ตอนที่ 137. ธรรมในสัญญาของหมู่โจร
หุยง่วนเสียวถูกบุตรกัวเสียงลวงให้มาปล้นขบวนโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นขบวนของใคร ครั้นรู้ว่าเป็นกวนอูวีรชนที่ตนเลื่อมใสก็มีใจยินดีกลับสวามิภักดิ์ จนทำให้บุตรของกัวเสียงได้สำนึกผิด กวนอูรำลึกถึงคุณของกัวเสียงที่เอาแต่รักบุตรโดยไม่อบรมสั่งสอนจึงถือโอกาสนั้นสอนสั่งบุตรกัวเสียงให้ตั้งอยู่ในคุณธรรม
หลังจากบุตรกัวเสียงสำนึกผิดรีบกลับไปบ้านแล้ว หุยง่วนเสียวจึงว่ากับกวนอูว่า ข้าพเจ้าได้คบหากับเพื่อนอีกคนหนึ่งชื่อจิวฉอง ซึ่งเดิมเป็นโจรโพกผ้าเหลือง เป็นทหารเอกของเตียวโป้น้องเตียวก๊ก หลังจากเตียวโป้ตายแล้วจิวฉองได้คุมพรรคพวกเพื่อนฝูงมาเป็นโจรอยู่ที่เขาโงจิวสัน ระยะทางห่างจากที่นี่ไปสามร้อยเส้น มีความรักใคร่สนิทสนมดังพี่น้อง จิวฉองมีน้ำใจศรัทธาในความเป็นวีรชนของท่าน ได้กล่าวขวัญถึงกิตติศัพท์ของท่านอยู่เนือง ๆ
แล้วว่าจิวฉองกับข้าพเจ้าได้สัญญากันว่าถ้าใครพบท่านก่อนก็ให้บอกกล่าวและนำอีกคนหนึ่งมาสวามิภักดิ์เป็นข้ารับใช้ท่าน บัดนี้ข้าพเจ้าโชคดีที่ได้พบท่านก่อน ดังนั้นจึงขอเชิญท่านไปที่เขาโงจิวสัน หรือมิฉะนั้นขอให้ท่านรั้งรอขบวนไว้ ณ ที่นี่ ข้าพเจ้าจะไปตามจิวฉองมาคารวะท่าน
กวนอูจึงว่า “ได้เกิดมาเป็นชายแล้วคบหากันมาเป็นโจรอยู่ในป่าฉะนี้ ผู้ใดจะนับถือว่าดี จงทิ้งความชั่วเสียเถิด พากันไปทำมาหากินอยู่ในบ้านเมืองโดยปรกติดีกว่า”
กวนอูยังไม่มีทีท่าว่าจะรับหุยง่วนเสียวเข้าเป็นพวก แต่เห็นแก่น้ำใจไมตรีของหุยง่วนเสียวที่มีต่อตัวจึงถือโอกาสนั้นให้คำแนะนำให้เลิกประพฤติตนเป็นโจร กลับตัวเป็นคนดี ทำมาหากินตามปกติ
ข้อสัญญาระหว่างหุยง่วนเสียวกับจิวฉองเป็นข้อสัญญาของพวกโจรที่มีน้ำใจนิยมยกย่องศรัทธาต่อคนที่เป็นวีรชน สัญญาแบบนี้เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งพุทธกาล สมัยนั้นพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะยังเป็นมานพหนุ่มในศาสนาพราหมณ์ คบหากันเป็นสหาย มีความคิดร่วมกันที่จะแสวงหาความหลุดพ้นจากทุกข์ จึงสัญญากันว่าหากผู้ใดได้พบอาจารย์วิเศษก็ให้บอกแก่อีกคนหนึ่ง ต่อมาพระสารีบุตรพบกับพระอัสสชิ น้องคนสุดท้ายของคณะปัญจวัคคีย์ซึ่งเพิ่งบวชใหม่ กำลังเดินบิณฑบาตรอยู่ด้วยอาการอันสำรวมผิดกับสมณะอื่น เกิดความสงสัยจึงติดตามไป ครั้นได้โอกาสจึงไต่ถามว่าใครเป็นศาสดาของท่าน และศาสดาของท่านได้สอนอะไรบ้าง
พระอัสสชิได้ตอบว่าพระสมณะโคดมศากยบุตรคือศาสดาของเรา เราเป็นผู้บวชใหม่ยังไม่รู้ธรรมของพระศาสดามากนัก พระสารีบุตรได้ขอร้องว่าแม้ไม่รู้ถ้วนทั่วก็ขอจงกล่าวธรรมเพียงเท่าที่ท่านทราบเถิด พระอัสสชิจึงว่าถ้าเช่นนั้นเราจะกล่าวธรรมแต่โดยย่อเท่าที่เราได้รับรู้มา แล้วบอกเป็นคาถาว่า “เยธัมมาเหตุปปัพพวา เตสังเหตุง ตะถาคะโต เตสันจะโย นิโรโธจะ เอวังวาทีมหาสัมมโณ” ซึ่งแปลว่า “ธรรมทั้งหลายเกิดจากเหตุ พระตถาคตได้ตรัสถึงเหตุแห่งธรรมนั้น ตลอดทั่วถ้วนถึงความดับแห่งธรรมนั้น นี่คือคำสอนของพระศาสดา”
