(จบตอน) “เมื่อเศรษฐีจะครองโลก” กับ ค่าเงินในสายตา Banker อย่างผม



ตั้งแต่ ผมเขียนบทความลง Blog จะมีคนเยอะมากมาถามผมในเรื่องของค่าเงิน เช่น เงินบาทจะแข็งไปถึงแค่ไหน หรือ ยูโรจะเป็นอย่างไร ดอลล่าห์จะมาเมื่อไหร่

จริงๆ ถ้ามองในเรื่องของค่าเงินผมมองมันเชื่อมโยงกันทั้งโลก โดยที่มีเงิน US Dollar เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยง (เพราะเงินสำรองถ้าไม่เป็นทอง ก็เป็นดอลล่าห์ ..ยูโรจะน้อยมากๆ)..ดังนั้นเงินดอลล่าห์จึงเป็นเงินสำรองหลักของโลกประมาณ 70% “เยอะมาก..สำหรับเงิน แบบ(แบงค์กงเต๊กอย่างดอลล่าห์)”

นัก วิชาการหลายคนออกมาโจมตีว่า ดอลล่าห์จริงๆไม่ต่างจาก “แบงค์กงเต็ก” ซึ่งจะมองอย่างนั้นก็ไม่ผิด เพราะเงินดอลล่าห์สร้างจากหนี้ ไม่ได้สร้างจาก Asset ดังนั้นรัฐบาลอเมริกันสามารถพิมพ์เงินได้อย่างไร้ขีดจำกัด ตราบเท่าที่ยังสามารถสร้างหนี้ได้

ปัญหานี้เริ่มมาตั้งแต่ปี 1970 เป็นต้นมา หลังจากที่อเมริกันยกเลิกการใช้ทองคำ ผูกกับพันธบัตร ส่งผลให้ Supply ของเงินเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ถ้าวัดกันตามมูลค่าเงินที่แท้จริง เงินดอลลาห์ลดมูลค่าไปกว่า 90% …ดังนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่เราเผชิญอยู่อย่างเงียบๆก็คือ inflation อย่างมหาศาล

จุดนี้สังเกตให้ดีว่า ในเมื่อ 70% ของเงินทั่วโลกหมุนเวียนใช้กันอยู่ทั่วโลกเป็นดอลล่าห์ ส่งผลให้ทั่วโลก หนีไม่พ้น inflation ในทางอ้อม (ดังนั้น วิธีเดียวที่จะสามารถรักษามูลค่าของความมั่งคั่ง นั่นคือการถือ Asset ) แต่ปัญหาคือมันมี Asset อยู่มากมาย และแต่ละ Asset Class ก็มี Boom & Bust Cycle ที่ต่างกัน -นี่แหละเป็นสาเหตุของการเกิดระบบ Shadow Banking และเหล่า Hedge Fund , Private Equity เข้ามารับหน้าที่ต่อสู้กับ inflation ให้กับเงินทุน

“หากมองในภาพสมดุลย์ การพยายามรักษามูลค่าความมั่งคั่งของเงินทุน ของเหล่า Shadow Banking เหล่านี้ ส่งผลให้ ระบบเกิดความผันผวนอย่างหนัก ..อัตราการเกิดและดับของ Cycle เกิดในอัตราเร่ง (ถ้ามองภาพก็เหมือน โลกเราเป็นอ่างน้ำ แต่การที่กองทุนเหล่านี้โยกไปมา มันก็ทำให้น้ำกระเพื่อม!! “นั่นก็คือเศรษฐกิจทั่วโลกปั่นป่วนอย่างมาก”)

ช่วงก่อนผมเคยเสนอมุม มองของ เหล่า Fund Manager ชื่อก้องโลกอย่าง Soros/Buffet ที่เขามีความเชื่อที่ว่า “หากคุณสามารถ Control Supply ของเงิน ในปริมาณที่มากพอ คุณจะสามารถเคลื่อนตลาดไปในทิศทางใดก็ได้” …ซึ่งจุดนี้เป็นความจริง ที่โหดร้ายของทุนนิยม เพราะแท้จริงแล้ว คนที่สามารถเคลื่อนย้ายเงินทุนไปในที่ต่างๆ เป็นเรื่องที่ทำได้ยากสำหรับคนทั่วๆไป โดยเฉพาะประเทศอย่างประเทศไทย ที่มี exchange Control (ทำให้เราเสียเปรียบประเทศที่เปิดเสรีทางการเงินอย่างมหาศาล)

