ตอนที่ 178. คำสั่งเสียสุดท้ายของกุยแก
ในขณะที่แม่ทัพนายกองและที่ปรึกษาส่วนหนึ่งเสนอให้กรีฑาทัพตีเมืองเลียวตั๋ง และอีกส่วนหนึ่งเสนอให้เลิกทัพกลับเมืองหลวง แต่โจโฉไม่ยอมทำตามความเห็นของทั้งสองทาง คงยืนยันว่าอีกเก้าถึงสิบวันก็จะได้ศีรษะของอ้วนชงและอ้วนฮี
บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองต่างพากันสงสัยว่าการที่โจโฉตั้งทัพอยู่ เฉย ๆ แล้วจะได้ศีรษะของสองพี่น้องตระกูลอ้วนได้อย่างไร แต่ไม่มีใครกล้าเร่งเร้าสอบถาม ครั้นกองซุนของตัดศีรษะอ้วนชงและอ้วนฮีมามอบแก่โจโฉสมดังคำที่โจโฉได้พูดไว้ ทั้งโจโฉได้ปรารภขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยว่ากุยแกอ่อนแต่อายุ ส่วนสติปัญญาจะคาดหมายการสิ่งใดไม่เคยผิด จึงทำให้บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองอดรนทนต่อไปไม่ได้ และถามโจโฉว่าการที่ท่านได้ศีรษะอ้วนชงและอ้วนฮีสมดังคะเน จะเกี่ยวข้องประการใดกับคำปรารภถึงกุยแกของท่าน
โจโฉได้ฟังคำถามเช่นนั้นก็กระหยิ่มยิ้มย่อง สั่งทหารให้เอาหีบใส่หนังสือลับของกุยแกออกมา แล้วให้แฮหัวตุ้นไขกุญแจและอ่านความในจดหมายนั้นให้บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวงได้รับฟัง
จดหมายลับของกุยแกที่เขียนถึงโจโฉตอนใกล้จะตายมีใจความว่า “ข้าพเจ้ากุยแกขอบอกไว้แก่มหาอุปราชให้แจ้ง ด้วยข้าพเจ้ารู้ว่าอ้วนฮี อ้วนชงนั้นหนีไปอยู่ด้วยกองซุนของเจ้าเมืองเลียวตั๋ง อย่าให้ท่านยกกองทัพไปทำอันตรายเมืองเลียวตั๋ง ให้ไพร่บ้านพลเมืองได้ความเดือดร้อนเลย ด้วยเหตุว่ากองซุนของกับอ้วนฮี อ้วนชงนั้นก็หมายใจจะคิดร้ายกันอยู่ แม้ท่านจะขืนยกไปตีเมืองเลียวตั๋ง ข้าพเจ้าเห็นว่ากองซุนของกับอ้วนฮี อ้วนชงจะประนอมพร้อมกันช่วยรบพุ่งท่าน ทหารทั้งปวงก็จะได้ความลำบาก”
เนื้อความตามจดหมายลับของกุยแกที่พอโจโฉเปิดอ่านแล้วก็พยักหน้าเป็นทีรับเอานั้น คือข้อเสนอที่ประสงค์ต่อผลในการยืมมือกองซุนของเจ้าเมืองเลียวตั๋งให้ประหารชีวิตอ้วนฮีและอ้วนชง โดยที่โจโฉไม่จำต้องยกกองทัพไปรบแต่ประการใด ทั้งนี้เพราะกุยแกทราบข้อมูลทางการทหารและประเมินสถานการณ์ได้กระจ่างว่าเจ้าเมืองเลียวตั๋งกับอ้วนฮีแลอ้วนชงนั้นต่างแคลงใจและช่วงชิงกันอยู่ในที ถ้าหากกองทัพโจโฉยกไปเมืองเลียวตั๋ง คนเหล่านั้นก็จะสมานสามัคคีกันต่อสู้กับโจโฉ แต่เมื่อโจโฉไม่ยกกองทัพไปเมืองเลียวตั๋ง ความแคลงใจและการจ้องช่วงชิงอำนาจกันอยู่นั้นก็จะระเบิดออกมาซึ่งกุยแกประเมินว่าเจ้าเมืองเลียวตั๋งจะต้องฆ่าสองพี่น้องตระกูลอ้วน แล้วนำมามอบแก่โจโฉเอาความชอบ
ศีรษะของสองพี่น้องตระกูลอ้วนจึงเป็นประดุจดั่งมรดกแห่งพินัยกรรมเลือดที่กุยแกคิดอ่านวางแผนการให้แก่โจโฉเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตาย และเกิดผลสำเร็จอย่างงดงาม นั่นคือโจโฉสามารถกวาดล้างสองพี่น้องตระกูลอ้วนได้สำเร็จโดยไม่ต้องรบ ถือเป็นการปราบปรามภาคเหนือได้สำเร็จราบคาบ
บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทราบความในหนังสือลับของกุยแกแล้ว ต่างพากันสรรเสริญความคิดอ่านและสติปัญญาของกุยแก แลว่ากุยแกนั้นมีปัญญาทัศน์เสมอด้วยเทพยดาเข้าดลใจ ต่างคนต่างพากันนับถือและรำลึกถึงกุยแกเป็นอันมาก ดังนั้นจึงขอให้โจโฉแต่งการพิธีเซ่นไหว้เพื่อรำลึกถึงกุยแก
โจโฉเห็นชอบกับข้อเสนอของบรรดาแม่ทัพนายกอง สั่งให้จัดพิธีบวงสรวงเซ่นไหว้วิญญาณกุยแก และให้ทหารเชิญศพของกุยแกไปฝังไว้ที่เมืองฮูโต๋ตามลำดับเกียรติยศแห่งที่ปรึกษาคนสำคัญของแผ่นดิน
เซ่นไหว้ศพของกุยแกเสร็จแล้ว โจโฉจึงให้เลิกทัพยกไปตั้งอยู่ที่เมืองกิจิ๋ว
ครั้นถึงเมืองกิจิ๋ว โจโฉจึงจัดประชุมบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองแลขุนนางข้าราชการทั้งปวง ณ ศาลาว่าการเมืองกิจิ๋ว แล้วเปิดโอกาสให้บรรดาคนเหล่านั้นรายงานการในหน้าที่ทั้งปวงเพื่อให้เพื่อนร่วมงานได้รับรู้
เสร็จสิ้นจากการรายงานแล้ว เทียหยกที่ปรึกษาได้เสนอว่าท่านอัครมหาเสนาบดีได้ถือรับสั่งปราบปรามหัวเมืองฝ่ายเหนือได้ขับเคี่ยวทำสงครามต่อกันโดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากลำบาก บัดนี้หัวเมืองฝ่ายเหนือสงบราบคาบขึ้นต่ออำนาจการบริหารของอำนาจรัฐส่วนกลางแล้ว จึงชอบที่ท่านอัครมหาเสนาบดีจะได้ยกทัพกลับพระนคร บำรุงทแกล้วทหารให้เข้มแข็งเกรียงไกรเพื่อบรรลุภารกิจในการปราบปรามหัวเมืองฝ่ายใต้ ฝ่ายตะวันตกและฝ่ายพายัพ ทำแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่นและบำรุงราษฎรให้มีความสุขสืบไป
โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงแสดงความชื่นชมความคิดของเทียหยกแล้วว่าความคิดเห็นของท่านนั้นต้องด้วยความคิดของข้าพเจ้า แต่รอไว้อีกชั่วระยะหนึ่งเพื่อจัดแจงหัวเมืองฝ่ายเหนือให้มั่นคงก่อน จากนั้นค่อยเลิกทัพกลับเมืองหลวง
หลังจากการประชุมโจโฉสั่งให้แต่งโต๊ะเลี้ยงอาหารค่ำแก่บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกอง ณ หอรบบนเชิงเทินกำแพงเมืองกิจิ๋ว
โจโฉและบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองเสพสุรากินโต๊ะกันอย่างเพลิดเพลินจนกระทั่งเกือบสิ้นยามหนึ่ง โจโฉแรงด้วยฤทธิ์สุรามีความฮึกเหิมจึงชวนบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองเดินออกจากหอรบลงไปที่เชิงเทิน เกาะเสมากำแพงเมืองแล้วหันหน้าไปทางทิศใต้
โจโฉทอดสายตาฝ่าความมืดไปยังขอบฟ้าด้านทิศใต้ เห็นดาวดวงหนึ่งตำแหน่งตรงกับเมืองกังตั๋งมีสีฟ้าเหลืองสุกใสรุ่งเรือง รัศมีผ่องประกาย โจโฉเห็นดังนั้นจึงเอามือชี้ไปที่ดาวอันสุกสกาวนั้น แล้วบอกแก่บรรดาที่ปรึกษาทั้งปวงว่าบัดนี้แม้ว่าเราได้ชัยชนะแก่หัวเมืองฝ่ายเหนือและฝ่ายตะวันออกแล้ว ชอบที่จะกรีฑาทัพกวาดล้างทั่วแผ่นดินให้สงบราบคาบ แต่ทว่าเหตุการณ์บนนภากาศยังไม่เอื้ออำนวย
โจโฉบอกซุนฮิวให้ดูไปที่ดาวอันสว่างไสวอยู่บนฟ้าเบื้องทักษิณ แล้วว่า “ซึ่งเราจะยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋งนั้นยังไม่ได้ ด้วยดาวฝ่ายทิศตรงเมืองกังตั๋งนั้นยังมีรัศมีสุกใสผ่องแผ้วอยู่”