พระสารีบุตรมีภูมิธรรมและภูมิรู้จากศาสนาพราหมณ์มาแต่เดิม ทั้งได้ขวนขวายแสวงหาอาจารย์ศึกษาเล่าเรียน และแสวงหาธรรมตลอดมา พอได้ฟังธรรมแต่โดยย่อเพียงเท่านี้ก็รู้ว่าธรรมนี้นี่แล้วคือทางอันเกษมที่จะไปถึงซึ่งความดับทุกข์จึงมีความปราโมทย์ยิ่งนัก ถามต่อไปถึงสำนักของพระศาสดา ทราบความแล้วได้กราบลาพระอัสสชิ รีบไปบอกพระโมคคัลลานะแล้วพากันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ต่อมาได้กลายเป็นพระอัครสาวกซ้ายขวาของพระศาสดา
พวกโจรตกลงสัญญากันที่จะแสวงหาวีรชนเป็นผู้นำของตัวย่อมดีเสียกว่านักการเมืองที่แสดงท่าทีเป็นวิญญูชน แต่กลับคบหาเสวนาอยู่กับทรชน แล้วตกลงทำสัญญากับทรชนดึงเอาคนชั่วมาเป็นพวกเพื่อกลับเข้ามามีอำนาจแล้วจะได้ขายชาติบ้านเมืองให้กับต่างชาติ ฉะนี้สัญญาของพวกโจรจึงประเสริฐกว่าสัญญาของพวกวิญญูชนจอมปลอมมากมายนัก
ในขณะที่หุยง่วนเสียวกำลังเล่าความเรื่องจิวฉองนั้น พลันได้ยินเสียงม้าจำนวนมากวิ่งควบมาจากเนินเขา กวนอูและหุยง่วนเสียวรีบเหลียวไปดูเห็นคนผู้หนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้ากว้างมีสีดำ มีเคราดกดำทั่วตั้งแต่คางปรกแก้มจนถึงจอนหู กิริยาประดุจเสือ ขี่ม้านำพรรคพวกร้อยคนเศษลงมาจากเนินเขา
หุยง่วนเสียวชี้มือไปที่ตัวนายที่นำหน้าพรรคพวกมาแล้วบอกแก่กวนอูว่านั่นคือจิวฉอง กวนอูเห็นคนผู้นั้นแม้จะรูปลักษณะดั่งเสือ แต่ก็ประจักษ์ชัดโดยนรลักษณ์ว่าเป็นคนซื่อตรงก็พยักหน้าแล้วว่า คนผู้นี้เหมาะสมที่จะเป็นนายทหาร
ขณะนั้นจิวฉองได้ขี่ม้ามาถึง ลงจากม้าส่งอาวุธให้กับพวกแล้วตรงเข้ามาคุกเข่าตรงหน้ากวนอู คำนับแล้วว่าข้าพเจ้าได้ข่าวว่าท่านนำขบวนผ่านมาทางเขตนี้จึงรีบนำพวกเพื่อนมาคารวะท่าน ตัวข้าพเจ้านี้ชื่อจิวฉอง เคยเป็นทหารของเตียวโป้ ได้ยินกิตติศัพท์อันงามของท่านแต่ครั้งสงครามโจรโพกผ้าเหลือง กระหายใคร่ที่จะมาอยู่รับใช้เป็นข้าของท่านช้านานแล้ว แต่ติดขัดด้วยเตียวโป้ยังอยู่ ครั้นเตียวโป้ตายแล้วกลับไม่ทราบว่าท่านอยู่แห่งหนตำบลใด จึงได้แต่เพียงปราศรัยถึงท่านกับหุยง่วนเสียว บัดนี้ได้มาพบตัวจริง ข้าพเจ้ามีความยินดียิ่งนัก ขอท่านได้รับข้าพเจ้าเป็นบ่าว แม้แค่เป็นคนถือแส้ม้านำหน้าม้าของท่านก็พร้อมจะรับใช้จนตลอดชีวิต
กวนอูพึงพอใจในนรลักษณ์ของจิวฉอง ครั้นได้ฟังคำปวารณาขอเป็นข้ารับใช้ด้วยถ้อยคำที่เปิดเผยตรงไปตรงมาโดยสุจริตก็มีน้ำใจเอ็นดู การทั้งนี้อาจเกิดแต่เหตุที่คนคู่นี้เคยสร้างสมบุญร่วมกันมาแต่ปางก่อน จึงมีความพึงใจและมีความสุจริตต่อกันตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบเห็น ซึ่งความรู้สึกชนิดนี้ไม่ปรากฏระหว่างกวนอูกับหุยง่วนเสียว
