ความท้าทายของการเก็งกำไร

1.ความท้าทายของการเก็งกำไร
การ เก็งกำไรเป็นเกมที่ผู้คนหลงใหลมากที่สุด แต่มันไม่ได้เป็นเกมสำหรับ คนโง่ คนขี้เกียจคิด คนที่อารมณ์ไม่มั่นคง หรือคนที่คิดจะรวยทางลัด คนเหล่านี้ will die poor.

ทุกครั้งที่ผมไปร่วมงานเลี้ยงจะต้องมีคนเข้ามาขอให้ ผมบอกวิธีที่จะรวยด้วยตลาดหุ้น สมัยแรกๆ ผมจะอธิบายให้เขาฟังว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น แต่สมัยนี้ ผมเปลี่ยนเป็นการตอบสั้นๆ ว่า "ผมไม่รู้"

ผมว่าคนพวกนี้ถามเหมือนกับ พยายามจะถามว่าจะรวยเร็วๆ ได้อย่างไรด้วยการยึดอาชีพเป็นทนายความหรือแพทย์ ผมคิดว่าการเก็งกำไรนั้นก็เหมือนกับอาชีพอย่างอื่น การเก็งกำไรคืออาชีพอย่างหนึ่งที่คุณจะต้องทุ่มเทอย่างหนักเท่านั้นจึงจะประสบความสำเร็จได้ ผม เขียนบทความนี้ขึ้นมาสำหรับคนที่ยินดีที่จะทำงานอย่างหนักถ้าหากได้ทราบวิธี การเก็งกำไรที่ถูกต้องเท่านั้น (ซึ่งผมจะพูดถึงต่อไป) ไม่ใช่เพื่อคนที่ต้องการจะรวยเร็วๆ ด้วยการเก็งกำไร

(ไว้มาต่อครับ ค่อยๆ เล่าวันละนิดวันละหน่อย Smiley ) Jesse Livermore เกิดในครอบครัวที่ยากจนในบอสตัน เริ่มต้นอาชีพด้วยการเป็นเด็กเขียนกระดานหุ้นในบริษัทโบรกเกอร์ แต่กลายเป็นเศรษฐีก่อนอายุ 30

Livermore เป็นเทรดเดอร์ที่มีชื่อเสียงในทศวรรษที่ 20 ฉายา Boy Plunger เขา short หุ้นในช่วงตลาดหุ้น crash ในปี 1907 และได้กำไร 3 ล้านเหรียญในวันเดียว จนกระทั้ง JP Morgan (หลังจากต้องเพิ่มทุนให้กับสถาบันการเงินหลายแห่งของตัวเอง) ต้องส่งจดหมายไปขอร้องให้ Livermore หยุด short หุ้น และในปี 1929 Livermore ก็ได้กำไรจากการ short หุ้นมากกว่าร้อยล้านเหรียญ


คฤหาสน์ "Evermore" ของ Livermore โต๊ะอาหารมี 46 ที่นั่ง ชั้นล่างมีห้องตัดผมที่มีช่างส่วนตัวอยู่ประจำ หลังอาคารมีเรือยอร์ชขนาด 300 ฟุตเทียบท่าอยู่

Livermore เป็นคนเก็บตัวมาก ในชีวิตเขาเคยให้สัมภาษณ์เพียงไม่กี่ครั้ง แต่ชื่อของเขามักถูกกล่าวถึงในห้องค้าอยู่เสมอเวลาหุ้นตก ตลอดชีวิต Livermore เคยขาดทุนจากหุ้นหลายครั้งแต่เขาก็สามารถกลับมาเป็นเศรษฐีได้อีกทุกครั้ง

Livermore มีชีวิตครอบครัวที่อีลุงตุงนังมากเนื่องจากเป็นคนเจ้าชู้ เขามีภรรยาทั้งสิ้น 4 คน ภรรยาคนแรกของเขาเป็นคนสุรุ่ยสุร่ายมาก เธอชอบจัดงานปาร์ตี้เชิญแขกนับร้อยเป็นประจำ ครั้งหนึ่งที่เธอไปนอนโรงแรมแล้วไฟไหม้ เมื่อเธอหนีออกมาได้ เธอยังจ้างให้ Bell boy ผจญเพลิงกลับเข้าไปเพื่อขนกระเป๋าเดินทางหลุยส์วีตองกว่า 24 ใบของเธอออกมา ลูกชายคนแรกของเธอ Jess Jr. หลงรักเพื่อนของแม่ตัวเอง และมีอะไรด้วยกัน อีกทั้งยังเคยมีปากเสียงกับภรรยาคนที่ 3 ของบิดาจนถึงกับพยายามใช้ปืนสังหารเธอ วันที่ 8 ธันวาคม 1935 แม่ของ Jess Jr. ใช้ปืนยิงลูกชายตัวเองเสียชีวิต หลังจากนั้น Jesse Livermore ก็เริ่มมีอาการซึมเศร้าเรื้อรัง เขามีปากเสียงกับภรรยาคนที่ 3 เป็นประจำจนตัดสินใจฆ่าตัวตายในที่สุด ก่อนตาย Jesse เพิ่งจะขาดทุนจากตลาดหมีในปี 1960 และยังไม่สามารถกลับมารวยใหม่อีกครั้งได้ หลังตายตรวจพบว่า Jesse ยังมีเงินสดเหลืออยู่ประมาณ 5 ล้านเหรียญ  

