยู่ในเขตแดนเมืองกังแฮ จึงขอให้ทางเจ้าเมืองส่งกำลังไปปราบปราม
เล่าเปียวได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงปรึกษาด้วยขุนนางและข้าราชการว่า ทำอย่างไรจึงจะปราบปราบเตียวบูและตันสูนเพื่อให้ความสงบสุขกลับคืนมาได้อีกครั้งหนึ่ง
เล่าปี่ได้ฟังปรารภดังนั้นจึงขออาสาพากำลังทหารไปปราบปรามเตียวบูและตันสูน เล่าเปียวได้ฟังดังนั้นก็ดีใจจึงสั่งจัดกำลังทหารสามหมื่นและให้เล่าปี่เป็นแม่ทัพยกไปปราบปรามเตียวบูและตันสูน
เล่าปี่รับคำสั่งแล้วพากวนอู เตียวหุย จูล่ง ยกทหารสามหมื่นออกจากเมืองเกงจิ๋ว ตรงไปยังเขตแดนเมืองกังแฮในพื้นที่ซึ่งเป็นเขตเคลื่อนไหวของเตียวบูและตันสูน แล้วให้ตั้งค่ายมั่นไว้
ทางด้านเตียวบูและตันสูนได้ซ่องสุมผู้คนไว้เป็นกำลังเป็นจำนวนมาก ตั้งตัวแข็งเมืองไม่ขึ้นต่อเมืองเกงจิ๋วอีกต่อไป ครั้นได้ทราบข่าวว่าเล่าปี่ยกกองทัพมาปราบปรามก็พาทหารยกออกไปรบด้วยเล่าปี่
ตัวเตียวบูและตันสูนยืนม้าคู่กันหน้ากองทหาร แล้วท้าให้เล่าปี่ออกมารบ เล่าปี่เห็นดังนั้นจึงพากวนอู เตียวหุย จูล่ง และทหารยกออกจากค่ายไปตั้งเผชิญหน้ากับกองทหารของเตียวบูและตันสูน เว้นพื้นที่ตรงกลางไว้เป็นลานรบ
เล่าปี่สังเกตเห็นม้าซึ่งเตียวบูขี่นั้นประกอบด้วยลักษณะของม้าศึก สูงใหญ่ ช่วงขากำยำแข็งแรง ข้อเท้าใหญ่กว่าปกติ หูสั้นตั้งชัน หางเป็นพวงภู่ ขนเป็นสีดอกเลา จึงว่ากับกวนอู เตียวหุย และจูล่งว่าม้านี้มีลักษณะที่ยอดเยี่ยม สมควรเป็นม้าศึก
จูล่งได้ฟังดังนั้นจึงว่าข้าพเจ้าขออาสาออกไปรบด้วยเตียวบูและตันสูน แล้วจะจับม้านี้มาเป็นบรรณาการแก่ท่านจงได้ เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต
จูล่งได้รับอนุญาตจากเล่าปี่ให้ออกรบแล้ว กระทืบโกลนม้าออกไปกลางลานรบ กลองศึกทั้งสองฝ่ายดังกระหึ่มเป็นสัญญาณให้ทหารเอกทั้งสองฝ่ายเข้ารบกัน
จูล่งรบกับเตียวบูได้สามเพลงก็เอาทวนแทงเตียวบูตกม้าตาย พอเตียวบูตกลงจากหลังม้าจูล่งก็ชักบังเหียนม้าตรงไปที่ม้าซึ่งเตียวบูขี่ คว้าเอาบังเหียนม้านั้นมากุมไว้ แล้วขี่ม้าจะกลับมาทางด้านเล่าปี่โดยจูงม้าของเตียวบูตามมาด้วย
ตันสูนเห็นจูล่งสังหารเตียวบูก็โกรธ พอเห็นจูล่งจูงม้าของเตียวบูหันหลังกลับจะเข้าไปหาเล่าปี่จึงเห็นเป็นโอกาสที่จะลอบเข้าทำร้ายจูล่งได้ ดังนั้นตันสูนจึงชักม้าปรี่ตรงเข้าไปทางด้านหลังของจูล่ง
เตียวหุยสังเกตการณ์อยู่อย่างใกล้ชิด เห็นเหตุการณ์ดังนั้นจึงชักบังเหียนม้าปรี่เข้าไปสกัดตันสูนไว้ แล้วเอาทวนแทงตันสูนตกม้าตาย
