เตือนสติคนไทย
ที่ผ่านมา ผมเห็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง
ก็ได้แต่มองดู ความเปลี่ยนแปลง ความเป็นไป ความเป็นธรรมดาของมนุษย์โลก
มันก็เป็นอย่างนี้มาทุกยุคทุกสมัย ไม่มีอะไรแตกต่างกัน
เมื่อก่อนนี้คนเราก็ทะเลาะกัน ก็เพราะเรื่องการปกครองนี่แหละ
รบราฆ่าฟันกัน ก็เพราะอำนาจนี่แหละ
ตอนนี้ก็รบราฆ่าฟันกัน ก็เพราะอำนาจเหมือนเดิม
เพียงแต่ต่างกันตรงที่ว่า ก่อนนั้น คนมีอำนาจ ปกครองเขตของตนเอง
อยากขยายอาณาเขต ก็ต้องไปตีเขตปกครองของคนอื่น
แต่คราวนี้
เป็นเพราะว่า อำนาจที่มีอยู่ มันยังไม่เพียงพอจะยึดอาณาเขตไว้เป็นของตัวเองได้
ก็ต้องหาทางทำอะไรกันไปอย่างที่เห็น
ผมได้ไปเขียนแสดงความเห็นในบทความของคุณใจ อึ๊งภากรณ์
ที่เมื่อได้อ่านด้วยใจที่เป็นกลางแท้ๆ ก็ต้องขอเตือนสติเค้าไปบ้าง
และก็ขอยกมาไว้ในบล็อกของตัวเองด้วย
คิดว่ามีประโยชน์บ้าง ในการที่จะเตือนสติผู้อ่าน
และนี่คือ สิ่งที่ผมได้เขียนแสดงความเห็นออกไป
“ใช้เวลาอยู่กับ ความมีอคติ
ไม่เคย มองดูความชั่วของตัวเอง
มีเวลา มองหาความชั่วของผู้อื่น
เกิดมาแล้วหาได้มีประโยชน์ต่อสิ่งอื่นใด
เม็ดดินเม็ดทรายที่รองรับน้ำหนักตัวของท่าน ก็ยอมทนรับไปอย่างนั้นเอง
หากมันย้ายตัวเองได้ มันก็คงไม่อยากทำหน้าที่ของมัน
น้ำ อากาศ หากสามารถวิ่งหนีจากจมูก ปาก ของท่านได้ ท่านคงจะหายใจไม่ออก ขาดน้ำอาหารตายไปนานแล้ว
โลกนี้ หาใครดีแต่ส่วนเดียวได้หรือ
แม้แต่ท่านเอง ยังทำไม่ได้ ท่านจะหวังอะไร
ระบบการปกครองที่ดีที่สุด อยู่ที่ตรงไหน มันไม่มีหรอกท่าน มันมีแต่ความโง่ของคนเท่านั้นแหละ
ประธาธิบดีเป็นคนที่ดีที่สุดเหรอ ไม่หรอก มันไม่เกี่ยวหรอกว่า ใครจะดีที่สุด ใครจะเฉลียวฉลาดที่สุด
มันอยู่ที่ว่า คนดีมันดี โดยไม่จำกัดว่า เป็นกษัตริย์ หรือ ยาจก เป็นนักการเมือง หรือ ชาวนา
มันดีของมันเอง
สิ่งอื่นๆ มันก็แค่แต่งตัวมา แล้วก็บอกว่า นี่คือ กษัตริย์ นี่คือ ยาจก นี่คือนักการเมือง นี่คือชาวนา
แต่สิ่งที่เป็นเนื้อแท้ คือ ใจ
ใจดี จะใส่เสื้ออะไรมันก็ดีไปทั้งตัว
ใจเลว จะใส่เสื้ออะไร มันก็เลวไปทั้งตัว
เวลาใจดี มันก็ดีเวลานั้น
เวลาใจเลว มันก็เลวเวลานั้น
สิ่งที่พวกท่านทำ ทำให้บ้านเมืองปั่นป่วนอยู่เวลานี้ ท่านเรียกร้องอะไร ท่านก็รู้อยู่
แต่การไปแหย่ ให้ผึ้งแตกรัง เป็นการกระทำที่บัณฑิต ไม่สรรเสริญ