เท่า ที่ศึกษาชีวิตเทรดเดอร์มา คนที่ได้ผลตอบแทนมากขนาดที่เปลี่ยนจากคนธรรมดาเป็นมหาเศรษฐีได้ ล้วนแล้วแต่เคยหมดตัวมากกว่าหนึ่งในชีวิต คนที่สามารถรักษาตัวมิให้เคยหมดตัวได้ตลอดชีวิตจะมีผลตอบแทนตลอดชีวิตที่ดี ระดับหนึ่งแต่จะไม่ถึงกับโดดเด่นระดับตำนาน

เหมือนกับว่า มันเป็นกฏของธรรมชาติ 


อย่าง John Maynard Keynes ในชีวิตก็เคยเป็นมหาเศรษฐีถึง 2 ครั้ง เพราะเทรด Forex จนเป็นมหาเศรษฐีครั้งหนึ่ง จากนั้นก็หมดตัว แล้วก็สามารถกลับมาเป็นมหาเศรษฐีได้ใหม่อีกครั้ง 

จุด เด่นของ Livermore อย่างหนึ่งก็คือ เขารวยมาจากการเทรดหุ้นล้วนๆ ไม่เคยทำธุรกิจอย่างอื่น ตอนที่กลายเป็นเศรษฐีหุ้นแล้ว เขาลองเอากำไรส่วนหนึ่งไปลงทุนธุรกิจเครื่องบินเช่า และธุรกิจอื่นอีกหลายอย่าง แต่ไม่ประสบความสำเร็จเลยสักอย่างเดียว ตอนหลัง Livermore ก็คิดได้ว่า เขาเกิดมาเพื่อเทรดหุ้นอย่างเดียวเท่านั้น อย่างอื่นไม่ใช่ตัวเขา

การเก็งกำไรเริ่มต้นด้วยการ สร้างมุมมองเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวในระยะต่อไปที่มีนัยสำคัญของราคาหุ้น ที่จริงแล้วการเก็งกำไรก็ไม่มีอะไรนอกจากการคิดว่าราคาหุ้นกำลังจะเคลื่อนไป อย่างไรนั้น มุมมองของนักเก็งกำไรจะต้องมีเหตุผลที่ชัดเจนรองรับ อย่างไรก็ตาม มนุษย์นั้นไม่แน่ไม่นอน พวกเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ และตลาดหุ้นก็คือมนุษย์จำนวนมาก ดังนั้นนักเก็งกำไรที่ดีจะต้องรู้จักการรอคอย ตัวอย่างเช่น คุณอาจได้รับข่าวสาธารณะชิ้นหนึ่ง เมื่อคุณไตร่ตรองถึงผลทางจิตวิทยาที่จะเกิดขึ้นกับตลาดแล้วคิดว่ากำลังจะ เกิดภาวะกระทิง (หรือภาวะหมี) อย่าเพิ่งลงมือเด็ดขาด จงคอยให้ตลาดยืนยันแนวคิดของคุณก่อนเสมอ การลงมือให้ช้ากว่าตลาดเล็กน้อยคือการป้องกันความเสี่ยงที่ดีที่สุด 
(นี้เป็นเหตุผลที่ผมบอกว่าอย่าเพิ่งซื้อหุ้นที่ฝรั้งยังไม่เข้า เพราะมันจะมี newlow ใหม่เสมอ)
คน ที่มีมุมมองที่ถูกต้องแต่ลงมือเร็วเกินไปจะขาดทุนในที่สุด บ่อยครั้งที่เราคิดได้แล้วก็ลงมือทันทีแต่ตลาดกลับวิ่งไปอีกทางหนึ่ง ในที่สุดเขาก็ต้องขายทิ้ง แต่หลังจากนั้นสองวัน ราคาหุ้นกลับทิศ เขาก็อาจกระโดดเข้าไปใหม่ แต่พอกระโดดเข้าไปปุ๊บ ราคาหุ้นก็วิ่งกลับทิศอีก หนนี้เขาจะเริ่มสงสัยในมุมมองของตัวเองและขายทิ้งอีกเป็นหนที่สอง ในที่สุดเมื่อกระทิงมาจริงๆ ความผิดพลาดถึงสองหนติดต่อกันจะทำให้เขาปอด ไม่อยากลองผิดอีกเป็นหนที่สาม เมื่อกระทิงมาถึงจริงๆ จึงกลายเป็นว่า เขาได้ตัดใจเดินออกจากเกมนั้นไปแล้ว

