ตอนที่ 176. สิ้นบุญกุยแกยอดที่ปรึกษา
โจโฉรู้กำลังกองทัพของตัวที่ยกมาว่าเป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็วแต่ไม่รู้กำลังศึกของอีกฝ่ายหนึ่งว่าเป็นประการใด จึงยังไม่อาจบัญชาการรบได้ แต่พอขึ้นไปดูบนยอดเขาเห็นกำลังกองทัพที่ยกมาตั้งสกัดไว้นั้นแม้มีเป็นจำนวนมาก แต่ขาดระเบียบวินัยและไม่เป็นกระบวนทัพ เห็นว่าแม้หน่วยเคลื่อนที่เร็วมีกำลังพลน้อยกว่าก็สามารถเอาชัยชนะได้โดยง่าย จึงบัญชาการให้เตียวเลี้ยวยกทหารเข้าตีกองทัพที่ตั้งสกัดอยู่ในทันที
เตียวเลี้ยวรับธงอาญาสิทธิ์ประจำกองทัพจากโจโฉแล้ว สั่งให้เคาทู ซิหลง และ อิกิ๋มคุมทหารแยกเป็นสามสาย ตัวเตียวเลี้ยวเองคุมทหารอีกสายหนึ่งรุกเข้าตีกองทัพที่ตั้งสกัดอยู่พร้อมกัน
กองทัพของเป๊กตุ้นแม้ว่ายกมาตั้งสกัดอยู่ก่อน แต่แทนที่จะออมกำลังและเตรียมตั้งรับอย่างเป็นกระบวนศึก กลับปล่อยให้ทหารพักผ่อนตามสบาย ไม่คาดคิดว่ากองทัพที่เดินทัพผ่านซอกเขาจะรุกรบเข้าโจมตี ดังนั้นพอกองทัพเคลื่อนที่เร็วของโจโฉนำด้วยกองทหารม้าเคลื่อนออกจากซอกเขา แยกเป็นสี่สาย ตีกระหนาบเข้ามาทุกด้าน กองทัพของเป๊กตุ้นจึงระส่ำระสาย
กองทหารทั้งสี่สายของโจโฉที่นำโดยกองทหารม้ารุกรบโจมตีฆ่าฟันทหารของเป๊กตุ้นบาดเจ็บล้มตายลงเป็นจำนวนมาก เตียวเลี้ยวนำกองทหารรี่ตรงเข้าไปที่เป๊กตุ้นซึ่งยืนม้าคุมทหารอยู่ ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันได้ไม่ถึงสิบเพลง เตียวเลี้ยวก็เอาทวนแทงถูกเป๊กตุ้นตกม้าตาย
ฝ่ายอ้วนฮีและอ้วนชงเห็นกองทัพของเป๊กตุ้นแตกตื่นเสียทีแก่กองทัพของโจโฉก็ตกใจ รีบพาทหารพันเศษหนีย้อนกลับไปทางเดิม พอห่างจากการติดตามของกองทัพโจโฉแล้ว จึงพาทหารวกกลับไปทางด้านตะวันออกของเมืองกิจิ๋ว มุ่งหน้าไปทางเมืองเลียวตั๋ง
ฝ่ายกองทัพของเป๊กตุ้นเมื่อตัวนายเสียทีถึงแก่ชีวิต พวกทหารที่เหลืออยู่จึงพากันยอมแพ้และยอมให้ฝ่ายโจโฉจับเป็นเชลย โจโฉจึงให้รับทหารเหล่านั้นไว้เป็นกำลังของกองทัพต่อไป
หลังจากจัดการกับสินศึกและเชลยศึกเรียบร้อยแล้ว โจโฉจึงสั่งให้เคลื่อนพลยกเข้าเมืองหลิวเซีย ทางฝ่ายในเมืองหลิวเซียเมื่อทราบความว่าเป๊กตุ้นเจ้าเมืองตายแล้วก็ยอมเปิดประตูเมืองอ่อนน้อมแก่กองทัพของโจโฉแต่โดยดี
โจโฉจัดระเบียบการปกครองในเมืองหลิวเซียจนสงบราบคาบแล้วเรียกเตียนติ๋วทหารเก่าของอ้วนเสี้ยวซึ่งเป็นผู้นำทางเข้ามาพบ และว่าชัยชนะในครั้งนี้เป็นเพราะผลงานความชอบของท่าน ซึ่งนำทางให้แก่กองทัพ ดังนั้นเราจะปูนบำเหน็จแต่งตั้งให้ท่านเป็นเจ้าเมืองหลิวเซีย
เตียนติ๋วได้ฟังดังนั้นรีบคุกเข่าลงคำนับโจโฉ แล้วว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนหนีนาย ท่านมาพบเข้าก็มิได้เอาโทษนั้น คุณหาที่สุดมิได้ ซึ่งท่านจะซ้ำให้เป็นเจ้าเมืองนี้ไม่ได้ เหตุว่าหนีนายมาแล้ว มิหนำซ้ำจะมาให้ผู้อื่นตั้งแต่งตัวเป็นดีนั้นมิชอบ ถึงมาตรว่าท่านไม่เอ็นดู จะฆ่าฟันข้าพเจ้าเสียด้วยขัดคำท่านข้อนี้ก็ตามเถิด”
