ตอนที่ 146. สงครามปราบขุนศึกภาคเหนือ

โจโฉพอทราบข่าวว่าเมืองกังตั๋งผลัดเปลี่ยนอำนาจจากซุนเซ็กผู้พี่มาเป็นซุนกวนผู้น้อง จึงปรารภที่จะยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋ง แต่เตียวเหียนอดีตขุนนางเมืองกังตั๋งซึ่งโจโฉยึดตัวไว้ทำราชการในเมืองหลวงได้คิดอ่านเสนอความเห็นทัดทานไม่ให้โจโฉยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋ง โดยอ้างว่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้อ้วนเสี้ยวกรีฑาทัพจากภาคเหนือเข้ายึดเมืองหลวง

            ดูประหนึ่งว่าความคิดเห็นของเตียวเหียนนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของโจโฉ แต่เบื้องลึกของการเสนอความเห็นนี้กลับเป็นไปเพื่อปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ของสกุล “ซุน” เจ้านายเก่าแห่งแคว้นกังตั๋ง

            แต่ทว่าข้อเสนอดังกล่าวนี้ก็มีมูลความจริงและสอดคล้องกับสถานการณ์ที่ฝ่ายเมืองหลวงกำลังคุมเชิงอยู่กับอ้วนเสี้ยวขุนศึกทางภาคเหนือ ดังนั้นเมื่อเตียวเหียนเสนอให้โจโฉผูกมิตรกับซุนกวนไว้ก่อน โจโฉจึงเห็นชอบด้วยความเห็นนั้น

            ครั้นถึงวันฮ่องเต้ออกว่าราชการโจโฉจึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ กราบบังคมทูลเสนอให้แต่งตั้งซุนกวนเป็นเจ้าเมืองกังตั๋ง และให้ตั้งเตียวเหียนเป็นปลัดเมือง

            พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงโปรดเกล้าแต่งตั้งตามที่โจโฉได้เสนอกราบบังคมทูล โจโฉจึงสั่งให้เตียวเหียนเชิญพระบรมราชโองการและตราตั้งซุนกวนเป็นเจ้าเมืองกังตั๋งไปมอบแก่ซุนกวน และให้เตียวเหียนไปรับตำแหน่งที่เมืองกังตั๋งต่อไป

            ฝ่ายซุนกวนครั้นทราบว่าเตียวเหียนกลับมาจากเมืองฮูโต๋ จึงอนุญาตให้เตียวเหียนเข้าพบในที่ออกว่าราชการ ครั้นได้ทราบความที่ได้รับโปรดเกล้าแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองกังตั๋งอย่างเป็นทางการและรับตราตั้งแล้วซุนกวนก็มีความยินดี จึงแต่งตั้งให้เตียวเจียวและเตียวเหียนเป็นขุนนางผู้ใหญ่ มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารงานภายในของแคว้นกังตั๋ง

            ครั้นรับตำแหน่งแล้วเตียวเหียนเห็นว่ากิจการด้านยุติธรรมยังขาดผู้มีความปรีชาสามารถจึงไปเชิญโก๊ะหยงซึ่งเป็นบัณฑิตมีสติปัญญาสัตย์ซื่อ ไม่ติดยึดในอบายมุขให้เข้ามารับราชการด้วยซุนกวน ซุนกวนจึงแต่งตั้งให้โก๊ะหยงเป็นขุนนางในตำแหน่งตุลาการสูงสุดของแคว้นกังตั๋ง

            ซุนกวนมีความคิดอ่านจะตั้งตัวเป็นใหญ่ตามยุทธศาสตร์ที่โลซกได้เสนอ ดังนั้นจึงได้ตั้งหน้าตั้งตาซ่องสุมผู้คนทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ตลอดจนการจัดระเบียบการปกครองให้เป็นไปโดยยุติธรรม ซ่องสุมเสบียงอาหาร ปราบปรามโจรผู้ร้ายทำให้แคว้นกังตั๋งสงบราบคาบเป็นรากฐานแห่งการพัฒนา นำความผาสุขยินดีมาสู่ชาวแคว้นกังตั๋งโดยถ้วนหน้ากัน