อันจิวฉองนี้แม้เป็นโจรมาแต่ก่อน แต่เมื่อแสวงหาวีรชนจนพานพบและเป็นข้ารับใช้ติดตามประดุจเงาของกวนอูในกาลข้างหน้า ต่อมาหลังสิ้นอายุขัยกวนอูได้รับยกย่องนับถือว่าเป็นเทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์ที่คนจีนแทบทุกครัวเรือนมีภาพไว้บูชา ภาพจิวฉองที่มีใบหน้าอันดำ เครารกรุงรังจึงได้ยืนอยู่ข้างหลังในฐานะคนถือง้าวประจำตัวของกวนอูตลอดมาจนบัดนี้
พิเคราะห์ดั่งนี้แล้ว คนเราเกิดมาในตระกูลต่ำต้อยด้อยค่าหรือวาสนาสูงส่งประการใด แม้จะมีความสำคัญอยู่แต่ก็หาได้เป็นเรื่องชี้ขาดอนาคตแต่อย่างใดไม่ บางคนเกิดมาในตระกูลอันสูง แต่กลับตายแบบไร้ค่า ในขณะที่บางคนเกิดมาในตระกูลอันต่ำต้อย แต่บั้นปลายแห่งชีวิตกลับมีเกียรติคุณอันสูงส่ง ถึงขนาดผู้คนนับถือบูชาเป็นเทพเจ้า ความทั้งนี้อะไรเล่าที่เป็นจุดแปรผัน หากมิใช่ธรรมอันผู้นั้นยึดถือปฏิบัติดำรงตน คำโบราณที่ว่า ต้นไผ่อันสูง หากขึ้นอยู่ในหุบเหวก็จะต่ำต้อยกว่าต้นหญ้าที่ขึ้นอยู่บนยอดเขา ที่สูง ที่ต่ำ แห่งคำโบราณนี้จึงหาใช่ตระกูลกำเนิดไม่ หากเป็นคุณธรรมประจำตัวที่ประพฤติและสั่งสมนั่นเอง
เมื่อความเอ็นดูผุดขึ้นในใจ น้ำใจจึงคล้อยไปในทางที่จะรับเอาจิวฉองเข้าเป็นพวก กวนอูจึงถามจิวฉองว่าหากตัวท่านจะไปด้วยเราแล้ว พวกเพื่อนที่มาด้วยจะทำอย่างไรต่อไป
บรรดาพวกเพื่อนของจิวฉองที่ติดตามมาด้วยกันได้ยินคำกวนอูจึงร้องขึ้นพร้อมกันว่า พวกข้าพเจ้าทั้งผองพร้อมที่จะติดตามไปรับใช้ท่าน ขอท่านได้เมตตารับพวกข้าพเจ้าไว้เป็นบ่าวด้วยเถิด
กวนอูเห็นดังนั้นจึงลงจากหลังม้า เดินเข้าไปบอกพี่สะใภ้ซึ่งนั่งอยู่บนรถ เล่าความให้ฟังทุกประการ แล้วขออนุญาตรับจิวฉองและพวกเพื่อนให้ติดตามไปด้วยกัน
นางกำฮูหยินไตร่ตรองแล้วจึงว่าเมื่อครั้งออกจากเมืองหลวงได้ความยากลำบากเป็นอันมาก ระหว่างทางพวกโจรได้ตีชิงรถของเราและควบคุมตัวเราไป ครั้งนั้นเลียวหัวได้ฆ่านายโจรเสียช่วยชีวิตเราไว้ และขอติดตามเป็นบ่าวของเจ้า แต่เจ้าปฏิเสธว่าการรับเอาพวกโจรมาเป็นพวกจะเป็นที่ครหา บัดนี้พ้นที่ยากลำบากแล้ว จะเอาพวกโจรมาเป็นพวกเพื่อประโยชน์สิ่งใด เจ้าจงพิจารณาตามที่ควร
กวนอูเห็นพี่สะใภ้ไม่เต็มใจรับ จึงกลับมาว่ากับจิวฉองและพวกเพื่อนว่าพี่สะใภ้ทั้งสองของเราเป็นผู้ใหญ่ ไม่อยากให้ท่านตามไปด้วย ดังนั้นให้ท่านคุมสมัครพรรคพวกตั้งมั่นไว้ ณ ตำบลนี้ก่อน เรานำพี่สะใภ้ไปถึงเล่าปี่แล้วจะรีบกลับมารับพวกเจ้าไปอยู่ด้วยกัน
จิวฉองได้ฟังดังนั้นรีบคุกเข่าลงกับพื้นคำนับแล้วว่า “ตัวข้าพเจ้าเกิดมาเป็นชายชาติทหาร ได้ทำชั่วพลัดไปเป็นพวกโจร อุปมาเหมือนเข้าที่มืด บัดนี้มาพบท่านเหมือนหนึ่งออกที่สว่าง หรือว่าพี่สะใภ้ของท่านเห็นว่าเป็นพวกโจรอยู่ ไม่ควรที่จะเอาไป”
จิวฉองยืนยันที่จะขอติดตามกวนอูไปให้จงได้ กล่าวความอันเป็นอุปมาอุปไมยเป็นที่น่าสงสารถึงน้ำใจภักดีโดยสุจริต และได้เสนอทางออกไว้ด้วยว่า ข้าพเจ้าแต่ผู้เดียวจะขอตามท่านไปก่อน ส่วนพวกเพื่อนจะฝากไว้กับหุยง่วนเสียวช่วยปกครองดูแล ขอท่านได้เมตตาช่วยข้าพเจ้าพาออกจากที่อันมืดนี้ด้วย