เตียนติ๋วแม้ว่าออกจากราชการเมืองกิจิ๋วมาทำมาหากินอยู่ในหัวเมืองด้านตะวันตกแล้ว แต่น้ำใจกตัญญูรู้คุณนายยังคงมั่นอยู่ในใจ ไม่ยอมรับบำเหน็จตำแหน่งเจ้าเมืองจากโจโฉ ถึงขนาดที่ว่าแม้โจโฉจะลงโทษถึงประหารก็พร้อมจะยอมตาย โจโฉประจักษ์น้ำใจภักดีดั่งนี้แล้ว จึงสรรเสริญคุณธรรมของเตียนติ๋วเป็นอันมาก แล้วว่าเมื่อท่านมีความประสงค์ดังนี้ เราก็จะไม่ฝืนน้ำใจ ดังนั้นเราจะตั้งให้ท่านเป็นที่ปรึกษาของเรา
เตียนติ๋วได้ฟังดังนั้นก็คำนับโจโฉ แล้วว่าตำแหน่งที่ปรึกษานี้ไกลจากอำนาจวาสนา ไม่เป็นที่ครหาของผู้อื่น ดังนั้นข้าพเจ้าขอน้อมรับคำบัญชาและจะทำการสนองคุณท่านให้สมแก่ความวางใจต่อไป
โจโฉได้ให้ทหารสำรวจกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ของเมืองหลิวเซียแล้ว สั่งให้เอาม้าศึกที่มีอยู่ในเมืองหลิวเซียหมื่นตัวเศษเข้าประจำการในกองทัพ และเห็นว่าเมื่ออ้วนชง อ้วนฮีหนีไปแล้ว ทั้งเมืองหลิวเซียก็มีเสบียงอาหารไม่เพียงพอ จึงให้ยกทัพกลับ
ในระหว่างเดินทัพกลับนั้นอยู่ในระหว่างเทศกาลฤดูหนาว พอเคลื่อนทัพมาได้สองพันเส้นเสบียงอาหารและน้ำก็ขาดแคลนลง โจโฉจึงสั่งให้ฆ่าม้าซึ่งยึดมาได้แจกทหารเป็นเสบียงอาหาร และให้ขุดบ่อน้ำลึกถึงเก้าวาสิบวาจึงพบน้ำ แล้วแจกจ่ายแก่ทหารให้ดื่มกินแก้กระหายพอประทังชีวิต
กองทัพของโจโฉเดินทัพกลับฝ่าลมหนาวที่ทวีความหนาวเหน็บขึ้นทุกทีท่ามกลางความขาดแคลนเสบียงอาหารอย่างทุลักทุเลจนถึงเมืองเอ๊กจิ๋ว
โจโฉเข้าเมืองเอ๊กจิ๋วแล้วสั่งให้เอาสินศึกที่ยึดมาได้ปูนบำเหน็จทหารที่มาในกองทัพอย่างทั่วถึง ในขณะนั้นโจโฉรำลึกว่าเรายกทัพไปหัวเมืองตะวันตกของเมืองกิจิ๋วครั้งนี้ ทหารได้ความยากลำบากเป็นอันมาก ทั้งนี้เนื่องเพราะเราไม่ฟังคำทัดทานของบรรดาแม่ทัพและนายทหาร จึงเดินทัพไปกลับ เสียเวลาและเสียแรงเปล่าดังนี้ ดังนั้นบรรดาทหารที่คัดค้านทัดทานไม่ให้ยกกองทัพไป จึงนับว่ามีความดีความชอบ อนึ่งเล่าหากปูนบำเหน็จให้เท่ากันหรือไม่ปูนบำเหน็จให้ สืบไปเบื้องหน้าก็จะไม่มีผู้ใดกล้าทัดทานความคิดเห็นของเราอีก ผู้เป็นใหญ่ที่ไม่มีผู้ใดกล้าทัดทานความเห็นนั้นนับว่าตกอยู่ในอันตรายอย่างใหญ่หลวง
คิดดังนั้นแล้วโจโฉจึงสั่งให้ปูนบำเหน็จบรรดาทหารที่ออกความเห็นทัดทานไม่ให้ยกกองทัพไปหัวเมืองภาคตะวันตกของเมืองกิจิ๋วเป็นจำนวนสามเท่าของจำนวนบำเหน็จปกติที่แจกจ่ายแก่ทหารในครั้งนั้น
เมื่อปูนบำเหน็จแก่ทหารเสร็จสิ้นแล้ว โจโฉจึงเรียกประชุมทหารทั้งปวงแล้วประกาศว่า “ซึ่งเรายกมาตีเมืองหลิวเซียทั้งนี้ทางก็ไกล บรรดาผู้ที่ห้ามปรามก็ได้รับบำเหน็จเป็นอันมาก เหตุว่าเราไม่ฟัง ขืนยกไปตีได้นั้นก็เพราะเทพยดาช่วยเรา แต่นี้สืบไปเมื่อหน้าถ้าเราจะทำการสิ่งใดก็อย่าให้ทหารทั้งปวงคิดย่อท้อว่าจะเหน็ดเหนื่อยลำบากยากแค้นเลย”
