Return of the Legend

มีบทความล่าสุดเกี่ยวกับจอห์น เนฟ (John Neff) ผู้จัดการกองทุนระดับตำนานในมุมมองของเขาต่อสถานการณ์ตลาดหุ้น จอห์น เนฟปัจจุบันอายุ 77 ปี เขาบริหารกองทุนวินเซอร์ (Vanguard’s Windsor Fund) อยู่ 31 ปีจนถึงปี 1995 เขาทำผลงานได้ดีกว่า S&P 500 ตลอดช่วงระยะเวลาที่เป็นผู้จัดการกองทุน ปัจจุบันเขาเกษียณอายุการทำงานแล้ว แต่ยังลงทุนในตลาดหุ้นด้วยเงินส่วนตัว หลักการลงทุนของเขายังคงให้ความสำคัญต่อการลงทุนแบบเน้นคุณค่าที่เน้นหุ้นใน ราคาถูกมากๆ รวมทั้งยังเป็น”นักสวนกระแส”ตัวยง (A contrarian) เช่น ในช่วงฟองสบู่หุ้นดอทคอมในช่วงปี 2000 เขาขายช๊อตดัชนีแนสแด๊ก (Nasdaq Index) ทำกำไรไปกว่า 40%

ถึงอย่างไรก็ตาม เขาก็หนีไม่พ้นความหายนะของตลาดในปีที่ผ่านมา เงินลงทุนของเขาลดลงประมาณ 30% ที่ลดลงมากที่สุดน่าจะเป็นหุ้นของธนาคารซิตี้กรุ๊ปที่ราคาลดมากกว่า 70% แต่เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะวิตกกังวลแต่อย่างใด ในช่วงสามสิบปีที่บริหารกองทุน เขาพบกับความตกต่ำของตลาดและราคาหุ้นถูกเทขายกระหน่ำมานับครั้งไม่ถ้วน เขานำพากองทุนวินเซอร์ผ่านพ้นสถานการณ์ต่างๆมาด้วยหลักการลงทุนง่ายๆของเขา ที่ว่า “ซื้อหุ้นที่ตลาดไม่สนใจแต่มีการเติบโตในอนาคต ถือไว้และขายเมื่อตลาดกลับมาเฟื่องฟู” เขาเคยซื้อหุ้นซิต้ีแบงค์ในช่วงที่ประสบปัญหาในปี 1991 ขณะที่คนอื่นๆต่างตื่นตระหนก

ตอนนี้เขาไม่ได้ซื้อหุ้นซิตี้แบงค์ เหมือนคราวที่แล้ว เพราะตลาดหุ้นมีหุ้นราคาต่ำๆเต็มไปหมด นอกจากนั้นเขากำลังเปลี่ยนการถือครองพันธบัตรเป็นเงินสดเพื่อนำมาซื้อหุ้น เขาคิดว่าช่วงนี้เป็นเวลาที่น่าซื้อและเขากำลังซื้อหุ้นเข้าพอร์ตเช่นเดียว กัน

เขาคิดว่าตลาดหุ้นและตลาดอสังหาริมทรัพย์์ได้เข้าสู่จุดต่ำสุด ไปแล้วเมื่อปลายปีที่แล้ว เขาคิดว่าเศรษฐกิจน่าจะฟื้นตัวได้ในปี 2009 จากการลดดอกเบี้ยอย่างมากของธนาคารกลางสหรัฐ, ราคาน้ำมันที่ลดลง เขาคาดว่าหุ้นที่เขาถืออยู่จะฟื้นตัวกลับมาได้

ลองดูตัวอย่างของ หุ้นที่เขาถือลงทุนและเหตุผลในการเลือกหุ้น เพื่อให้เห็นถึงความเรียบง่ายในหลักการลงทุนของเขา หุ้นตัวแรกคือซีเกต เทคโนโลยี่ (Seagate Technology) ผู้ผลิตฮาร์ดดิสให้กับบริษัทประกอบคอมพิวเตอร์ใหญ่อย่างเดลล์ เขาคิดว่าหุ้นซีเกตในช่วงเดือนมกราคมปีที่แล้วที่ราคา 20 เหรียญนั้นถูกแล้ว แต่ราคาหุ้นกลับลดลงเกือบ 80% นับจากต้นปี เขาซื้อหุ้นเพิ่มเข้าพอร์ตที่ราคา 4 เหรียญ ขณะที่เงินปันผลต่อหุ้นอยู่ที่ 12%
ในช่วงเดือนธันวาคม บริษัทปรับลดประมาณการผลประกอบการสำหรับไตรมาศสี่ แต่เนฟคิดว่ารายได้ของบริษัทจะฟื้นตัวในปีนี้ “ผมไม่คิดว่าปีที่แล้วเป็นปีที่ปกติสำหรับซีเกต และไตรมาศสี่คงออกมาไม่ค่อยดี ถึงอย่างไรก็ตามเงินปันผลที่สูงคงช่วยเป็นเกราะป้องกันได้ส่วนหนึ่ง”

นอก เหนือจากนั้นเขายังมองเห็นการเติบโตของหุ้นพลังงาน เขาคาดว่าราคาน้ำมันจะเริ่มฟื้นตัวจากจุดต่ำสุด “ถึงแม้ว่าราคาน้ำมันจะลดลงอย่างรวดเร็ว แต่โรงกลั่นและผู้ผลิตนำ้มันยังสามารถทำกำไรได้ ถ้าราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น บริษัทเหล่านี้จะมีความสามารถในการทำกำไรดีขึ้น”

เขาซื้อหุ้นบริษัท น้ำมันโคโนโคฟิลลิป (ConocoPhillips) ไว้เมื่อมกราคมปีที่แล้วที่ราคา 70 เหรียญ หลังจากนั้นราคาได้พุ่งขึ้นถึง 95 เหรียญในเดือนกรกฏาคม จากนั้นราคาหุ้นได้ลดลงจนเหลือ 50 เหรียญในช่วงปลายปี ที่ราคานี้เขาคิดว่าราคาหุ้นโคโนโคถือว่าถูกมาก

“บริษัทนี้มีกระแส เงินสดที่ดีมาก และจะเพิ่มการจ่ายเงินปันผลในอีกหนึ่งถึงสองเดือนข้างหน้า นอกเหนือจากนั้นบริษัทจะมีกำไรต่อหุ้น 11.50 เหรียญ ดังนั้นที่ราคา 50 เหรียญต่อหุ้นเรียกว่าหุ้นนี้มีอัตราส่วนกำไรต่อหุ้นต่ำมาก”
เนฟยังแนะ นำหุ้นอีกสองสามบริษัทที่เขากำลังลงทุนอยู่ ทั้งหมดมีราคาไม่แพงและมีอนาคตที่ดี นักลงทุนสามารถเรียนรู้ได้จากหลักการและวิธีคิดของนักลงทุนระดับตำนานท่าน นี้

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