กวนอูฟังคำจิวฉองก็สงสารยิ่งนัก จึงกลับไปหาพี่สะใภ้อีกครั้งหนึ่ง บอกความตามที่จิวฉองได้อ้อนวอนทุกประการ นางกำฮูหยินจึงว่าเมื่อจะติดตามไปเพียงแค่คนสองคนก็สุดแท้แต่ใจเจ้าเถิด
กวนอูได้รับการอนุญาตจากพี่สะใภ้แล้วกลับมาบอกจิวฉอง จิวฉองได้ฟังดังนั้นก็คุกเข่าลงคำนับขอบคุณกวนอู โขกศีรษะลงกับพื้นแล้วว่า ข้าพเจ้าขอเป็นบ่าวรับใช้ท่านจนตลอดชีวิต กวนอูเห็นความภักดีของจิวฉองจึงเข้าไปประคองให้ลุกขึ้น
หุยง่วนเสียวเห็นเช่นนั้นจึงว่า ท่านอนุญาตให้จิวฉองตามท่านไปแล้ว ขอจงรับข้าพเจ้าติดตามท่านไปด้วย จิวฉองได้ยินจึงว่าหากเจ้าตามท่านแม่ทัพไปพร้อมกับเราแล้ว จะไม่มีใครดูแลพวกเพื่อนทั้งของท่านและของเรา ดังนั้นขอให้ท่านอยู่ ณ ตำบลนี้ก่อน ช่วยดูแลพวกเพื่อนไว้อย่าให้เป็นอันตราย เราไปกับท่านแม่ทัพเสร็จการแล้วจะรีบกลับมารับเจ้ากับพวกเพื่อนไปอยู่ด้วยกัน
หุยง่วนเสียวฟังคำจิวฉองชอบด้วยเหตุและผลก็ตกลง จิวฉองได้อำลาพวกเพื่อน สั่งให้ยกไปรวมอยู่กับหุยง่วนเสียวแล้วจะกลับมารับต่อภายหลัง จากนั้นกวนอูจึงได้สั่งเคลื่อนขบวนตรงไปเมืองยีหลำ
ขบวนเคลื่อนมาได้สามวันถึงเขตเมืองเก๋าเซีย มีกำแพงเมืองสูงใหญ่รอบตัวเมืองครอบคลุมเอาเขตภูเขาลูกหนึ่งไว้ด้วย กวนอูจึงถามชาวบ้านว่านี่เป็นเมืองอะไร และใครเป็นเจ้าเมือง
ชาวบ้านได้บอกว่าเมืองนี้ชื่อว่าเมืองเก๋าเซีย เดิมมีเจ้าเมืองปกครองอยู่ ต่อมามีทหารคนหนึ่งชื่อเตียวหุย มีฝีมือเข้มแข็งกล้าหาญ คุมพวกเพื่อนห้าสิบคนเศษได้ฆ่าเจ้าเมืองเสียแล้วตั้งตัวเป็นเจ้าเมือง ขณะนี้ได้เกลี้ยกล่อมซ่องสุมผู้คน มีกองกำลังทหารถึงห้าพันคน ข้าวปลาอาหารก็บริบูรณ์ หัวเมืองข้างเคียงต่างเกรงฝีมือเตียวหุยเจ้าเมืองคนใหม่ ไม่มีผู้ใดกล้าข่มเหงรังแก ขณะนี้เตียวหุยเจ้าเมืองใหม่ได้ปกครองบ้านเมืองมาห้าเดือนเศษแล้ว
กวนอูได้ทราบข่าวเตียวหุยว่ายังมีชีวิตอยู่และบัดนี้ยึดเมืองเก๋าเซียเอาไว้ได้ก็มีความยินดียิ่งนัก จึงว่ากับซุนเขียนที่ปรึกษาของเล่าปี่ว่านับแต่เสียเมืองชีจิ๋ว พวกเราพี่น้องสามคนได้พลัดพรากจากกัน ก่อนหน้านี้ได้ข่าวพี่ใหญ่แล้วแต่ยังไม่พบตัว มาบัดนี้ทราบข่าวของน้องเล็กอีกเล่า นับเป็นบุญของเราที่พี่น้องยังคงอยู่กันพร้อมหน้า
ว่าแล้วกวนอูได้ขอให้ซุนเขียนรีบเข้าไปในเมืองบอกเตียวหุยให้ออกมารับพี่สะใภ้เพื่อให้เป็นไปตามอย่างธรรมเนียม ซุนเขียนเห็นชอบด้วยจึงลากวนอูเข้าไปในเมืองเก๋าเซีย
การเดินทางไกลด้วยความยากลำบากจากเมืองหลวงของกวนอู ฝ่าด่านห้าด่าน สังหารแม่ทัพของโจโฉถึงเจ็ดคน ฝ่ากลอุบายและแผนการร้ายของนายด่านและเจ้าเมืองในบังคับบัญชาของโจโฉถึงสามครั้ง ได้โจรเป็นมิตรสองกลุ่ม ได้ผู้เฒ่าเป็นพวกสองคน ได้รับความช่วยเหลือจากหลวงจีนเพื่อนบ้านจนบ่วงอาวุธ ได้สั่งสอนบุตรกัวเสียงหนุ่มน้อยผู้ชอบซ่องเสพด้วยอันธพาลให้กลับตัวเป็นคนดี โดยที่ไม่ยอมรับเอาผู้ใดเป็นข้ารับใช้ติดตาม แต่ครั้นสิ้นความยากลำบากกลับรับเอาจิวฉองไว้เป็นผู้ติดตาม นี่มิใช่เป็นเพราะวาสนาของคนที่ร่วมกุศลมาแต่ปางก่อนดอกหรือ.