โจโฉปูนบำเหน็จให้แก่เหล่าทหารไม่เท่ากัน คือบำเหน็จให้แก่ผู้ที่ทัดทานไม่ให้ยกกองทัพมากกว่าปกติถึงสามเท่า โดยมีเจตจำนงที่จะรณรงค์ทางความคิดเพื่อป้องกันความผิดพลาดในวันหน้า ส่งเสริมให้เหล่าทหารกล้าออกความคิดเห็นทัดทานประการหนึ่ง แต่ถ้าเมื่อตัดสินใจประการใดแล้ว ก็ต้องพร้อมเพรียงทำการจนสำเร็จจงได้อีกประการหนึ่ง การประกาศชี้แจงเหตผลดังกล่าวนี้จึงเป็นวิถีแห่งผู้นำที่สันทัดจัดจ้านในเชิงการปกครองที่เด่นชัด เพราะหากเหล่าทหารไม่เข้าใจความมุ่งหมายแล้วย่อมครหานินทาให้เป็นที่เสียหายได้ว่าการปูนบำเหน็จเป็นไปโดยไม่ยุติธรรมก็จะเสียการปกครองและไม่อาจบัญชาการใหญ่ให้เป็นเอกภาพ และมีอานุภาพได้
หลังจากประชุมเหล่าทหารแล้ว โจโฉไม่เห็นกุยแกจึงสอบถามว่ากุยแกเป็นอย่างไรบ้าง ทหารที่รักษาพยาบาลกุยแกได้เข้ามารายงานว่าหลังจากท่านยกทหารไปแล้ว อาการป่วยของกุยแกทรุดหนักลงอย่างรวดเร็ว และคืนหนึ่งในขณะที่อากาศหนาวจัดกุยแกไออย่างรุนแรงและถึงแก่ความตาย แต่พวกข้าพเจ้าเห็นว่ากุยแกเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของท่านจึงยังคงรักษาศพไว้คอยท่าท่านกลับมา
โจโฉได้ฟังรายงานดังนั้นก็ตกใจ สั่งให้ทหารรีบนำทางไปที่ห้องโถงซึ่งตั้งศพของกุยแก สั่งให้แต่งพิธีการศพอย่างสมเกียรติ แล้วเข้าไปจุดธูปเทียนเซ่นไหว้ศพกุยแก
โจโฉจุดธูปแล้วร้องไห้รักกุยแกเป็นอันมาก รำพึงรำพันอย่างเศร้าโศกว่า “ครั้งนี้กุยแกมาถึงแก่ความตาย อุปมาเหมือนเทพยดาทำลายชีวิตเราเสีย”
โจโฉยืนร้องไห้อยู่หน้าศพกุยแกเป็นเวลานานแล้วหันมาว่ากับบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองที่ตามมาในพิธีเซ่นไหว้ศพว่า “อายุท่านทั้งนี้กับเราก็คราวกัน แต่กุยแกนั้นอายุอ่อนกว่าเรา เราคิดไว้ว่าแม้ตัวเราตายจะได้ฝากบุตรแลครอบครัวมอบการทั้งปวงไว้ให้กุยแกช่วยทำนุบำรุงสืบไป กุยแกก็มาตายเสียก่อนดังนี้ไม่ควรเลย ที่ไหนตัวเราจะมีความสบาย”
"ขณะเมื่อกุยแกแรกมาอยู่ด้วยโจโฉนั้นอายุได้ยี่สิบเจ็ดปี ทำราชการมีบำเหน็จความชอบมาสิบเอ็ดปี เมื่อตายนั้นอายุได้สามสิบแปดปี”
กุยแกเป็นที่ปรึกษาคนหนึ่งในบรรดาคณะที่ปรึกษารุ่นแรกสุดของโจโฉ เข้าร่วมการกับโจโฉตั้งแต่ระหว่างก่อร่างสร้างตัว แม้ว่าจะมีอายุน้อยที่สุดในบรรดาที่ปรึกษาทั้งปวงแต่ความคิดความอ่านแลสติปัญญาของกุยแกนั้นดูเหมือนว่าจะเลิศล้ำยิ่งกว่าบรรดาที่ปรึกษาคนอื่น ๆ เพราะกุยแกสามารถคิดอ่านวางแผนได้ทั้งทางการทหารและทางการเมือง สามารถผสมผสานการเมืองและการทหารเข้าด้วยกันแล้วประกอบเข้าเป็นแผนการทั้งทางยุทธศาสตร์ ทางยุทธการ และทางยุทธวิธี ตลอดระยะเวลาที่กุยแกทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของโจโฉนั้น หลายครั้งได้ออกความเห็นที่ตรงข้ามกับบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองคนอื่น แต่เนื่องเพราะข้อคิดเห็นและแผนการที่กุยแกได้เสนอขึ้นนั้นเปี่ยมด้วยพลังแลเหตุผล จึงได้รับการยอมรับจากโจโฉแล้วนำไปปฏิบัติทุกครั้ง และได้รับชัยชนะหรือผลสำเร็จทุกครั้งไป