ท่านไม่รู้หรอกหรือ ทุกวันนี้ คนไทย เป็นเหมือนผึ้งแตกรัง
ใครเป็นคนแหย่ล่ะท่าน
ต่อให้การปกครองที่ล้าหลังที่สุดในโลก
แต่ผู้คนอยู่กันอย่างสงบสุข ไม่ลุกมาทะเลาะเบาะแว้งกัน นั่นก็นับว่า ดีเยี่ยมยอดแล้ว
ยิ่งคุณดิ้นรนเท่าไหร่ ใช่ว่าคุณจะหลุดได้ง่ายๆ
ปลาที่ติดตาข่าย ยิ่งดิ้นรน ก็ยิ่งมัดแน่น
ยิ่งคุณพูดมากเท่าไหร่ คำพูดก็มัดคุณมากเท่านั้น
แล้วคุณจะเริ่มหายใจไม่ออก แล้วก็ตายไปอย่างไร้ค่า
คำพูดของคน
พระพุทธเจ้าบอกว่า
เรื่องไม่จริง ไม่ควรพูด
เรื่องจริง ไม่มีประโยชน์ ก็ไม่ควรพูด
เรื่องจริง มีประโยชน์ แต่ไม่ถูกกาละเทศะ ก็ไม่ควรพูด
เรื่องจริง มีประโยชน์ ถูกกาละเทศะ จึงควรพูด
ลองพิจารณาดูเองเถิดว่า สิ่งที่คุณพูดมันเป็นแบบไหน ใน สี่อย่างนี้ คิดเอาเอง
คิดถูก ก็ดีต่อตัวคุณเอง
คิดผิด คุณเองก็ต้องยอมรับผลของมัน
ผมไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณหรอกนะ
ทำอะไรก็ทำไปเถิด หากทำสิ่งที่ดี
ดินก็อยากจะรับน้ำหนักของคุณ
น้ำก็อยากจะหล่อเลี้ยงเลือดเนื้อคุณ
อากาศก็อยากจะเข้าไปในจมูกของคุณ
หากทำสิ่งที่ไม่ดี
ดินก็จะไม่อยากรับ
น้ำก็ไม่อยากอยู่ในกายคุณ
อากาศก็จะไม่อยากจะไหลเข้าร่างของคุณหรอก
ธรรมชาติเค้ารู้ ว่าเค้าควรอยู่กับคุณนานแค่ไหน”
ก็ได้แต่มองดู ความเปลี่ยนแปลง ความเป็นไป ความเป็นธรรมดาของมนุษย์โลก
มันก็เป็นอย่างนี้มาทุกยุคทุกสมัย ไม่มีอะไรแตกต่างกัน
เมื่อก่อนนี้คนเราก็ทะเลาะกัน ก็เพราะเรื่องการปกครองนี่แหละ
รบราฆ่าฟันกัน ก็เพราะอำนาจนี่แหละ
ตอนนี้ก็รบราฆ่าฟันกัน ก็เพราะอำนาจเหมือนเดิม
เพียงแต่ต่างกันตรงที่ว่า ก่อนนั้น คนมีอำนาจ ปกครองเขตของตนเอง
อยากขยายอาณาเขต ก็ต้องไปตีเขตปกครองของคนอื่น
แต่คราวนี้
เป็นเพราะว่า อำนาจที่มีอยู่ มันยังไม่เพียงพอจะยึดอาณาเขตไว้เป็นของตัวเองได้
ก็ต้องหาทางทำอะไรกันไปอย่างที่เห็น
ผมได้ไปเขียนแสดงความเห็นในบทความของคุณใจ อึ๊งภากรณ์
ที่เมื่อได้อ่านด้วยใจที่เป็นกลางแท้ๆ ก็ต้องขอเตือนสติเค้าไปบ้าง
และก็ขอยกมาไว้ในบล็อกของตัวเองด้วย
คิดว่ามีประโยชน์บ้าง ในการที่จะเตือนสติผู้อ่าน
และนี่คือ สิ่งที่ผมได้เขียนแสดงความเห็นออกไป
“ใช้เวลาอยู่กับ ความมีอคติ
ไม่เคย มองดูความชั่วของตัวเอง
มีเวลา มองหาความชั่วของผู้อื่น
เกิดมาแล้วหาได้มีประโยชน์ต่อสิ่งอื่นใด
เม็ดดินเม็ดทรายที่รองรับน้ำหนักตัวของท่าน ก็ยอมทนรับไปอย่างนั้นเอง