ความในสามก๊กตอนนี้บอกความหมายเป็นนัยอยู่ว่าโจโฉนั้นไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญการพิชัยสงครามและการปกครองเท่านั้น แต่ยังมีความรู้ทางด้านดาราศาสตร์และคัมภีร์พยากรณ์พอสมควร แม้ไม่อาจจัดว่าชำนาญจัดจ้านระดับโหราจารย์แต่ก็ดูเหมือนว่าจะมีความเหนือกว่าบรรดาเจ้าเมืองและขุนศึกทั้งปวงในยุคนั้น และด้วยความรู้ดั่งนี้จึงทำให้โจโฉละความตั้งใจที่จะกรีฑาทัพลงไปตีเมืองกังตั๋ง
ซุนฮิวได้ฟังคำโจโฉดั่งนั้นจึงว่า “มหาอุปราชมีวาสนาใหญ่หลวงอยู่ ถึงมาตรว่าดาวฝ่ายทิศใต้ยังมีรัศมีบริบูรณ์อยู่ก็ดี แม้จะยกไปปราบปรามก็จะราบคาบไปด้วยบุญแลปัญญาท่าน”
ซุนฮิวนั้นแม้ว่าจะมีความรู้ทางด้านดาราศาสตร์และคัมภีร์พยากรณ์ แต่ให้ความสำคัญแก่แรงวาสนาหรือสิ่งที่เรียกว่า “จักรพรรดิสมบัติ” ว่ามีอำนาจเหนือกว่าอย่างอื่น จึงเห็นว่าแม้ดาวประจำเมืองกังตั๋งจะรุ่งเรืองสดใส แต่ในที่สุดต้องพ่ายแพ้แก่โจโฉ เพราะ “บุญ” และ “ปัญญา” ของโจโฉ เมื่อเป็นดังนี้จึงอาจถือได้ว่าซุนฮิวก็เป็นขุนนางจำพวกชะเลียร์ที่เอาใจผู้มีอำนาจเก่งพอ ๆ กับนักวิชาการในยุคปัจจุบันนี้
พอซุนฮิวพูดสิ้นคำลง พลันปรากฏแสงสีน้ำเงินแกมแดงเป็นลำขนาดเท่าต้นตาลพุ่งขึ้นมาจากผืนดินใต้หอรบสูงประมาณสี่ศอก แสงสว่างโชติช่วง ทั้งโจโฉ ซุนฮิวและบรรดาผู้ติดตามทั้งปวงเห็นแสงอัศจรรย์นี้แล้วพากันตกตะลึง
โจโฉจึงถามซุนฮิวว่าแสงสีน้ำเงินแกมแดงดั่งนี้เป็นนิมิตดีร้ายประการใด ซุนฮิวได้ฟังจึงว่าข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าจะเป็นสิ่งใด แต่สงสัยว่าตรงพื้นดินที่แสงสว่างพุ่งขึ้นนั้นน่าจะมีของวิเศษบางอย่าง ขอให้ท่านสั่งทหารขุดหาดูก่อน
โจโฉสั่งทหารให้ดำเนินการตามข้อเสนอของซุนฮิวแล้วพาคนเหล่านั้นกลับมานั่งเสพสุราดูบรรยากาศท้องฟ้ายามราตรีต่อไป
จากนั้นไม่ถึงชั่วยามหัวหน้าทหารซึ่งควบคุมการขุดค้นได้เข้ามารายงานโจโฉว่าพวกข้าพเจ้าได้ขุดค้นตามคำสั่งพบ “นกยูงทองแดงตัวหนึ่งใหญ่เท่าผลส้มแป้น” จึงนำมามอบแก่ท่าน ว่าแล้วได้มอบนกยูงทองแดงแก่โจโฉแล้วคำนับลาออกไป
โจโฉรับเอานกยูงทองแดงนั้นมาดู แล้วถามซุนฮิวว่าซึ่งข้าพเจ้าได้ของสิ่งนี้ไว้ จะเป็นนิมิตดีร้ายประการใด
ซุนฮิวจึงว่า “ครั้งมารดาพระเจ้าซุนเต้ยังเป็นชาวบ้านนอกอยู่นั้น นิมิตฝันว่าได้กลืนหงส์หยกเข้าไปไว้ อยู่มานางนั้นก็มีครรภ์คลอดบุตรมาเป็นชาย ครั้นใหญ่ขึ้นปรากฏว่ามีกตัญญูนัก ขณะนั้นพระเจ้าเงี่ยวเต้ได้เสวยราชสมบัติ แจ้งว่าบุตรนางนั้นมีความสัตย์ซื่อกตัญญูต่อมารดาจึงประทานราชธิดา ต่อมาถึงได้ราชสมบัติ ทรงพระนามว่าพระเจ้าซุนเต้ ซึ่งท่านได้นกยูงทองแดงนี้ก็ดีอยู่”
ความเห็นของซุนฮิวแสดงอยู่ในตัวว่าซุนฮิวหาได้รู้ประวัติความเป็นมาของนกยูงทองแดงตัวนี้ไม่ แต่ด้วยเล่ห์ลิ้นอันไหลลื่นของขุนนางระดับที่ปรึกษาใหญ่ กลับยกเอาความฝันแต่ครั้งประวัติศาสตร์หลายร้อยปีขึ้นมาเทียบเคียง เพื่อเอาอกเอาใจโจโฉให้ฮึกเหิมแล้วคิดแย่งชิงเอาราชสมบัติ