ปมเงื่อนของความสำเร็จในการครองอำนาจของโจโฉในเมืองหลวงและในการปราบหัวเมืองฝ่ายเหนือนั้น หากจะประมวลประเมินแล้วต้องให้น้ำหนักที่สติปัญญาความคิดอ่านและแผนการของกุยแกเป็นสำคัญ โดยเฉพาะในวาระสำคัญที่จะต้องตัดสินใจว่าจะรบกับอ้วนเสี้ยวหรือไม่นั้น ในขณะนั้นกองทัพอ้วนเสี้ยวมีกำลังพลมากกว่าโจโฉถึงสิบเท่า แต่กุยแกได้ประเมินว่าโจโฉจะได้รับชัยชนะในสงคราม เป็นผลให้โจโฉตัดสินใจทำสงครามปราบปรามภาคเหนือ แม้ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อที่การศึกกำลังขับเคี่ยวกันอยู่มีปัญหาว่าจะเลิกทัพกลับเมืองหลวงด้วยความหวั่นเกรงว่ากองทัพเมืองเกงจิ๋วจะฉวยโอกาสยกเข้าตีเมืองหลวง แต่กุยแกก็ได้วินิจฉัยว่าไม่ต้องหวั่นเกรงกองทัพเมืองเกงจิ๋ว เพราะเล่าเปียว เล่าปี่คงระแวงแคลงใจกันและไม่คิดอ่านขยายอำนาจ จึงเสนอให้โจโฉตั้งหน้าปราบปรามภาคเหนือให้สำเร็จก่อน ดังนั้นในบรรดาที่ปรึกษาทั้งปวงโจโฉจึงเชื่อถือในความคิดของกุยแกมากที่สุด และได้รับผลจากสติปัญญาของกุยแกทุกครั้ง การเสียกุยแกในครั้งนี้โจโฉจึงโศกเศร้าเสียใจเป็นอันมาก ถึงกับเปิดเผยความในใจเกี่ยวกับความคิดในอนาคตที่ตั้งใจจะฝากฝังภาระหน้าที่ราชการและลูกหลานไว้ให้กุยแกทำนุบำรุง
แต่ที่ปรึกษาระดับกุยแกนั้นแม้ตายแล้วก็หาได้ตายเปล่าไม่ เพราะก่อนตายยังคงฝากจดหมายลับไว้กับทหารที่เฝ้ารักษาพยาบาลเพื่อมอบแก่โจโฉอีกฉบับหนึ่ง
พอโจโฉเซ่นไหว้เสร็จ ทหารที่รักษาพยาบาลกุยแกจึงนำจดหมายลับของกุยแกนั้นมอบแก่โจโฉ แล้วรายงานว่าหนังสือฉบับนี้กุยแกได้เขียนขึ้นในขณะที่ป่วยหนักก่อนที่จะถึงแก่ความตายเพียงวันเดียว กำชับข้าพเจ้าว่าให้มอบแก่ท่านอัครมหาเสนาบดีกับมือจงได้ แต่ความประการใดนั้นข้าพเจ้ามิได้แจ้ง กุยแกได้บอกว่าเมื่อท่านอัครมหาเสนาบดีอ่านจดหมายแล้วก็จะรู้เอง
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าทหารที่รักษาพยาบาลกุยแกได้รายงานโจโฉว่ากุยแกได้สั่งความว่าถ้าโจโฉปฏิบัติตามหนังสือนี้แล้วก็จะได้เมืองเลียวตั๋ง แต่ฉบับภาษาจีนมิได้ระบุในลักษณะนี้ ซึ่งน่าจะเป็นตามที่ฉบับภาษาจีนระบุไว้ เพราะความนัยเกี่ยวกับการสงครามเป็นเรื่องใหญ่ กุยแกถึงกับต้องทำเป็นหนังสือลับ กำชับให้ส่งกับมือโจโฉ ที่ไหนเลยจะวางใจให้ทหารที่รักษาพยาบาลรู้ความลับแห่งการสงครามนั้น
โจโฉรับเอาหนังสือลับเปิดอ่านดูแล้วพยักหน้าเป็นทีเห็นด้วย แต่มิได้กล่าวประการใด แล้วเอาหนังสือของกุยแกใส่ไว้ในกระเป๋าภายในแขนเสื้อ กลับไปถึงที่พักแล้วจึงเอาหนังสือลับนั้นใส่หีบลั่นกุญแจแล้วให้ทหารรักษาไว้
อากัปกิริยาของโจโฉเกี่ยวกับจดหมายลับของกุยแกครั้งนี้ ทำให้บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวงสงสัยว่าเกิดเรื่องราวประการใดขึ้น แต่ทุกคนไม่กล้าปริปากสอบถาม.