หลังจากบุตรกัวเสียงสำนึกผิดรีบกลับไปบ้านแล้ว หุยง่วนเสียวจึงว่ากับกวนอูว่า ข้าพเจ้าได้คบหากับเพื่อนอีกคนหนึ่งชื่อจิวฉอง ซึ่งเดิมเป็นโจรโพกผ้าเหลือง เป็นทหารเอกของเตียวโป้น้องเตียวก๊ก หลังจากเตียวโป้ตายแล้วจิวฉองได้คุมพรรคพวกเพื่อนฝูงมาเป็นโจรอยู่ที่เขาโงจิวสัน ระยะทางห่างจากที่นี่ไปสามร้อยเส้น มีความรักใคร่สนิทสนมดังพี่น้อง จิวฉองมีน้ำใจศรัทธาในความเป็นวีรชนของท่าน ได้กล่าวขวัญถึงกิตติศัพท์ของท่านอยู่เนือง ๆ
แล้วว่าจิวฉองกับข้าพเจ้าได้สัญญากันว่าถ้าใครพบท่านก่อนก็ให้บอกกล่าวและนำอีกคนหนึ่งมาสวามิภักดิ์เป็นข้ารับใช้ท่าน บัดนี้ข้าพเจ้าโชคดีที่ได้พบท่านก่อน ดังนั้นจึงขอเชิญท่านไปที่เขาโงจิวสัน หรือมิฉะนั้นขอให้ท่านรั้งรอขบวนไว้ ณ ที่นี่ ข้าพเจ้าจะไปตามจิวฉองมาคารวะท่าน
กวนอูจึงว่า “ได้เกิดมาเป็นชายแล้วคบหากันมาเป็นโจรอยู่ในป่าฉะนี้ ผู้ใดจะนับถือว่าดี จงทิ้งความชั่วเสียเถิด พากันไปทำมาหากินอยู่ในบ้านเมืองโดยปรกติดีกว่า”
กวนอูยังไม่มีทีท่าว่าจะรับหุยง่วนเสียวเข้าเป็นพวก แต่เห็นแก่น้ำใจไมตรีของหุยง่วนเสียวที่มีต่อตัวจึงถือโอกาสนั้นให้คำแนะนำให้เลิกประพฤติตนเป็นโจร กลับตัวเป็นคนดี ทำมาหากินตามปกติ
ข้อสัญญาระหว่างหุยง่วนเสียวกับจิวฉองเป็นข้อสัญญาของพวกโจรที่มีน้ำใจนิยมยกย่องศรัทธาต่อคนที่เป็นวีรชน สัญญาแบบนี้เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งพุทธกาล สมัยนั้นพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะยังเป็นมานพหนุ่มในศาสนาพราหมณ์ คบหากันเป็นสหาย มีความคิดร่วมกันที่จะแสวงหาความหลุดพ้นจากทุกข์ จึงสัญญากันว่าหากผู้ใดได้พบอาจารย์วิเศษก็ให้บอกแก่อีกคนหนึ่ง ต่อมาพระสารีบุตรพบกับพระอัสสชิ น้องคนสุดท้ายของคณะปัญจวัคคีย์ซึ่งเพิ่งบวชใหม่ กำลังเดินบิณฑบาตรอยู่ด้วยอาการอันสำรวมผิดกับสมณะอื่น เกิดความสงสัยจึงติดตามไป ครั้นได้โอกาสจึงไต่ถามว่าใครเป็นศาสดาของท่าน และศาสดาของท่านได้สอนอะไรบ้าง
พระอัสสชิได้ตอบว่าพระสมณะโคดมศากยบุตรคือศาสดาของเรา เราเป็นผู้บวชใหม่ยังไม่รู้ธรรมของพระศาสดามากนัก พระสารีบุตรได้ขอร้องว่าแม้ไม่รู้ถ้วนทั่วก็ขอจงกล่าวธรรมเพียงเท่าที่ท่านทราบเถิด พระอัสสชิจึงว่าถ้าเช่นนั้นเราจะกล่าวธรรมแต่โดยย่อเท่าที่เราได้รับรู้มา แล้วบอกเป็นคาถาว่า “เยธัมมาเหตุปปัพพวา เตสังเหตุง ตะถาคะโต เตสันจะโย นิโรโธจะ เอวังวาทีมหาสัมมโณ” ซึ่งแปลว่า “ธรรมทั้งหลายเกิดจากเหตุ พระตถาคตได้ตรัสถึงเหตุแห่งธรรมนั้น ตลอดทั่วถ้วนถึงความดับแห่งธรรมนั้น นี่คือคำสอนของพระศาสดา”