จะเห็น ได้ว่า ด้วยข้อจำกัดที่มีมาก ในบ้านเรา ทำให้การเคลื่อนย้ายของเงินทุนไปลงทุนใน Asset Class ที่จำกัดเพียงไม่กี่ตัว เช่น หุ้น, Bond และก็ทอง (จึงไม่แปลกที่คนไทย ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนทางการลงทุนได้มาก อย่าง Fund ที่อยู่ในประเทศเสรีทางการเงิน!!)

กลับมาในส่วนของค่าเงินดอลล่าห์ ที่หลายๆคนมองว่า มันจะอ่อนไปถึงเท่าไหร่ “จุดนี้มันขึ้นอยู่กับความสมดุลย์ทางการค้า” เพราะในปัจจุบัน การได้ดุลการค้าของเอเชียในส่วนหนึ่งก็มาจาก ค่าเงินที่ต่ำกว่าความเป็นจริง ส่งผลให้เราอาศัยข้อได้เปรียบของค่าเงิน มากระตุ้นการส่งออก “ทำให้หลายสิบปีที่ผ่านมา เอเชียสร้างกลไกการเติบโตของเศรษฐกิจด้วยการส่งออกเป็นหลัก”

แต่จาก นี้ไป ปัญหาของอเมริกาและยุโรป ที่เศรษฐกิจเข้าสู่ขาลงอย่างแท้จริง มันเป็นทางบังคับที่เอเชีย จะต้องขยายตลาดการบริโภคภายในของแต่ละประเทศให้มากขึ้น …ถ้ามองให้ดีประเทศจีน ได้เริ่มดำเนินการขยายตลาดภายในอย่างเร่งรีบ ---ข้อได้เปรียบของจีนคือ ประเทศใหญ่ ทำให้ยังมี Room ในการขยาย Mega Project ในด้าน Infrastructure ที่ถือว่าเป็นกลจักรสำคัญอันดับต้นๆ ในการสร้างตลาดภายในประเทศให้ใหญ่ขึ้น

ผลของการตกงานของคนอเมริกาใน วงกว้าง มันเริ่มจาก รากเหง้าของการ Off shore และ Outsource การผลิตราคาถูกไปยังจีนและอินเดีย ซึ่งจุดนี้เป็นส่วนสำคัญ ที่ฆ่าตลาดแรงงานในประเทศของอเมริกาเอง ..ทางแก้ของอเมริกาตอนนี้จึงแทบไม่มีทางเลือก นั่นก็คือ การพยายามลดค่าเงิน และกระตุ้นการส่งออกสู่ประเทศเอเชียแทน ..ถ้ามองในหลักของความสมดุลย์คือ หลายสิบปีที่ผ่านมาเอเชียผลิตให้อเมริกากิน ดังนั้น ต่อจากนี้อเมริกาและยุโรป ถึงคราวจะต้องผลิตให้เอเชียกินบ้าง!!

ฮึม!! แต่ในทางปฏิบัติมันไม่ได้ง่ายเช่นนั้น เพราะเดิมอเมริกาเป็นตลาดบริโภคที่ใหญ่มหาศาล แต่คนอเมริกันบริโภคบนฐานของหนี้ เช่น หนี้บัตรเครดิต และ การดึงหนี้บ้านออกมาบริโภค (การ Re-mortgage ต่างๆ) ดังนั้น แท้จริงแล้วหลายสิบปีที่ผ่านมา อเมริกาบริโภคอย่างมหาศาลโดยการสร้างหนี้ (ไม่ใช่บริโภคจากรายได้ตัวเอง) ..แต่ในประเทศเอเชีย ปัญหาคือ ไม่มีเครดิตหรือความสามารถในการสร้างหนี้เหมือนอเมริกา ทำให้ตลาดบริโภคในเอเชีย ไม่มีทางที่จะโตขึ้นมาทดแทนตลาดอเมริกาได้ในระยะเวลาอันสั้น

ทางแก้ ของอเมริกา ในมุมมองธุรกิจ ก็คือ การเร่งสร้างรายได้ โดยการคิด Innovation ใหม่ๆ อย่างที่ Apple ทำ แต่ปัญหาคืออุตสาหกรรมเหล่านี้ มันไม่ได้เป็น Labor intensive อีกต่อไป (แถมการผลิตหลักๆอย่างเช่น Apple ก็ส่งไปผลิตที่เมืองจีน)

ซึ่งถ้าดูในภาพนี้ มันชี้ให้เห็นได้ว่า การสร้าง Innovation ในด้าน IT ไม่สามารถตอบโจทย์….ในส่วนของ Innovation ในด้านพลังงาน ที่เรียกว่า New Energy อเมริกาเอง ก็ติดบริษัทใหญ่ที่ค้ำคอรัฐบาล เพราะกิจการเหล่านี้ลงทุนไปมหาศาล ดังนั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่รัฐบาลจะสามารถผ่าด่านอรหันต์ ของบริษัทน้ำมันใหญ่ๆเหล่านี้ แล้วสร้างอุตสาหกรรมใหม่อย่าง New Energy ..จุดนี้มันชี้ให้เห็นเลยว่า Clean Energy ยังต้องเป็น Niche Market ต่อไปอีกนาน (ซึ่งกิจการที่ขึ้นมาใหม่ทางด้าน Clean Energy ก็ล้วนเป็นบริษัทลูกของ Old energy ทั้งนั้น) เว้นแต่!! Obama เป็นเผด็จการ!! (ขำขำ เป็นไปไม่ได้ครับ)

ในด้านการเมืองวิธีการแก้ เศรษฐกิจตกต่ำ ก็คือการก่อสงคราม แต่ตอนนี้ถ้ามองให้ดี สงครามที่อเมริกาทำอยู่มันลาม ไปครึ่งโลกแล้ว แต่มันกลับเป็นสงครามที่ไม่ก่อให้เกิดอะไร “ไร้จุดหมาย” (เหมือนเอาทหารไปนั่งตบยุงในประเทศต่างๆ เพราะคุณไม่มีศัตรูที่ชัดเจน “มันสู้กับใครฟะ คุณรู้ได้ไงว่าจริงๆแล้ว Obama ไม่ใช่ บิลลาเดน ปลอมตัวมา!!..อิ อิ”)

จุดนี้ถ้ามองให้ดี ต่างกับสงครามโลกครั้งที่สองมาก เพราะครั้งนั้น มีศัตรูที่ชัดเจนคือ ฮิตเลอร์ และ ญี่ปุ่น (การมีศัตรูที่ชัดเจน มันถึงจะมีเหตุผลให้ ทุ่มงบประมาณมหาศาล ซึ่งผลลัพธ์ใน WW2 ก็ก่อให้เกิด Technology ใหม่ๆ ที่ล้วนเป็นพื้นฐานของ Technology ที่เป็นรากฐานสำคัญของ New Industry ตลอดศตวรรษที่ 20)

ทุกวันนี้อเมริกาเดินอย่างไร้จุดหมาย(เหมือนไก่ตา แตก!!) แต่ยังโชคดีที่ยังมี “Platform ของ US Dollar อยู่” ทำให้ไม่ว่ายังไงก็ตาม เงินอเมริกาก็ยังไม่สามารถลดมูลค่าได้มากเกินไป แถมยังคงต้องเป็นเงินสกุลหลักของโลกต่อไป เพราะตอนนี้อย่างยูโรเอง เศรษฐกิจก็เรียกได้ว่า ห่วยไม่แพ้อเมริกา ..ส่วนจีน ที่พยายามจะผลักดัน “Platform เงินหยวน” ให้เป็นสกุลเงิน ทางเลือกของโลก แต่ถ้านับระยะทาง ยังอยู่ในชั้นอนุบาล (ถ้าเป็นได้จริงก็ต้องใช้เวลาอีกนานมาก!!)

เศรษฐกิจ บ้าบออย่างนี้ทั่วโลก ผมมองทางแก้ มีอยู่ทางเดียว คือ “ช่างมัน เอาตัวคุณให้รอดก่อน!!” คุณต้องมอง Asset Class ต่างๆให้ออก ว่าอะไรอยู่ใน Cycle ไหน และเข้าเก็งกำไรให้ถูกจังหวะ ..อย่างจุดที่ผมมองตอนนี้ ผมมองว่า ตลาดหุ้นเอเชียค่อนข้างดี เพราะอย่างน้อยถ้าเทียบในเชิงผลตอบแทนที่แน่นอน (เพราะตลาดหุ้นจ่ายปันผล) ผมมองว่า หุ้นเป็นอะไรที่ Safe กว่าเงินสดในระยะนี้ (ผนวกกับมุมมองในเรื่องค่าเงิน คือ ลองคิดซิว่า ถ้าคุณเป็นเศรษฐีอเมริกัน แล้วรู้ว่าค่าเงินตัวเองจะอ่อนไปเรื่อยๆ “คุณจะทำอย่างไร” …(ถูกต้อง) และที่คือที่มาของ Fund Flow ที่ไหลมายังประเทศต่างๆอย่างในเอเชียนั่นเอง)

ซึ่งหลายๆคนก็มองไปที่ Real estate และ ทอง ..แต่สำหรับผมถ้าให้เลือกทองกับ Real estate ผมว่า “ทอง” น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะ ระหว่างการปรับฐานของ “การมองมูลค่าของ Asset ทั่วโลก” ผมกลับมองว่า เราไม่ควรเอาเงินไปอยู่ใน Asset ที่เงินจม

(อย่าง Real Estate ในไทย มีคนส่วนน้อยเท่านั้น ที่สามารถเข้าถึง “ที่ดินที่มี Liquidity สูง” ..ผมยกตัวอย่างคุณตัน มีที่กลางเมืองหลายผืน พวกนี้ไร่ละเป็นพันล้าน แต่นี่แหละเป็น Real estate ที่มีสภาพคล่องสูง เพราะมันเป็น ที่ต้องการของ Developer ต่างจากที่ดิน ไกลๆราคาถูก ของ “ชาวประชาตาดำๆ” ---พวกนี้คุณจะขายใคร (มีแต่เงินจม) !!)…สรุปสั้นคือ “ที่ดินที่ดี มันแพง (ต้องซื้อแพงแล้วไปขายแพงกว่า เหมือนที่คุณตันทำ) ไม่ใช่ซื้อที่ห่วยราคาจ่ำแล้วรอความเจริญ ..เพราะด้วยการขยายตัวของเมืองแบบนี้ ชาติหน้าที่ห่วยๆนั้น คงขึ้นราคา --“และนี่คือปัญหาการเข้าถึง แหล่งลงทุนทางด้าน Prime Real Estate” ..ก็คือ “คนทั่วไปมีทุนไม่ถึง นั่นเอง!!”

ดังนั้น สำหรับนักลงทุนรายย่อย ผมมองว่า ให้วางเงินไว้ใน หุ้น , Bond (ที่มีสภาพคล่อง) หรือไม่ก็ทอง แต่ผลตอบแทนมันขึ้นกับความสามารถของคุณมากกว่า ที่จะอยู่ใน Right Asset at the right time!! ซึ่งไม่ง่าย (วัดกันที่ฝีมือครับ)
แต่อยากให้ระลึกไว้ เสมอว่า ค่าเงิน , มูลค่าเงิน , มูลค่าของ Asset ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ทอง , ที่ดิน , บ้าน ,Commodity , Bond ทุกอย่างล้วนมีมูลค่าลวงตา!!-- ขึ้นลงได้เสมอตาม Demand & Supply ดังนั้น จะไม่มี Asset Class ไหนที่ดีหรือแย่ตลอดกาล ทุกอย่างล้วนมี Cycle เป็นของตัวเองเสมอ

..ผม ว่าคนที่เข้าใจหลักการนี้ และสามารถเคลื่อนย้ายเงินไปที่ใดก็ได้ อย่างไม่มีข้อจำกัด คุณจะสร้างความมั่งคั่งได้อย่างมหาศาล “และนี่แหละคือ เจ้าป่าแห่งระบบทุนนิยม!!”

“เมื่อคุณมองทะลุภาพลวงของมูลค่าในสินทรัพย์ต่างๆ คุณคือผู้ที่มั่งคั่งอย่างแท้จริง และถาวร!!”

(อีกไม่นาน เตรียมซื้อของ Made in USA ในราคาถูก.. ฮ่า ฮ่า "ฟันธง!!" แบงค์กงเต็ก ๆ ๆ ๆ...)

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