เตียวเลี้ยวรับธงอาญาสิทธิ์ประจำกองทัพจากโจโฉแล้ว สั่งให้เคาทู ซิหลง และ อิกิ๋มคุมทหารแยกเป็นสามสาย ตัวเตียวเลี้ยวเองคุมทหารอีกสายหนึ่งรุกเข้าตีกองทัพที่ตั้งสกัดอยู่พร้อมกัน
กองทัพของเป๊กตุ้นแม้ว่ายกมาตั้งสกัดอยู่ก่อน แต่แทนที่จะออมกำลังและเตรียมตั้งรับอย่างเป็นกระบวนศึก กลับปล่อยให้ทหารพักผ่อนตามสบาย ไม่คาดคิดว่ากองทัพที่เดินทัพผ่านซอกเขาจะรุกรบเข้าโจมตี ดังนั้นพอกองทัพเคลื่อนที่เร็วของโจโฉนำด้วยกองทหารม้าเคลื่อนออกจากซอกเขา แยกเป็นสี่สาย ตีกระหนาบเข้ามาทุกด้าน กองทัพของเป๊กตุ้นจึงระส่ำระสาย
กองทหารทั้งสี่สายของโจโฉที่นำโดยกองทหารม้ารุกรบโจมตีฆ่าฟันทหารของเป๊กตุ้นบาดเจ็บล้มตายลงเป็นจำนวนมาก เตียวเลี้ยวนำกองทหารรี่ตรงเข้าไปที่เป๊กตุ้นซึ่งยืนม้าคุมทหารอยู่ ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันได้ไม่ถึงสิบเพลง เตียวเลี้ยวก็เอาทวนแทงถูกเป๊กตุ้นตกม้าตาย
ฝ่ายอ้วนฮีและอ้วนชงเห็นกองทัพของเป๊กตุ้นแตกตื่นเสียทีแก่กองทัพของโจโฉก็ตกใจ รีบพาทหารพันเศษหนีย้อนกลับไปทางเดิม พอห่างจากการติดตามของกองทัพโจโฉแล้ว จึงพาทหารวกกลับไปทางด้านตะวันออกของเมืองกิจิ๋ว มุ่งหน้าไปทางเมืองเลียวตั๋ง
ฝ่ายกองทัพของเป๊กตุ้นเมื่อตัวนายเสียทีถึงแก่ชีวิต พวกทหารที่เหลืออยู่จึงพากันยอมแพ้และยอมให้ฝ่ายโจโฉจับเป็นเชลย โจโฉจึงให้รับทหารเหล่านั้นไว้เป็นกำลังของกองทัพต่อไป
หลังจากจัดการกับสินศึกและเชลยศึกเรียบร้อยแล้ว โจโฉจึงสั่งให้เคลื่อนพลยกเข้าเมืองหลิวเซีย ทางฝ่ายในเมืองหลิวเซียเมื่อทราบความว่าเป๊กตุ้นเจ้าเมืองตายแล้วก็ยอมเปิดประตูเมืองอ่อนน้อมแก่กองทัพของโจโฉแต่โดยดี
โจโฉจัดระเบียบการปกครองในเมืองหลิวเซียจนสงบราบคาบแล้วเรียกเตียนติ๋วทหารเก่าของอ้วนเสี้ยวซึ่งเป็นผู้นำทางเข้ามาพบ และว่าชัยชนะในครั้งนี้เป็นเพราะผลงานความชอบของท่าน ซึ่งนำทางให้แก่กองทัพ ดังนั้นเราจะปูนบำเหน็จแต่งตั้งให้ท่านเป็นเจ้าเมืองหลิวเซีย
เตียนติ๋วได้ฟังดังนั้นรีบคุกเข่าลงคำนับโจโฉ แล้วว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนหนีนาย ท่านมาพบเข้าก็มิได้เอาโทษนั้น คุณหาที่สุดมิได้ ซึ่งท่านจะซ้ำให้เป็นเจ้าเมืองนี้ไม่ได้ เหตุว่าหนีนายมาแล้ว มิหนำซ้ำจะมาให้ผู้อื่นตั้งแต่งตัวเป็นดีนั้นมิชอบ ถึงมาตรว่าท่านไม่เอ็นดู จะฆ่าฟันข้าพเจ้าเสียด้วยขัดคำท่านข้อนี้ก็ตามเถิด”
เตียนติ๋วแม้ว่าออกจากราชการเมืองกิจิ๋วมาทำมาหากินอยู่ในหัวเมืองด้านตะวันตกแล้ว แต่น้ำใจกตัญญูรู้คุณนายยังคงมั่นอยู่ในใจ ไม่ยอมรับบำเหน็จตำแหน่งเจ้าเมืองจากโจโฉ ถึงขนาดที่ว่าแม้โจโฉจะลงโทษถึงประหารก็พร้อมจะยอมตาย โจโฉประจักษ์น้ำใจภักดีดั่งนี้แล้ว จึงสรรเสริญคุณธรรมของเตียนติ๋วเป็นอันมาก แล้วว่าเมื่อท่านมีความประสงค์ดังนี้ เราก็จะไม่ฝืนน้ำใจ ดังนั้นเราจะตั้งให้ท่านเป็นที่ปรึกษาของเรา