พระสารีบุตรมีภูมิธรรมและภูมิรู้จากศาสนาพราหมณ์มาแต่เดิม ทั้งได้ขวนขวายแสวงหาอาจารย์ศึกษาเล่าเรียน และแสวงหาธรรมตลอดมา พอได้ฟังธรรมแต่โดยย่อเพียงเท่านี้ก็รู้ว่าธรรมนี้นี่แล้วคือทางอันเกษมที่จะไปถึงซึ่งความดับทุกข์จึงมีความปราโมทย์ยิ่งนัก ถามต่อไปถึงสำนักของพระศาสดา ทราบความแล้วได้กราบลาพระอัสสชิ รีบไปบอกพระโมคคัลลานะแล้วพากันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ต่อมาได้กลายเป็นพระอัครสาวกซ้ายขวาของพระศาสดา
พวกโจรตกลงสัญญากันที่จะแสวงหาวีรชนเป็นผู้นำของตัวย่อมดีเสียกว่านักการเมืองที่แสดงท่าทีเป็นวิญญูชน แต่กลับคบหาเสวนาอยู่กับทรชน แล้วตกลงทำสัญญากับทรชนดึงเอาคนชั่วมาเป็นพวกเพื่อกลับเข้ามามีอำนาจแล้วจะได้ขายชาติบ้านเมืองให้กับต่างชาติ ฉะนี้สัญญาของพวกโจรจึงประเสริฐกว่าสัญญาของพวกวิญญูชนจอมปลอมมากมายนัก
ในขณะที่หุยง่วนเสียวกำลังเล่าความเรื่องจิวฉองนั้น พลันได้ยินเสียงม้าจำนวนมากวิ่งควบมาจากเนินเขา กวนอูและหุยง่วนเสียวรีบเหลียวไปดูเห็นคนผู้หนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้ากว้างมีสีดำ มีเคราดกดำทั่วตั้งแต่คางปรกแก้มจนถึงจอนหู กิริยาประดุจเสือ ขี่ม้านำพรรคพวกร้อยคนเศษลงมาจากเนินเขา
หุยง่วนเสียวชี้มือไปที่ตัวนายที่นำหน้าพรรคพวกมาแล้วบอกแก่กวนอูว่านั่นคือจิวฉอง กวนอูเห็นคนผู้นั้นแม้จะรูปลักษณะดั่งเสือ แต่ก็ประจักษ์ชัดโดยนรลักษณ์ว่าเป็นคนซื่อตรงก็พยักหน้าแล้วว่า คนผู้นี้เหมาะสมที่จะเป็นนายทหาร
ขณะนั้นจิวฉองได้ขี่ม้ามาถึง ลงจากม้าส่งอาวุธให้กับพวกแล้วตรงเข้ามาคุกเข่าตรงหน้ากวนอู คำนับแล้วว่าข้าพเจ้าได้ข่าวว่าท่านนำขบวนผ่านมาทางเขตนี้จึงรีบนำพวกเพื่อนมาคารวะท่าน ตัวข้าพเจ้านี้ชื่อจิวฉอง เคยเป็นทหารของเตียวโป้ ได้ยินกิตติศัพท์อันงามของท่านแต่ครั้งสงครามโจรโพกผ้าเหลือง กระหายใคร่ที่จะมาอยู่รับใช้เป็นข้าของท่านช้านานแล้ว แต่ติดขัดด้วยเตียวโป้ยังอยู่ ครั้นเตียวโป้ตายแล้วกลับไม่ทราบว่าท่านอยู่แห่งหนตำบลใด จึงได้แต่เพียงปราศรัยถึงท่านกับหุยง่วนเสียว บัดนี้ได้มาพบตัวจริง ข้าพเจ้ามีความยินดียิ่งนัก ขอท่านได้รับข้าพเจ้าเป็นบ่าว แม้แค่เป็นคนถือแส้ม้านำหน้าม้าของท่านก็พร้อมจะรับใช้จนตลอดชีวิต
กวนอูพึงพอใจในนรลักษณ์ของจิวฉอง ครั้นได้ฟังคำปวารณาขอเป็นข้ารับใช้ด้วยถ้อยคำที่เปิดเผยตรงไปตรงมาโดยสุจริตก็มีน้ำใจเอ็นดู การทั้งนี้อาจเกิดแต่เหตุที่คนคู่นี้เคยสร้างสมบุญร่วมกันมาแต่ปางก่อน จึงมีความพึงใจและมีความสุจริตต่อกันตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบเห็น ซึ่งความรู้สึกชนิดนี้ไม่ปรากฏระหว่างกวนอูกับหุยง่วนเสียว
อันจิวฉองนี้แม้เป็นโจรมาแต่ก่อน แต่เมื่อแสวงหาวีรชนจนพานพบและเป็นข้ารับใช้ติดตามประดุจเงาของกวนอูในกาลข้างหน้า ต่อมาหลังสิ้นอายุขัยกวนอูได้รับยกย่องนับถือว่าเป็นเทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์ที่คนจีนแทบทุกครัวเรือนมีภาพไว้บูชา ภาพจิวฉองที่มีใบหน้าอันดำ เครารกรุงรังจึงได้ยืนอยู่ข้างหลังในฐานะคนถือง้าวประจำตัวของกวนอูตลอดมาจนบัดนี้