อย่าเพิ่งให้ราคามุมมองของคุณจนกว่าตลาดจะเห็นด้วยกับคุณMarkets are never wrong, opinions often are.
หุ้น ที่ราคา 25 บาท และเคลื่อนไหวในกรอบ 22-28 บาทมานาน ถ้าคุณมีมุมมองว่ามันจะไป 50 บาท อย่าเพิ่งซื้อที่ 25 บาท รอจนกระทั้งมันสร้าง new high บริเวณ 28-29 บาท นั้นแหละคือตลาดหุ้นเห็นด้วยกับคุณแล้ว นั่นคือเวลาที่คุณจะให้ค่ากับมุมมองของคุณ ซื้อเลย ถ้าปล่อยให้ความรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ซื้อที่ 25 บาทหยุดยั้งคุณไว้ เพราะที่จริงแล้วถ้าคุณซื้อไปตอน 25 บาท คุณอาจต้องรออีกนานมากจนเบื่อแล้วเบื่ออีกและก็อาจขายทิ้งไปก่อนที่หุ้นจะ วิ่งจริงๆ เมื่อหุ้นวิ่งจริงๆ คุณก็อาจจะไม่อยากซื้อแล้ว และทำให้คุณไม่ได้ซื้อเมื่อถึงเวลาที่ควรซื้อซะงั้น

มุมมองใดๆ ยังไม่มีค่าควรปฏิบัติตามจนกว่าตลาดจะเห็นด้วยกับมุมมองนั้นแล้ว...

จากประสบการณ์ของผม กำไรที่ผมได้เป็นกอบเป็นกำมักมาจากการเข้าซื้อที่ซื้อแล้วขึ้นตั้งแต่แรกเลย

ผม มักเข้าซื้อเป็นครั้งแรกในช่วงราคามีการเคลื่อนไหวที่มีนัยสำคัญ มันต้องมีนัยสำคัญ มันจึงจะมีแรงวิ่งต่อไปได้ จุดอ่อนของคนเราคือไม่อดทนเพียงพอที่จะรอคอยการเคลื่อนไหวที่มีนัยสำคัญก่อน เราอดไม่ได้ที่จะเข้าไปมีเอี่ยวในทุกๆ ตา ทำให้ความใจร้อนอยู่เหนือการตัดสินใจที่ดี
การเก็งกำไรก็เหมือนกับการเล่นไพ่ จุดอ่อนของเราคืออดไม่ได้ที่จะมีส่วนร่วมในทุกๆ ตา มันเป็นจุดอ่อนที่ทำร้ายนักเก็งกำไร

ธรรมชาติของคนคือ HOPE กับ FEAR แต่ ปัญหาคือ เรามักใช้มันผิดเวลา กลับตาลปัตรไปหมด

คุณ ซื้อหุ้นที่ 30 บาท วันต่อมามันวิ่งขึ้นไปทันทีที่ 32 บาท  "FEAR" ว่าเดี๋ยวกำไรจะหายไปของคุณจะผุดขึ้นมา คุณคิดว่าถ้าไม่ขายวันนี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้มันจะลงไปใหม่ คุณจึงตัดช่องน้อยแต่พอตัวด้วยการรีบ take profit ทั้งที่จริงๆ แล้ว ในเวลาเช่นนี้ คุณควรจะ "HOPE" มากกว่า คุณจะกลัวอะไรกับเงิน 2 บาท ที่เมื่อวานนี้คุณยังไม่มี ที่จริงคุณควรจะคิดว่า ถ้าฉันกำไรวันเดียว 2 บาท เป็นไปได้มากที่พรุ่งนี้จะกำไรอีก 2-3 บาท หรือว่า 5 บาทในอาทิตย์เดียว
ตราบ ใดที่ตลาดวิ่งไปในทางที่คุณเก็งไว้ อย่า take profit เพราะนี่แสดงว่าคุณเก็งถูกแล้ว ไม่งั้นคุณจะกำไร 2 บาทได้อย่างไร Let profit run. ทำกำไรเล็กให้กลายเป็นกำไรใหญ่ ตราบใดที่ตลาดยังไม่ได้ทำอะไรสวนกับคุณแบบมีนัยสำคัญ จงมีความกล้าที่จะถือต่อไปอีก

ใน ทางตรงข้าม ถ้าคุณซื้อที่ 30 บาท วันต่อมากลายเป็น 28 บาท คุณมักจะไม่ FEAR ว่าวันพรุ่งนี้คุณอาจขาดทุนอีก 3 บาทหรือกว่านั้น คุณจะบอกตัวเองว่า "นั่นมันแค่การปรับฐานธรรมดา รอพรุ่งนี้มันก็จะขึ้นไปใหม่" แต่ที่จริงแล้ว ในเวลาเช่นนี้ คุณควรจะ FEAR การขาดทุน 2 บาทในวันเดียว อาจนำไปสู่การขาดทุนที่มากมายกว่านี้ในหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้า จง cut loss เดี๋ยวนี้เพราะมิฉะนั้น คุณอาจจะ loss มากกว่านี้ในวันต่อไป

Profit always take care of themselves but losses never do.

การ cut loss เสียแต่เนินๆ คือคือ การจ่ายเงินจำนวนน้อยๆ เพื่อซื้อประกันความเสี่ยงที่จะขาดทุนขนาดใหญ่ภายหลัง เก็บทุนขึ้นมาก่อน วันหน้าถ้ามีโอกาสดีๆ อีก คุณจะได้มีเงินไว้ลองใหม่ ด้วยจำนวนเงินที่ไม่ต่ำกว่าเดิมเท่าไรนัก

นักเก็งกำไรควรเป็นบริษัท ประกันภัยของตัวเอง วิธีเดียวเท่านั้นที่นักเก็งกำไรจะยืนหยัดอยู่ในตลาดหุ้นได้ตลอดไปคือปกป้อง Capital ของคุณไว้เสมอ ไม่ปล่อยให้ตัวเองไม่มีเงินเหลือไว้วันข้างหน้าที่โอกาสดีๆ ใหม่ๆ จะมาเยือนคุณอีกครั้ง 



2.When does a stock act right?

หุ้น มีนิสัยเช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิต นักเก็งกำไรที่มีประสบการณ์จะรู้จักนิสัยของหุ้น ซึ่งช่วยทำนายพฤติกรรมของมันได้ภายใต้บางสภาวะการณ์ อย่างไรก็ตาม แนวโน้มตลาดเปลี่ยนไปเรื่อยๆ

หุ้นอาจดูสงบนิ่งเป็นเวลานาน แต่แล้วเมื่อถึงเวลาที่มันจะสร้างแนวโน้มใหม่ มันจะมีวิธีการของมันที่เป็นแบบฉบับ เมื่อเริ่มต้น คุณอาจเห็นโวลุ่มที่ผิดปกติก่อนพร้อมๆ กับราคาที่เพิ่มขึ้นติดต่อกันสองสามวัน จากนั้นการปรับฐานก็อาจเกิดขึ้น ในการปรับฐานโวลุ่มอาจน้อยลงกว่าตอนที่มันเริ่มวิ่ง

การปรับฐานเล็กๆ น้อยๆ นั้นเป็นเรื่องปกติของหุ้นที่กำลังวิ่ง อย่ากลัวการปรับฐานพวกนี้ จงกลัวการปรับฐานที่มีลักษณะผิดปกติ เช่น การที่นิสัยของหุ้นเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน

หลัง จากปรับฐานได้ไม่นาน ถ้าหุ้นจะวิ่งจริง การปรับฐานจะสิ้นสุดลงอย่างเร็ว และหุ้นก็จะทำไฮด์ใหม่ เวลาที่หุ้นวิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ นั้น การปรับฐานที่เหมือนกับครั้งแรกสามารถเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ นี่คือธรรมชาติที่เราไม่ควรจะไปตกใจกับมัน อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่มันทำนิวไฮด์ใหม่ ส่วนต่างควรจะมากกว่าเดิม เช่นหุ้นที่เริ่มที่ 50 รอบแรกอาจไป 54 แล้วปรับฐานเหลือ 52 จากนั้นก็วิ่งไป 59 ก่อนที่จะปรับฐานอีกครั้ง อะไรอย่างนี้เป็นต้น
เมื่อใดที่การปรับฐานมากขึ้น และเมื่อมันวิ่งกลับขึ้นไปได้ใหม่ โวลุ่มแห้งลง นั่นเป็นสัญญาญว่าหุ้นนั้นเริ่มไม่น่าซื้อแล้ว
หลัง จากจุดนั้นมันก็อาจจะวิ่งต่อไปอีก เมื่อไรก็ตามที่ มันเกิดตกแรงๆ แปลกๆ เช่น ตกมากๆ ก่อนปิดตลาดวันหนึ่ง พอวันรุ่งขึ้น เปิดตลาดมา มันไม่เด้งเลย นั่นคือสัญญาณอันตรายแล้ว

ถ้าคุณมีความอดทนที่จะไม่ขายตลอดทางที่มัน ปรับฐานอย่างธรรมชาติมาตลอด ถึงเวลานี้คุณก็ต้องเปลี่ยนไปมีความกล้าหาญที่จะขายหนีอย่างเด็ดเดี่ยว

สัญญาณ อันตรายลักษณะนี้ไม่จำเป็นต้องถูกต้องเสมอไป ที่จริงแล้วไม่มีกฏใดที่เป็นจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่คุณก็ควรจะหนีอยู่ดี ถ้าคุณหนีทุกครั้งที่มีสัญญาณร้ายนี้ (และไม่หนีเมื่อเป็นการปรับฐานปกติ) ในระยะยาว คุณจะมีผลตอบแทนเฉลี่ยที่น่าประทับใจ
นักเก็งกำไรระดับอัจฉริยะคนหนึ่งเคยบอกผมว่า "เวลาฉันเจอสัญญาณอันตราย ฉันจะไม่โต้แย้ง ฉันจะขาย เพราะ ถ้าผ่านไปสองสามวันแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันก็สามารถกลับเข้าไปใหม่ได้เสมอ การทำอย่างนั้นทำให้ไม่ต้องกังวลใจหลายคืน เหมือนกันเวลาที่เราเดินอยู่บนรางรถไฟแล้วเห็นรถไฟวิ่งมาอย่างรวดเร็วลางๆ แต่ไม่แน่ใจ มันไม่เคยผิดที่เราจะกระโดดออกจากรางก่อน เพราะเรายังสามารถกลับเข้าไปในรางใหม่ได้อีกครั้ง ถ้าหากรถไฟนั้นไม่มีจริง"
ปัญหา ของนักเก็งกำไรส่วนใหญ่ก็คือมัวแต่ลังเลในเวลาที่ควรจะหนีอย่างรวดเร็ว พวกเขาอาจบอกตัวเองในใจว่า "ไว้ให้วิ่งขึ้นไปอีกหนึ่งรอบเล็กๆ ก่อนละกัน แล้วฉันค่อยหนี" แต่เมื่อการวิ่งนั้นมาจริงๆ เขาก็จะลืมอันตรายไปและคิดว่าสถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป ทุกอย่างดูดีอีกครั้ง แต่ในความเป็นจริง เวลานั้นกลับอันตราย หุ้นอาจเปลี่ยนแนวโน้มกระทันหันและทำให้เขาติดอยู่ในนั้นเพราะตายใจ แล้วไม่ได้เกิดขึ้นปรับฐานไม่ได้เกิดขึ้น


ความหวังล้มๆ แล้งๆ คือสิ่งที่ต้องกำจัดออกไปจากใจนักเก็งกำไร เป็นไปไม่ได้ที่จะได้กำไร ทุกวัน หรือทุกสัปดาห์ ในแต่ละปีคุณควรจะเทรดจริงจังแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น

จง จำไว้ เวลาที่คุณไม่ทำอะไรเลย นักเก็งกำไรคนอื่นๆ ที่มีความเชื่อว่าควรจะทุกวันหรือทุกสัปดาห์กำลังทำตัวเป็นฐานให้คุณทำกำไร อยู่ จงหากำไรจากความผิดพลาดของพวกเขา
การเก็งกำไรนั้นเป็น เกมที่เพลินมาก คุณจะติดการโทรคุยกับมาร์ ติดการคุยเรื่องหุ้นกับเพื่อนๆ ตลอดเวลา ราคาหุ้นอยู่ในสมองคุณทั้งวัน การหมกหมุ่นอยู่กับสิ่งเหล่านี้ทำให้คุณมองไม่เห็น big movement เทรดเดอร์ที่หมกมุ่นอยู่แต่การหากำไรจาก noise เล็กๆ รายวันจะพลาดโอกาสที่จะได้มีส่วนร่วมในการเคลื่อนตัวครั้งใหญ่ๆ

หลาย ปีก่อนผมได้ยินเรื่องของนักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จมากคนหนึ่งอาศัยอยู่ ในชนบท และได้รับข้อมูลราคาที่ช้าไปสามวันเสมอ เขาโทรหาโบรกเพียงแค่ปีละสองสามหนเท่านั้น เพื่อสั่งซื้อหรือขาย เขากล่าวว่าเขาอยู่ในที่ห่างไกลเพื่อที่จะได้ไม่สับสน ไม่หลงในความผันผวนเล็กๆ น้อยๆ มีเวลาที่จะได้คิดเงียบๆ จดบันทึกสิ่งที่ตัวเองทำ และมองเห็นภาพที่แท้จริงของตลาด การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่นั้นไม่ได้จบลงในวันเดียวกันกับวันที่มันเริ่มต้น มันต้องใช้เวลาหลายวันทั้งนั้น การหลบไปอยู่เขาทำให้สามารถแยกการเคลื่อนตัวครั้งใหญ๋ออกจากความผันผวนได้ จริง และเป็นการให้เวลากับการเคลื่อนตัวครั้งใหญ่เหล่านั้นได้แสดงศักยภาพของมัน ผมจดบันทึกความเคลื่อนไหวของหุ้นอยู่เรื่อยๆ และเมื่อใดที่มันแสดงความผิดปกติของมันออกมา เมื่อนั้นก็คือเวลาที่ควรเดินทางเข้าไปในเมือง และทำต้วให้ยุ่งได้แล้ว


3 Follow the Leaders
หลัง การประสบความสำเร็จสักระยะเวลาหนึ่ง ความเยายวนใจที่จะประมาทหรือทะเยอทะยานอย่างเกินขอบเขตจะมีอยู่เสมอในตลาด หุ้น  คุณต้องการสำนึกที่ดีและความคิดที่ปลอดโปร่งในการที่จะรักษากำไรเหล่านั้น เอาไว้ให้อยู่กับตัว คุณไม่จำเป็นต้องเสียมันไปใหม่หากคุณมีหลักการที่ดีให้ยึดถือ

เรา รู้ว่าราคาหุ้นขึ้นและลง มันจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป แนวคิดของผมก็คือ "เบื้องหลังการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ทุกครั้งคือแรงซื้อหรือขายที่ไม่อาจต้าน ทานได้" นั่นคือทั้งหมดที่คุณต้องรู้เท่านั้น ไม่ต้องไปสงสัยว่าอะไรทำให้เกิดแรงซื้อหรือแรงขายนั้น เพราะคุณจะทำให้หัวสมองของคุณรกไปด้วยสิ่งที่ไม่ใช่แก่นสาร แค่รับรู้ว่ามีการเคลื่อนไหวใหญ่เกิดขึ้นแล้ว แล้วก็ขับเรือของคุณตามกระแสนั้นไป อย่าได้โต้เถียงกับมัน ห้ามสู้กับมัน

จำ ไว้อีกอย่างว่า มันอันตรายที่จะซื้อหุ้นเต็มไปหมด ในช่วงเวลาหนึ่งๆ อย่าสนใจหุ้นหลายตัวเกินไป มันง่ายกว่ามากที่จะสนใจหุ้นแค่สองสามตัวแทนที่จะสนใจหุ้นทั้งตลาด ผมเคยพลาดกับเรื่องนี้มาแล้วเมื่อหลายปีก่อนและทำให้สูญเงินจำนวนมาก ถ้าคุณยังทำเงินกับหุ้นที่คุณสนใจไม่ได้ อย่าหวังว่าคุณจะได้กำไรจากหุ้นตัวอื่นๆ ด้วย

ตลาดหุ้นเหมือนแฟชั่น เสื้อผ้าและเครื่องประดับของผู้หญิงที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ หุ้นที่เคยนำตลาดจะหมดแรง แล้วก็จะมีตัวใหม่ขึ้นมานำตลาดแทนต่อไป หลายปีก่อน หุ้นรถไฟ น้ำตาล และยาสูบนำตลาด หลังจากนั้นเหล็กนำตลาด ในขณะที่น้ำตลาดและยาสูบฟุบไป ต่อจากนั้นมอเตอร์นำตลาดแทน ทุกวันนี้ในปี 1940 มีหุ้น 4 กลุ่มเท่านั้นที่ dominate ตลาดอยู่คือ เหล็ก มอเตอร์ เครื่องบิน ไปรษณีย์ กลุ่มที่นำตลาดจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ พยายามสนใจแค่ไม่กี่กลุ่มในเวลาหนึ่ง ทุกวันนี้ผมติดตามแค่สี่กลุ่ม

ตลาด ในยุคนี้เปลี่ยนไป ผมไม่เชื่อว่าคนที่เก็งกำไรด้วยการเข้าและออกอย่างรวดเร็วแบบสมัยก่อนจะ ประสบความสำเร็จในตลาดสมัยนี้ แต่ก่อนนี้ตลาดเคยกระจายตัวไปในทุกกลุ่มและมีสภาพคล่องที่ดี อยากเก็งตัวไหน ซื้อแล้ว ถ้ามันขึ้น ก็สามารถซื้อเพิ่มได้โดยง่าย หรือถ้าซื้อแล้วมันลง ก็สามารถขายทิ้งได้โดยง่าย แต่สมัยนี้ สภาพคล่องกระจุกตัวอยู่ในหุ้นแค่ไม่กี่กลุ่ม ผู้ที่จะประสบความสำเร็จได้จะต้องใจเย็นและต้องคิดอย่างถ้วนถี่กว่าเดิมก่อน จะลงมือสักครั้ง  ตลาดไม่เอื้ออำนวยต่อการขึ้นแบบหลอกๆ การขึ้นแบบชั่วคราว การขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยของหุ้นหลายๆ ตัว อีกต่อไปแล้ว


4. Money in the Hand

เวลา คุณจัดสรรเงินออมได้ อย่าให้คนอื่นทำแทน ไม่ว่าเงินนั้นจะเป็นหมื่นหรือล้าน ก็ใช้หลักเดียวกัน มันเป็นเงินของคุณ มันจะเป็นของคุณตราบใดที่คุณปกป้องมัน การถูกนำไปเก็งกำไรผิดวิธีเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ ผมต่อต้านการซื้อเฉลี่ยขาลง นั่นเป็นหนึ่งในวิธีที่ผิดที่พบได้บ่อย คนที่ซื้อหุ้นที่ 50 วันต่อมาเหลือ 47 พวกเขาจะมีแรงจูงใจมหาศาลที่จะซื้อเพิ่มอีก เพื่อให้ต้นทนเฉลี่ยเหลือแค่ 48

เมื่อซื้อมา 50 แล้วขาดทุนไป 3 มันเรื่องอะไรกันที่จะไปซื้อมาอีกเท่าตัว เพื่อให้กลุ้มใจหนักเป็นสองเท่าเมื่อมันวิ่งไปที่ 44 ถึงเวลานั้น ทั้งก้อนแรกและก้อนสองที่ลงไปล้วนขาดทุนหมดทั้งสองก้อน

พวกบ้าซื้อ เฉลี่ยขาลง จะซื้อเพิ่มอีกเป็นสองเท่าเมื่อราคาลงไปถึง 44, 38, 35, 32, 29,... สุดท้ายแล้วใครจะทนอย่างนี้ไหว แม้ว่าหุ้นมันจะไม่ลงไปเรื่อยๆ แบบนี้บ่อยนัก แต่การลงที่ไม่บ่อยนี่แหละที่นักเก็งกำไรต้องระวังเพื่อหลีกเลี่ยงหายนะ

เอาละผมพูดซ้ำมาหลายหนแล้วว่าอย่าซื้อเฉลี่ยขาลง คราวนี้มาฟังเคล็ดลับเด็ดของฉันบ้าง

"เมื่อ ใดก็ตามที่คุณโดน call margin ห้ามเติมเงินลงไป จงปล่อยให้โดนบังคับขายเสมอ" คุณอยู่ผิดข้างแล้ว ใยจึงเติมเงินลงไปอีก เก็บเงินไว้รอโอกาสใหม่วันหลังที่ดูดีกว่าครั้งนี้

พ่อค้าย่อมไม่ ปล่อยเครดิตให้ลูกค้ารายเดียว นักเก็งกำไรย่อมไม่ปล่อยเงินทั้งหมดไปกับโอกาสเพียงโอกาสเดียว สินค้าในชั้นวางของของพ่อค้าก็คือเงินสดของนักเก็งกำไร

ข้อผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ของนักเก็งกำไรทั้งหลายคือ แรงปรารถนาที่จะรวยอย่างรวดเร็ว แทนที่จะคิดได้กำไร 500% ในสองหรือสามปี พวกเขาพยายามจะทำให้ได้ในสองถึงสามเดือน มีบ้างเหมือนกันที่พวกเขาทำได้

แต่แล้วพวกเขารักษามันไว้ได้รึเปล่า

เปล่า ทำไมน่ะหรือ

เพราะ นั้นเป็นเงินร้อน มาเร็ว แต่มาแวะแค่ชั่วครู่เพื่อผ่านไปเท่านั้น มันแค่มาทำให้นักเก็งกำไรเสียสูญ พวกเขาอาจบอกว่า นี่ไงฉันทำได้ห้าเท่าในสองเดือน เด๋วจะทำอีกหนให้ดู