            ทางด้านเมืองกิจิ๋ว เมื่อตันจิ๋นทูตของอ้วนเสี้ยวกลับจากแคว้นกังตั๋งแล้วได้เข้าไปรายงานความเมืองให้อ้วนเสี้ยวทราบว่าบัดนี้ซุนเซ็กเจ้าเมืองกังตั๋งตายแล้ว ซุนกวนผู้น้องได้เป็นเจ้าเมืองต่อมาได้รับโปรดเกล้าแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองและรับพระราชทานตราประจำตำแหน่งตามทางราชการแล้ว การทั้งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากโจโฉคิดอ่านที่จะผูกไมตรีกับแคว้นกังตั๋ง ว่าแล้วได้ส่งหนังสือตอบจากแคว้นกังตั๋งให้แก่อ้วนเสี้ยว

            อ้วนเสี้ยวพอรู้ว่าเมืองกังตั๋งตัดไมตรีก็โกรธคิดอ่านจะยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋ง แต่บรรดาขุนนางที่ปรึกษาได้ทัดทานไว้ว่าซุนกวนนั้นหาใช่ศัตรูที่แท้จริงของเมืองกิจิ๋วไม่ แต่ศัตรูที่คุกคามจ้องล้างผลาญกันอยู่คือโจโฉ ดังนั้นจึงต้องกำจัดโจโฉก่อน และถ้าหากกำจัดโจโฉได้แล้วเมืองกังตั๋งก็จะอยู่ในอำนาจ

            อ้วนเสี้ยวฟังความเห็นของบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองแล้วจึงเปลี่ยนความคิดตัดสินใจยกกองทัพไปตีเมืองฮูโต๋ จึงสั่งการให้เกณฑ์ทหารจากเมืองกิจิ๋ว เมืองอิวจิ๋ว เมืองเชียงจิ๋ว และเมืองเป๊งจิ๋ว เป็นกำลังพลถึงเจ็ดสิบหมื่นเศษ รอวันฤกษ์ดีแล้วจะยกไปตีเมืองหลวงต่อไป

            การเตรียมกองทัพของอ้วนเสี้ยวเป็นไปอย่างคึกคัก ความจึงทราบไปถึงหน่วยลาดตระเวนของแฮหัวตุ้นซึ่งตั้งขัดตาทัพอยู่ที่เมืองกัวต่อ ซึ่งเป็นเมืองชายแดนติดกับเมืองกิจิ๋ว

            เมื่อแฮหัวตุ้นทราบความศึกจึงส่งใบบอกเข้าไปรายงานเหตุการณ์ให้โจโฉทราบ ครั้นโจโฉได้ทราบความจึงสั่งตั้งให้ซุนฮกเป็นผู้รักษาการตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีรักษาเมืองหลวง ตัวโจโฉเกณฑ์ทหารเจ็ดหมื่นห้าพันคน ยกออกจากเมืองหลวงไปสมทบกับกองทัพของแฮหัวตุ้นที่ตำบลกัวต่อและให้ตั้งค่ายเตรียมรับกองทัพอ้วนเสี้ยวอยู่ตลอดชายฝั่งแม่น้ำฮวงโห

            ฝ่ายเตียนห้องที่ปรึกษาของอ้วนเสี้ยวซึ่งต้องโทษจำอยู่ในคุกเพราะเหตุที่ออกความเห็นทัดทานอ้วนเสี้ยว พอได้ทราบความว่าอ้วนเสี้ยวเตรียมกองทัพจะยกไปตีเมืองหลวงจึงทำหนังสือเสนอความเห็นว่า “ธรรมดายังหาภัยไม่ ก็อย่าให้คิดเอาภัยมาใส่ตัว ซึ่งท่านจะยกไปนั้นเห็นไม่ควร ขอให้งด ตั้งมั่นป้องกันอยู่กับเมืองก่อน โจโฉก็คงไม่อาจยกล่วงมาทำอันตรายท่านได้ ประการหนึ่งคอยฟังดูท่วงที ถ้ารู้ว่าโจโฉทำศึกเพลี่ยงพล้ำแก่ผู้ใดจึงค่อยยกกองทัพไปตีเอาเมืองฮูโต๋ก็จะได้โดยง่าย ถ้าท่านไม่ฟังคำข้าพเจ้าจะขืนยกกองทัพไป เห็นจะปราชัยแก่โจโฉเป็นมั่นคง”