เตียนติ๋วได้ฟังดังนั้นก็คำนับโจโฉ แล้วว่าตำแหน่งที่ปรึกษานี้ไกลจากอำนาจวาสนา ไม่เป็นที่ครหาของผู้อื่น ดังนั้นข้าพเจ้าขอน้อมรับคำบัญชาและจะทำการสนองคุณท่านให้สมแก่ความวางใจต่อไป
โจโฉได้ให้ทหารสำรวจกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ของเมืองหลิวเซียแล้ว สั่งให้เอาม้าศึกที่มีอยู่ในเมืองหลิวเซียหมื่นตัวเศษเข้าประจำการในกองทัพ และเห็นว่าเมื่ออ้วนชง อ้วนฮีหนีไปแล้ว ทั้งเมืองหลิวเซียก็มีเสบียงอาหารไม่เพียงพอ จึงให้ยกทัพกลับ
ในระหว่างเดินทัพกลับนั้นอยู่ในระหว่างเทศกาลฤดูหนาว พอเคลื่อนทัพมาได้สองพันเส้นเสบียงอาหารและน้ำก็ขาดแคลนลง โจโฉจึงสั่งให้ฆ่าม้าซึ่งยึดมาได้แจกทหารเป็นเสบียงอาหาร และให้ขุดบ่อน้ำลึกถึงเก้าวาสิบวาจึงพบน้ำ แล้วแจกจ่ายแก่ทหารให้ดื่มกินแก้กระหายพอประทังชีวิต
กองทัพของโจโฉเดินทัพกลับฝ่าลมหนาวที่ทวีความหนาวเหน็บขึ้นทุกทีท่ามกลางความขาดแคลนเสบียงอาหารอย่างทุลักทุเลจนถึงเมืองเอ๊กจิ๋ว
โจโฉเข้าเมืองเอ๊กจิ๋วแล้วสั่งให้เอาสินศึกที่ยึดมาได้ปูนบำเหน็จทหารที่มาในกองทัพอย่างทั่วถึง ในขณะนั้นโจโฉรำลึกว่าเรายกทัพไปหัวเมืองตะวันตกของเมืองกิจิ๋วครั้งนี้ ทหารได้ความยากลำบากเป็นอันมาก ทั้งนี้เนื่องเพราะเราไม่ฟังคำทัดทานของบรรดาแม่ทัพและนายทหาร จึงเดินทัพไปกลับ เสียเวลาและเสียแรงเปล่าดังนี้ ดังนั้นบรรดาทหารที่คัดค้านทัดทานไม่ให้ยกกองทัพไป จึงนับว่ามีความดีความชอบ อนึ่งเล่าหากปูนบำเหน็จให้เท่ากันหรือไม่ปูนบำเหน็จให้ สืบไปเบื้องหน้าก็จะไม่มีผู้ใดกล้าทัดทานความคิดเห็นของเราอีก ผู้เป็นใหญ่ที่ไม่มีผู้ใดกล้าทัดทานความเห็นนั้นนับว่าตกอยู่ในอันตรายอย่างใหญ่หลวง
คิดดังนั้นแล้วโจโฉจึงสั่งให้ปูนบำเหน็จบรรดาทหารที่ออกความเห็นทัดทานไม่ให้ยกกองทัพไปหัวเมืองภาคตะวันตกของเมืองกิจิ๋วเป็นจำนวนสามเท่าของจำนวนบำเหน็จปกติที่แจกจ่ายแก่ทหารในครั้งนั้น
เมื่อปูนบำเหน็จแก่ทหารเสร็จสิ้นแล้ว โจโฉจึงเรียกประชุมทหารทั้งปวงแล้วประกาศว่า “ซึ่งเรายกมาตีเมืองหลิวเซียทั้งนี้ทางก็ไกล บรรดาผู้ที่ห้ามปรามก็ได้รับบำเหน็จเป็นอันมาก เหตุว่าเราไม่ฟัง ขืนยกไปตีได้นั้นก็เพราะเทพยดาช่วยเรา แต่นี้สืบไปเมื่อหน้าถ้าเราจะทำการสิ่งใดก็อย่าให้ทหารทั้งปวงคิดย่อท้อว่าจะเหน็ดเหนื่อยลำบากยากแค้นเลย”