โจโฉได้ฟังคำซุนฮิวดั่งนั้นก็มีความยินดีแต่มิได้กล่าวตอบประการใด ครั้นรุ่งขึ้นโจโฉเรียกประชุมขุนนางข้าราชการเมืองกิจิ๋ว แล้วสั่งการให้สร้างเมืองใหม่ขึ้นที่ริมแม่น้ำเจียงโหในท้องที่ตำบลเงียบกุ๋น เพื่อเป็นมงคลอนุสรณ์และบูชานกยูงทองแดงที่ขุดค้นได้นั้น
โจโฉได้สั่งให้ก่อสร้างปราสาทขึ้นที่ริมแม่น้ำสูงห้าชั้น ประดับประดาอย่างสวยงาม กลางยอดหลังคาตั้งแท่นให้เป็นที่สถิตของนกยูงทองแดงสำหรับคนทั้งปวงได้กราบไหว้บูชาจากทั่วทุกสารทิศ ใช้เวลาการก่อสร้างถึงหนึ่งปีจึงจะแล้วเสร็จ
ในขณะที่ปราสาทใกล้จะแล้วเสร็จนั้น โจสิดบุตรของโจโฉซึ่งเป็นผู้น้องของโจผีเห็นปราสาทริมแม่น้ำเจียงโหหลังนั้นเป็นหลังเดี่ยวคิดว่าไม่สมเกียรติแก่โจโฉซึ่งเป็นถึงอัครมหาเสนาบดี จึงเสนอแก่โจโฉว่าธรรมดาป่าใหญ่ย่อมไม่ใหญ่ได้ด้วยไม้เพียงต้นเดียว ผู้มีอำนาจเรืองเดชานุภาพได้ก็เพราะมีผู้ร่วมคิดอ่านทั้งฝ่ายบุ๋นแลฝ่ายบู๊ อันปราสาทริมแม่น้ำเจียงโหนี้แม้ว่าสวยสง่างามนัก แต่ยังไม่ยิ่งใหญ่สมกับบารมี จึงขอเสนอให้สร้างปราสาทหลังย่อมขนาดสูงสามชั้นขึ้นอีกสองหลังทางซ้ายขวาของปราสาทหลังเดิมเรียงรายไปตามลำแม่น้ำเจียงโหนั้น บนกลางยอดปราสาทหลังขวาให้หล่อรูปมังกรไว้เป็นสัญลักษณ์ บนกลางยอดปราสาทหลังซ้ายให้หล่อรูปหงส์ไว้เป็นสัญลักษณ์ และให้ทำสะพานลอยเชื่อมปราสาททั้งสามหลังตรงชั้นสามให้ถึงกันตลอด
โจโฉไม่ได้คาดคิดว่าการสร้างปราสาทสามหลังริมแม่น้ำเจียงโหครั้งนี้จะถูกใช้เป็นข้ออ้างที่ทำให้สงครามใหญ่คือสงครามเซ็กเพ็กระเบิดขึ้นในเวลาต่อมา
โจโฉได้ฟังความคิดของโจสิดผู้บุตรแล้วจึงสั่งการให้โจสิดเป็นแม่กองควบคุมงานก่อสร้างปราสาทซ้ายขวาตามข้อเสนอตั้งแต่บัดนั้น
จากนั้นโจโฉจึงสั่งการให้เตียวเอี๋ยนคุมทหารไปตั้งด่านป้องกันความปลอดภัยอยู่ที่ชายแดนเมืองกิจิ๋ว และให้สำรวจกำลังพลที่เข้าสวามิภักดิ์ในสงครามภาคเหนือปรากฏว่ากองทัพโจโฉได้ทหารเพิ่มขึ้นถึงห้าสิบหมื่น มีทหารเอก ทหารรองเป็นอันมาก
โจโฉสั่งให้ปรับปรุงกองทัพรับทหารใหม่เก่าเข้าประจำกรมกองต่าง ๆ แล้วจึงให้เลิกทัพกลับเมืองฮูโต๋
ถึงเมืองฮูโต๋แล้วโจโฉรำลึกถึงคุณกุยแก จึงให้รับกุยเอ๊กผู้บุตรของกุยแกเข้ามารับราชการ
พอวันรุ่งขึ้นโจโฉจึงให้เชิญประชุมที่ปรึกษา แม่ทัพนายกองและขุนนางข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เพื่อปรึกษาว่าจะกรีฑาทัพไปปราบปรามหัวเมืองฝ่ายใต้
ซุนฮกที่ปรึกษาผู้ใหญ่และถือว่าเป็นหลักชัยของฝ่ายโจโฉฟังปรารภของโจโฉแล้วทัดทานว่าท่านเพิ่งเสร็จศึกจากภาคเหนือมายังไม่ทันข้ามเดือน เหล่าทหารทั้งปวงยังอิดโรยอยู่ ทั้งทหารที่ได้มาใหม่มีเป็นจำนวนมาก จำเป็นต้องฝึกซ้อมบำรุงทแกล้วทหารและสร้างสมเสบียงอาหารให้พร้อมเพรียงก่อน เมื่อล่วงเข้าปีใหม่แล้วจึงค่อยคิดอ่านทำการจึงจะชอบ
ความเห็นของซุนฮกในครั้งนี้สวนทางกับความเห็นของซุนฮิวอย่างสิ้นเชิง แต่เมื่อโจโฉได้ฟังความเห็นของซุนฮกแล้วกลับเห็นชอบกับความเห็นนั้น.
บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองต่างพากันสงสัยว่าการที่โจโฉตั้งทัพอยู่ เฉย ๆ แล้วจะได้ศีรษะของสองพี่น้องตระกูลอ้วนได้อย่างไร แต่ไม่มีใครกล้าเร่งเร้าสอบถาม ครั้นกองซุนของตัดศีรษะอ้วนชงและอ้วนฮีมามอบแก่โจโฉสมดังคำที่โจโฉได้พูดไว้ ทั้งโจโฉได้ปรารภขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยว่ากุยแกอ่อนแต่อายุ ส่วนสติปัญญาจะคาดหมายการสิ่งใดไม่เคยผิด จึงทำให้บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองอดรนทนต่อไปไม่ได้ และถามโจโฉว่าการที่ท่านได้ศีรษะอ้วนชงและอ้วนฮีสมดังคะเน จะเกี่ยวข้องประการใดกับคำปรารภถึงกุยแกของท่าน
โจโฉได้ฟังคำถามเช่นนั้นก็กระหยิ่มยิ้มย่อง สั่งทหารให้เอาหีบใส่หนังสือลับของกุยแกออกมา แล้วให้แฮหัวตุ้นไขกุญแจและอ่านความในจดหมายนั้นให้บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวงได้รับฟัง
จดหมายลับของกุยแกที่เขียนถึงโจโฉตอนใกล้จะตายมีใจความว่า “ข้าพเจ้ากุยแกขอบอกไว้แก่มหาอุปราชให้แจ้ง ด้วยข้าพเจ้ารู้ว่าอ้วนฮี อ้วนชงนั้นหนีไปอยู่ด้วยกองซุนของเจ้าเมืองเลียวตั๋ง อย่าให้ท่านยกกองทัพไปทำอันตรายเมืองเลียวตั๋ง ให้ไพร่บ้านพลเมืองได้ความเดือดร้อนเลย ด้วยเหตุว่ากองซุนของกับอ้วนฮี อ้วนชงนั้นก็หมายใจจะคิดร้ายกันอยู่ แม้ท่านจะขืนยกไปตีเมืองเลียวตั๋ง ข้าพเจ้าเห็นว่ากองซุนของกับอ้วนฮี อ้วนชงจะประนอมพร้อมกันช่วยรบพุ่งท่าน ทหารทั้งปวงก็จะได้ความลำบาก”
เนื้อความตามจดหมายลับของกุยแกที่พอโจโฉเปิดอ่านแล้วก็พยักหน้าเป็นทีรับเอานั้น คือข้อเสนอที่ประสงค์ต่อผลในการยืมมือกองซุนของเจ้าเมืองเลียวตั๋งให้ประหารชีวิตอ้วนฮีและอ้วนชง โดยที่โจโฉไม่จำต้องยกกองทัพไปรบแต่ประการใด ทั้งนี้เพราะกุยแกทราบข้อมูลทางการทหารและประเมินสถานการณ์ได้กระจ่างว่าเจ้าเมืองเลียวตั๋งกับอ้วนฮีแลอ้วนชงนั้นต่างแคลงใจและช่วงชิงกันอยู่ในที ถ้าหากกองทัพโจโฉยกไปเมืองเลียวตั๋ง คนเหล่านั้นก็จะสมานสามัคคีกันต่อสู้กับโจโฉ แต่เมื่อโจโฉไม่ยกกองทัพไปเมืองเลียวตั๋ง ความแคลงใจและการจ้องช่วงชิงอำนาจกันอยู่นั้นก็จะระเบิดออกมาซึ่งกุยแกประเมินว่าเจ้าเมืองเลียวตั๋งจะต้องฆ่าสองพี่น้องตระกูลอ้วน แล้วนำมามอบแก่โจโฉเอาความชอบ
ศีรษะของสองพี่น้องตระกูลอ้วนจึงเป็นประดุจดั่งมรดกแห่งพินัยกรรมเลือดที่กุยแกคิดอ่านวางแผนการให้แก่โจโฉเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตาย และเกิดผลสำเร็จอย่างงดงาม นั่นคือโจโฉสามารถกวาดล้างสองพี่น้องตระกูลอ้วนได้สำเร็จโดยไม่ต้องรบ ถือเป็นการปราบปรามภาคเหนือได้สำเร็จราบคาบ
บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทราบความในหนังสือลับของกุยแกแล้ว ต่างพากันสรรเสริญความคิดอ่านและสติปัญญาของกุยแก แลว่ากุยแกนั้นมีปัญญาทัศน์เสมอด้วยเทพยดาเข้าดลใจ ต่างคนต่างพากันนับถือและรำลึกถึงกุยแกเป็นอันมาก ดังนั้นจึงขอให้โจโฉแต่งการพิธีเซ่นไหว้เพื่อรำลึกถึงกุยแก