            เตียนห้องอดีตขุนนางในตำแหน่งที่ปรึกษา นับเป็นผู้มีสติปัญญาและยืนหยัดในหน้าที่อย่างน่านับถือ มาต้องโทษจำก็เพราะชอบออกความเห็นคัดค้านผู้นำแบบอ้วนเสี้ยว มาครั้งนี้ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าอ้วนเสี้ยวตัดสินใจยกกองทัพไปตีเมืองฮูโต๋แล้ว ก็ออกความเห็นคัดค้านอีก โดยเนื้อหาแห่งข้อคัดค้านนั้นเป็นเรื่องที่ชอบด้วยเหตุด้วยผล เป็นไปในทางปกป้องทั้งอ้วนเสี้ยวและเมืองกิจิ๋วมิให้เป็นอันตราย นับเป็นข้อเสนอที่มีคุณค่ายิ่ง แต่สิ่งที่มีคุณค่านั้น เมื่อเสนอผิดคนก็ไม่ต่างอันใดกับการเอาเรือไปขวางน้ำเชี่ยว ซึ่งมีแต่จะจมลงไปเท่านั้น

            อ้วนเสี้ยวพอเห็นหนังสือของเตียนห้องก็เกิดความคิดลังเล แต่ในขณะนั้นฮองกี๋ซึ่งเป็นที่ปรึกษาอีกคนหนึ่งมีความคิดริษยาผู้อื่นเป็นอุปนิสัย แทนที่จะใช้สติปัญญาคิดอ่านปกป้องคุ้มครองรักษาประโยชน์ของนายตัวกลับเห็นเป็นโอกาสที่จะล้างเพื่อนร่วมงานให้พ้นไปจากทางแข่งขันในหน้าที่ราชการ

            เมื่อมีเถยจิตฉะนี้แล้ว ฮองกี๋จึงฉวยเอาโอกาสนั้นเสนอแก่อ้วนเสี้ยวว่า “ท่านจะเอาฤกษ์ยกกองทัพไปซึ่งเตียนห้องว่ากล่าวมานี้เป็นการปราชัย”

            ที่ปรึกษาแบบฮองกี๋และความเห็นแบบนี้เปรียบประดุจดังปลวกที่ตั้งรังอยู่ในเรือนนอกจากจะไม่สร้างสรรค์สิ่งใดให้เป็นประโยชน์แล้ว กลับจะทำลายล้างผลาญจนเรือนนั้นพินาศสิ้น เหตุผลชัยชนะและปราชัยที่ถือเอาแต่คำคนเป็นหลัก ความจริงเป็นเรื่องที่ใช้ไม่ได้แต่กลับมีผลต่อความคิดของผู้นำโง่ ๆ แบบอ้วนเสี้ยว

            เนื่องเพราะอ้วนเสี้ยวฟังคำของฮองกี๋แล้วกลับเห็นว่าคำทัดทานของเตียนห้องเป็นการสาปแช่งให้ตัวเองต้องประสบความปราชัยในการศึก จึงโกรธเตียนห้องว่าอ้ายคนนี้คอยคิดอ่านขัดขวางเราอยู่ทุกเรื่อง ยามที่เราจะยกกองทัพมุ่งหมายเอาชัยชนะในสงครามกลับมาออกความเห็นสาปแช่งเป็นอัปมงคล จึงสั่งให้ทหารเอาตัวเตียนห้องไปประหาร

            บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองได้ฟังคำสั่งอ้วนเสี้ยวก็ตกใจ พากันคุกเข่าคำนับอ้วนเสี้ยวแล้วว่า ณ บัดนี้ท่านกำลังจะเคลื่อนทัพไปในการศึก ไม่ควรที่จะผลาญชีวิตขุนนางซึ่งจะเป็นลางแห่งอัปมงคล

            อ้วนเสี้ยวเป็นผู้นำประเภทชอบถือโชคถือลาง ฟังคำทัดทานเช่นนั้นจึงให้งดโทษประหารเตียนห้องเอาไว้ก่อน แล้วว่าเมื่อใดที่จับตัวโจโฉได้แล้วจะให้ประหารเตียนห้องพร้อมกับโจโฉ

            ครั้นได้ฤกษ์อ้วนเสี้ยวจึงสั่งให้เคลื่อนทัพเจ็ดสิบหมื่นเศษตรงไปที่ตำบล     บู๊เอี๋ยงซึ่งเป็นเขตชายแดนอยู่คนละฟากฝั่งแม่น้ำฮวงโหกับตำบลกัวต่อ ครั้นเคลื่อนทัพถึงที่หมายจึงสั่งให้ตั้งค่ายรายเรียงตลอดแนวแม่น้ำฮวงโหเป็นระยะทางไกลถึงเก้าร้อยเส้น

            ฝ่ายโจโฉเมื่อทราบว่าอ้วนเสี้ยวเคลื่อนทัพมาตั้งค่ายอยู่ที่ตำบลบู๊เอี๋ยง มีกำลังพลเป็นจำนวนมากและเห็นค่ายรายเรียงตลอดริมฝั่งแม่น้ำฮวงโหเป็นระยะทางไกล จึงเรียกบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองมาปรึกษาการศึกว่าจะคิดอ่านประการใด

            ครั้นบรรดาแม่ทัพนายกองพร้อมกันแล้ว โจโฉจึงปรารภขึ้นในที่ประชุมว่าการศึกครั้งนี้เป็นศึกใหญ่ เพราะกำลังพลของอ้วนเสี้ยวมีมากถึงเจ็ดสิบกว่าหมื่น มากกว่ากำลังพลของเราถึงสิบเท่า ในสภาพที่ข้าศึกมีกำลังถึงสิบส่วนแต่เรามีกำลังเพียงหนึ่งส่วน จะคิดอ่านประการใดจึงจะเอาชัยชนะแก่ข้าศึกได้

            ซุนฮิวที่ปรึกษาจึงว่ากำลังทหารจำนวนมากของอ้วนเสี้ยวนั้นไม่ชำนาญการศึก กำลังของฝ่ายเราแม้จำนวนน้อยกว่าแต่เป็นกำลังที่เจนศึก ดังนั้นการศึกครั้งนี้จึงไม่มีสิ่งใดน่าวิตก เกรงอยู่แต่ว่าอ้วนเสี้ยวมีเสบียงอาหารที่อุดมสมบูรณ์ ในขณะที่กองทัพของฝ่ายเรามีเสบียงน้อยกว่า หากเวลาเนิ่นช้าไปกองทัพฝ่ายเราสิ้นเสบียงแล้วก็จะเพลี่ยงพล้ำแก่ข้าศึก

            ซุนฮิวได้เสนอต่อไปว่าสภาพการศึกครั้งนี้จึงกำหนดให้กองทัพฝ่ายเราต้องเร่งทำศึกให้แตกหักไปโดยไว หากเวลาเนิ่นช้าไปภัยจะเกิดแก่กองทัพ

            โจโฉได้ฟังความเห็นแนวทางการศึกจากซุนฮิวแล้วจึงกำหนดแนวทางการสงครามครั้งนี้ให้ทุกกองทัพรีบทำศึกให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดโดยรวดเร็ว และสั่งให้จัดกำลังทหารออกไปท้ารบกับอ้วนเสี้ยว

