ตอนที่ 144. คำสั่งเสียของพยัคฆ์น้อย
ซุนเซ็กถูกอสูรกายอิเกียดหลอกหลอนด้วยประการต่าง ๆ แต่น้ำใจซุนเซ็กแข็งแกร่งสมสมญานามพยัคฆ์น้อยแห่งลุ่มแม่น้ำแยงซี มิได้หวาดกลัวต่อการหลอกหลอนแม้แต่น้อย ถึงแม้อสูรกายอิเกียดจะขวางทางจนซุนเซ็กเข้าไปในจวนไม่ได้ก็ไม่ย่อท้อ พาทหารออกมาตั้งค่ายอยู่นอกเมืองแล้วคิดอ่านจะยกกองทัพไปกำจัดโจโฉ
บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวงเห็นลักษณะซุนเซ็กซูบซีดอิดโรย มีอาการเครียดและดุดันอย่างชัดเจน จึงพากันทัดทานว่าขณะนี้อาการป่วยเจ็บของท่านยังไม่ทุเลา และยังไม่ล่วงเวลาหนึ่งร้อยวันตามคำแพทย์ จึงขอให้วางมือทางการสงครามไว้ชั่วคราว ให้อาการเป็นปกติแล้วค่อยยกไป
ซุนเซ็กเห็นบรรดาแม่ทัพนายกองและที่ปรึกษาทัดทานต้องกันก็จนใจ จึงผันผ่อนงดทัพไว้แล้วพักอยู่ที่ในค่ายนอกเมืองนั้น
ค่ำลงพอใกล้สิ้นยามสอง ซุนเซ็กม่อยหลับไปแล้ว สายลมแรงโชยมาหวีดหวิวและเย็นยะเยือก เสียงม่านต้องลมดังผับ ๆ ซุนเซ็กผวาตื่นขึ้นเห็นรูปอิเกียดยืนสยายผมอยู่ที่ปลายเตียงนอนก็โกรธ ลุกขึ้นด่าอิเกียด แต่รูปอิเกียดซึ่งใบหน้าซีดขาวดังหยวกอ่อนยังคงยืนสยายผมอยู่ที่ปลายเตียงนั้น
ซุนเซ็กยืนด่าอิเกียดจนสว่าง รูปอิเกียดก็หายไป ทหารที่รักษาการณ์ได้ยินเสียงซุนเซ็กร้องด่าอิเกียดตลอดทั้งคืนจึงเป็นห่วง และส่งข่าวให้กับนางงอฮูหยินผู้มารดาซุนเซ็กได้ทราบ
นางงอฮูหยินทราบข่าวแล้วก็ตกใจรีบให้สาวใช้ออกมาเชิญซุนเซ็กกลับเข้าไปที่จวน นางงอฮูหยินเห็นรูปร่างซุนเซ็กซูบผอมอิดโรย ใบหน้าหมองคล้ำ มีสีเขียวปกคลุมทั่วใบหน้าก็ตกใจ เพราะรู้ว่านี่คือเงามือแห่งมัจจุราชที่ได้ขับพลังแห่งชีวิตออกจากกายแล้วเข้าครอบงำเอาไว้แทน นางงอฮูหยินก็ร้องไห้
ซุนเซ็กเห็นอาการมารดาดั่งนั้นก็สงสารจึงถามมารดาว่าเหตุไฉนมารดาจึงร้องไห้ นางงอฮูหยินไม่ตอบคำ ส่งกระจกให้ซุนเซ็กดู
ซุนเซ็กเอากระจกมาส่อง เห็นใบหน้าตัวซูบซีดเศร้าหมองเปลี่ยนไปเป็นคนละคนก็ตกใจ ทันใดนั้นในกระจกพลันปรากฏรูปอิเกียดหัวเราะเยาะซุนเซ็กอยู่ ซุนเซ็กเห็นรูปอิเกียดก็โกรธ ร้องตวาดขึ้นด้วยเสียงอันดังแล้วขว้างกระจกลงกับพื้นจนแตกละเอียด
พิษเกาทัณฑ์กำเริบถึงระดับสูงสุดเพราะแรงแสลงแห่งโทสะ สิ้นเสียงซุนเซ็กก็ล้มสลบลง ที่แผลเกาทัณฑ์มีเลือดไหลซึมออกมาไม่ยอมหยุด
นางงอฮูหยินและสาวใช้ช่วยกันทายาและนวดเฟ้นจนซุนเซ็กฟื้นขึ้น
ซุนเซ็กฟื้นขึ้นแล้วรู้สึกตัว รู้อาการป่วยว่าทรุดหนักลงกว่าที่เคยเป็นจึงทอดใจใหญ่ร้องไห้แล้วว่า ชีวิตข้าพเจ้านี้คงใกล้สิ้นแล้ว เป็นห่วงก็แต่เมืองกังตั๋ง แล้วขอให้มารดาสั่งสาวใช้ให้รีบไปตามซุนกวนผู้น้อง และเตียวเจียว รวมทั้งที่ปรึกษาทั้งปวงเข้ามาพบ
ความอิดโรยและอ่อนเพลีย ซุนเซ็กจึงม่อยหลับไปอีกเกือบชั่วยาม ซุนกวน เตียวเจียว และบรรดาที่ปรึกษาซึ่งได้ทราบอาการป่วยของซุนเซ็กต่างพากันรีบมาเยี่ยมที่จวนของนางงอฮูหยิน