โจโฉปูนบำเหน็จให้แก่เหล่าทหารไม่เท่ากัน คือบำเหน็จให้แก่ผู้ที่ทัดทานไม่ให้ยกกองทัพมากกว่าปกติถึงสามเท่า โดยมีเจตจำนงที่จะรณรงค์ทางความคิดเพื่อป้องกันความผิดพลาดในวันหน้า ส่งเสริมให้เหล่าทหารกล้าออกความคิดเห็นทัดทานประการหนึ่ง แต่ถ้าเมื่อตัดสินใจประการใดแล้ว ก็ต้องพร้อมเพรียงทำการจนสำเร็จจงได้อีกประการหนึ่ง การประกาศชี้แจงเหตผลดังกล่าวนี้จึงเป็นวิถีแห่งผู้นำที่สันทัดจัดจ้านในเชิงการปกครองที่เด่นชัด เพราะหากเหล่าทหารไม่เข้าใจความมุ่งหมายแล้วย่อมครหานินทาให้เป็นที่เสียหายได้ว่าการปูนบำเหน็จเป็นไปโดยไม่ยุติธรรมก็จะเสียการปกครองและไม่อาจบัญชาการใหญ่ให้เป็นเอกภาพ และมีอานุภาพได้
หลังจากประชุมเหล่าทหารแล้ว โจโฉไม่เห็นกุยแกจึงสอบถามว่ากุยแกเป็นอย่างไรบ้าง ทหารที่รักษาพยาบาลกุยแกได้เข้ามารายงานว่าหลังจากท่านยกทหารไปแล้ว อาการป่วยของกุยแกทรุดหนักลงอย่างรวดเร็ว และคืนหนึ่งในขณะที่อากาศหนาวจัดกุยแกไออย่างรุนแรงและถึงแก่ความตาย แต่พวกข้าพเจ้าเห็นว่ากุยแกเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของท่านจึงยังคงรักษาศพไว้คอยท่าท่านกลับมา
โจโฉได้ฟังรายงานดังนั้นก็ตกใจ สั่งให้ทหารรีบนำทางไปที่ห้องโถงซึ่งตั้งศพของกุยแก สั่งให้แต่งพิธีการศพอย่างสมเกียรติ แล้วเข้าไปจุดธูปเทียนเซ่นไหว้ศพกุยแก
โจโฉจุดธูปแล้วร้องไห้รักกุยแกเป็นอันมาก รำพึงรำพันอย่างเศร้าโศกว่า “ครั้งนี้กุยแกมาถึงแก่ความตาย อุปมาเหมือนเทพยดาทำลายชีวิตเราเสีย”
โจโฉยืนร้องไห้อยู่หน้าศพกุยแกเป็นเวลานานแล้วหันมาว่ากับบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองที่ตามมาในพิธีเซ่นไหว้ศพว่า “อายุท่านทั้งนี้กับเราก็คราวกัน แต่กุยแกนั้นอายุอ่อนกว่าเรา เราคิดไว้ว่าแม้ตัวเราตายจะได้ฝากบุตรแลครอบครัวมอบการทั้งปวงไว้ให้กุยแกช่วยทำนุบำรุงสืบไป กุยแกก็มาตายเสียก่อนดังนี้ไม่ควรเลย ที่ไหนตัวเราจะมีความสบาย”
"ขณะเมื่อกุยแกแรกมาอยู่ด้วยโจโฉนั้นอายุได้ยี่สิบเจ็ดปี ทำราชการมีบำเหน็จความชอบมาสิบเอ็ดปี เมื่อตายนั้นอายุได้สามสิบแปดปี”
กุยแกเป็นที่ปรึกษาคนหนึ่งในบรรดาคณะที่ปรึกษารุ่นแรกสุดของโจโฉ เข้าร่วมการกับโจโฉตั้งแต่ระหว่างก่อร่างสร้างตัว แม้ว่าจะมีอายุน้อยที่สุดในบรรดาที่ปรึกษาทั้งปวงแต่ความคิดความอ่านแลสติปัญญาของกุยแกนั้นดูเหมือนว่าจะเลิศล้ำยิ่งกว่าบรรดาที่ปรึกษาคนอื่น ๆ เพราะกุยแกสามารถคิดอ่านวางแผนได้ทั้งทางการทหารและทางการเมือง สามารถผสมผสานการเมืองและการทหารเข้าด้วยกันแล้วประกอบเข้าเป็นแผนการทั้งทางยุทธศาสตร์ ทางยุทธการ และทางยุทธวิธี ตลอดระยะเวลาที่กุยแกทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของโจโฉนั้น หลายครั้งได้ออกความเห็นที่ตรงข้ามกับบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองคนอื่น แต่เนื่องเพราะข้อคิดเห็นและแผนการที่กุยแกได้เสนอขึ้นนั้นเปี่ยมด้วยพลังแลเหตุผล จึงได้รับการยอมรับจากโจโฉแล้วนำไปปฏิบัติทุกครั้ง และได้รับชัยชนะหรือผลสำเร็จทุกครั้งไป