ทหารของเตียวบูและตันสูนเห็นนายทัพทั้งสองคนถูกจูล่งและเตียวหุยสังหารภายใต้เพลงรบไม่กี่เพลงก็พากันตกใจแตกตื่น บ้างก็แตกหนี ส่วนที่เหลือได้ยอมเข้าสวามิภักดิ์กับเล่าปี่
เล่าปี่รับทหารของเตียวบูและตันสูนเข้าสังกัดในกองทัพแล้วปราบปรามโจรผู้ร้าย ณ ชายแดนเมืองกังแฮจนสงบราบคาบจึงยกกองทัพกลับเมืองเกงจิ๋ว
พอกองทัพเคลื่อนเข้าใกล้เขตเมืองเกงจิ๋ว เล่าปี่จึงสั่งให้ม้าเร็วรีบเข้าไปรายงานให้เล่าเปียวทราบ เล่าเปียวทราบความแล้วมีความยินดีนัก รีบพาทหารคนสนิทออกมารอรับเล่าปี่อยู่ที่นอกประตูเมือง
เล่าปี่ยกกองทัพกลับถึงประตูเมืองเกงจิ๋ว เห็นเล่าเปียวมารอรับอยู่ก็ดีใจ ลงจากหลังม้าคารวะเล่าเปียวแล้วรายงานการศึกให้เล่าเปียวฟังทุกประการ
เล่าเปียวฟังรายงานการศึกแล้วสรรเสริญและยกย่องความดีความชอบของเล่าปี่เป็นอันมาก จากนั้นจึงนำเล่าปี่และกองทหารกลับเข้าไปในเมือง สั่งการให้แต่งโต๊ะเลี้ยงเล่าปี่ แม่ทัพนายกองและทหารทั้งปวงที่ชนะศึกกลับมาอย่างสมเกียรติ
ในขณะที่เสพสุรากินโต๊ะกันอยู่นั้น เล่าเปียวได้ปรารภขึ้นว่าเมืองเกงจิ๋วนี้เป็นเมืองหน้าด่าน มีความเสี่ยงต่ออันตรายและสงครามทุกเมื่อ เพราะบ้านเมืองขณะนี้เป็นจลาจล พวกขุนศึกหัวเมืองต่าง ๆ คิดช่วงชิงขยายอิทธิพลและอำนาจ ดังนั้นสถานการณ์สงครามจึงวางใจไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
เล่าเปียวประเมินว่าทางด้านใต้นั้นซุนกวนได้ครองอำนาจในเมืองกังตั๋ง ซ่องสุมกำลังพลไว้เป็นอันมาก ทางด้านตะวันตกก็ยังมีเตียวล่อเจ้าเมืองตังฉวน แลนอกเขตเมืองจีนก็มีเมืองลำอวดซึ่งมีเขตแดนติดต่อกัน ทั้งสามทางนี้อาจจะยกกองทัพเข้ามารุกรานแดนเมืองเกงจิ๋วได้ทุกเมื่อ จึงมีความวิตกว่าภัยสงครามอาจเกิดขึ้นจากทั้งสามด้านนี้
เล่าเปียวได้สอบถามความเห็นเล่าปี่ว่า ทำอย่างไรจึงจะป้องกันเมืองเกงจิ๋วให้ปลอดภัยได้
เล่าปี่จึงว่าข้าพเจ้ามียอดทหารเสืออยู่สามคน สามารถที่จะรับมือกับการรุกรานได้ ดังนั้นหากท่านพอใจที่จะมอบหมายให้ทหารเอกคนใดของข้าพเจ้าไปรักษาเขตแดนก็จงแต่งตั้งมอบหมายตามที่เห็นสมควรเถิด
เล่าเปียวได้ฟังดังนั้นจึงบอกเล่าปี่ให้เรียกสามทหารเสือมาที่โต๊ะเพื่อจะได้ดูหน้าค่าตาและทำความรู้จัก เล่าปี่จึงเรียกกวนอู เตียวหุย จูล่งเข้ามาคารวะคำนับเล่าเปียว
เล่าเปียวได้พิเคราะห์บุคลิกลักษณะกวนอู เตียวหุย และจูล่งแล้ว เห็นว่ามีรูปร่างลักษณะสมเป็นทหารเอกก็พึงใจ จึงแต่งตั้งให้เตียวหุยเป็นผู้คุมกำลังกองทหาร ยกไปรักษาด่านซึ่งต่อแดนกับเมืองลำอวด ให้กวนอูเป็นผู้คุมกำลังกองทหารยกไปรักษาด่านด้านเมืองตังฉวน ส่วนจูล่งให้เป็นผู้คุมกำลังกองทหารยกไปรักษาด่านซึ่งอยู่ต่อแดนกับเมืองกังตั๋ง
สามนายทหารเอกรับคำสั่งเล่าเปียวแล้ว วันรุ่งขึ้นจึงคำนับลาเล่าปี่แล้วไปที่กองทหาร คุมทหารในบังคับบัญชายกออกจากเมืองเกงจิ๋วไปตั้งรักษาด่านทั้งสามด้าน
เล่าเปียวให้ความไว้วางใจเล่าปี่ถึงกับมอบให้นายทหารเอกของเล่าปี่คุมกำลังทหารไปรักษาด่านสำคัญของเมืองเกงจิ๋วทั้งสามด้าน เพราะความไว้วางใจที่เห็นว่าเล่าปี่เป็นผู้มีความสัตย์สุจริต เป็นเชื้อพระวงศ์และแซ่เดียวกัน มั่นใจว่าเล่าปี่จะไม่คิดร้ายหรือทำอันตรายแก่เมืองเกงจิ๋ว
แต่ในขณะที่เล่าเปียวสบายใจอยู่กับสถานการณ์ที่มั่นใจว่าจะปลอดจากภัยรุกรานทั้งสามด้านนั้น ปัญหาทางการเมืองภายในเมืองเกงจิ๋วเองก็เกิดขึ้น เนื่องจากชัวมอซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองกำลังทหารของเมืองเกงจิ๋วและมีศักดิ์เป็นน้องของนางชัวฮูหยินผู้เป็นภรรยาของเล่าเปียวเห็นว่าการที่เล่าเปียววางใจเล่าปี่ให้คุมกำลังทหารรักษาด่านถึงสามด้านดังนี้ หากเล่าปี่คิดร้ายเมืองเกงจิ๋วและพรรคพวกของตัวก็จะเป็นอันตราย ทั้งมีน้ำจิตริษยาต่อเล่าปี่ที่ได้รับความไว้วางใจจากเล่าเปียวถึงเพียงนี้จึงไม่พอใจเล่าปี่เป็นอันมาก
ดังนั้นชัวมอจึงเข้าไปที่จวนของเล่าเปียวขอพบนางชัวฮูหยินผู้พี่ แล้วว่า “บัดนี้เล่าเปียวเชื่อถือเล่าปี่ ให้ทหารเล่าปี่ทั้งสามคนนั้นคุมทหารออกไปตั้งอยู่ปลายแดนทั้งสามตำบล ตัวเล่าปี่นั้นอยู่ในเมืองนานไปข้าพเจ้าเห็นจะมีภัยถึงเล่าเปียวเป็นมั่นคง”
ว่าแล้วก็ยุนางชัวฮูหยินผู้พี่ว่าหากอำนาจของเล่าปี่ในเมืองเกงจิ๋วมีมากขึ้นเพียงใด อำนาจของตระกูลชัวของเราก็จะถูกเบียดให้ลดน้อยถอยลงเท่านั้น ในฐานะที่พี่ท่านเป็นถึงฮูหยินของเล่าเปียว นับเป็นหลักชัยสำคัญของตระกูลชัว จงใคร่ครวญไตร่ตรองให้จงดี
นางชัวฮูหยินได้ฟังคำชัวมอผู้น้องแล้ว วิสัยอิจฉาริษยาและหวงอำนาจประจำตัวก็คุกรุ่นขึ้น มีสีหน้าไม่ปกติให้เห็นอย่างชัดเจน ชัวมอเห็นอาการของพี่สาวดั่งนั้นก็รู้ว่าแผนการยุให้รำ ตำให้แยกของตัวบรรลุผลแล้วจึงถือโอกาสคำนับลาผู้พี่