ซุนเซ็กได้ยินเสียงอึกทึกก็ลืมตาขึ้น เห็นซุนกวนผู้น้องและบรรดาที่ปรึกษามาพร้อมหน้ากันแล้ว จึงพยุงตัวลุกขึ้นแล้วว่า ตัวเราป่วยครั้งนี้รู้อาการดีว่าชีวิตเราใกล้สิ้นแล้ว ตัวเราจะตายไม่เสียดายแก่ชีวิต ห่วงอยู่ก็แต่เมืองกังตั๋ง ซึ่งเป็นหลักที่มั่นของตระกูล “ซุน” จำเป็นที่จะต้องรักษาไว้ให้มั่นคง เพราะบัดนี้แผ่นดินเป็นจลาจล หัวเมืองต่าง ๆ ล้วนคิดอ่านตั้งตัวเป็นใหญ่ เมืองกังตั๋งจึงเป็นที่หมายปองของบรรดาขุนศึก
ว่าแล้วหันมาสั่งทหารคนสนิทให้ไปที่จวนเจ้าเมือง แล้วเอาตราสำหรับที่มาเป็นการเร็ว ซุนเซ็กรับเอาตราสำหรับเมืองจากทหารแล้วเรียกซุนกวนเข้ามาใกล้ ส่งมอบตราประจำตำแหน่งเจ้าเมืองกังตั๋งให้กับซุนกวนแล้วว่า ภาระหน้าที่ของตระกูล “ซุน” ที่จะดูแลเมืองกังตั๋งตกอยู่กับเจ้า ณ บัดนี้แล้ว “ตัวเจ้าจะเป็นใหญ่ในเมืองกังตั๋งนี้ จงคิดตรึกตรองการสงครามให้ชำนาญในทางบก ทางเรือเหมือนพี่ แต่ซึ่งการโอบอ้อมอารีเลี้ยงทหารนั้น เจ้ามีสติหนักหน่วงดีกว่าพี่ พี่นี้หากใจเร็วนัก อนึ่งเจ้าจะคิดอ่านการสิ่งใดซึ่งบิดากับพี่ซ่องสุมจัดแจงไว้ได้นั้นด้วยความลำบาก จึงมีบริบูรณ์เพียงนี้ เจ้าจงหมั่นบำรุงรักษาอย่าให้ข้าวของเป็นอันตรายได้”
ซุนเซ็กสั่งเสียซุนกวนผู้น้องทั้งน้ำตา ซุนกวนรับเอาตราสำหรับเมืองพร้อมกับกุมมือซุนเซ็กผู้พี่ไว้แล้วร้องไห้ตาม
มือสองพี่น้องกุมอยู่มั่นพร้อมกับดวงตราสำหรับเมือง ซุนเซ็กได้หันมาทางมารดาแล้วว่าข้าพเจ้าจะตายแล้ว ภาระทั้งปวงมอบแก่ซุนกวนผู้น้อง ขอมารดาจงช่วยสั่งสอนดูแลซุนกวนให้เอาใจใส่ทำนุบำรุงทหารเก่าของบิดา รักษาเมืองกังตั๋งไว้ให้รอดปลอดภัยด้วยเถิด
นางงอฮูหยินยินคำซุนเซ็กก็ร้องไห้แล้วว่า อาการเจ้ายังไม่หนักเท่าใดนัก ไฉนมากล่าวความสั่งเสียเป็นอัปมงคลฉะนี้ ซุนกวนผู้น้องยังเยาว์นัก เกรงว่าจะรักษาเมืองกังตั๋งไว้ไม่ได้ เจ้าจงตั้งหน้ารักษาตัวให้หายโดยไวจึงจะชอบ
ซุนเซ็กจึงว่าเวลาของข้าพเจ้ากำลังจะสิ้นแล้ว มารดาท่านอย่าได้ปลอบใจอีกเลย ซุนกวนแม้อายุยังเยาว์อยู่ แต่สติปัญญามากกว่าข้าพเจ้าถึงสิบส่วน เห็นจะรักษาเมืองกังตั๋งไว้ได้เป็นมั่นคง แล้วสั่งความเป็นสำคัญว่า “อันการข้างในนั้นถ้าเหลือความคิดก็ให้ปรึกษากับเตียวเจียว ซึ่งการสงครามนั้นขัดสนประการใดก็ให้คิดอ่านกับจิวยี่เถิด แต่น้อยใจด้วยจิวยี่ไม่อยู่ มิได้สั่งความไว้ต่อปาก”
ซุนเซ็กได้หันมาทางเตียวเจียวแล้วว่า ตัวท่านเป็นที่ปรึกษาผู้ใหญ่ ได้ช่วยเหลือข้าพเจ้าตลอดมาเป็นคุณหาที่สุดมิได้ บัดนี้ใกล้เวลาที่ข้าพเจ้าจะต้องลาท่านนิรันดร ขอท่านจงเมตตาอุปถัมภ์ค้ำชูซุนกวนผู้น้องให้ครองกังตั๋งโดยชอบด้วยธรรมเนียมเพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของอาณาประชาราษฎรโดยถ้วนหน้ากัน
เตียวเจียวได้ยินคำซุนเซ็กสีหน้าก็สลด น้ำตาซึมคลอเบ้า แล้วว่าชีวิตข้าพเจ้านี้อุทิศไว้แก่ตระกูล “ซุน” ท่านจงวางใจ เร่งรักษาตัวให้หายเถิด