โจโฉเห็นชอบกับข้อเสนอของบรรดาแม่ทัพนายกอง สั่งให้จัดพิธีบวงสรวงเซ่นไหว้วิญญาณกุยแก และให้ทหารเชิญศพของกุยแกไปฝังไว้ที่เมืองฮูโต๋ตามลำดับเกียรติยศแห่งที่ปรึกษาคนสำคัญของแผ่นดิน
เซ่นไหว้ศพของกุยแกเสร็จแล้ว โจโฉจึงให้เลิกทัพยกไปตั้งอยู่ที่เมืองกิจิ๋ว
ครั้นถึงเมืองกิจิ๋ว โจโฉจึงจัดประชุมบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองแลขุนนางข้าราชการทั้งปวง ณ ศาลาว่าการเมืองกิจิ๋ว แล้วเปิดโอกาสให้บรรดาคนเหล่านั้นรายงานการในหน้าที่ทั้งปวงเพื่อให้เพื่อนร่วมงานได้รับรู้
เสร็จสิ้นจากการรายงานแล้ว เทียหยกที่ปรึกษาได้เสนอว่าท่านอัครมหาเสนาบดีได้ถือรับสั่งปราบปรามหัวเมืองฝ่ายเหนือได้ขับเคี่ยวทำสงครามต่อกันโดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากลำบาก บัดนี้หัวเมืองฝ่ายเหนือสงบราบคาบขึ้นต่ออำนาจการบริหารของอำนาจรัฐส่วนกลางแล้ว จึงชอบที่ท่านอัครมหาเสนาบดีจะได้ยกทัพกลับพระนคร บำรุงทแกล้วทหารให้เข้มแข็งเกรียงไกรเพื่อบรรลุภารกิจในการปราบปรามหัวเมืองฝ่ายใต้ ฝ่ายตะวันตกและฝ่ายพายัพ ทำแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่นและบำรุงราษฎรให้มีความสุขสืบไป
โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงแสดงความชื่นชมความคิดของเทียหยกแล้วว่าความคิดเห็นของท่านนั้นต้องด้วยความคิดของข้าพเจ้า แต่รอไว้อีกชั่วระยะหนึ่งเพื่อจัดแจงหัวเมืองฝ่ายเหนือให้มั่นคงก่อน จากนั้นค่อยเลิกทัพกลับเมืองหลวง
หลังจากการประชุมโจโฉสั่งให้แต่งโต๊ะเลี้ยงอาหารค่ำแก่บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกอง ณ หอรบบนเชิงเทินกำแพงเมืองกิจิ๋ว
โจโฉและบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองเสพสุรากินโต๊ะกันอย่างเพลิดเพลินจนกระทั่งเกือบสิ้นยามหนึ่ง โจโฉแรงด้วยฤทธิ์สุรามีความฮึกเหิมจึงชวนบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองเดินออกจากหอรบลงไปที่เชิงเทิน เกาะเสมากำแพงเมืองแล้วหันหน้าไปทางทิศใต้
โจโฉทอดสายตาฝ่าความมืดไปยังขอบฟ้าด้านทิศใต้ เห็นดาวดวงหนึ่งตำแหน่งตรงกับเมืองกังตั๋งมีสีฟ้าเหลืองสุกใสรุ่งเรือง รัศมีผ่องประกาย โจโฉเห็นดังนั้นจึงเอามือชี้ไปที่ดาวอันสุกสกาวนั้น แล้วบอกแก่บรรดาที่ปรึกษาทั้งปวงว่าบัดนี้แม้ว่าเราได้ชัยชนะแก่หัวเมืองฝ่ายเหนือและฝ่ายตะวันออกแล้ว ชอบที่จะกรีฑาทัพกวาดล้างทั่วแผ่นดินให้สงบราบคาบ แต่ทว่าเหตุการณ์บนนภากาศยังไม่เอื้ออำนวย
โจโฉบอกซุนฮิวให้ดูไปที่ดาวอันสว่างไสวอยู่บนฟ้าเบื้องทักษิณ แล้วว่า “ซึ่งเราจะยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋งนั้นยังไม่ได้ ด้วยดาวฝ่ายทิศตรงเมืองกังตั๋งนั้นยังมีรัศมีสุกใสผ่องแผ้วอยู่”
