ตอนที่ 104. วิพากษ์ยอดคนในแผ่นดิน

โจโฉกินลูกยอของเล่าปี่เกี่ยวกับการปลูกสวนผักแล้วมีความอิ่มเอมในอารมณ์ยิ่งนัก ชวนเล่าปี่นั่งลงสนทนาที่ในสวนหลังจวนนั้น พลันเห็นต้นบ๊วยในสวนมีผลเต็มต้น โจโฉก็ระลึกถึงความแต่หนหลังแล้วถือโอกาสนั้นโอ่อวดถึงสติปัญญาของตัวแก่เล่าปี่

            โจโฉได้ชี้ให้เล่าปี่ดูที่ต้นบ๊วยแล้วว่า ครั้งหนึ่งเราได้ยกกองทัพไปรบกับเตียวสิ้วเป็นฤดูร้อน ทหารกระหายน้ำทั้งกองทัพ เราจึงคิดอุบาย “วาดรูปบ๊วยแก้กระหายน้ำ” สั่งให้ทหารรีบเดินทาง และบอกว่าข้างหน้ามีดงบ๊วยที่กำลังมีผลอ่อน ๆ รสเปรี้ยวจัด บรรดาทหารได้ยินก็พากันน้ำลายสอ อาการกระหายน้ำก็บรรเทาลง

            สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง  (หน) ได้ระบุความตอนนี้ว่า “โจโฉนั่งอยู่กับเล่าปี่แลเห็นต้นมะเฟือง โจโฉจึงชี้ให้เล่าปี่ดูแล้วว่า เมื่อครั้งไปรบกับเตียวสิ้ว ทหารทั้งปวงอยากน้ำนัก เราจึงคิดกลอุบายลวงว่าให้อุตส่าห์เดินไปอีกหน่อยหนึ่งเถิด จะพบดงมะเฟืองมีผลสุกเป็นอันมาก ทหารทั้งปวงได้ยินออกชื่อของเปรี้ยวก็ให้บังเกิดเขฬะมีมาทุกคน ซึ่งอยากน้ำนั้นก็ค่อยคลายลง” ซึ่งเป็นการแปลความเพื่อให้สอดคล้องกับความรู้สึกของคนไทยที่รู้ดีว่ามะเฟืองนั้นเป็นของเปรี้ยวทำให้น้ำลายสอ แต่ทางจีนไม่มีมะเฟือง มีแต่ลูกบ๊วยเป็นของเปรี้ยว ฉบับภาษาจีนซึ่งเป็นดงบ๊วย จึงถูกถอดความภาษาไทยว่าเป็นมะเฟือง

            คำพูดของโจโฉในเรื่องนี้ได้แสดงให้เห็นด้วยว่าโจโฉต้องกลลูกยอของเล่าปี่สถานหนึ่ง หัวใจจึงพองโตแล้วโอ่ถึงความสำเร็จแต่หนหลัง และแสดงว่าการกรำศึกสงครามของโจโฉตั้งแต่ครองอำนาจรัฐมาสี่ปีเศษได้ทำให้โจโฉแก่ไปถนัดใจ วิสัยของคนแก่ที่ชอบเล่าความหลังจึงเกิดขึ้นแก่โจโฉโดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ตัว การที่ผู้ครองอำนาจรัฐต้องกลายเป็นคนแก่ตัวเร็ว ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งมีมาให้เห็นในปัจจุบันนี้ หากมีมาให้เห็นอย่างน้อยก็กว่าสองพันปีมาแล้ว

            เล่าปี่ได้ฟังคำโจโฉแล้วก็ประเคนลูกยอซ้ำต่อไปว่า “ความคิดท่านดีนักหาผู้ใดเสมอมิได้” โจโฉได้ฟังคำยอก็ยิ่งพอใจ ติดอกติดใจไม่อยากให้เล่าปี่กลับ สั่งให้ทหารจัดการแต่งโต๊ะเลี้ยงเล่าปี่ที่ในสวนหลังจวนนั้น และให้ทหารเก็บลูกบ๊วยเอามาแกล้มสุราซึ่งออกจะคล้ายกับคอเหล้าตามชนบทของประเทศไทย ที่เสพสุราแกล้มมะขามเปียกฉะนั้น

            ในขณะที่โจโฉและเล่าปี่เสพสุรากินโต๊ะกันอยู่นั้น ท้องฟ้าพลันบังเกิดเมฆดำปกคลุมจนมืดมิด มีทีท่าว่าฝนฟ้าจะตกหนัก ลมบนพัดเร็วแรงกระหน่ำ ทำให้เมฆดำบนฟ้าเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว กลายเป็นรูปคล้ายมังกรผยองท่องในนภากาศ บรรดาทหารในจวนของโจโฉต่างชี้ชวนให้กันและกันดูเมฆดำรูปคล้ายมังกรนั้น แล้วร้องพร้อมกันว่านั่นเป็นมังกรกำลังสำแดงฤทธิ์บนอากาศ

            โจโฉและเล่าปี่พากันแหงนหน้ามองท้องฟ้า “เห็นเมฆมืดมัวไปทั้งอากาศ เล่าปี่กับโจโฉก็รู้ว่ามังกรสำแดงฤทธิ์”

            ความข้อนี้ได้แสดงให้เห็นถึงคติความเชื่อของชาวจีนแต่โบราณที่เชื่อและรู้กันทั่วไปว่าปรากฏการณ์เช่นนั้นเป็นปรากฏการณ์ที่มังกรสำแดงฤทธิ์ในอากาศ ดังนั้นผู้คนจำนวนมากเมื่อเห็นปรากฏการณ์นั้นแล้วจึงต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นมังกรสำแดงฤทธิ์ในอากาศ ทั้ง ๆ ที่ทุกคนอาจไม่เคยเห็นมังกรตัวจริงเลยแม้แต่สักครั้งเดียว

            โจโฉเจ้าความคิดเห็นปรากฏการณ์เช่นนั้น ก็คิดที่จะลองภูมิปัญญาและความคิดอ่านของเล่าปี่ว่าเป็นประการใดเพื่อที่จะได้เลียบเคียงจับความคิดของเล่าปี่ในทางการเมืองไปพร้อมกันด้วย จึงแกล้งถามเล่าปี่ว่า “ท่านแจ้งหรือไม่ คือมังกรสำแดงฤทธิ์ จึงเกิดลมเมฆมืดดังนี้ แลมังกรนั้นมีฤทธิ์ประการใด?”

            เล่าปี่ระวังตัวอยู่ทุกฝีก้าว ได้ยินคำถามก็แจ้งในความคิดของโจโฉจึงถ่อมตัวกล่าวว่า “มังกรสำแดงฤทธิ์ประการใดนั้น ข้าพเจ้ามิได้แจ้ง” ขอท่านได้โปรดช่วยชี้แนะให้กระจ่างเพื่อประดับสติปัญญาของข้าพเจ้าด้วยเถิด

            โจโฉจึงกล่าวว่า “อันมังกรนั้นมีฤทธิ์เดชมาก สามารถแปลงร่างใหญ่ได้ เล็กได้ เหาะเหินซ่อนเร้นได้ แม้นแปลงร่างใหญ่ก็จักกระจายเมฆ พ่นหมอก แม้นแปลงร่างเล็กก็จะดั่งพญางูที่ซ่อนร่าง แม้นลอยขึ้นไปก็จะบินผงาดเผ่นโผนโจนทะยานเหนือเมฆแห่งจักรวาล แม้นซ่อนร่างก็จะแอบแฝงอยู่ในคลื่นทะเล ปัจจุบันนี้เป็นฤดูช่วงชุนเซินปลายฤดูใบไม้ผลิ (คือเดือนสาม) พญามังกรจะฉวยโอกาสเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงประดุจบุคคลที่ประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว ออกมาผาดโผนในทุกทิศทาง ดังนั้นการปรากฏกายของพญามังกรจึงอุปมาดั่งยอดบุรุษในพิภพ”

            สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้บรรยายความตอนนี้ต่างกับฉบับสมบูรณ์ว่า “อันมังกรสำแดงฤทธิ์นั้นจะทำให้ใหญ่แลน้อยเท่าใดก็ได้ ถ้าจะขึ้นไปบนอากาศกระทำฤทธิ์ต่าง ๆ แล้ว อากาศนั้นยังแคบอยู่ไม่เสมอด้วยฤทธิ์ แม้จะลงในท้องมหาสมุทร กระทำฤทธิ์ให้กายนั้นน้อย เข้าแอบอยู่ในเงื้อมชะง่อนเขาก็ได้ อันเทศกาลนี้เป็นฤดูฝน มังกรจึงสำแดงฤทธิ์ฉะนี้ อุปมาเหมือนคนมีสติปัญญากว้างขวาง ถ้าจะทำการสิ่งใดคะเนการตามสมควร แม้เห็นว่าการใหญ่ก็ทำให้ใหญ่ ประมาณการน้อยก็ทำแต่น้อย ทุกวันนี้ผู้ใดมีสติปัญญากว้างขวางเหมือนมังกรสำแดงฤทธิ์ฉะนี้บ้าง”

            เกี่ยวกับช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์นี้ ฉบับภาษาจีนและฉบับภาษาไทยต่างกัน เพราะฉบับภาษาจีนนั้นระบุว่าเป็นเวลาช่วงปลายเดือนสาม ซึ่งเป็นรอยต่อที่จะเข้าสู่ช่วงต้นฤดูร้อน ฤดูกาลในประเทศจีนในช่วงนี้เต็มไปด้วยเมฆหมอก แต่สำหรับฉบับภาษาไทยคงมุ่งหมายให้เกิดความรู้สึกที่สอดคล้องกับฤดูกาล จึงระบุว่าเป็นช่วงฤดูฝน ซึ่งตกอยู่ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนตุลาคม หรือตรงกับทางจันทรคติช่วงเดือนแปดถึงเดือนสิบเอ็ด

            ครั้นโจโฉถามความเห็นเล่าปี่ว่ามีความเห็นว่าผู้ใดในแผ่นดินที่มีสติปัญญากว้างขวางบ้าง เล่าปี่ก็ยังคงอดออมถนอมถ้อยคำด้วยความระมัดระวังตนเช่นเดิม จึงตอบว่าข้าพเจ้านี้มีสติปัญญาน้อย ความรู้และประสบการณ์ยังไม่พอเพียง ที่มีความสุขอยู่ได้ในทุกวันนี้ก็เพราะอาศัยพึ่งพาบารมีของท่าน ผู้ใดมีสติปัญญากว้างขวางดังคำท่านนั้นเหลือเกินสติปัญญาของข้าพเจ้าที่จะรู้ได้

            โจโฉได้ยินเล่าปี่ตอบเช่นนั้นก็ย้อนว่า ความคิดและความรู้ในเรื่องนี้ของท่านก็มีอยู่ ใยจึงไม่แสดงความรู้ ความคิดให้เราได้รู้บ้าง หรือแม้หากจะไม่รู้ก็ย่อมได้ยินคำกล่าวเล่าขานอยู่บ้างว่าแผ่นดินนี้ผู้ใดมีสติปัญญากว้างขวางดุจดั่งพญามังกรสำแดงฤทธิ์ในอากาศ

            เล่าปี่ยินน้ำเสียงของโจโฉก็รู้สึกตัวว่ากล่าวความถ่อมตัวจนเกินความจริงจึงปรับท่าทีใหม่แล้วกล่าวขึ้นว่า ตามความคิดของข้าพเจ้านั้นเห็นว่าอ้วนสุดเจ้าเมืองลำหยงมีสติปัญญา กำลังทหารที่กล้าแข็งก็มีเป็นจำนวนมาก ทั้งเสบียงอาหารก็พรักพร้อม

            โจโฉได้ยินก็หัวเราะแล้วว่า “อ้วนสุดนั้นอุปมาเหมือนศพอยู่ในหลุม ซึ่งจะนับถือว่ามีสติปัญญานั้นไม่ได้ แต่ความคิดอ้วนสุดนี้เราจะไปมัดเอามาก็จะได้โดยง่าย”

            เล่าปี่จึงยกชื่ออ้วนเสี้ยวขึ้นมา แล้วว่าทางหัวเมืองฝ่ายเหนือนั้น อ้วนเสี้ยวเจ้า  เมืองกิจิ๋วซึ่งเป็นพี่ชายของอ้วนสุด เป็นเชื้อสายขุนนางสืบทอดต่อมาถึงสามชั่วอายุคน บัดนี้บังคับหัวเมืองที่ขึ้นต่อหลายหัวเมือง มีผู้คนและทหารเป็นจำนวนมาก ทั้งบรรดาที่ปรึกษาก็มีสติปัญญากว้างขวางลึกซึ้ง

            โจโฉได้ยินชื่ออ้วนเสี้ยวก็ร้อง “เฮอะ!” อยู่ในลำคอแล้วว่า “อ้วนเสี้ยวเป็นคนบ้ายศถาศักดิ์ น้ำใจก็ขลาด คิดการสิ่งใดเสียมากได้น้อย ซึ่งจะนับถือว่ามีสติปัญญานั้นไม่ได้” สามก๊กฉบับสมบูรณ์ได้บรรยายในตอนนี้ว่าโจโฉมองอ้วนเสี้ยวว่า “อันตัวอ้วนเสี้ยวนั้นภายนอกทำทีแข็งขันแต่จิตใจช่างขี้ขลาด มีแผนกลอุบายมากมาย แต่ขาดการตัดสินใจที่ดี ครั้นทำการใหญ่ก็ให้ห่วงตัวเอง เห็นผลประโยชน์แต่น้อยก็ยอมสู้ตาย คนเช่นนี้หาใช่ยอดบุรุษไม่”

            เล่าปี่จึงว่าต่อไปว่า ถ้าเช่นนั้นเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋ว มีเมืองใหญ่ขึ้นถึงเก้าเมือง น้ำใจก็โอบอ้อมอารีต่อเพื่อนฝูงทั้งปวง แล้วก็มีทหารเป็นอันมาก

            โจโฉแย้งว่าเล่าเปียวเป็นคนมีชื่อเสียงจอมปลอมเท่านั้น ไม่มีความสัตย์ เป็นคนปากหวาน จะนับถือว่ามีสติปัญญานั้นไม่ได้

            เล่าปี่จึงกล่าวเป็นเชิงตั้งคำถามว่า “ซุนเซ็กเจ้าเมืองกังตั๋งนั้น กำดัดหนุ่มอยู่ มีกำลังกล้าแข็ง ทั้งมีทหารเป็นอันมาก” ท่านจะเห็นเป็นประการใด

            โจโฉจึงวิจารณ์ว่า “ซุนเซ็กนั้นมีฝีมือเป็นประมาณ หากว่าได้ทหารของซุนเกี๋ยนผู้เป็นบิดาไว้จึงทำกำเริบได้ ซึ่งจะนับถือว่ามีความคิดนั้นเราไม่เห็นด้วย”

            เล่าปี่เอ่ยชื่อบรรดาเจ้าเมืองในแผ่นดินตงง้วนจนหมดสิ้นแล้ว แต่โจโฉกลับมองไม่เห็นว่าคนเหล่านั้นเป็นยอดบุรุษ และได้วิพากษ์ถึงจุดอ่อนของแต่ละคนอย่างชัดเจน เล่าปี่จึงยกชื่อเล่าเจี้ยงเจ้าเมืองเสฉวน ซึ่งเป็นหัวเมืองทางด้านตะวันตกว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ และดินแดนเมืองเสฉวนก็อุดมสมบูรณ์ มาขึ้นทำเนียบผู้มีสติปัญญาเป็นยอดบุรุษอีกคนหนึ่ง

            โจโฉได้วิจารณ์เล่าเจี้ยงว่า “เล่าเจี้ยงนั้นถึงเป็นเชื้อพระวงศ์ก็จริง แต่หาความคิดมิได้ อุปมาเหมือนสุนัขเฝ้าประตู”

            เล่าปี่ยกบรรดาคนสำคัญเป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีใครอยู่ในสายตาของโจโฉ จึงยกชื่อเตียวสิ้ว เตียวฬ่อ และหันซุย ขึ้นเสนอว่าสามคนนี้เป็นอย่างไร

            โจโฉได้ยินชื่อสามเจ้าเมืองนี้แล้วก็ปรบมือหัวเราะอย่างขบขันแล้วว่า “อันเตียว สิ้ว เตียวฬ่อ หันซุยนั้นมีแต่ชื่อ จะหยิบเอาความคิดสิ่งใดก็มิได้ ท่านเอามาว่าไยให้เสียปาก”

            โจโฉวิพากษ์วิจารณ์บรรดาเจ้าเมืองต่างๆ แล้วก็สำทับว่า “อันผู้มีสติปัญญานั้น ถ้าจะคิดสิ่งใดก็กว้างขวางโอบอ้อมอารี อุปมาเหมือนบุคคลกลืนแก้วอันเป็นทิพย์ไว้ในท้อง ถ้าไปสถานที่ใดถึงเวลาค่ำมืดก็เล็ดลอดสว่างไปด้วยรัศมีแก้ว ถ้าคิดการสิ่งใดก็รู้จักที่หนัก ที่เบา ที่เสีย ที่ได้ ยักย้ายถ่ายเทมิให้ผู้ใดล่วงรู้ถึง จึงจะนับได้ว่ามีสติปัญญาลึกซึ้ง”

            เล่าปี่ได้ยินเช่นนั้นจึงว่าทั่วทั้งแผ่นดินนี้ข้าพเจ้ายังไม่เห็นผู้ใดว่าเป็นผู้มีสติปัญญากว้างขวางเหมือนดังคำท่านเลย

            โจโฉได้ยินดังนั้นก็สวนกลับมาในทันทีว่า “ทุกวันนี้เราเล็งดูผู้ซึ่งมีสติปัญญานั้นสิ้นแล้ว มีอยู่แต่ท่านกับเราสองคนเท่านี้”

            โจโฉวิพากษ์ผู้คนทั้งแผ่นดินด้วยประการต่าง ๆ ว่าไม่ใช่ผู้มีสติปัญญาลึกซึ้ง ก็เพื่อนำประเด็นมาสู่จุดนี้ ครั้นได้โอกาสก็กระแทกเข้าใส่เล่าปี่อย่างหนักหน่วง เพื่อหวังฟังความคิดและดูกริยาอาการของเล่าปี่ว่าจะเป็นอันตรายต่อตัวเองหรือไม่เพียงใด จึงยกเล่าปี่ว่ามีสติปัญญากว้างขวางลึกซึ้งเสมอด้วยตนเอง ด้านหนึ่งเป็นการโอ่อวดความคิดสติปัญญาของตัว แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นการระบุว่าเล่าปี่ก็มีสติปัญญากว้างขวางลึกซึ้งเสมอกัน ซึ่งมีความหมายซ่อนอยู่ว่าตัวเล่าปี่นั่นแหละที่จะเป็นคู่แข่งคนสำคัญของโจโฉ

            เล่าปี่ได้ยินเช่นนั้นก็เหมือนดั่งมีพลังไร้สภาพกระแทกเข้าตรงขั้วหัวใจ ตกใจและสะดุ้งขึ้นสุดตัวจนตะเกียบพลัดหลุดลงจากมือ

            แต่ฟ้ายังเกื้อกูลเชื้อพระวงศ์พเนจรผู้นี้ ในพลันนั้นเสียงฟ้าร้องดังขึ้นสนั่นหวั่นไหวแล้วเกิดฟ้าผ่าลงมาดังเปรี้ยงใหญ่ เล่าปี่จึงฉวยโอกาสที่ตกใจจนตะเกียบหลุดร่วงลงจากมือนั้น เอามือทั้งสองขึ้นปิดหูทั้งสองข้างทำทีเป็นตกใจเพราะเสียงฟ้าร้อง

            โจโฉกำลังลำพองในความคิดที่ว่าตัวเองมีสติปัญญากว้างขวางลึกซึ้งกว่าคนทั้งปวง จึงมองข้ามปรากฏการณ์ที่สะท้อนความในใจของเล่าปี่ไป เห็นอาการเช่นนั้นก็สำคัญไปอีกทางหนึ่งว่าเล่าปี่เป็นคนขี้ขลาดตาขาว กลัวแม้กระทั่งเสียงฟ้าร้อง และคิดว่าคนที่ขี้ขลาดตาขาวขนาดนี้ย่อมไม่สามารถทำการใหญ่ได้ และคนชนิดนี้ย่อมไม่ใช่คนที่ตัวเองจะต้องระแวงระวังหรือเกรงกลัวอีกต่อไป การที่หลงระแวงระวังเกรงเล่าปี่มาเป็นเวลานานนั้น จึงเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะตัวเอง กระนั้นโจโฉกลับหัวเราะดังลั่นแล้วว่า “เกิดมาเป็นชาย เหตุใดจึงกลัวเสียงฟ้า?” แท้จริงแล้วคำพูดนี้เป็นการพูดเพื่อกลบเกลื่อนการหัวเราะเยาะตัวเองของโจโฉเท่านั้น

            เล่าปี่ได้ยินคำโจโฉก็ผสมโรงว่า “ถ้าฟ้าคะนองให้ระวังตัวจงหนัก” นี่คือการพูดเป็นสองแง่สองนัยที่อาจหมายความว่า ตัวเองตกใจเพราะเสียงฟ้าร้อง จึงต้องระวังตนก็ได้ หรือจะหมายความว่าเมื่ออยู่ในเงื้อมมือของผู้มีอำนาจที่เหลิงระเริงในอำนาจก็ต้องระวังตัวให้มากไว้ก็ได้

            โจโฉยังคงกำเริบลำพองใจจึงมองข้ามนัยยะตามคำพูดของเล่าปี่ไป คงเข้าใจเอาแต่นัยยะเดียวว่าเล่าปี่แก้ตัวว่าไม่ใช่คนขลาด จึงต้องระมัดระวังตัวเวลาฟ้าร้อง ดังนั้นนับแต่นั้นมาโจโฉจึงสิ้นความระแวงสงสัยเล่าปี่.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร