ตอนที่ 134. พ้นบ่วง...ปะจระเข้
ด้วยอำนาจแห่งความกตัญญูและความสง่าเปิดเผยของกวนอู ทำให้งอหัวมีจดหมายถึงงอปั้นผู้บุตรให้หาทางช่วยเหลือกวนอูให้ไปถึงพี่ร่วมสาบาน ครั้นงอปั้นผู้บุตรทราบความตามหนังสือของบิดา จึงได้เปิดเผยแผนการร้ายของอองเซ็กให้กวนอูทราบ และแจ้งให้กวนอูรีบออกเดินทางโดยจะไปบอกผู้ใต้บังคับบัญชาให้เปิดประตูเมืองปล่อยกวนอูไป
กวนอูเห็นดังนั้นก็มีความยินดี รีบใส่เสื้อเกราะถือง้าว แล้วเชิญพี่สะใภ้ทั้งสองให้ขึ้นรถ และให้ทหารที่ติดตามมารีบคุมขบวนรถไปข้างหน้า กวนอูขี่ม้าอารักขาตามไปข้างหลัง ครั้นถึงประตูเมืองเห็นประตูเปิดอยู่ตามคำของงอปั้น จึงเร่งทหารให้รีบนำขบวนของพี่สะใภ้ออกพ้นประตูเมืองไป
พอขบวนเคลื่อนพ้นประตูเมืองไปได้สามสิบเส้น ความสว่างของแสงเพลิงได้โชติช่วงขึ้นบนท้องฟ้า กวนอูเหลียวกลับมาดูทางด้านเรือนที่เคยพัก เห็นแสงเพลิงลุกไหม้สูงพ้นกำแพงเมืองก็รู้ว่างอปั้นได้วางเพลิงกลบเกลื่อนความที่ปล่อยกวนอูออกจากเมืองมาก็คิดถึงคุณของงอปั้นที่ได้ช่วยเหลือตามความของหนังสืองอหัว รำพึงขึ้นแต่ในใจว่าครั้งนี้เดชะบุญที่งอปั้นได้ช่วยเหลือบอกกล่าวให้ได้ทราบความ มิฉะนั้นแล้วชีวิตเราและพี่สะใภ้คงจะกลายเป็นเถ้าถ่านในกองเพลิงที่เมืองนี้
ฝ่ายอองเซ็กเห็นเพลิงไหม้ขึ้นที่เรือนพักของกวนอูก็เข้าใจว่าเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นตามแผนการจึงรีบยกทหารตามมา แต่ทหารที่ทำการวางเพลิงอยู่นั้นรายงานให้ทราบว่ากวนอูได้หนีออกจากเรือนและออกจากประตูเมืองไปแล้ว
อองเซ็กจึงรีบยกทหารไล่ตามกวนอูไป ทางด้านขบวนของกวนอูยังคงเคลื่อนที่ขึ้นทางเหนืออย่างรีบเร่ง แต่เนื่องจากเป็นขบวนรถจึงไม่อาจไปได้เร็วนัก ไม่ทันนาน อองเซ็กก็ไล่ตามมาทัน
กวนอูขี่ม้าอารักขาขบวนอยู่ข้างหลังได้ยินเสียงม้าไล่ตามมาจึงเร่งขบวนให้รีบรุดไปข้างหน้า ส่วนตัวกวนอูได้รั้งม้าให้หยุดแล้วชักม้าหันกลับมาตั้งรับ
เมื่ออองเซ็กนำทหารมาถึงที่กวนอูหยุดม้าก็ร้องเย้ยขึ้นว่า เราได้ยินกิตติศัพท์ว่ากวนอูเป็นคนกล้าหาญมีฝีมือเข้มแข็ง แต่เหตุไฉนกลายเป็นคนขี้ขลาดหนีหัวซุกหัวซุนเช่นนี้เล่า
กวนอูตอบกลับไปว่า เราได้รับอนุญาตจากท่านอัครมหาเสนาบดีให้กลับไปหาเล่าปี่ เหตุใดท่านจึงยังคิดร้ายต่อเรา
อองเซ็กได้ฟังคำกวนอูเช่นนั้น ชะล่าใจว่ากวนอูอยู่ในภาวะการหนีภัยไม่มีใจคิดต่อสู้ จึงชักม้าเข้ารบกับกวนอู แต่ไม่ทันสิ้นเพลงรบกวนอูก็เอาง้าวฟันอองเซ็กตัวขาดสองท่อน ทหารที่ติดตามอองเซ็กมาจึงแตกหนีกลับเข้าไปในเมือง
หลังจากฆ่าอองเซ็กแล้ว ขบวนของกวนอูได้เดินทางต่อไปตามเส้นทางที่เห็นว่าจะปลอดภัย บางช่วงก็เป็นเส้นทางคดเคี้ยว บางช่วงก็ต้องวกอ้อมด่าน หรืออ้อมผ่านเมือง เพราะบัดนี้ได้ทราบแล้วว่าหากเดินทางโดยเปิดเผยเหมือนที่ผ่านมาก็อาจได้รับการขัดขวางทำให้เกิดการเสี่ยงภัย และทำให้การเดินทางล่าช้า ดังนั้นแม้จะเดินทางอ้อมและยาวขึ้น ใช้เวลามากขึ้น ก็ยังดีเสียกว่าที่จะเสี่ยงภัยกับอุบายเล่ห์กลและการเผชิญกับกำลังทหารจำนวนมาก
กวนอูได้นำขบวนรอนแรมมาจนถึงเขตเมืองตองกุ๋น ซึ่งเล่าเอี๋ยนเป็นเจ้าเมือง อันเล่าเอี๋ยนผู้นี้ทั้งรู้จักและรู้กิตติศัพท์ของกวนอูเป็นอย่างดี โดยเฉพาะเมื่อครั้งที่โจโฉให้เรียกตัวกวนอูมารบกับงันเหลียงและบุนทิวที่ตำบลแปะแบ๊และบริเวณริมแม่น้ำฮวงโห ซึ่งเป็นพื้นที่ในเขตแดนของเมืองตองกุ๋น
เล่าเอี๋ยนได้ทราบข่าวมาก่อนแล้วว่ากวนอูได้หักด่านและฆ่านายด่าน ตลอดจนคนที่ขัดขวางเสียหลายคน ครั้นได้ทราบรายงานจากหน่วยลาดตระเวนว่าขบวนของ กวนอูกำลังจะผ่านเมืองตองกุ๋น จึงนำทหารสามสิบนายออกมาสกัดไว้
กวนอูเห็นเล่าเอี๋ยนตั้งสกัดอยู่ที่ต้นทาง จึงถามว่าไม่ได้พบกันเสียนาน ท่านมีความสุขสบายดีอยู่หรือ เล่าเอี๋ยนเห็นกวนอูถามความตามอัธยาศัยก็ตอบไปแต่โดยดีว่า เรายังอยู่สุขสบายดี ตัวท่านเดินทางผ่านมาทางเมืองตองกุ๋นจะไปข้างไหน
กวนอูจึงว่าเราได้รับอนุญาตจากท่านอัครมหาเสนาบดีให้เดินทางกลับไปพบเล่าปี่พี่ใหญ่ซึ่งอาศัยอยู่กับอ้วนเสี้ยวที่เมืองกิจิ๋ว
เล่าเอี๋ยนจึงว่า ก็แลเมื่อบัดนี้อ้วนเสี้ยวกำลังทำสงครามกับโจโฉย่อมเป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าไปในแดนของอ้วนเสี้ยว กรณีคงเป็นเรื่องที่ท่านหนีราชการ และคงจะหนีไปไม่ตลอดรอดฝั่งเพราะว่าตลอดแนวฝั่งแม่น้ำฮวงโหมีกองทัพของแฮหัวตุ้นและจินกี๋คุมเชิงรักษาการณ์อยู่
คำของเล่าเอี๋ยนแม้เป็นทีไม่เชื่อว่ากวนอูจะได้รับอนุญาตให้เดินทางไปหาเล่าปี่ แต่ก็เป็นทีให้เห็นว่าไม่ได้ตั้งใจขัดขวางอย่างจริงจัง ซึ่งอาจเกิดแต่เหตุเนื่องจากเล่าเอี๋ยนเกรงกลัวฝีมือไม่กล้าต่อสู้กับกวนอูดังที่จะเห็นได้จากการนำทหารออกมาเพียงสามสิบนาย หรือมิฉะนั้นก็เพราะคิดถึงไมตรีที่มีมาแต่ก่อน หรืออาจเป็นเพราะทั้งสองอย่าง ทั้งในคำพูดนี้ก็ได้ซ่อนเนื้อความทางการทหารให้กวนอูทราบเป็นนัยวาข้างหน้ายังมีกองทัพของแฮหัวตุ้นควบคุมพื้นที่อยู่ การออกมาสกัดกวนอูจึงเป็นการกระทำเพียงเป็นพิธีเพื่อไม่ต้องรับโทษเท่านั้น ในขณะที่ทางด้านกวนอูนั้นแม้ว่าประดุจดังเสือใหญ่ที่เพิ่งหลุดพ้นจากบ่วง แต่ที่จะเผชิญในข้างหน้ากลับกลายเป็นจระเข้ใหญ่ที่ขวางอยู่ข้างฝั่งแม่น้ำฮวงโห
กวนอูสังเกตกำลังทหารที่ติดตามเล่าเอี๋ยนและถ้อยคำที่เล่าเอี๋ยนกล่าวแล้วก็อ่านความนัยได้ตลอด จึงว่าท่านอัครมหาเสนาบดีได้รับสัญญาของเรามาแต่ก่อนว่าทราบข่าวเล่าปี่พี่ใหญ่เมื่อใดก็อนุญาตให้เรากลับไปหาเมื่อนั้น ไม่ว่าจะได้บอกลาหรือไม่ บัดนี้เราได้ข่าวพี่ใหญ่แล้ว เราจึงไปตามสัญญา ท่านอย่าได้ขัดขวางเราเลย และขอได้เอ็นดูจัดเรือให้เราข้ามแม่น้ำฮวงโหไปยังฝั่งข้างโน้นโดยสะดวก จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเผชิญหน้ากับกองทัพของแฮหัวตุ้น
เล่าเอี๋ยนได้ยินคำขอร้องของกวนอูใจหนึ่งก็อยากจะช่วย แต่ใจหนึ่งก็กลัวอาญา จึงว่าแม้เมืองตองกุ๋นจะมีเรือข้ามฟากอยู่ก็ตาม แต่ถ้าหากเราจัดเรือให้ท่าน ความผิดก็จะตกอยู่แก่เรา
สถานการณ์ในตอนนี้เล่าเอี๋ยนไม่มีใจที่จะคิดขัดขวางการเดินทางของกวนอูอีกแล้ว แต่จำใจต้องปฏิเสธคำขอร้องให้จัดหาเรือข้ามฟากก็เพราะเกรงอาญาของเมืองหลวง
กวนอูเห็นเล่าเอี๋ยนปฏิเสธจึงลำเลิกขึ้นว่า “เมืองซึ่งท่านรักษาอยู่ก็เป็นเมืองหน้าด่าน ตัวเราก็ได้อาสาฆ่างันเหลียง บุนทิว ซึ่งเป็นทหารอ้วนเสี้ยวเสีย ท่านจึงค่อยมีความสบายและมิได้คิดถึงคุณเรา แต่จะข้ามส่งเพียงนี้ก็ไม่ได้”
ว่าแล้วกวนอูจึงสั่งให้เคลื่อนขบวนตรงไปข้างหน้า เล่าเอี๋ยนเห็นกวนอูนำขบวนตรงมาที่ตัวคุมพวกสกัดอยู่จะขัดขวางก็ไม่กล้า จะสนับสนุนก็กลัวอาญา จึงพาพรรคพวกชักม้าหลบออกมาข้างทาง ปล่อยให้กวนอูนำขบวนผ่านไปโดยสะดวก จนถึงริมแม่น้ำฮวงโห
ในขณะที่กวนอูกำลังหาเรือข้ามฟากอยู่นั้น จินกี๋นายทหารของโจโฉซึ่งแฮหัวตุ้นให้มาตั้งค่ายรักษาการอยู่ในบริเวณใกล้เคียงเพื่อทำหน้าที่ลาดตระเวนและป้องกันการรุกล้ำข้ามแม่น้ำฮวงโหของกองทัพอ้วนเสี้ยวได้ทราบข่าวกวนอูเดินทางมา ถึงริมแม่น้ำจะข้ามฟากเข้าไปยังเขตแดนของอ้วนเสี้ยว จึงรีบยกทหารออกจากค่ายมาที่ริมฝั่งแม่น้ำ
ครั้นปะเข้ากับขบวนของกวนอู จินกี๋ทำเป็นไม่รู้จักและร้องถามไปว่านั่นเป็นขบวนของใคร และจะไปที่ไหน
กวนอูได้ยินก็ตอบไปว่าเรานี้ชื่อกวนอู ได้รับอนุญาตจากท่านอัครมหาเสนาบดีให้เดินทางกลับไปหาเล่าปี่ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ จินกี๋ได้ยินดังนั้นจึงเรียกให้กวนอูแสดงหนังสืออนุญาตของโจโฉ
กวนอูบัดนี้ได้รู้แล้วว่าการพูดถึงหนังสือเบิกทางเป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิงเพราะถึงจะพูดอย่างไรก็ไม่มีใครเชื่อถือ จึงตอบไปว่า “เรามิได้เป็นข้ากินเบี้ยหวัดของมหาอุปราช เราจะขอหนังสือโจโฉมาไย”
เป็นคำตอบที่พร้อมเผชิญหน้ากับผู้ขัดขวางทั้งปวงอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา แต่จินกี๋คนนี้แม้เคยได้ยินกิตติศัพท์ของกวนอูแต่ทะนงในฝีมือตัวจึงว่า ตัวเราเป็นทหารรอง ได้รับบัญชาจากแม่ทัพใหญ่แฮหัวตุ้นให้รับผิดชอบรักษาการพื้นที่ตลอดแนวฝั่งแม่น้ำฮวงโห ในเมื่อท่านไม่มีหนังสือเบิกทางมาก็จะข้ามแม่น้ำนี้ไปไม่ได้ “อย่าว่าแต่มนุษย์เดินดินเหมือนท่านเลย ถึงมาตรว่าจะเป็นนกมีปีกบินในอากาศก็เห็นจะไม่พ้นมือเรา”
กวนอูได้ยินคำโวของจินกี๋แต่ด้วยใจที่ไม่อยากจะผลาญชีวิตคนโดยไม่จำเป็นจึงเตือนไปว่า ซึ่งเราได้เดินทางแต่เมืองหลวงมาถึงที่นี่ ท่านไม่ได้กิตติศัพท์บ้างหรือว่าใครที่ขวางเราล้วนเดินทางไปเยือนยมโลกหมดสิ้นแล้ว
จินกี๋ได้ยินคำเตือนกลับคิดว่าเป็นคำโวเหมือนคำพูดตัวจึงตอบกลับไปว่า คนเหล่านั้นล้วนเป็นเศษสวะไร้ฝีมือ ต่างกับตัวเราซึ่งมีฝีมือปรากฏอยู่
น้ำใจที่ไม่อยากผลาญชีวิตคนยังคงเต็มอยู่ในหัวใจของกวนอู ทั้งน้ำใจก็ไม่ประสงค์ที่จะก่อความไม่พอใจให้เกิดกับโจโฉ จึงเตือนซ้ำว่า “ซึ่งตัวอวดว่ากล้าหาญนั้น ยังจะเปรียบฝีมืองันเหลียง บุนทิว ได้หรือ”
คำเตือนของกวนอูกลับต้องใจดำที่เต็มไปด้วยความทรนงของจินกี๋ จึงแทนที่จะสำนึกตัวว่าฝีไม้ลายมือไม่อาจเปรียบเทียบได้กับงันเหลียง บุนทิว กลับโกรธกวนอู กระตุกบังเหียนม้าพุ่งออกไปแล้วเงื้อง้าวจะฟัน กวนอูเห็นดังนั้นจึงกระตุ้นบังเหียนม้าเข้ารบด้วยจินกี๋
เพียงไม่สิ้นเพลงรบง้าวนิลนาคะของกวนอูก็ฟาดผ่านลำคอของจินกี๋ ทหารของจินกี๋เห็นผู้เป็นนายตกม้าตายจึงพากันแตกตื่นตกใจวิ่งหนีเอาตัวรอด กวนอูเห็นทหารจินกี๋ตกใจก็ร้องปลอบไปว่าพวกเจ้าไม่ต้องตกใจ เราไม่ทำอันตรายพวกเจ้า เพราะมิได้มีความพยาบาทใด ๆ ต่อกัน
ทหารของจินกี๋จำนวนหนึ่งที่อยู่ใกล้กวนอูได้ยินคำดังนั้นก็หันกลับมาคำนับขอบคุณกวนอูที่ไว้ชีวิต กวนอูจึงว่าตัวเราไม่มีความปรารถนาที่จะผลาญชีวิตผู้ใด แต่จำใจต้องป้องกันตัวซึ่งพวกเจ้าก็ได้เห็นกันอยู่ทั่วถ้วนอย่าได้ตำหนิเราเลย บัดนี้เรากำลังจะข้ามไปฟากข้างโน้น ขอแรงพวกเจ้าช่วยจัดเรือให้เราได้ข้ามฟาก คุณจะมีแก่เราสืบไป
ทหารเหล่านั้นยินเสียงกวนอูตอบมาด้วยไมตรีก็มีน้ำใจสงสาร จึงช่วยกันหาเรือข้ามฟากแล้วช่วยลำเลียงขบวนของกวนอูข้ามแม่น้ำฮวงโหไปยังฟากดินแดนของอ้วนเสี้ยว
ครั้นข้ามฟากแล้วกวนอูยังคงขี่ม้าตามขบวนของพี่สะใภ้ทั้งสอง ในขณะที่ความคิดครุ่นรำพึงขึ้นว่า ครั้งนี้เราได้หักด่านถึงห้าด่าน สังหารทหารระดับแม่ทัพของโจโฉถึงหกคน แม้ว่าเป็นการกระทำด้วยจำใจ มิได้คิดเนรคุณ แต่ถ้าหากโจโฉไม่พิจารณาความให้ถ่องแท้แล้ว ก็จะประณามตัวเราได้ว่าเป็นคนหยาบ ไร้ซึ่งความกตัญญู
ในขณะที่กวนอูกำลังครุ่นคิดวิตกอยู่นั้น พลันได้ยินเสียงม้าวิ่งมาข้างหน้า จึงจ้องมองว่าเป็นใครเพราะเข้าใจว่าอาจเป็นทหารของโจโฉมาขัดขวางซ้ำอีก แต่พอคนขี่ม้าเข้ามาใกล้เห็นเป็นซุนเขียนที่ปรึกษาของเล่าปี่ก็มีความยินดี
ครั้นซุนเขียนมาถึงขบวน กวนอูจึงเข้าไปคารวะทักทายตามธรรมเนียมแล้วถามว่า หลังจากแยกกันที่เมืองยีหลำแล้ว ท่านรับว่าจะไปติดตามหาข่าวคราวของเล่าปี่ บัดนี้มีความคืบหน้าประการใด.
กวนอูเห็นดังนั้นก็มีความยินดี รีบใส่เสื้อเกราะถือง้าว แล้วเชิญพี่สะใภ้ทั้งสองให้ขึ้นรถ และให้ทหารที่ติดตามมารีบคุมขบวนรถไปข้างหน้า กวนอูขี่ม้าอารักขาตามไปข้างหลัง ครั้นถึงประตูเมืองเห็นประตูเปิดอยู่ตามคำของงอปั้น จึงเร่งทหารให้รีบนำขบวนของพี่สะใภ้ออกพ้นประตูเมืองไป
พอขบวนเคลื่อนพ้นประตูเมืองไปได้สามสิบเส้น ความสว่างของแสงเพลิงได้โชติช่วงขึ้นบนท้องฟ้า กวนอูเหลียวกลับมาดูทางด้านเรือนที่เคยพัก เห็นแสงเพลิงลุกไหม้สูงพ้นกำแพงเมืองก็รู้ว่างอปั้นได้วางเพลิงกลบเกลื่อนความที่ปล่อยกวนอูออกจากเมืองมาก็คิดถึงคุณของงอปั้นที่ได้ช่วยเหลือตามความของหนังสืองอหัว รำพึงขึ้นแต่ในใจว่าครั้งนี้เดชะบุญที่งอปั้นได้ช่วยเหลือบอกกล่าวให้ได้ทราบความ มิฉะนั้นแล้วชีวิตเราและพี่สะใภ้คงจะกลายเป็นเถ้าถ่านในกองเพลิงที่เมืองนี้
ฝ่ายอองเซ็กเห็นเพลิงไหม้ขึ้นที่เรือนพักของกวนอูก็เข้าใจว่าเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นตามแผนการจึงรีบยกทหารตามมา แต่ทหารที่ทำการวางเพลิงอยู่นั้นรายงานให้ทราบว่ากวนอูได้หนีออกจากเรือนและออกจากประตูเมืองไปแล้ว
อองเซ็กจึงรีบยกทหารไล่ตามกวนอูไป ทางด้านขบวนของกวนอูยังคงเคลื่อนที่ขึ้นทางเหนืออย่างรีบเร่ง แต่เนื่องจากเป็นขบวนรถจึงไม่อาจไปได้เร็วนัก ไม่ทันนาน อองเซ็กก็ไล่ตามมาทัน
กวนอูขี่ม้าอารักขาขบวนอยู่ข้างหลังได้ยินเสียงม้าไล่ตามมาจึงเร่งขบวนให้รีบรุดไปข้างหน้า ส่วนตัวกวนอูได้รั้งม้าให้หยุดแล้วชักม้าหันกลับมาตั้งรับ
เมื่ออองเซ็กนำทหารมาถึงที่กวนอูหยุดม้าก็ร้องเย้ยขึ้นว่า เราได้ยินกิตติศัพท์ว่ากวนอูเป็นคนกล้าหาญมีฝีมือเข้มแข็ง แต่เหตุไฉนกลายเป็นคนขี้ขลาดหนีหัวซุกหัวซุนเช่นนี้เล่า
กวนอูตอบกลับไปว่า เราได้รับอนุญาตจากท่านอัครมหาเสนาบดีให้กลับไปหาเล่าปี่ เหตุใดท่านจึงยังคิดร้ายต่อเรา
อองเซ็กได้ฟังคำกวนอูเช่นนั้น ชะล่าใจว่ากวนอูอยู่ในภาวะการหนีภัยไม่มีใจคิดต่อสู้ จึงชักม้าเข้ารบกับกวนอู แต่ไม่ทันสิ้นเพลงรบกวนอูก็เอาง้าวฟันอองเซ็กตัวขาดสองท่อน ทหารที่ติดตามอองเซ็กมาจึงแตกหนีกลับเข้าไปในเมือง
หลังจากฆ่าอองเซ็กแล้ว ขบวนของกวนอูได้เดินทางต่อไปตามเส้นทางที่เห็นว่าจะปลอดภัย บางช่วงก็เป็นเส้นทางคดเคี้ยว บางช่วงก็ต้องวกอ้อมด่าน หรืออ้อมผ่านเมือง เพราะบัดนี้ได้ทราบแล้วว่าหากเดินทางโดยเปิดเผยเหมือนที่ผ่านมาก็อาจได้รับการขัดขวางทำให้เกิดการเสี่ยงภัย และทำให้การเดินทางล่าช้า ดังนั้นแม้จะเดินทางอ้อมและยาวขึ้น ใช้เวลามากขึ้น ก็ยังดีเสียกว่าที่จะเสี่ยงภัยกับอุบายเล่ห์กลและการเผชิญกับกำลังทหารจำนวนมาก
กวนอูได้นำขบวนรอนแรมมาจนถึงเขตเมืองตองกุ๋น ซึ่งเล่าเอี๋ยนเป็นเจ้าเมือง อันเล่าเอี๋ยนผู้นี้ทั้งรู้จักและรู้กิตติศัพท์ของกวนอูเป็นอย่างดี โดยเฉพาะเมื่อครั้งที่โจโฉให้เรียกตัวกวนอูมารบกับงันเหลียงและบุนทิวที่ตำบลแปะแบ๊และบริเวณริมแม่น้ำฮวงโห ซึ่งเป็นพื้นที่ในเขตแดนของเมืองตองกุ๋น
เล่าเอี๋ยนได้ทราบข่าวมาก่อนแล้วว่ากวนอูได้หักด่านและฆ่านายด่าน ตลอดจนคนที่ขัดขวางเสียหลายคน ครั้นได้ทราบรายงานจากหน่วยลาดตระเวนว่าขบวนของ กวนอูกำลังจะผ่านเมืองตองกุ๋น จึงนำทหารสามสิบนายออกมาสกัดไว้
กวนอูเห็นเล่าเอี๋ยนตั้งสกัดอยู่ที่ต้นทาง จึงถามว่าไม่ได้พบกันเสียนาน ท่านมีความสุขสบายดีอยู่หรือ เล่าเอี๋ยนเห็นกวนอูถามความตามอัธยาศัยก็ตอบไปแต่โดยดีว่า เรายังอยู่สุขสบายดี ตัวท่านเดินทางผ่านมาทางเมืองตองกุ๋นจะไปข้างไหน
กวนอูจึงว่าเราได้รับอนุญาตจากท่านอัครมหาเสนาบดีให้เดินทางกลับไปพบเล่าปี่พี่ใหญ่ซึ่งอาศัยอยู่กับอ้วนเสี้ยวที่เมืองกิจิ๋ว
เล่าเอี๋ยนจึงว่า ก็แลเมื่อบัดนี้อ้วนเสี้ยวกำลังทำสงครามกับโจโฉย่อมเป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าไปในแดนของอ้วนเสี้ยว กรณีคงเป็นเรื่องที่ท่านหนีราชการ และคงจะหนีไปไม่ตลอดรอดฝั่งเพราะว่าตลอดแนวฝั่งแม่น้ำฮวงโหมีกองทัพของแฮหัวตุ้นและจินกี๋คุมเชิงรักษาการณ์อยู่
คำของเล่าเอี๋ยนแม้เป็นทีไม่เชื่อว่ากวนอูจะได้รับอนุญาตให้เดินทางไปหาเล่าปี่ แต่ก็เป็นทีให้เห็นว่าไม่ได้ตั้งใจขัดขวางอย่างจริงจัง ซึ่งอาจเกิดแต่เหตุเนื่องจากเล่าเอี๋ยนเกรงกลัวฝีมือไม่กล้าต่อสู้กับกวนอูดังที่จะเห็นได้จากการนำทหารออกมาเพียงสามสิบนาย หรือมิฉะนั้นก็เพราะคิดถึงไมตรีที่มีมาแต่ก่อน หรืออาจเป็นเพราะทั้งสองอย่าง ทั้งในคำพูดนี้ก็ได้ซ่อนเนื้อความทางการทหารให้กวนอูทราบเป็นนัยวาข้างหน้ายังมีกองทัพของแฮหัวตุ้นควบคุมพื้นที่อยู่ การออกมาสกัดกวนอูจึงเป็นการกระทำเพียงเป็นพิธีเพื่อไม่ต้องรับโทษเท่านั้น ในขณะที่ทางด้านกวนอูนั้นแม้ว่าประดุจดังเสือใหญ่ที่เพิ่งหลุดพ้นจากบ่วง แต่ที่จะเผชิญในข้างหน้ากลับกลายเป็นจระเข้ใหญ่ที่ขวางอยู่ข้างฝั่งแม่น้ำฮวงโห
กวนอูสังเกตกำลังทหารที่ติดตามเล่าเอี๋ยนและถ้อยคำที่เล่าเอี๋ยนกล่าวแล้วก็อ่านความนัยได้ตลอด จึงว่าท่านอัครมหาเสนาบดีได้รับสัญญาของเรามาแต่ก่อนว่าทราบข่าวเล่าปี่พี่ใหญ่เมื่อใดก็อนุญาตให้เรากลับไปหาเมื่อนั้น ไม่ว่าจะได้บอกลาหรือไม่ บัดนี้เราได้ข่าวพี่ใหญ่แล้ว เราจึงไปตามสัญญา ท่านอย่าได้ขัดขวางเราเลย และขอได้เอ็นดูจัดเรือให้เราข้ามแม่น้ำฮวงโหไปยังฝั่งข้างโน้นโดยสะดวก จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเผชิญหน้ากับกองทัพของแฮหัวตุ้น
เล่าเอี๋ยนได้ยินคำขอร้องของกวนอูใจหนึ่งก็อยากจะช่วย แต่ใจหนึ่งก็กลัวอาญา จึงว่าแม้เมืองตองกุ๋นจะมีเรือข้ามฟากอยู่ก็ตาม แต่ถ้าหากเราจัดเรือให้ท่าน ความผิดก็จะตกอยู่แก่เรา
สถานการณ์ในตอนนี้เล่าเอี๋ยนไม่มีใจที่จะคิดขัดขวางการเดินทางของกวนอูอีกแล้ว แต่จำใจต้องปฏิเสธคำขอร้องให้จัดหาเรือข้ามฟากก็เพราะเกรงอาญาของเมืองหลวง
กวนอูเห็นเล่าเอี๋ยนปฏิเสธจึงลำเลิกขึ้นว่า “เมืองซึ่งท่านรักษาอยู่ก็เป็นเมืองหน้าด่าน ตัวเราก็ได้อาสาฆ่างันเหลียง บุนทิว ซึ่งเป็นทหารอ้วนเสี้ยวเสีย ท่านจึงค่อยมีความสบายและมิได้คิดถึงคุณเรา แต่จะข้ามส่งเพียงนี้ก็ไม่ได้”
ว่าแล้วกวนอูจึงสั่งให้เคลื่อนขบวนตรงไปข้างหน้า เล่าเอี๋ยนเห็นกวนอูนำขบวนตรงมาที่ตัวคุมพวกสกัดอยู่จะขัดขวางก็ไม่กล้า จะสนับสนุนก็กลัวอาญา จึงพาพรรคพวกชักม้าหลบออกมาข้างทาง ปล่อยให้กวนอูนำขบวนผ่านไปโดยสะดวก จนถึงริมแม่น้ำฮวงโห
ในขณะที่กวนอูกำลังหาเรือข้ามฟากอยู่นั้น จินกี๋นายทหารของโจโฉซึ่งแฮหัวตุ้นให้มาตั้งค่ายรักษาการอยู่ในบริเวณใกล้เคียงเพื่อทำหน้าที่ลาดตระเวนและป้องกันการรุกล้ำข้ามแม่น้ำฮวงโหของกองทัพอ้วนเสี้ยวได้ทราบข่าวกวนอูเดินทางมา ถึงริมแม่น้ำจะข้ามฟากเข้าไปยังเขตแดนของอ้วนเสี้ยว จึงรีบยกทหารออกจากค่ายมาที่ริมฝั่งแม่น้ำ
ครั้นปะเข้ากับขบวนของกวนอู จินกี๋ทำเป็นไม่รู้จักและร้องถามไปว่านั่นเป็นขบวนของใคร และจะไปที่ไหน
กวนอูได้ยินก็ตอบไปว่าเรานี้ชื่อกวนอู ได้รับอนุญาตจากท่านอัครมหาเสนาบดีให้เดินทางกลับไปหาเล่าปี่ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ จินกี๋ได้ยินดังนั้นจึงเรียกให้กวนอูแสดงหนังสืออนุญาตของโจโฉ
กวนอูบัดนี้ได้รู้แล้วว่าการพูดถึงหนังสือเบิกทางเป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิงเพราะถึงจะพูดอย่างไรก็ไม่มีใครเชื่อถือ จึงตอบไปว่า “เรามิได้เป็นข้ากินเบี้ยหวัดของมหาอุปราช เราจะขอหนังสือโจโฉมาไย”
เป็นคำตอบที่พร้อมเผชิญหน้ากับผู้ขัดขวางทั้งปวงอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา แต่จินกี๋คนนี้แม้เคยได้ยินกิตติศัพท์ของกวนอูแต่ทะนงในฝีมือตัวจึงว่า ตัวเราเป็นทหารรอง ได้รับบัญชาจากแม่ทัพใหญ่แฮหัวตุ้นให้รับผิดชอบรักษาการพื้นที่ตลอดแนวฝั่งแม่น้ำฮวงโห ในเมื่อท่านไม่มีหนังสือเบิกทางมาก็จะข้ามแม่น้ำนี้ไปไม่ได้ “อย่าว่าแต่มนุษย์เดินดินเหมือนท่านเลย ถึงมาตรว่าจะเป็นนกมีปีกบินในอากาศก็เห็นจะไม่พ้นมือเรา”
กวนอูได้ยินคำโวของจินกี๋แต่ด้วยใจที่ไม่อยากจะผลาญชีวิตคนโดยไม่จำเป็นจึงเตือนไปว่า ซึ่งเราได้เดินทางแต่เมืองหลวงมาถึงที่นี่ ท่านไม่ได้กิตติศัพท์บ้างหรือว่าใครที่ขวางเราล้วนเดินทางไปเยือนยมโลกหมดสิ้นแล้ว
จินกี๋ได้ยินคำเตือนกลับคิดว่าเป็นคำโวเหมือนคำพูดตัวจึงตอบกลับไปว่า คนเหล่านั้นล้วนเป็นเศษสวะไร้ฝีมือ ต่างกับตัวเราซึ่งมีฝีมือปรากฏอยู่
น้ำใจที่ไม่อยากผลาญชีวิตคนยังคงเต็มอยู่ในหัวใจของกวนอู ทั้งน้ำใจก็ไม่ประสงค์ที่จะก่อความไม่พอใจให้เกิดกับโจโฉ จึงเตือนซ้ำว่า “ซึ่งตัวอวดว่ากล้าหาญนั้น ยังจะเปรียบฝีมืองันเหลียง บุนทิว ได้หรือ”
คำเตือนของกวนอูกลับต้องใจดำที่เต็มไปด้วยความทรนงของจินกี๋ จึงแทนที่จะสำนึกตัวว่าฝีไม้ลายมือไม่อาจเปรียบเทียบได้กับงันเหลียง บุนทิว กลับโกรธกวนอู กระตุกบังเหียนม้าพุ่งออกไปแล้วเงื้อง้าวจะฟัน กวนอูเห็นดังนั้นจึงกระตุ้นบังเหียนม้าเข้ารบด้วยจินกี๋
เพียงไม่สิ้นเพลงรบง้าวนิลนาคะของกวนอูก็ฟาดผ่านลำคอของจินกี๋ ทหารของจินกี๋เห็นผู้เป็นนายตกม้าตายจึงพากันแตกตื่นตกใจวิ่งหนีเอาตัวรอด กวนอูเห็นทหารจินกี๋ตกใจก็ร้องปลอบไปว่าพวกเจ้าไม่ต้องตกใจ เราไม่ทำอันตรายพวกเจ้า เพราะมิได้มีความพยาบาทใด ๆ ต่อกัน
ทหารของจินกี๋จำนวนหนึ่งที่อยู่ใกล้กวนอูได้ยินคำดังนั้นก็หันกลับมาคำนับขอบคุณกวนอูที่ไว้ชีวิต กวนอูจึงว่าตัวเราไม่มีความปรารถนาที่จะผลาญชีวิตผู้ใด แต่จำใจต้องป้องกันตัวซึ่งพวกเจ้าก็ได้เห็นกันอยู่ทั่วถ้วนอย่าได้ตำหนิเราเลย บัดนี้เรากำลังจะข้ามไปฟากข้างโน้น ขอแรงพวกเจ้าช่วยจัดเรือให้เราได้ข้ามฟาก คุณจะมีแก่เราสืบไป
ทหารเหล่านั้นยินเสียงกวนอูตอบมาด้วยไมตรีก็มีน้ำใจสงสาร จึงช่วยกันหาเรือข้ามฟากแล้วช่วยลำเลียงขบวนของกวนอูข้ามแม่น้ำฮวงโหไปยังฟากดินแดนของอ้วนเสี้ยว
ครั้นข้ามฟากแล้วกวนอูยังคงขี่ม้าตามขบวนของพี่สะใภ้ทั้งสอง ในขณะที่ความคิดครุ่นรำพึงขึ้นว่า ครั้งนี้เราได้หักด่านถึงห้าด่าน สังหารทหารระดับแม่ทัพของโจโฉถึงหกคน แม้ว่าเป็นการกระทำด้วยจำใจ มิได้คิดเนรคุณ แต่ถ้าหากโจโฉไม่พิจารณาความให้ถ่องแท้แล้ว ก็จะประณามตัวเราได้ว่าเป็นคนหยาบ ไร้ซึ่งความกตัญญู
ในขณะที่กวนอูกำลังครุ่นคิดวิตกอยู่นั้น พลันได้ยินเสียงม้าวิ่งมาข้างหน้า จึงจ้องมองว่าเป็นใครเพราะเข้าใจว่าอาจเป็นทหารของโจโฉมาขัดขวางซ้ำอีก แต่พอคนขี่ม้าเข้ามาใกล้เห็นเป็นซุนเขียนที่ปรึกษาของเล่าปี่ก็มีความยินดี
ครั้นซุนเขียนมาถึงขบวน กวนอูจึงเข้าไปคารวะทักทายตามธรรมเนียมแล้วถามว่า หลังจากแยกกันที่เมืองยีหลำแล้ว ท่านรับว่าจะไปติดตามหาข่าวคราวของเล่าปี่ บัดนี้มีความคืบหน้าประการใด.