ครั้นค่ำลงพอเล่าเปียวกลับจากว่าราชการมาที่จวน นางชัวฮูหยินเข้าไปทำทีเอาอกเอาใจเล่าเปียวเป็นพิเศษ แล้วใช้มารยาหญิงว่ากับเล่าเปียวว่านับแต่เล่าปี่มาอาศัยอยู่ที่เมืองเกงจิ๋วนี้ ได้คบหาซ่องสุมผู้คนไว้เป็นอันมาก คนทั้งปวงเห็นว่าเล่าปี่เป็นเชื้อพระวงศ์ซึ่งฮ่องเต้ก็นับถือยกย่องว่าเป็นพระเจ้าอา จึงพากันเข้าเป็นพวกของเล่าปี่เป็นอันมาก เล่าปี่ยิ่งมีเกียรติภูมิและพรรคพวกมากขึ้นเพียงใด ก็จะบดบังบารมีของท่านซึ่งเป็นเจ้าเมืองให้ลดน้อยถอยลงเพียงนั้น
แล้วว่าบัดนี้ท่านให้ทหารเอกของเล่าปี่ไปรักษาด่านไว้ถึงสามตำบล ในขณะที่เล่าปี่ซ่องสุมผู้คนอยู่ในเมือง วันใดที่เล่าปี่คิดร้ายต่อท่าน วันนั้นท่านคงเสียทีเป็นมั่นคง ขอท่านจงระวังตัวและคิดอ่านแก้ไขไว้ให้ทันท่วงที
เล่าเปียวได้ฟังคำเมียแล้วกลับแย้งว่า “อันเล่าปี่นั้นเป็นคนสัตย์ซื่อ มิได้คิดร้ายต่อเรา”
นางชัวฮูหยินได้ฟังดังนั้นก็ติงว่าวิสัยเสือก่อนจับสัตว์เป็นอาหารนั้น หากดู ลักษณาการแล้วก็จะเห็นความนุ่มนวลอ่อนช้อยเนิบนาบราวกับว่าไม่มีพิษภัยแต่ประการใด แต่เมื่อเป็นทีแล้วก็จะขยุ้มจับสัตว์นั้นเป็นเหยื่อ วันนี้ท่านเห็นเล่าปี่ว่าเป็นคนซื่อ หากวันหน้าเล่าปี่ไม่ซื่อเหมือนใจท่านคิด โอกาสแก้ไขป้องกันตัวให้ปลอดภัยจะมีอยู่หรือไฉน
เล่าเปียวได้ฟังดังนั้นก็นิ่งเสียไม่ตอบคำ แต่ข้างในใจของเล่าเปียวจะคิดอ่านประการใดยากที่ใครอื่นจะล่วงรู้ได้ แต่ทว่าน้ำใจคนนั้นเมื่อถูกคนชี้ในทางร้าย มักมีวิสัยที่จะน้อมไปในทางระแวงแคลงใจ ดังนั้นเล่าเปียวในวันนี้แม้ยังเชื่อมั่นเล่าปี่ว่าสัตย์ซื่อไม่คิดร้ายต่อตัว แต่ในใจนั้นย่อมต้องตั้งความระแวงเล่าปี่อยู่ไม่มากก็น้อย
วันหนึ่งเล่าเปียวขี่ม้าพาทหารออกตรวจการเขตรอบนอกของเมืองเกงจิ๋วโดยมีเล่าปี่ติดตามไปด้วย พอขี่ม้าตรวจการไปได้พักใหญ่เล่าเปียวจึงให้หยุดขบวน และตรวจดูภูมิประเทศที่ถูกน้ำท่วมเป็นประจำ ครั้นตรวจการเสร็จจะขึ้นม้าเดินทางต่อไป เล่าเปียวสังเกตเห็นม้าของเตียวบูที่เล่าปี่ขี่อยู่นั้นมีลักษณะชอบกลงดงามนัก จึงสอบถามเล่าปี่ว่าม้านี้ท่านได้แต่ไหนมา
เล่าปี่ตอบว่าม้านี้เป็นม้าของเตียวบูเคยใช้ขี่ เมื่อเตียวบูเจ้าของม้าตายแล้ว ข้าพเจ้าจึงได้ม้านี้มา
เล่าเปียวเป็นเจ้าเมืองที่นิยมชมชอบม้า ได้ฟังดังนั้นจึงเดินเข้ามาใกล้ม้า ตรวจดูลักษณะของม้าโดยละเอียด แล้วชมว่าม้านี้ช่างเป็นม้าวิเศษสง่างามสมเป็นม้าศึก
เล่าปี่เห็นเล่าเปียวพอใจม้าจึงลงจากหลังม้า เข้ามาคำนับเล่าเปียวแล้วว่าม้านี้สง่างามสมเป็นม้าศึก ข้าพเจ้าขอมอบแก่ท่านเป็นของขวัญ เล่าเปียวเห็นดังนั้นก็มีความยินดี กล่าวขอบใจเล่าปี่แล้วเอาม้านั้นมาขี่และมอบม้าที่ขี่มาให้แก่เล่าปี่ขี่กลับเข้าเมือง.