พิเคราะห์ดั่งนี้แล้ว คนเราเกิดมาในตระกูลต่ำต้อยด้อยค่าหรือวาสนาสูงส่งประการใด แม้จะมีความสำคัญอยู่แต่ก็หาได้เป็นเรื่องชี้ขาดอนาคตแต่อย่างใดไม่ บางคนเกิดมาในตระกูลอันสูง แต่กลับตายแบบไร้ค่า ในขณะที่บางคนเกิดมาในตระกูลอันต่ำต้อย แต่บั้นปลายแห่งชีวิตกลับมีเกียรติคุณอันสูงส่ง ถึงขนาดผู้คนนับถือบูชาเป็นเทพเจ้า ความทั้งนี้อะไรเล่าที่เป็นจุดแปรผัน หากมิใช่ธรรมอันผู้นั้นยึดถือปฏิบัติดำรงตน คำโบราณที่ว่า ต้นไผ่อันสูง หากขึ้นอยู่ในหุบเหวก็จะต่ำต้อยกว่าต้นหญ้าที่ขึ้นอยู่บนยอดเขา ที่สูง ที่ต่ำ แห่งคำโบราณนี้จึงหาใช่ตระกูลกำเนิดไม่ หากเป็นคุณธรรมประจำตัวที่ประพฤติและสั่งสมนั่นเอง
เมื่อความเอ็นดูผุดขึ้นในใจ น้ำใจจึงคล้อยไปในทางที่จะรับเอาจิวฉองเข้าเป็นพวก กวนอูจึงถามจิวฉองว่าหากตัวท่านจะไปด้วยเราแล้ว พวกเพื่อนที่มาด้วยจะทำอย่างไรต่อไป
บรรดาพวกเพื่อนของจิวฉองที่ติดตามมาด้วยกันได้ยินคำกวนอูจึงร้องขึ้นพร้อมกันว่า พวกข้าพเจ้าทั้งผองพร้อมที่จะติดตามไปรับใช้ท่าน ขอท่านได้เมตตารับพวกข้าพเจ้าไว้เป็นบ่าวด้วยเถิด
กวนอูเห็นดังนั้นจึงลงจากหลังม้า เดินเข้าไปบอกพี่สะใภ้ซึ่งนั่งอยู่บนรถ เล่าความให้ฟังทุกประการ แล้วขออนุญาตรับจิวฉองและพวกเพื่อนให้ติดตามไปด้วยกัน
นางกำฮูหยินไตร่ตรองแล้วจึงว่าเมื่อครั้งออกจากเมืองหลวงได้ความยากลำบากเป็นอันมาก ระหว่างทางพวกโจรได้ตีชิงรถของเราและควบคุมตัวเราไป ครั้งนั้นเลียวหัวได้ฆ่านายโจรเสียช่วยชีวิตเราไว้ และขอติดตามเป็นบ่าวของเจ้า แต่เจ้าปฏิเสธว่าการรับเอาพวกโจรมาเป็นพวกจะเป็นที่ครหา บัดนี้พ้นที่ยากลำบากแล้ว จะเอาพวกโจรมาเป็นพวกเพื่อประโยชน์สิ่งใด เจ้าจงพิจารณาตามที่ควร
กวนอูเห็นพี่สะใภ้ไม่เต็มใจรับ จึงกลับมาว่ากับจิวฉองและพวกเพื่อนว่าพี่สะใภ้ทั้งสองของเราเป็นผู้ใหญ่ ไม่อยากให้ท่านตามไปด้วย ดังนั้นให้ท่านคุมสมัครพรรคพวกตั้งมั่นไว้ ณ ตำบลนี้ก่อน เรานำพี่สะใภ้ไปถึงเล่าปี่แล้วจะรีบกลับมารับพวกเจ้าไปอยู่ด้วยกัน
จิวฉองได้ฟังดังนั้นรีบคุกเข่าลงกับพื้นคำนับแล้วว่า “ตัวข้าพเจ้าเกิดมาเป็นชายชาติทหาร ได้ทำชั่วพลัดไปเป็นพวกโจร อุปมาเหมือนเข้าที่มืด บัดนี้มาพบท่านเหมือนหนึ่งออกที่สว่าง หรือว่าพี่สะใภ้ของท่านเห็นว่าเป็นพวกโจรอยู่ ไม่ควรที่จะเอาไป”
จิวฉองยืนยันที่จะขอติดตามกวนอูไปให้จงได้ กล่าวความอันเป็นอุปมาอุปไมยเป็นที่น่าสงสารถึงน้ำใจภักดีโดยสุจริต และได้เสนอทางออกไว้ด้วยว่า ข้าพเจ้าแต่ผู้เดียวจะขอตามท่านไปก่อน ส่วนพวกเพื่อนจะฝากไว้กับหุยง่วนเสียวช่วยปกครองดูแล ขอท่านได้เมตตาช่วยข้าพเจ้าพาออกจากที่อันมืดนี้ด้วย
กวนอูฟังคำจิวฉองก็สงสารยิ่งนัก จึงกลับไปหาพี่สะใภ้อีกครั้งหนึ่ง บอกความตามที่จิวฉองได้อ้อนวอนทุกประการ นางกำฮูหยินจึงว่าเมื่อจะติดตามไปเพียงแค่คนสองคนก็สุดแท้แต่ใจเจ้าเถิด