สั่งความเตียวเจียวแล้วซุนเซ็กจึงให้หาน้องอีกสองคนเข้ามาแล้วว่า นับแต่บัดนี้ไปซุนกวนจะเป็นเสมือนหนึ่งบิดา เป็นเสมือนหนึ่งพี่และเป็นหลักของตระกูล “ซุน” เราในแคว้นกังตั๋งนี้ เจ้าทั้งสองต้องเชื่อฟังคำซุนกวนให้เหมือนหนึ่งฟังคำบิดาและฟังคำพี่ จงเจ็บร้อนด้วยซุนกวนจงทุกประการ หากแม้นว่าในภายหน้าผู้คนในตระกูลเราคนใดคิดร้ายต่อซุนกวน ให้พวกเจ้าร่วมมือกับซุนกวนปราบปรามให้ราบคาบ อย่าให้เป็นที่ดูหมิ่นนินทาของผู้อื่น
ซุนกวนและน้องทั้งสองคนพร้อมกันปลอบใจซุนเซ็กว่า ขอให้พี่รักษาสุขภาพ ว่าแล้วก็ร้องไห้
ซุนเซ็กจึงเรียกนางเกียวฮูหยินผู้เป็นภรรยาเข้ามาที่ข้างเตียง แล้วว่าบุญของพี่สิ้นแล้ว จำเป็นจะต้องจากเจ้าไปตามวิสัยโลก พี่ขออภัยต่อเจ้าที่ไม่มีโอกาสอยู่ดูแลคุ้มครองเจ้าต่อไป ตัวเจ้าอยู่ข้างหลังจงเอ็นดูพี่ ช่วยปรนนิบัติดูแลมารดาให้จงดี ประการสำคัญเจ้าจงว่ากล่าวกับเสียวเกียวผู้น้องของเจ้าซึ่งเป็นภรรยาของจิวยี่ให้มีใจปรองดองและช่วยทำนุบำรุงซุนกวน เสมือนหนึ่งช่วยทำนุบำรุงพี่มาแต่เดิม ช่วยฝากบอกความถึงจิวยี่ว่าขอให้รำลึกถึงไมตรีที่มีต่อพี่ ช่วยทำนุบำรุงซุนกวนอย่าให้เป็นอันตราย
สิ้นเสียงก็สิ้นสั่ง เปลือกตาของซุนเซ็กค่อย ๆ ปิดลง มือที่กุมอยู่กับมือเสียวเกียวผู้เป็นเกียวฮูหยินพลัดตกลง ซุนเซ็กพยัคฆ์น้อยแห่งลุ่มแม่น้ำแยงซีก็สิ้นลม ณ บัดนั้น สิริอายุรวมได้ยี่สิบหกปี
อำนาจของตระกูล “ซุน” ณ แคว้นกังตั๋งไหลเลื่อนสู่มือซุนกวน ณ บัดนั้น
นางงอฮูหยิน ซุนกวน และน้องทั้งสอง ตลอดจนเกียวฮูหยิน และบรรดาขุนนาง แม่ทัพ นายกอง และที่ปรึกษาที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างพากันร้องไห้อาลัยรักซุนเซ็ก สำหรับซุนกวนนั้นเสียใจร้องไห้จนสลบไป แพทย์ได้แก้ไขจนฟื้นแล้วปรึกษาเตรียมการศพของซุนเซ็ก
เตียวเจียวเห็นเหตุการณ์เศร้าสลดและชุลมุน จึงเสนอต่อซุนกวนว่าความตายนำมาซึ่งความเศร้าโศกเป็นวิสัยโลกนั้นชอบอยู่ แต่บ้านเมืองขณะนี้ยังไม่เป็นปกติจะมัวโศกเศร้าจนเกินการนั้นไม่สมควร ขอให้รีบแต่งการศพซุนเซ็กโดยเร็วแล้วคิดอ่านป้องกันรักษาเมืองกังตั๋งให้ปลอดภัย
ซุนกวนฟังข้อเสนอของเตียวเจียวก็เห็นชอบ แล้วมอบให้เตียวเจียวจัดการพิธีสถาปนาอำนาจของซุนกวนในวันนั้น
เมื่อขุนนางข้าราชการเมืองกังตั๋งพร้อมกันที่ศาลาว่าราชการแล้ว เตียวเจียวได้เชิญซุนกวนออกนั่งบนที่ว่าราชการ แล้วกระทำพิธีประกาศสถาปนาซุนกวนเป็นเจ้าเมืองกังตั๋งสืบทอดอำนาจต่อจากซุนเซ็ก
สิ้นคำประกาศบรรดาขุนนางข้าราชการได้พร้อมกันคำนับซุนกวน
ซุนกวนในฐานะเจ้าเมืองกังตั๋งคนใหม่จึงออกคำสั่งตั้งซุนแจ้งผู้เป็นอาให้เป็นประธานจัดการพิธีศพของซุนเซ็กให้ยิ่งใหญ่สมเกียรติตามอย่างธรรมเนียม
ฝ่ายจิวยี่ซึ่งได้รับมอบหมายจากซุนเซ็กให้ไปทำหน้าที่รักษาด่านปากิ๋ว ครั้นทราบข่าวว่าซุนเซ็กป่วยจึงรีบพาทหารกลับมาที่เมืองกังตั๋ง พอมาถึงทราบว่าซุนเซ็กตายก็ตกใจ ตรงเข้าไปที่ศาลาไว้ศพ กอดเอาศพซุนเซ็กไว้กับอกแล้วร่ำไห้
นางงอฮูหยินและซุนกวนเห็นเช่นนั้นจึงเข้าไปทักทายจิวยี่แล้วเล่าคำสั่งเสียทั้งสิ้นของซุนเซ็กให้จิวยี่ฟังทุกประการ
จิวยี่ฟังคำสั่งเสียแล้วจึงว่าซุนเซ็กมีคุณแก่ข้าพเจ้าล้นดินท่วมฟ้า ข้าพเจ้าน้อมรับคำสั่งเสียของซุนเซ็ก จะทำนุบำรุงซุนกวนโดยสุจริตและโดยเต็มกำลังสติปัญญาความสามารถจนกว่าชีวิตจะหาไม่
ซุนกวนจึงว่าตัวข้าพเจ้าอายุยังน้อยอ่อนแก่ความนัก แต่จำต้องรับภาระซึ่งซุนเซ็กผู้เป็นพี่ได้มอบหมายไว้ วิตกว่าจะทำประการใดจึงจะทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุข
จิวยี่จึงว่า “คำโบราณกล่าวไว้แต่ก่อนว่า ถ้าผู้ใดจะเป็นเจ้าบ้านผ่านเมือง ให้เกลี้ยกล่อมซ่อมสุมผู้คนซึ่งมีสติปัญญา แลทหารที่มีฝีมือไว้จงมาก บ้านเมืองจึงจะปรกติสืบไป ถ้าผู้ใดทิ้งคำโบราณดังนี้เสีย เมืองนั้นก็จะเกิดอันตราย ซึ่งท่านได้เป็นเจ้าเมืองครั้งนี้จงคิดอ่านตามคำโบราณ บ้านเมืองจึงจะอยู่เป็นสุข”
ซุนกวนได้ฟังคำจิวยี่เป็นหลักเป็นฐานก็ยินดี แล้วว่าข้าพเจ้าจะทำตามคำท่าน อนึ่งก่อนซุนเซ็กจะล่วงลับได้ฝากความถึงท่านว่า “การข้างในฝ่ายพลเรือนนั้นให้ปรึกษากับเตียวเจียว แลการฝ่ายทหารนั้นให้คิดอ่านด้วยท่าน”
จิวยี่ได้ยินคำสั่งเสียเป็นสำคัญดั่งนี้จึงค้อมศีรษะลงเป็นเชิงคำนับต่อคำสั่งเสียของซุนเซ็กแล้วว่า ซุนเซ็กมีสติปัญญายิ่งนัก ซึ่งฝากการข้างพลเรือนไว้กับเตียวเจียวนั้นเป็นการสมควรยิ่ง เพราะเตียวเจียวเป็นขุนนางผู้ใหญ่ มีสติปัญญาเป็นอันมาก แต่ตัวข้าพเจ้าซึ่งถูกมอบภาระทางการทหารนั้นยังหวั่นว่าข้าพเจ้ามีสติปัญญาน้อยนัก จะคิดอ่านทำการไม่ตลอด การก็จะเสียไป ข้าพเจ้าเห็นว่ามีบัณฑิตผู้หนึ่งเชี่ยวชาญการสงคราม ชื่อว่าโลซกเป็นชาวเมืองตังฉวน มีสติปัญญามากกว่าคนทั้งปวง ทั้งเป็นผู้มีฐานะมั่งคั่ง มีความกตัญญู ข้าพเจ้าเคยพึ่งพาโลซกมาครั้งหนึ่งได้ประจักษ์ถึงน้ำใจไมตรีเอื้ออาทรต่อผู้อื่น จึงเสนอต่อท่านให้เชิญโลซกมาเป็นที่ปรึกษาช่วยคิดอ่านสืบไป
ซุนกวนได้ฟังข้อเสนอของจิวยี่ก็ดีใจแล้วว่า จะคิดอ่านแต่งผู้อื่นไปเชิญโลซกคงไม่เสมือนดังท่านไปด้วยตัวเอง จึงขอฝากธุระนี้ไว้แก่ท่าน ว่าแล้วซุนกวนได้สั่งให้เจ้าหน้าที่จัดเตรียมข้าวของกำนัลเป็นจำนวนมากมอบให้จิวยี่เพื่อเป็นของขวัญในการไปเชิญโลซก
จิวยี่ไปถึงเรือนของโลซกแล้ว ต่างฝ่ายต่างคำนับทักทายกันตามธรรมเนียม จิวยี่จึงว่าซุนกวนผู้น้องซุนเซ็กบัดนี้เป็นเจ้าเมืองกังตั๋ง ทราบข่าวว่าท่านมีสติปัญญาเป็นอันมาก ทั้งน้ำใจก็โอบอ้อมอารีแก่คนทั้งปวงจึงมอบหมายให้ข้าพเจ้ามาเชิญท่านไปเป็นที่ปรึกษา ช่วยกันคิดอ่านทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุข และได้มอบของทั้งนี้มาคำนับท่านแทนตัว
โลซกตอบว่าท่านมาเชิญข้าพเจ้าช้าไปแล้ว เพราะข้าพเจ้าได้รับคำชวนของเล่าจูเจี๋ยงว่าจะไปอยู่ด้วยกับเตงโป้ เจ้าเมืองเจาอ๋อ หากแม้นเราจะรับคำท่านซ้ำอีกก็จะเป็นการเสียคำพูด.
บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวงเห็นลักษณะซุนเซ็กซูบซีดอิดโรย มีอาการเครียดและดุดันอย่างชัดเจน จึงพากันทัดทานว่าขณะนี้อาการป่วยเจ็บของท่านยังไม่ทุเลา และยังไม่ล่วงเวลาหนึ่งร้อยวันตามคำแพทย์ จึงขอให้วางมือทางการสงครามไว้ชั่วคราว ให้อาการเป็นปกติแล้วค่อยยกไป
ซุนเซ็กเห็นบรรดาแม่ทัพนายกองและที่ปรึกษาทัดทานต้องกันก็จนใจ จึงผันผ่อนงดทัพไว้แล้วพักอยู่ที่ในค่ายนอกเมืองนั้น
ค่ำลงพอใกล้สิ้นยามสอง ซุนเซ็กม่อยหลับไปแล้ว สายลมแรงโชยมาหวีดหวิวและเย็นยะเยือก เสียงม่านต้องลมดังผับ ๆ ซุนเซ็กผวาตื่นขึ้นเห็นรูปอิเกียดยืนสยายผมอยู่ที่ปลายเตียงนอนก็โกรธ ลุกขึ้นด่าอิเกียด แต่รูปอิเกียดซึ่งใบหน้าซีดขาวดังหยวกอ่อนยังคงยืนสยายผมอยู่ที่ปลายเตียงนั้น
ซุนเซ็กยืนด่าอิเกียดจนสว่าง รูปอิเกียดก็หายไป ทหารที่รักษาการณ์ได้ยินเสียงซุนเซ็กร้องด่าอิเกียดตลอดทั้งคืนจึงเป็นห่วง และส่งข่าวให้กับนางงอฮูหยินผู้มารดาซุนเซ็กได้ทราบ
นางงอฮูหยินทราบข่าวแล้วก็ตกใจรีบให้สาวใช้ออกมาเชิญซุนเซ็กกลับเข้าไปที่จวน นางงอฮูหยินเห็นรูปร่างซุนเซ็กซูบผอมอิดโรย ใบหน้าหมองคล้ำ มีสีเขียวปกคลุมทั่วใบหน้าก็ตกใจ เพราะรู้ว่านี่คือเงามือแห่งมัจจุราชที่ได้ขับพลังแห่งชีวิตออกจากกายแล้วเข้าครอบงำเอาไว้แทน นางงอฮูหยินก็ร้องไห้
ซุนเซ็กเห็นอาการมารดาดั่งนั้นก็สงสารจึงถามมารดาว่าเหตุไฉนมารดาจึงร้องไห้ นางงอฮูหยินไม่ตอบคำ ส่งกระจกให้ซุนเซ็กดู
ซุนเซ็กเอากระจกมาส่อง เห็นใบหน้าตัวซูบซีดเศร้าหมองเปลี่ยนไปเป็นคนละคนก็ตกใจ ทันใดนั้นในกระจกพลันปรากฏรูปอิเกียดหัวเราะเยาะซุนเซ็กอยู่ ซุนเซ็กเห็นรูปอิเกียดก็โกรธ ร้องตวาดขึ้นด้วยเสียงอันดังแล้วขว้างกระจกลงกับพื้นจนแตกละเอียด
พิษเกาทัณฑ์กำเริบถึงระดับสูงสุดเพราะแรงแสลงแห่งโทสะ สิ้นเสียงซุนเซ็กก็ล้มสลบลง ที่แผลเกาทัณฑ์มีเลือดไหลซึมออกมาไม่ยอมหยุด
นางงอฮูหยินและสาวใช้ช่วยกันทายาและนวดเฟ้นจนซุนเซ็กฟื้นขึ้น
ซุนเซ็กฟื้นขึ้นแล้วรู้สึกตัว รู้อาการป่วยว่าทรุดหนักลงกว่าที่เคยเป็นจึงทอดใจใหญ่ร้องไห้แล้วว่า ชีวิตข้าพเจ้านี้คงใกล้สิ้นแล้ว เป็นห่วงก็แต่เมืองกังตั๋ง แล้วขอให้มารดาสั่งสาวใช้ให้รีบไปตามซุนกวนผู้น้อง และเตียวเจียว รวมทั้งที่ปรึกษาทั้งปวงเข้ามาพบ
ความอิดโรยและอ่อนเพลีย ซุนเซ็กจึงม่อยหลับไปอีกเกือบชั่วยาม ซุนกวน เตียวเจียว และบรรดาที่ปรึกษาซึ่งได้ทราบอาการป่วยของซุนเซ็กต่างพากันรีบมาเยี่ยมที่จวนของนางงอฮูหยิน
ซุนเซ็กได้ยินเสียงอึกทึกก็ลืมตาขึ้น เห็นซุนกวนผู้น้องและบรรดาที่ปรึกษามาพร้อมหน้ากันแล้ว จึงพยุงตัวลุกขึ้นแล้วว่า ตัวเราป่วยครั้งนี้รู้อาการดีว่าชีวิตเราใกล้สิ้นแล้ว ตัวเราจะตายไม่เสียดายแก่ชีวิต ห่วงอยู่ก็แต่เมืองกังตั๋ง ซึ่งเป็นหลักที่มั่นของตระกูล “ซุน” จำเป็นที่จะต้องรักษาไว้ให้มั่นคง เพราะบัดนี้แผ่นดินเป็นจลาจล หัวเมืองต่าง ๆ ล้วนคิดอ่านตั้งตัวเป็นใหญ่ เมืองกังตั๋งจึงเป็นที่หมายปองของบรรดาขุนศึก
ว่าแล้วหันมาสั่งทหารคนสนิทให้ไปที่จวนเจ้าเมือง แล้วเอาตราสำหรับที่มาเป็นการเร็ว ซุนเซ็กรับเอาตราสำหรับเมืองจากทหารแล้วเรียกซุนกวนเข้ามาใกล้ ส่งมอบตราประจำตำแหน่งเจ้าเมืองกังตั๋งให้กับซุนกวนแล้วว่า ภาระหน้าที่ของตระกูล “ซุน” ที่จะดูแลเมืองกังตั๋งตกอยู่กับเจ้า ณ บัดนี้แล้ว “ตัวเจ้าจะเป็นใหญ่ในเมืองกังตั๋งนี้ จงคิดตรึกตรองการสงครามให้ชำนาญในทางบก ทางเรือเหมือนพี่ แต่ซึ่งการโอบอ้อมอารีเลี้ยงทหารนั้น เจ้ามีสติหนักหน่วงดีกว่าพี่ พี่นี้หากใจเร็วนัก อนึ่งเจ้าจะคิดอ่านการสิ่งใดซึ่งบิดากับพี่ซ่องสุมจัดแจงไว้ได้นั้นด้วยความลำบาก จึงมีบริบูรณ์เพียงนี้ เจ้าจงหมั่นบำรุงรักษาอย่าให้ข้าวของเป็นอันตรายได้”
ซุนเซ็กสั่งเสียซุนกวนผู้น้องทั้งน้ำตา ซุนกวนรับเอาตราสำหรับเมืองพร้อมกับกุมมือซุนเซ็กผู้พี่ไว้แล้วร้องไห้ตาม
มือสองพี่น้องกุมอยู่มั่นพร้อมกับดวงตราสำหรับเมือง ซุนเซ็กได้หันมาทางมารดาแล้วว่าข้าพเจ้าจะตายแล้ว ภาระทั้งปวงมอบแก่ซุนกวนผู้น้อง ขอมารดาจงช่วยสั่งสอนดูแลซุนกวนให้เอาใจใส่ทำนุบำรุงทหารเก่าของบิดา รักษาเมืองกังตั๋งไว้ให้รอดปลอดภัยด้วยเถิด
นางงอฮูหยินยินคำซุนเซ็กก็ร้องไห้แล้วว่า อาการเจ้ายังไม่หนักเท่าใดนัก ไฉนมากล่าวความสั่งเสียเป็นอัปมงคลฉะนี้ ซุนกวนผู้น้องยังเยาว์นัก เกรงว่าจะรักษาเมืองกังตั๋งไว้ไม่ได้ เจ้าจงตั้งหน้ารักษาตัวให้หายโดยไวจึงจะชอบ
ซุนเซ็กจึงว่าเวลาของข้าพเจ้ากำลังจะสิ้นแล้ว มารดาท่านอย่าได้ปลอบใจอีกเลย ซุนกวนแม้อายุยังเยาว์อยู่ แต่สติปัญญามากกว่าข้าพเจ้าถึงสิบส่วน เห็นจะรักษาเมืองกังตั๋งไว้ได้เป็นมั่นคง แล้วสั่งความเป็นสำคัญว่า “อันการข้างในนั้นถ้าเหลือความคิดก็ให้ปรึกษากับเตียวเจียว ซึ่งการสงครามนั้นขัดสนประการใดก็ให้คิดอ่านกับจิวยี่เถิด แต่น้อยใจด้วยจิวยี่ไม่อยู่ มิได้สั่งความไว้ต่อปาก”
ซุนเซ็กได้หันมาทางเตียวเจียวแล้วว่า ตัวท่านเป็นที่ปรึกษาผู้ใหญ่ ได้ช่วยเหลือข้าพเจ้าตลอดมาเป็นคุณหาที่สุดมิได้ บัดนี้ใกล้เวลาที่ข้าพเจ้าจะต้องลาท่านนิรันดร ขอท่านจงเมตตาอุปถัมภ์ค้ำชูซุนกวนผู้น้องให้ครองกังตั๋งโดยชอบด้วยธรรมเนียมเพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของอาณาประชาราษฎรโดยถ้วนหน้ากัน
เตียวเจียวได้ยินคำซุนเซ็กสีหน้าก็สลด น้ำตาซึมคลอเบ้า แล้วว่าชีวิตข้าพเจ้านี้อุทิศไว้แก่ตระกูล “ซุน” ท่านจงวางใจ เร่งรักษาตัวให้หายเถิด