ปมเงื่อนของความสำเร็จในการครองอำนาจของโจโฉในเมืองหลวงและในการปราบหัวเมืองฝ่ายเหนือนั้น หากจะประมวลประเมินแล้วต้องให้น้ำหนักที่สติปัญญาความคิดอ่านและแผนการของกุยแกเป็นสำคัญ โดยเฉพาะในวาระสำคัญที่จะต้องตัดสินใจว่าจะรบกับอ้วนเสี้ยวหรือไม่นั้น ในขณะนั้นกองทัพอ้วนเสี้ยวมีกำลังพลมากกว่าโจโฉถึงสิบเท่า แต่กุยแกได้ประเมินว่าโจโฉจะได้รับชัยชนะในสงคราม เป็นผลให้โจโฉตัดสินใจทำสงครามปราบปรามภาคเหนือ แม้ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อที่การศึกกำลังขับเคี่ยวกันอยู่มีปัญหาว่าจะเลิกทัพกลับเมืองหลวงด้วยความหวั่นเกรงว่ากองทัพเมืองเกงจิ๋วจะฉวยโอกาสยกเข้าตีเมืองหลวง แต่กุยแกก็ได้วินิจฉัยว่าไม่ต้องหวั่นเกรงกองทัพเมืองเกงจิ๋ว เพราะเล่าเปียว เล่าปี่คงระแวงแคลงใจกันและไม่คิดอ่านขยายอำนาจ จึงเสนอให้โจโฉตั้งหน้าปราบปรามภาคเหนือให้สำเร็จก่อน ดังนั้นในบรรดาที่ปรึกษาทั้งปวงโจโฉจึงเชื่อถือในความคิดของกุยแกมากที่สุด และได้รับผลจากสติปัญญาของกุยแกทุกครั้ง การเสียกุยแกในครั้งนี้โจโฉจึงโศกเศร้าเสียใจเป็นอันมาก ถึงกับเปิดเผยความในใจเกี่ยวกับความคิดในอนาคตที่ตั้งใจจะฝากฝังภาระหน้าที่ราชการและลูกหลานไว้ให้กุยแกทำนุบำรุง
แต่ที่ปรึกษาระดับกุยแกนั้นแม้ตายแล้วก็หาได้ตายเปล่าไม่ เพราะก่อนตายยังคงฝากจดหมายลับไว้กับทหารที่เฝ้ารักษาพยาบาลเพื่อมอบแก่โจโฉอีกฉบับหนึ่ง
พอโจโฉเซ่นไหว้เสร็จ ทหารที่รักษาพยาบาลกุยแกจึงนำจดหมายลับของกุยแกนั้นมอบแก่โจโฉ แล้วรายงานว่าหนังสือฉบับนี้กุยแกได้เขียนขึ้นในขณะที่ป่วยหนักก่อนที่จะถึงแก่ความตายเพียงวันเดียว กำชับข้าพเจ้าว่าให้มอบแก่ท่านอัครมหาเสนาบดีกับมือจงได้ แต่ความประการใดนั้นข้าพเจ้ามิได้แจ้ง กุยแกได้บอกว่าเมื่อท่านอัครมหาเสนาบดีอ่านจดหมายแล้วก็จะรู้เอง
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าทหารที่รักษาพยาบาลกุยแกได้รายงานโจโฉว่ากุยแกได้สั่งความว่าถ้าโจโฉปฏิบัติตามหนังสือนี้แล้วก็จะได้เมืองเลียวตั๋ง แต่ฉบับภาษาจีนมิได้ระบุในลักษณะนี้ ซึ่งน่าจะเป็นตามที่ฉบับภาษาจีนระบุไว้ เพราะความนัยเกี่ยวกับการสงครามเป็นเรื่องใหญ่ กุยแกถึงกับต้องทำเป็นหนังสือลับ กำชับให้ส่งกับมือโจโฉ ที่ไหนเลยจะวางใจให้ทหารที่รักษาพยาบาลรู้ความลับแห่งการสงครามนั้น
โจโฉรับเอาหนังสือลับเปิดอ่านดูแล้วพยักหน้าเป็นทีเห็นด้วย แต่มิได้กล่าวประการใด แล้วเอาหนังสือของกุยแกใส่ไว้ในกระเป๋าภายในแขนเสื้อ กลับไปถึงที่พักแล้วจึงเอาหนังสือลับนั้นใส่หีบลั่นกุญแจแล้วให้ทหารรักษาไว้
อากัปกิริยาของโจโฉเกี่ยวกับจดหมายลับของกุยแกครั้งนี้ ทำให้บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวงสงสัยว่าเกิดเรื่องราวประการใดขึ้น แต่ทุกคนไม่กล้าปริปากสอบถาม.