            สิมโพยที่ปรึกษาของอ้วนเสี้ยวครั้นทราบความศึกจึงเสนออ้วนเสี้ยวให้จัดกำลังพลเกาทัณฑ์หมื่นหนึ่งยกไปตั้งซุ่มอยู่ข้างทางนอกค่าย หากได้ยินเสียงประทัดสัญญาณก็ให้ยกตีกระหนาบระดมยิงกองทหารของโจโฉ ส่วนตัวอ้วนเสี้ยวให้ยกทหารออกไปรบกับโจโฉ กำหนดแผนการรบด้วยฝีมือทหารเอก

            อ้วนเสี้ยวเป็นคนบ้ายศบ้าอำนาจ “ใส่เกราะทอง กั้นสับทนทอง” ยกทหารออกไปตั้งรับโจโฉโดยมีเตียวคับ โกลำ ฮันเบ๋งและอิเขง เป็นทหารเอก ขี่ม้าเรียงหน้ากระดานตามหลังไป

            ครั้นโจโฉยกทหารมาถึงเห็นอ้วนเสี้ยวตั้งขบวนรับเป็นลักษณะที่จะรบกันด้วยฝีมือทหารเอกจึงสั่งให้เคาทู เตียวเลี้ยว ซิหลง ลิเตียน ขี่ม้าเรียงหน้ากระดานตามไป ตัวโจโฉออกไปยืนม้าอยู่หน้าทหารเอกทั้งสี่ เอาแส้ม้าชี้หน้าอ้วนเสี้ยวแล้วว่า “เดิมเราได้กราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้ตั้งท่านเป็นขุนนาง พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็โปรดให้ เหตุใดท่านจึงคิดขบถ ยกกองทัพมาทำอันตรายเมืองฮูโต๋ให้เคืองถึงพระเจ้าเหี้ยนเต้ เป็นคนหามีกตัญญูไม่”

            โจโฉประเดิมด้วยการด่าอ้วนเสี้ยวตามธรรมเนียมการรบแบบจีน อ้วนเสี้ยวจึงด่ากลับไปตามธรรมเนียมเช่นเดียวกันว่า “ตัวเป็นมหาอุปราชมิได้สัตย์ซื่อ คิดการใหญ่ล้ำลึก เป็นศัตรูราชสมบัติยิ่งกว่าครั้งอองมังกับตั๋งโต๊ะอีก ซึ่งเรายกกองทัพมานี้จะได้เป็นขบถต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้นั้นหามิได้ เรามานี้หวังจะกำจัดตัวซึ่งเป็นศัตรูแผ่นดินเสีย”

            ธรรมเนียมการด่าก่อนการทำศึก แม้จะด่ากันด้วยประการต่าง ๆ แต่เนื้อหา กลับอยู่ที่การช่วงชิงความเป็นธรรมให้อยู่กับฝ่ายตัวทั้งสิ้น โจโฉอ้างความชอบธรรมในฐานะอัครมหาเสนาบดี และกล่าวหาอ้วนเสี้ยวว่าเป็นกบฏ แต่อ้วนเสี้ยวปฏิเสธว่าไม่ได้ขบถต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ ที่ยกกองทัพมาทั้งนี้ก็มุ่งหวังจะกำจัดศัตรูแผ่นดินที่ร้ายกาจยิ่งกว่าอองมังหรือตั๋งโต๊ะ ในขณะที่การด่าของทั้งสองคนนี้แม้ว่าจะอ้างเอาความชอบธรรม แต่ในความจริงนั้นทั้งสองฝ่ายกลับหวังตั้งตัวครองอำนาจเป็นใหญ่ในแผ่นดินด้วยกันทั้งสิ้น

            แต่คำด่าของอ้วนเสี้ยวกลับถูกใจดำของโจโฉมากกว่า ครั้นด่ากันพอสมควรแล้วโจโฉจึงสั่งให้เตียวเลี้ยวออกไปในลานรบ อ้วนเสี้ยวเห็นดังนั้นจึงสั่งให้เตียวคับออกไปรบกับเตียวเลี้ยว.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร