เซอร์จอห์น เทมป์เพลตัน SIR JOHN TEMPLETON

john_templeton.jpg
 
เกษียรแล้ว เคยเป็นหัวหน้า Templeton Investment Management.
รูปแบบการลงทุน เน้นการลงทุนแบบเน้นคุณค่ากระจายทั่วโลก
จอห์น เทมป์เพลตัน เกิดในครอบครัวที่ยากจน เขาเริ่มงานครั้งแรกกับบริษัทหลักทรัพย์ก่อนมีสงครามไม่นาน การลงทุนครั้งแรกของเราเริ่มต้นจากเงินที่ยืมจากเจ้านายจำนวน 10,000 ดอลล่า เขาสามารถลงทุนให้เกิดเป็นเงินทั้งสิ้น40,000 ดอลล่าภายในเวลา4ปี โดยเขานำเงินจำนวนนั้นไปซื้อหุ้นจำนวน104บริษัทระหว่างที่สงครามกำลังรุนแรง และขายออกหลังสงครามเลิก...........



หลังจากทำงานแรกไม่นานเขาก็ก่อตั้ง บริษัทที่ปรึกษาการลงทุนของเขาเอง และเมื่ออายุได้ 56 ปีเขาได้ขายมันไปและเริ่มต้นก่อตั้งกองทุนฃึ้นใหม่ชื่อว่า Templeton Growth กองทุนนี้สามารถสร้างผลดำเนินการได้ในระดับที่สูงติดอันดับตลอดระยะเวลา20ปี ทีเดียว จากความสำเร็จนี้เกิดจากการที่เขาสามารถมองเห็นโอกาสในการลงทุนก่อนใคร เช่นโอกาสในญี่ปุ่นช่วงยุค60 และการบูมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในคานาดาช่วงปี70
ผลตอบแทนที่เคยทำได้
จากปี 1954-2000, กองทุนTempleton Growth สามารถสร้างผลตอบแทนได้โดยเฉลี่ย 15%ต่อปี
ความสำเร็จที่สำคัญ เนื่อง จากการใช้แนวการลงทุนแบบเน้นคุณค่าทำให้เขาลงทุนในหุ้นจำนวนมาก โดยเขามองว่า ผลตอบแทนจากหุ้นเพียงบริษัทเดียวไม่สำคัญเท่าผลตอบแทนโดยรวมของทั้งportลง ทุน อาจเป็นได้ว่าความสำเร็จที่สำคัญของเขาเกิดจากการลงทุนอย่างมากในตลาดหุ้น ญี่ปุ่นในช่วงปี1962 ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดญี่ปุ่นเป็นตลาดที่โตเร็วมากในยุคนั้นจนถึงปี1990
วิธีการและแนวทางการลงทุน เขา ได้สรุปหลักการลงทุนของเขาเป็นทั้งสิ้นหลักปฎิบัติ10ประการ ซึ่งยังคงใช้เป็นหลักการในการลงทุนและการเลือกพิจารณาหุ้นอยู่ในบริษัทของ เขาจนทุกวันนี้
- ลงทุนเพื่อผลตอบแทนที่แท้จริง วัตถุประสงค์หลักในการลงทุนระยะยาว คือการสร้างผลตอบแทนหลังหักภาษีให้สูงที่สุด
- เปิดใจให้กว้างตลอดเวลา เขาไม่เคยใช้หลักการลงทุนใดอย่างถาวร เขามักมีการปรับวิธีการลงทุนให้ยืดหยุ่นเหมาะสมกับสถานการณ์ และเปิดใจให้กว้างเพื่อรับแนวความคิดใหม่ๆเสมอ
- ไม่ตามคนหมู่มาก หากซื้อหุ้นตามคนหมู่มาก เราก็มักจะได้รับผลตอบแทนแบบเดียวกันกับคนเหล่านั้น การ ซื้อหุ้นควรทำเมื่อคนส่วนใหญ่เกิดความกลัว และขายเมื่อคนส่วนใหญ่กำลังหึกเหิม การจะทำอย่างนี้ได้ต้องอาศัยความอดทนที่ยิ่งใหญ่ แต่รางวัลที่ได้รับก็มักจะยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน
- ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ตลาดที่ซบเซามักจะมีเป็นการชั่วคราว หลังจากนั้นจะเป็นตลาดขาขึ้น
- หลีกเลี่ยงหุ้นที่กำลังเป็นที่นิยม เพราะนักลงทุนเหล่านั้นอาจกำลังเลือกหุ้นที่ผิดพลาดหรือผิดจังหวะเวลาก็เป็นได้
- เรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง
- ซื้อหุ้นในช่วงที่ตลาดปกคลุ่มไปด้วยข่าวร้ายช่วงเวลาที่ตลาดปกคลุ่มไปด้วยข่าวร้ายเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการซื้อ และช่วงที่ตลาดปกคลุ่มไปด้วยข่าวดีเป็นช่วงที่ควรขายที่สุด
- มองหาคุณค่าและราคาที่ถูกเมื่อเทียบกับมูลค่าแล้ว ในตลาดหุ้นนั้นการที่จะซื้อหุ้นได้ในราคาที่ถูกมากๆคือตอนที่นักลงทุนส่วนใหญ่ขายหุ้นออกมา
- มองหาโอกาสทั่วโลก ถ้าเราสามารถหาโอกาสการลงทุนได้ทั่วโลกเราจะพบว่ามีหุ้นที่ถูกๆมากกว่าการลงทุนในประเทศเดียว ไม่มีใครรู้ไปซะทุกเรื่อง
- ผู้ที่สามารถตอบได้ทุกเรื่องเขาอาจจะไม่เข้าใจคำถามก็ได้

สี่ปัจจัยหลักในการพิจารณาลงทุน -P/E ratio เทียบกับบริษัทที่มีลักษณะเดียวกัน
-Operating profit margins โดยเฉพาะถ้ามีการเพิ่มขึ้น
-Liquidating value, มูลค่าที่บริษัทจะสามารถขายได้ทันที
-อัตรา การเติบโตของกำไรเฉลี่ย และที่สำคัญอัตราการเติบโตต้องมีความสม่ำเสมอ โดยทั่วไปแล้วให้ระวังบริษัทที่มีการลดลงของการเติบโต2ปีติดต่อกัน

ประโยคทอง "History shows that time, not timing, is the key to investment success. Therefore, the best time to buy stocks is when you have money."
"I never made money for clients by buying anything expensive."

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