พวกเขาไม่หยุดยั้งที่จะทำต่อไป แล้วหายนะก็มาเยือน

นัก ธุรกิจที่เพิ่งเริ่มไม่มีใครหวังกำไร 25% ของเงินทุนในปีแรก แต่สำหรับนักเก็งกำไรแล้ว 25% ในหนึ่งคือเรื่องเล็กน้อยมากสำหรับเขา พวกเขาหวัง 100% แต่พวกเขาคิดคำนวณผิด พวกเขาพลาดที่ไม่คิดว่าการเก็งกำไรคือธุรกิจอย่างหนึ่ง ซึ่งต้องเป็นไปตามกฏของธุรกิจ ผมมีกฏอย่างหนึ่งอยากให้ยึดถือไว้ ทุกครั้งที่ประสบความสำเร็จจากการเก็งกำไร ควรจะขายเอากำไรครึ่งหนึ่งออกมาจากพอร์ตเพื่อเก็บไว้ในตู้เซฟ เงินที่ออกจากพอร์ตคือเงินที่ได้จากการประสบความสำเร็จเท่านั้น

ครั้ง หนึ่งผมหลบไปพักผ่อนที่ Palm beach สองวันหลังจากที่มาถึง ตลาดหุ้นนิวยอร์คร่วงอย่างหนัก ทำให้ผมได้กำไรอย่างมาก นั่นเป็นโอกาสที่จะนำเงินส่วนหนึ่งออกมา เมื่อตลาดปิด ผมสั่งให้เจ้าหน้าที่โทรเลขส่งข้อความไปบอกโบรกให้ถอนเงินออกจากพอร์ตหนี่ งล้านเหรียญ เจ้าหน้าที่คนนั้นแทบเป็นลม หลังจากนั้น เขาก็ขอสลิปของผม บอกว่าจะเก็บไว้เป็นที่ระลึก ผมถามว่าทำไม เขาตอบ เขาเป็นเจ้าหน้าที่โทรเลขมายี่สิบปี นี่เป็นข้อความแรกในชีวิตที่เป็นการสั่งโบรกให้ถอนเงินจากพอร์ต ผมเคยแต่รับข้อความนับพันครั้งจากโบรกที่เรียกให้ลูกค้า เติมเงิน เพราะโดน call margin

โอกาสเดียวเท่านั้นที่นักเก็งกำไรจะถอนเงินออกจากพอร์ ตคือเวลาที่พอร์ตว่างหรือมีเงินสดในพอร์ตมากเกินไป แต่พวกเขากลับไม่ทำ แปลกที่นักเก็งกำไรทั่วไปจะไม่ชอบเอาเงินออกจากพอร์ตตอนที่เพิ่งได้กำไร เพราะพวกเขาจะบอกตัวเองว่า เดี๋ยวก่อน ฉันจะกำไรให้มากกว่านี้อีกสองเท่า แต่ผลลัพธ์ก็คือ พวกเขามักไม่ได้จับเงินนั้นในที่สุด

ผมเอาเงินออกมาส่วนหนึ่งเสมอเมื่อทำกำไรได้ นโยบายนี้ช่วยผมมาหลายหนในชีวิต และเสียดายที่ผมเริ่มใช้นโยบายนี้ช้าเกินไป



ผม ไม่เคยหาเงินได้นอกตลาดหุ้นมาก่อน ผมเคยสูญเงินที่ได้จากตลาดหุ้นไปแล้วนับหลายล้านดอลล่าร์ให้กับ "การลงทุน" ในธุรกิจอย่างอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นตอนอสังหาบูมในฟลอริดา บ่อน้ำมัน โรงงานประกอบเครื่องบิน ธุรกิจวิจัยสินค้าใหม่ ฯลฯ

การเก็งกำไรเป็น เหมือนธุรกิจอย่างหนึ่ง อย่าปล่อยให้ตัวเราตกอยู่ใต้อิทธิพลของความตื่นเต้น การยกยอ สิ่งยั่วยวนใจใดๆ บ่อยครั้งที่โบรกเกอร์เป็นอุปสรรคของนักเก็งกำไร อาชีพของโบรกเกอร์คือการเก็บค่าคอมฯ พวกเขาจะไม่ได้อะไรถ้าคุณไม่เทรด เมื่อไรก็ตามที่คุณเห็นโบรกเกอร์ของคุณเป็นเพื่อนสนิท เมื่อนั้นคุณจะเทรดมากเกินไป กว่าจะรู้ตัวคุณก็ติดเป็นนิสัยไปแล้ว เงินที่มาได้ง่าย จะไปได้ง่ายเสมอ

อย่าเทรดจนกว่าคุณจะรู้ว่าคุณจะทำให้เงินก้อนนั้นปลอดภัยได้อย่างไร

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