สั่งความเตียวเจียวแล้วซุนเซ็กจึงให้หาน้องอีกสองคนเข้ามาแล้วว่า นับแต่บัดนี้ไปซุนกวนจะเป็นเสมือนหนึ่งบิดา เป็นเสมือนหนึ่งพี่และเป็นหลักของตระกูล “ซุน” เราในแคว้นกังตั๋งนี้ เจ้าทั้งสองต้องเชื่อฟังคำซุนกวนให้เหมือนหนึ่งฟังคำบิดาและฟังคำพี่ จงเจ็บร้อนด้วยซุนกวนจงทุกประการ หากแม้นว่าในภายหน้าผู้คนในตระกูลเราคนใดคิดร้ายต่อซุนกวน ให้พวกเจ้าร่วมมือกับซุนกวนปราบปรามให้ราบคาบ อย่าให้เป็นที่ดูหมิ่นนินทาของผู้อื่น
ซุนกวนและน้องทั้งสองคนพร้อมกันปลอบใจซุนเซ็กว่า ขอให้พี่รักษาสุขภาพ ว่าแล้วก็ร้องไห้
ซุนเซ็กจึงเรียกนางเกียวฮูหยินผู้เป็นภรรยาเข้ามาที่ข้างเตียง แล้วว่าบุญของพี่สิ้นแล้ว จำเป็นจะต้องจากเจ้าไปตามวิสัยโลก พี่ขออภัยต่อเจ้าที่ไม่มีโอกาสอยู่ดูแลคุ้มครองเจ้าต่อไป ตัวเจ้าอยู่ข้างหลังจงเอ็นดูพี่ ช่วยปรนนิบัติดูแลมารดาให้จงดี ประการสำคัญเจ้าจงว่ากล่าวกับเสียวเกียวผู้น้องของเจ้าซึ่งเป็นภรรยาของจิวยี่ให้มีใจปรองดองและช่วยทำนุบำรุงซุนกวน เสมือนหนึ่งช่วยทำนุบำรุงพี่มาแต่เดิม ช่วยฝากบอกความถึงจิวยี่ว่าขอให้รำลึกถึงไมตรีที่มีต่อพี่ ช่วยทำนุบำรุงซุนกวนอย่าให้เป็นอันตราย
สิ้นเสียงก็สิ้นสั่ง เปลือกตาของซุนเซ็กค่อย ๆ ปิดลง มือที่กุมอยู่กับมือเสียวเกียวผู้เป็นเกียวฮูหยินพลัดตกลง ซุนเซ็กพยัคฆ์น้อยแห่งลุ่มแม่น้ำแยงซีก็สิ้นลม ณ บัดนั้น สิริอายุรวมได้ยี่สิบหกปี
อำนาจของตระกูล “ซุน” ณ แคว้นกังตั๋งไหลเลื่อนสู่มือซุนกวน ณ บัดนั้น
นางงอฮูหยิน ซุนกวน และน้องทั้งสอง ตลอดจนเกียวฮูหยิน และบรรดาขุนนาง แม่ทัพ นายกอง และที่ปรึกษาที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างพากันร้องไห้อาลัยรักซุนเซ็ก สำหรับซุนกวนนั้นเสียใจร้องไห้จนสลบไป แพทย์ได้แก้ไขจนฟื้นแล้วปรึกษาเตรียมการศพของซุนเซ็ก
เตียวเจียวเห็นเหตุการณ์เศร้าสลดและชุลมุน จึงเสนอต่อซุนกวนว่าความตายนำมาซึ่งความเศร้าโศกเป็นวิสัยโลกนั้นชอบอยู่ แต่บ้านเมืองขณะนี้ยังไม่เป็นปกติจะมัวโศกเศร้าจนเกินการนั้นไม่สมควร ขอให้รีบแต่งการศพซุนเซ็กโดยเร็วแล้วคิดอ่านป้องกันรักษาเมืองกังตั๋งให้ปลอดภัย
ซุนกวนฟังข้อเสนอของเตียวเจียวก็เห็นชอบ แล้วมอบให้เตียวเจียวจัดการพิธีสถาปนาอำนาจของซุนกวนในวันนั้น
เมื่อขุนนางข้าราชการเมืองกังตั๋งพร้อมกันที่ศาลาว่าราชการแล้ว เตียวเจียวได้เชิญซุนกวนออกนั่งบนที่ว่าราชการ แล้วกระทำพิธีประกาศสถาปนาซุนกวนเป็นเจ้าเมืองกังตั๋งสืบทอดอำนาจต่อจากซุนเซ็ก
สิ้นคำประกาศบรรดาขุนนางข้าราชการได้พร้อมกันคำนับซุนกวน
ซุนกวนในฐานะเจ้าเมืองกังตั๋งคนใหม่จึงออกคำสั่งตั้งซุนแจ้งผู้เป็นอาให้เป็นประธานจัดการพิธีศพของซุนเซ็กให้ยิ่งใหญ่สมเกียรติตามอย่างธรรมเนียม
ฝ่ายจิวยี่ซึ่งได้รับมอบหมายจากซุนเซ็กให้ไปทำหน้าที่รักษาด่านปากิ๋ว ครั้นทราบข่าวว่าซุนเซ็กป่วยจึงรีบพาทหารกลับมาที่เมืองกังตั๋ง พอมาถึงทราบว่าซุนเซ็กตายก็ตกใจ ตรงเข้าไปที่ศาลาไว้ศพ กอดเอาศพซุนเซ็กไว้กับอกแล้วร่ำไห้
นางงอฮูหยินและซุนกวนเห็นเช่นนั้นจึงเข้าไปทักทายจิวยี่แล้วเล่าคำสั่งเสียทั้งสิ้นของซุนเซ็กให้จิวยี่ฟังทุกประการ
