ในวิกฤติ ย่อมมี โอกาส

เหตุการณ์ความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับชาวเฮติ
จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 12 ม.ค.2553
มีการคาดการณ์กันว่าอาจจะมีผู้เสียชีวิตประมาณ 200,000 คน
มีผู้บาดเจ็บอีกหลายแสนคน
ผู้คนไร้ที่อยู่อาศัยนับล้านคน
ผู้คนต้องเผชิญกับความอดอยากเนื่องจากขาดแคลนอาหาร
ถึงขั้นทำร้ายปล้นสะดมภ์กัน เพื่อแย่งชิงอาหารเพื่อประทังชีวิต
โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์แรกนับจากเกิดภัยพิบัติขึ้นมา
แม้ว่าหลังจากสัปดาห์แรกผ่านไป
จะเห็นว่า หลายฝ่ายจากทั่วโลกได้พยายามระดมความช่วยเหลือ
ไม่ว่าจะเป็นทางด้านเงินทอง ด้านอาหาร
แต่ผมก็ยังเชื่อว่า ความช่วยเหลือทางด้านอาหารนั้น
ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของคนทั้งประเทศ
อาหารที่ถูกลำเลียงจากเครื่องบิน
ก็เป็นเพียงจำนวนที่เพื่อช่วยบรรเทาความหิวโหยไปได้เพียงบางส่วนเท่านั้น
ไม่อิ่มพอเหมือนอย่างพวกเราที่สามารถหาซื้อได้ตามตลาดร้านค้าที่มีอยู่ทุกซอกซอย
วิกฤติที่เกิดขึ้น
มีผู้สูญเสียก็จริง
แต่ก็มีผู้ที่ได้รับผลประโยชน์อยู่ตรงนั้นเช่นกัน
เพียงแต่เราอาจจะไม่ทราบว่า ใครบ้างได้รับประโยชน์ตรงนั้น
บางคนอาจจะอาศัยช่วงเวลาที่เลวร้ายนี้ เพิ่มราคาสินค้า เพราะหาซื้อยาก
แต่บางคนอาจจะไม่ได้ฉวยโอกาสแบบนั้นก็ได้
เช่น บังเอิญ สหประชาชาติเห็นว่าบริษัทแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียงกับเฮติ
ได้รู้ว่ามีอาหารสำเร็จรูปสต๊อคไว้จำนวนมาก
ตัดสินใจสั่งซื้ออาหารจากบริษัทแห่งนั้น
เพื่อไปช่วยเหลือชาวเฮติ ด้วยเงินสักร้อยล้านพันล้าน หรือมากกว่านั้น
จากยอดขายในช่วงเวลาปกติ
อาจจะทำได้เพียงวันละ 5 ล้าน , 10 ล้าน
หากยอดขายพุ่งไปถึงร้อยล้านพันล้าน ในวันเดียว
กำไรก็โตขึ้นมหาศาล แม้จะขายด้วยราคาเดิมก็ตาม
ไม่เพียงแต่ธุรกิจด้านอาหารเท่านั้น
ธุรกิจอื่นๆ ก็มีโอกาสเกิดขึ้นมากมายพร้อมๆ กัน
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจก่อสร้าง ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน โทรคมนาคม
ธุรกิจเกี่ยวกับวัตถุดิบ เช่น เหล็ก ปูน ทราย หิน หรือแม้แต่น้ำมัน
เหล่านี้ล้วนเป็นโอกาสที่หาได้ยากในสภาวะปกติ
ลองนึกภาพว่า
ต้องใช้เงินอีกกี่หมื่นกี่แสนล้าน
เพื่อที่จะสร้างบ้าน สร้างตึกรามบ้านช่อง สำนักงานต่างๆ
ให้กลับมามีสภาพเหมือนเดิม
จริงอยู่ว่า
ชาวเฮติอยู่ในสภาพที่ยากลำบาก ไม่มีเงินของตัวเอง
แต่เงินจากทั่วโลกที่กำลังหลั่งไหลไปที่นั่น
ทั้งในรูป บริจาคช่วยเหลือให้เปล่า และ ในรูปให้รัฐบาลเฮติกู้ยืม
ก็ย่อมจะทำให้ธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้รับผลดีในชั่วข้ามคืน
ธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากวิกฤติเหล่านั้น
คุณอาจจะคิดว่า พวกนี้ หากินบนความยากลำบากของคนอื่น
แต่ในทางกลับกัน
หากไม่มีธุรกิจเหล่านี้
ใครจะสร้างบ้านให้พวกเขา
ใครจะขายอาหารให้พวกเขา
ใครจะมาเดินสายไฟฟ้า สายโทรศัพท์ให้พวกเขา
ใครจะขายเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มให้พวกเขา
ใครจะขายยารักษาโรคให้พวกเขา
ธุรกิจเหล่านี้ต่างหาก
ที่เข้าไปช่วยเหลือพวกเขาในสภาวะที่ยากลำบากที่สุด
แม้แต่ชาวเฮติเอง
แม้ว่าพวกเขาต้องสูญเสียอย่างมหาศาลที่สุดเท่าที่ชีวิตนึงต้องพบเจอ
บางคนสูญเสียคนรัก บางคนบาดเจ็บ
แต่สิ่งเหล่านี้มันได้ผ่านไปแล้ว มันเกิดขึ้นแล้ว ย้อนกลับไม่ได้แล้ว
ก็ต้องยอมรับความสูญเสียนั้น
แต่พวกเขาก็ได้โอกาสเช่นเดียวกัน
โอกาสในการพัฒนาประเทศ
เช่น
การวางผังเมืองที่เป็นระเบียบมากขึ้น
การได้รับเทคโนโลยีใหม่ๆ มาทดแทนเทคโนโลยีเก่าที่พังพินาศไปแล้ว
การเป็นที่รู้จักของต่างประเทศ ซึ่งแน่นอนว่า หลายประเทศก็ยังคงช่วยเหลือพวกเขาต่อไปอีกหลายปี
ในแง่ของการซื้อสินค้าที่ผลิตจากประเทศเฮติ
ทำให้มีโอกาสได้นำสินค้าที่มีอยู่ออกไปสู่ต่างประเทศ
และอื่นๆ อีกมากมาย
อย่างในบ้านเรา
หลังเหตุการณ์ซึนามิผ่านไปแล้ว
หลายพื้นที่ได้รับการปรับปรุงจนมีสภาพที่ดีกว่าครั้งที่ยังไม่เกิดเหตุการณ์ขึ้นด้วยซ้ำ
เช่นนี้แล้ว
คุณคงจะเห็นด้วยนะครับว่า
ในวิกฤติ ก็ยังมีโอกาส เหมือนอย่างที่เราเคยได้ยินกันมาตลอด
เพียงแต่ว่า
เรา มีส่วนในโอกาสเช่นนั้นไหม
และขอแสดงความเสียใจกับทุกคนที่ต้องประสบกับเหตุการณ์ที่เลวร้ายครั้งนี้
รวมทั้ง
อยากให้พวกเราทุกคนที่ยังมีลมหายใจอยู่นี้
ได้นำเหตุการณ์เช่นนี้ มาเตือนใจตัวเอง
ในการดำรงชีวิตอยู่อย่างไม่ประมาท มีสติ มีปัญญา
จำลองสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นกับเราไว้บ้างก็ดี
หากเกิดขึ้นจริงๆ
เราจะผ่านพ้นอุปสรรคเหล่านั้นไปได้อย่างมีสติแก้ไขได้อย่างไร
เราจะปล้นฆ่าแย่งชิงอาหารเหมือนอย่างที่เห็นในข่าวหรือเปล่า
เราจะแบ่งปันให้คนที่หิวกว่าได้ไหม
เราจะมีสติพอจะหาทางช่วยเหลือคนที่กำลังต้องการความช่วยเหลือได้ไหม
เพราะภัยพิบัติต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้
นับว่ายิ่งรุนแรงและถี่ขึ้นกว่าที่ผ่านมาเป็นอย่างมาก
และเราจะคิดว่าคงไม่เกิดกับเราหรอก ก็คงไม่ได้
เพราะภัยธรรมชาตินั้น ไม่ได้เลือกว่า จะต้องเกิดกับเฉพาะประเทศที่อยู่ใกล้รอยเลื่อนเท่านั้น
พม่าเพื่อนบ้านเราก็เพิ่งถูกพายุกระหน่ำ ผู้คนล้มตายไปนับแสน
ซึนามิ ก็คร่าชีวิตผู้คนหลายประเทศในคราวเดียวกันหลายแสนคน รวมทั้งคนไทยบางส่วน
แผ่นดินไหวที่เกิดคราวนี้ก็รุนแรงไม่แพ้กัน
เราแทบจะไม่มีทางรู้เลยว่า
พรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับเรา รุนแรงเท่าเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ไหม
แต่สิ่งที่เราทำได้ก็คือ
มีสติ อยู่อย่างไม่ประมาท
เพื่ออะไร
ก็เพื่อที่จะมีปัญญาเอาตัวเองให้รอดพ้นความยากลำบากที่สุดที่อาจเกิดขึ้นไปได้
แต่หากโชคร้ายนั้นเกิดขึ้นกับเรา และเป็นคนหนึ่งที่ต้องจากไป
ก็นับว่าไม่เสียเวลาเปล่า
ที่ได้ฝึกฝนตนเอง เจริญสติ ให้เกิดปัญญา ในเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่
ขอให้วันนี้ของคุณสวยงามต่อไปนะครับ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5