หากมันย้ายตัวเองได้ มันก็คงไม่อยากทำหน้าที่ของมัน
น้ำ อากาศ หากสามารถวิ่งหนีจากจมูก ปาก ของท่านได้ ท่านคงจะหายใจไม่ออก ขาดน้ำอาหารตายไปนานแล้ว
โลกนี้ หาใครดีแต่ส่วนเดียวได้หรือ
แม้แต่ท่านเอง ยังทำไม่ได้ ท่านจะหวังอะไร
ระบบการปกครองที่ดีที่สุด อยู่ที่ตรงไหน มันไม่มีหรอกท่าน มันมีแต่ความโง่ของคนเท่านั้นแหละ
ประธาธิบดีเป็นคนที่ดีที่สุดเหรอ ไม่หรอก มันไม่เกี่ยวหรอกว่า ใครจะดีที่สุด ใครจะเฉลียวฉลาดที่สุด
มันอยู่ที่ว่า คนดีมันดี โดยไม่จำกัดว่า เป็นกษัตริย์ หรือ ยาจก เป็นนักการเมือง หรือ ชาวนา
มันดีของมันเอง
สิ่งอื่นๆ มันก็แค่แต่งตัวมา แล้วก็บอกว่า นี่คือ กษัตริย์ นี่คือ ยาจก นี่คือนักการเมือง นี่คือชาวนา
แต่สิ่งที่เป็นเนื้อแท้ คือ ใจ
ใจดี จะใส่เสื้ออะไรมันก็ดีไปทั้งตัว
ใจเลว จะใส่เสื้ออะไร มันก็เลวไปทั้งตัว
เวลาใจดี มันก็ดีเวลานั้น
เวลาใจเลว มันก็เลวเวลานั้น
สิ่งที่พวกท่านทำ ทำให้บ้านเมืองปั่นป่วนอยู่เวลานี้ ท่านเรียกร้องอะไร ท่านก็รู้อยู่
แต่การไปแหย่ ให้ผึ้งแตกรัง เป็นการกระทำที่บัณฑิต ไม่สรรเสริญ
ท่านไม่รู้หรอกหรือ ทุกวันนี้ คนไทย เป็นเหมือนผึ้งแตกรัง
ใครเป็นคนแหย่ล่ะท่าน
ต่อให้การปกครองที่ล้าหลังที่สุดในโลก
แต่ผู้คนอยู่กันอย่างสงบสุข ไม่ลุกมาทะเลาะเบาะแว้งกัน นั่นก็นับว่า ดีเยี่ยมยอดแล้ว
ยิ่งคุณดิ้นรนเท่าไหร่ ใช่ว่าคุณจะหลุดได้ง่ายๆ
ปลาที่ติดตาข่าย ยิ่งดิ้นรน ก็ยิ่งมัดแน่น
ยิ่งคุณพูดมากเท่าไหร่ คำพูดก็มัดคุณมากเท่านั้น
แล้วคุณจะเริ่มหายใจไม่ออก แล้วก็ตายไปอย่างไร้ค่า
คำพูดของคน
พระพุทธเจ้าบอกว่า
เรื่องไม่จริง ไม่ควรพูด
เรื่องจริง ไม่มีประโยชน์ ก็ไม่ควรพูด
เรื่องจริง มีประโยชน์ แต่ไม่ถูกกาละเทศะ ก็ไม่ควรพูด
เรื่องจริง มีประโยชน์ ถูกกาละเทศะ จึงควรพูด
ลองพิจารณาดูเองเถิดว่า สิ่งที่คุณพูดมันเป็นแบบไหน ใน สี่อย่างนี้ คิดเอาเอง
คิดถูก ก็ดีต่อตัวคุณเอง
คิดผิด คุณเองก็ต้องยอมรับผลของมัน
ผมไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณหรอกนะ
ทำอะไรก็ทำไปเถิด หากทำสิ่งที่ดี
ดินก็อยากจะรับน้ำหนักของคุณ
น้ำก็อยากจะหล่อเลี้ยงเลือดเนื้อคุณ
อากาศก็อยากจะเข้าไปในจมูกของคุณ
หากทำสิ่งที่ไม่ดี
ดินก็จะไม่อยากรับ
น้ำก็ไม่อยากอยู่ในกายคุณ
อากาศก็จะไม่อยากจะไหลเข้าร่างของคุณหรอก
ธรรมชาติเค้ารู้ ว่าเค้าควรอยู่กับคุณนานแค่ไหน”