ความในสามก๊กตอนนี้บอกความหมายเป็นนัยอยู่ว่าโจโฉนั้นไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญการพิชัยสงครามและการปกครองเท่านั้น แต่ยังมีความรู้ทางด้านดาราศาสตร์และคัมภีร์พยากรณ์พอสมควร แม้ไม่อาจจัดว่าชำนาญจัดจ้านระดับโหราจารย์แต่ก็ดูเหมือนว่าจะมีความเหนือกว่าบรรดาเจ้าเมืองและขุนศึกทั้งปวงในยุคนั้น และด้วยความรู้ดั่งนี้จึงทำให้โจโฉละความตั้งใจที่จะกรีฑาทัพลงไปตีเมืองกังตั๋ง
ซุนฮิวได้ฟังคำโจโฉดั่งนั้นจึงว่า “มหาอุปราชมีวาสนาใหญ่หลวงอยู่ ถึงมาตรว่าดาวฝ่ายทิศใต้ยังมีรัศมีบริบูรณ์อยู่ก็ดี แม้จะยกไปปราบปรามก็จะราบคาบไปด้วยบุญแลปัญญาท่าน”
ซุนฮิวนั้นแม้ว่าจะมีความรู้ทางด้านดาราศาสตร์และคัมภีร์พยากรณ์ แต่ให้ความสำคัญแก่แรงวาสนาหรือสิ่งที่เรียกว่า “จักรพรรดิสมบัติ” ว่ามีอำนาจเหนือกว่าอย่างอื่น จึงเห็นว่าแม้ดาวประจำเมืองกังตั๋งจะรุ่งเรืองสดใส แต่ในที่สุดต้องพ่ายแพ้แก่โจโฉ เพราะ “บุญ” และ “ปัญญา” ของโจโฉ เมื่อเป็นดังนี้จึงอาจถือได้ว่าซุนฮิวก็เป็นขุนนางจำพวกชะเลียร์ที่เอาใจผู้มีอำนาจเก่งพอ ๆ กับนักวิชาการในยุคปัจจุบันนี้
พอซุนฮิวพูดสิ้นคำลง พลันปรากฏแสงสีน้ำเงินแกมแดงเป็นลำขนาดเท่าต้นตาลพุ่งขึ้นมาจากผืนดินใต้หอรบสูงประมาณสี่ศอก แสงสว่างโชติช่วง ทั้งโจโฉ ซุนฮิวและบรรดาผู้ติดตามทั้งปวงเห็นแสงอัศจรรย์นี้แล้วพากันตกตะลึง
โจโฉจึงถามซุนฮิวว่าแสงสีน้ำเงินแกมแดงดั่งนี้เป็นนิมิตดีร้ายประการใด ซุนฮิวได้ฟังจึงว่าข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าจะเป็นสิ่งใด แต่สงสัยว่าตรงพื้นดินที่แสงสว่างพุ่งขึ้นนั้นน่าจะมีของวิเศษบางอย่าง ขอให้ท่านสั่งทหารขุดหาดูก่อน
โจโฉสั่งทหารให้ดำเนินการตามข้อเสนอของซุนฮิวแล้วพาคนเหล่านั้นกลับมานั่งเสพสุราดูบรรยากาศท้องฟ้ายามราตรีต่อไป
จากนั้นไม่ถึงชั่วยามหัวหน้าทหารซึ่งควบคุมการขุดค้นได้เข้ามารายงานโจโฉว่าพวกข้าพเจ้าได้ขุดค้นตามคำสั่งพบ “นกยูงทองแดงตัวหนึ่งใหญ่เท่าผลส้มแป้น” จึงนำมามอบแก่ท่าน ว่าแล้วได้มอบนกยูงทองแดงแก่โจโฉแล้วคำนับลาออกไป
โจโฉรับเอานกยูงทองแดงนั้นมาดู แล้วถามซุนฮิวว่าซึ่งข้าพเจ้าได้ของสิ่งนี้ไว้ จะเป็นนิมิตดีร้ายประการใด
ซุนฮิวจึงว่า “ครั้งมารดาพระเจ้าซุนเต้ยังเป็นชาวบ้านนอกอยู่นั้น นิมิตฝันว่าได้กลืนหงส์หยกเข้าไปไว้ อยู่มานางนั้นก็มีครรภ์คลอดบุตรมาเป็นชาย ครั้นใหญ่ขึ้นปรากฏว่ามีกตัญญูนัก ขณะนั้นพระเจ้าเงี่ยวเต้ได้เสวยราชสมบัติ แจ้งว่าบุตรนางนั้นมีความสัตย์ซื่อกตัญญูต่อมารดาจึงประทานราชธิดา ต่อมาถึงได้ราชสมบัติ ทรงพระนามว่าพระเจ้าซุนเต้ ซึ่งท่านได้นกยูงทองแดงนี้ก็ดีอยู่”
ความเห็นของซุนฮิวแสดงอยู่ในตัวว่าซุนฮิวหาได้รู้ประวัติความเป็นมาของนกยูงทองแดงตัวนี้ไม่ แต่ด้วยเล่ห์ลิ้นอันไหลลื่นของขุนนางระดับที่ปรึกษาใหญ่ กลับยกเอาความฝันแต่ครั้งประวัติศาสตร์หลายร้อยปีขึ้นมาเทียบเคียง เพื่อเอาอกเอาใจโจโฉให้ฮึกเหิมแล้วคิดแย่งชิงเอาราชสมบัติ
โจโฉได้ฟังคำซุนฮิวดั่งนั้นก็มีความยินดีแต่มิได้กล่าวตอบประการใด ครั้นรุ่งขึ้นโจโฉเรียกประชุมขุนนางข้าราชการเมืองกิจิ๋ว แล้วสั่งการให้สร้างเมืองใหม่ขึ้นที่ริมแม่น้ำเจียงโหในท้องที่ตำบลเงียบกุ๋น เพื่อเป็นมงคลอนุสรณ์และบูชานกยูงทองแดงที่ขุดค้นได้นั้น
โจโฉได้สั่งให้ก่อสร้างปราสาทขึ้นที่ริมแม่น้ำสูงห้าชั้น ประดับประดาอย่างสวยงาม กลางยอดหลังคาตั้งแท่นให้เป็นที่สถิตของนกยูงทองแดงสำหรับคนทั้งปวงได้กราบไหว้บูชาจากทั่วทุกสารทิศ ใช้เวลาการก่อสร้างถึงหนึ่งปีจึงจะแล้วเสร็จ
ในขณะที่ปราสาทใกล้จะแล้วเสร็จนั้น โจสิดบุตรของโจโฉซึ่งเป็นผู้น้องของโจผีเห็นปราสาทริมแม่น้ำเจียงโหหลังนั้นเป็นหลังเดี่ยวคิดว่าไม่สมเกียรติแก่โจโฉซึ่งเป็นถึงอัครมหาเสนาบดี จึงเสนอแก่โจโฉว่าธรรมดาป่าใหญ่ย่อมไม่ใหญ่ได้ด้วยไม้เพียงต้นเดียว ผู้มีอำนาจเรืองเดชานุภาพได้ก็เพราะมีผู้ร่วมคิดอ่านทั้งฝ่ายบุ๋นแลฝ่ายบู๊ อันปราสาทริมแม่น้ำเจียงโหนี้แม้ว่าสวยสง่างามนัก แต่ยังไม่ยิ่งใหญ่สมกับบารมี จึงขอเสนอให้สร้างปราสาทหลังย่อมขนาดสูงสามชั้นขึ้นอีกสองหลังทางซ้ายขวาของปราสาทหลังเดิมเรียงรายไปตามลำแม่น้ำเจียงโหนั้น บนกลางยอดปราสาทหลังขวาให้หล่อรูปมังกรไว้เป็นสัญลักษณ์ บนกลางยอดปราสาทหลังซ้ายให้หล่อรูปหงส์ไว้เป็นสัญลักษณ์ และให้ทำสะพานลอยเชื่อมปราสาททั้งสามหลังตรงชั้นสามให้ถึงกันตลอด
โจโฉไม่ได้คาดคิดว่าการสร้างปราสาทสามหลังริมแม่น้ำเจียงโหครั้งนี้จะถูกใช้เป็นข้ออ้างที่ทำให้สงครามใหญ่คือสงครามเซ็กเพ็กระเบิดขึ้นในเวลาต่อมา
โจโฉได้ฟังความคิดของโจสิดผู้บุตรแล้วจึงสั่งการให้โจสิดเป็นแม่กองควบคุมงานก่อสร้างปราสาทซ้ายขวาตามข้อเสนอตั้งแต่บัดนั้น
จากนั้นโจโฉจึงสั่งการให้เตียวเอี๋ยนคุมทหารไปตั้งด่านป้องกันความปลอดภัยอยู่ที่ชายแดนเมืองกิจิ๋ว และให้สำรวจกำลังพลที่เข้าสวามิภักดิ์ในสงครามภาคเหนือปรากฏว่ากองทัพโจโฉได้ทหารเพิ่มขึ้นถึงห้าสิบหมื่น มีทหารเอก ทหารรองเป็นอันมาก
โจโฉสั่งให้ปรับปรุงกองทัพรับทหารใหม่เก่าเข้าประจำกรมกองต่าง ๆ แล้วจึงให้เลิกทัพกลับเมืองฮูโต๋
ถึงเมืองฮูโต๋แล้วโจโฉรำลึกถึงคุณกุยแก จึงให้รับกุยเอ๊กผู้บุตรของกุยแกเข้ามารับราชการ
พอวันรุ่งขึ้นโจโฉจึงให้เชิญประชุมที่ปรึกษา แม่ทัพนายกองและขุนนางข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เพื่อปรึกษาว่าจะกรีฑาทัพไปปราบปรามหัวเมืองฝ่ายใต้
ซุนฮกที่ปรึกษาผู้ใหญ่และถือว่าเป็นหลักชัยของฝ่ายโจโฉฟังปรารภของโจโฉแล้วทัดทานว่าท่านเพิ่งเสร็จศึกจากภาคเหนือมายังไม่ทันข้ามเดือน เหล่าทหารทั้งปวงยังอิดโรยอยู่ ทั้งทหารที่ได้มาใหม่มีเป็นจำนวนมาก จำเป็นต้องฝึกซ้อมบำรุงทแกล้วทหารและสร้างสมเสบียงอาหารให้พร้อมเพรียงก่อน เมื่อล่วงเข้าปีใหม่แล้วจึงค่อยคิดอ่านทำการจึงจะชอบ
ความเห็นของซุนฮกในครั้งนี้สวนทางกับความเห็นของซุนฮิวอย่างสิ้นเชิง แต่เมื่อโจโฉได้ฟังความเห็นของซุนฮกแล้วกลับเห็นชอบกับความเห็นนั้น.