กวนอูได้รับการอนุญาตจากพี่สะใภ้แล้วกลับมาบอกจิวฉอง จิวฉองได้ฟังดังนั้นก็คุกเข่าลงคำนับขอบคุณกวนอู โขกศีรษะลงกับพื้นแล้วว่า ข้าพเจ้าขอเป็นบ่าวรับใช้ท่านจนตลอดชีวิต กวนอูเห็นความภักดีของจิวฉองจึงเข้าไปประคองให้ลุกขึ้น
หุยง่วนเสียวเห็นเช่นนั้นจึงว่า ท่านอนุญาตให้จิวฉองตามท่านไปแล้ว ขอจงรับข้าพเจ้าติดตามท่านไปด้วย จิวฉองได้ยินจึงว่าหากเจ้าตามท่านแม่ทัพไปพร้อมกับเราแล้ว จะไม่มีใครดูแลพวกเพื่อนทั้งของท่านและของเรา ดังนั้นขอให้ท่านอยู่ ณ ตำบลนี้ก่อน ช่วยดูแลพวกเพื่อนไว้อย่าให้เป็นอันตราย เราไปกับท่านแม่ทัพเสร็จการแล้วจะรีบกลับมารับเจ้ากับพวกเพื่อนไปอยู่ด้วยกัน
หุยง่วนเสียวฟังคำจิวฉองชอบด้วยเหตุและผลก็ตกลง จิวฉองได้อำลาพวกเพื่อน สั่งให้ยกไปรวมอยู่กับหุยง่วนเสียวแล้วจะกลับมารับต่อภายหลัง จากนั้นกวนอูจึงได้สั่งเคลื่อนขบวนตรงไปเมืองยีหลำ
ขบวนเคลื่อนมาได้สามวันถึงเขตเมืองเก๋าเซีย มีกำแพงเมืองสูงใหญ่รอบตัวเมืองครอบคลุมเอาเขตภูเขาลูกหนึ่งไว้ด้วย กวนอูจึงถามชาวบ้านว่านี่เป็นเมืองอะไร และใครเป็นเจ้าเมือง
ชาวบ้านได้บอกว่าเมืองนี้ชื่อว่าเมืองเก๋าเซีย เดิมมีเจ้าเมืองปกครองอยู่ ต่อมามีทหารคนหนึ่งชื่อเตียวหุย มีฝีมือเข้มแข็งกล้าหาญ คุมพวกเพื่อนห้าสิบคนเศษได้ฆ่าเจ้าเมืองเสียแล้วตั้งตัวเป็นเจ้าเมือง ขณะนี้ได้เกลี้ยกล่อมซ่องสุมผู้คน มีกองกำลังทหารถึงห้าพันคน ข้าวปลาอาหารก็บริบูรณ์ หัวเมืองข้างเคียงต่างเกรงฝีมือเตียวหุยเจ้าเมืองคนใหม่ ไม่มีผู้ใดกล้าข่มเหงรังแก ขณะนี้เตียวหุยเจ้าเมืองใหม่ได้ปกครองบ้านเมืองมาห้าเดือนเศษแล้ว
กวนอูได้ทราบข่าวเตียวหุยว่ายังมีชีวิตอยู่และบัดนี้ยึดเมืองเก๋าเซียเอาไว้ได้ก็มีความยินดียิ่งนัก จึงว่ากับซุนเขียนที่ปรึกษาของเล่าปี่ว่านับแต่เสียเมืองชีจิ๋ว พวกเราพี่น้องสามคนได้พลัดพรากจากกัน ก่อนหน้านี้ได้ข่าวพี่ใหญ่แล้วแต่ยังไม่พบตัว มาบัดนี้ทราบข่าวของน้องเล็กอีกเล่า นับเป็นบุญของเราที่พี่น้องยังคงอยู่กันพร้อมหน้า
ว่าแล้วกวนอูได้ขอให้ซุนเขียนรีบเข้าไปในเมืองบอกเตียวหุยให้ออกมารับพี่สะใภ้เพื่อให้เป็นไปตามอย่างธรรมเนียม ซุนเขียนเห็นชอบด้วยจึงลากวนอูเข้าไปในเมืองเก๋าเซีย
การเดินทางไกลด้วยความยากลำบากจากเมืองหลวงของกวนอู ฝ่าด่านห้าด่าน สังหารแม่ทัพของโจโฉถึงเจ็ดคน ฝ่ากลอุบายและแผนการร้ายของนายด่านและเจ้าเมืองในบังคับบัญชาของโจโฉถึงสามครั้ง ได้โจรเป็นมิตรสองกลุ่ม ได้ผู้เฒ่าเป็นพวกสองคน ได้รับความช่วยเหลือจากหลวงจีนเพื่อนบ้านจนบ่วงอาวุธ ได้สั่งสอนบุตรกัวเสียงหนุ่มน้อยผู้ชอบซ่องเสพด้วยอันธพาลให้กลับตัวเป็นคนดี โดยที่ไม่ยอมรับเอาผู้ใดเป็นข้ารับใช้ติดตาม แต่ครั้นสิ้นความยากลำบากกลับรับเอาจิวฉองไว้เป็นผู้ติดตาม นี่มิใช่เป็นเพราะวาสนาของคนที่ร่วมกุศลมาแต่ปางก่อนดอกหรือ.