จิวยี่ฟังคำสั่งเสียแล้วจึงว่าซุนเซ็กมีคุณแก่ข้าพเจ้าล้นดินท่วมฟ้า ข้าพเจ้าน้อมรับคำสั่งเสียของซุนเซ็ก จะทำนุบำรุงซุนกวนโดยสุจริตและโดยเต็มกำลังสติปัญญาความสามารถจนกว่าชีวิตจะหาไม่
ซุนกวนจึงว่าตัวข้าพเจ้าอายุยังน้อยอ่อนแก่ความนัก แต่จำต้องรับภาระซึ่งซุนเซ็กผู้เป็นพี่ได้มอบหมายไว้ วิตกว่าจะทำประการใดจึงจะทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุข
จิวยี่จึงว่า “คำโบราณกล่าวไว้แต่ก่อนว่า ถ้าผู้ใดจะเป็นเจ้าบ้านผ่านเมือง ให้เกลี้ยกล่อมซ่อมสุมผู้คนซึ่งมีสติปัญญา แลทหารที่มีฝีมือไว้จงมาก บ้านเมืองจึงจะปรกติสืบไป ถ้าผู้ใดทิ้งคำโบราณดังนี้เสีย เมืองนั้นก็จะเกิดอันตราย ซึ่งท่านได้เป็นเจ้าเมืองครั้งนี้จงคิดอ่านตามคำโบราณ บ้านเมืองจึงจะอยู่เป็นสุข”
ซุนกวนได้ฟังคำจิวยี่เป็นหลักเป็นฐานก็ยินดี แล้วว่าข้าพเจ้าจะทำตามคำท่าน อนึ่งก่อนซุนเซ็กจะล่วงลับได้ฝากความถึงท่านว่า “การข้างในฝ่ายพลเรือนนั้นให้ปรึกษากับเตียวเจียว แลการฝ่ายทหารนั้นให้คิดอ่านด้วยท่าน”
จิวยี่ได้ยินคำสั่งเสียเป็นสำคัญดั่งนี้จึงค้อมศีรษะลงเป็นเชิงคำนับต่อคำสั่งเสียของซุนเซ็กแล้วว่า ซุนเซ็กมีสติปัญญายิ่งนัก ซึ่งฝากการข้างพลเรือนไว้กับเตียวเจียวนั้นเป็นการสมควรยิ่ง เพราะเตียวเจียวเป็นขุนนางผู้ใหญ่ มีสติปัญญาเป็นอันมาก แต่ตัวข้าพเจ้าซึ่งถูกมอบภาระทางการทหารนั้นยังหวั่นว่าข้าพเจ้ามีสติปัญญาน้อยนัก จะคิดอ่านทำการไม่ตลอด การก็จะเสียไป ข้าพเจ้าเห็นว่ามีบัณฑิตผู้หนึ่งเชี่ยวชาญการสงคราม ชื่อว่าโลซกเป็นชาวเมืองตังฉวน มีสติปัญญามากกว่าคนทั้งปวง ทั้งเป็นผู้มีฐานะมั่งคั่ง มีความกตัญญู ข้าพเจ้าเคยพึ่งพาโลซกมาครั้งหนึ่งได้ประจักษ์ถึงน้ำใจไมตรีเอื้ออาทรต่อผู้อื่น จึงเสนอต่อท่านให้เชิญโลซกมาเป็นที่ปรึกษาช่วยคิดอ่านสืบไป
ซุนกวนได้ฟังข้อเสนอของจิวยี่ก็ดีใจแล้วว่า จะคิดอ่านแต่งผู้อื่นไปเชิญโลซกคงไม่เสมือนดังท่านไปด้วยตัวเอง จึงขอฝากธุระนี้ไว้แก่ท่าน ว่าแล้วซุนกวนได้สั่งให้เจ้าหน้าที่จัดเตรียมข้าวของกำนัลเป็นจำนวนมากมอบให้จิวยี่เพื่อเป็นของขวัญในการไปเชิญโลซก
จิวยี่ไปถึงเรือนของโลซกแล้ว ต่างฝ่ายต่างคำนับทักทายกันตามธรรมเนียม จิวยี่จึงว่าซุนกวนผู้น้องซุนเซ็กบัดนี้เป็นเจ้าเมืองกังตั๋ง ทราบข่าวว่าท่านมีสติปัญญาเป็นอันมาก ทั้งน้ำใจก็โอบอ้อมอารีแก่คนทั้งปวงจึงมอบหมายให้ข้าพเจ้ามาเชิญท่านไปเป็นที่ปรึกษา ช่วยกันคิดอ่านทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุข และได้มอบของทั้งนี้มาคำนับท่านแทนตัว
โลซกตอบว่าท่านมาเชิญข้าพเจ้าช้าไปแล้ว เพราะข้าพเจ้าได้รับคำชวนของเล่าจูเจี๋ยงว่าจะไปอยู่ด้วยกับเตงโป้ เจ้าเมืองเจาอ๋อ หากแม้นเราจะรับคำท่านซ้ำอีกก็จะเป็นการเสียคำพูด.