มาลงทุนในหุ้น กันนะครับ
FATS-Revolution
(Fusion Advance Trading System)
ลิงค์สำหรับไฟล์ประกอบนะครับ
http://www.keepandshare.com/doc/view.php?id=500087&da=y
ลงทุน เพื่ออะไร
บางทีคุณอาจคิดว่า การลงทุนก็เพื่อหวังผลกำไร
แต่สำหรับผม ผมคิดว่า การลงทุนนั้น
ก็เพื่อที่จะสร้างระบบที่จะดึงดูดรายได้เข้ามา
และแน่นอนว่า หากมันยังดึงดูดเงินเข้ามาเรื่อยๆ
เวลาผ่านไป รายได้ที่เข้ามานั้น ก็จะเท่ากับเงินที่ได้ลงทุนไปในคราวแรก
และหลังจากนั้น สิ่งที่ได้เข้ามาก็คือของฟรี
จะเรียกว่ากำไรก็ได้ครับ แต่ผมจะเรียกมันว่า “ของฟรี”
เราลงทุน เพื่อที่จะได้ของฟรี (นี่เป็นนิยามของการลงทุนแบบผม)
เราจะได้ของฟรี ได้อย่างไร
ขั้นแรก เราลงทุนด้วยเงินก้อนหนึ่ง ลงทุนกับอะไรก็แล้วแต่
ซึ่งสิ่งที่ลงทุนนั้น จะสามารถทำให้เงิน ไหลมาทีละเล็กทีละน้อย
สมมุติว่า คุณลงทุนด้วยเงิน 5 ล้านบาท กับแฟรนไชส์อย่าง 7-eleven
เงินที่คุณลงทุนไป มันได้หายไปต่อหน้าต่อตาคุณแล้ว
และคุณอาจจะไม่มีทางได้คืน 5 ล้านบาท เมื่อคุณเปลี่ยนใจไม่อยากมีร้านนั้นแล้ว
คุณอาจจะขายร้านนี้ต่อให้ใครสักคน หากคุณต้องการเงินคืนอย่างเร่งด่วน
โอกาสที่คุณจะขายได้มากกว่า 5 ล้านนั้น ค่อนข้างยาก
เพราะเงินจำนวนมากอย่างนั้นไม่ได้มีอยู่กับทุกคน
แต่จะง่ายกว่า หากคุณจะขายขาดทุนไปในราคาที่ต่ำกว่า 5 ล้าน
เช่น คุณขายได้เพียง 4 ล้านบาท คุณก็จะขาดทุนไปทันที 1 ล้านบาท
เมื่อลงทุนเปิดร้านไปแล้ว ก็อาศัยการซื้อสินค้าเข้ามาในร้าน แล้วก็ขายให้ลูกค้า
ส่วนต่างของราคาสินค้า คือ กำไร
และกำไรสุทธิที่เหลือหลังหักค่าใช้จ่าย ส่วนนั้น คือ รายได้
ร้านค้าอย่าง 7-eleven เหลือรายได้วันละเท่าไหร่
อาจจะวันละ 1,000 หรือระดับ หลายหมื่นต่อวัน
สมมุติว่า ร้านนี้มีรายได้วันละ 1,000 บาท
แสดงว่า 1 ปี จะมีเงินรายได้ 365,000 บาท
ใช้เวลากี่ปีจึงจะได้เงิน 5 ล้านคืน ก็ลองคำนวณดูครับ
แต่ถ้าร้านนี้มีรายได้วันละ 10,000 บาท
1 ปี ก็จะมีรายได้ 3,650,000 บาท
ก็คงใช้เวลาไม่ถึงสองปีที่จะได้เงิน 5 ล้านคืน
ส่วนที่เกิน 5 ล้านไปแล้ว ที่เหลือนั้นก็คือ ของฟรีครับ
ในตลาดหุ้น ก็มีของฟรี ไม่ต่างจากร้านค้าอย่าง 7-eleven
หากเราลงทุนในตลาดหุ้น ตัวหุ้นเป็นสินค้าที่ใช้ซื้อขายได้
- หุ้นสามารถสร้างรายได้ หากคุณขายหุ้นได้ราคาสูงกว่าที่คุณซื้อมา
- ในขณะเดียวกัน มันก็กลายเป็นรายจ่าย หากคุณขายหุ้นในราคาต่ำกว่าที่ซื้อมา
คุณควรเรียนรู้วิธีการที่จะทำให้หุ้นสร้างรายได้ แทนที่จะให้มันกลายเป็นรายจ่าย
เพราะเมื่อคุณสร้างรายได้เข้ามาเรื่อยๆ รายได้รวมก็จะมาถึงจุดที่คุณได้ลงทุนไป
ส่วนที่เหลือหลังจากนั้น ก็จะกลายเป็น “ของฟรี”
แต่ถ้าคุณปล่อยให้มันสร้างแต่รายจ่าย คุณอาจจะสูญเงินที่คุณลงทุนไปทั้งหมดก็เป็นไปได้
แทนที่จะได้ของฟรี คุณกลับทิ้งเงินที่มีอยู่ออกไปอย่างน่าเสียดาย
คนจำนวนมากสูญเงินไปกับตลาดหุ้น เพราะเขาไม่สามารถสร้างรายได้เข้ามา
และปล่อยให้มันสร้างแต่รายจ่าย
(หรือบางที การมีรายจ่ายมากกว่ารายได้ มันก็ได้ผลลัพธ์รวมเท่ากับการมีรายจ่ายนั่นเอง)
ที่เขาขาดทุนในการเล่นหุ้น ก็เพราะ รายจ่ายที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนั่นเอง
ทำไมหลายคนจึงขาดทุน
หากเปรียบกับร้านค้าอย่าง 7-eleven
คุณคงจะไม่รีบร้อนขายร้านค้านั้นทิ้งไป
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม
ไม่ว่าจะมีคนมาบอกกับคุณว่าแถวนี้ไม่ค่อยมีลูกค้า
ถ้าไม่อยากขาดทุนมาก คุณจะขายให้ฉันไหม ฉันให้ราคา 4 ล้านบาท
คุณอาจจะเริ่มหวั่นไหว หากมีคนที่สองมาบอกกับคุณว่า ทำเลแถวนี้มีขโมยเยอะ
ถ้าไม่อยากขาดทุนมาก คุณจะขายให้ฉันไหม ฉันให้ราคา 3 ล้านบาท
คุณอาจจะเริ่มหวั่นไหวขึ้นไปอีก
หากมีคนที่สาม มาบอกกับคุณว่า
โอ้ย แถวนี้ลูกค้าไม่ค่อยมีเงินซื้อหรอก ขายให้ผมล้านนึง ผมยังไม่ซื้อเลย
เห็นไหมครับ ว่า คนที่ขาดทุนในหุ้นนั้นเพราะอะไร
เพราะเขาเพิ่งจะลงทุนไปหยกๆ แล้วมีคนมาบอกเค้าว่า
ราคาหุ้นตัวนี้ไม่น่าสนใจ ราคาน่าจะต่ำกว่าที่คุณซื้อมา
เมื่อคุณยอมขายไป มันก็คือ การขาดทุน
และการขาดทุน ก็คือ รายจ่ายใช่ไหมครับ
และถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้บ่อยๆ รายจ่ายนั้นก็ทำให้คุณหมดตัวได้ครับ
มูลค่าพอร์ต คือ คำพูดของคนสองสามคนนั้น
อาจจะจริงอย่างที่คนสองสามคนพูด คือ
สถานการณ์บางอย่าง ทำให้ราคาหุ้นตกลงไปมากกว่าที่คุณซื้อมา
เพราะเมื่อคุณดูราคาหุ้นตอนนี้ ราคามันต่ำลงไป
ก็จะเห็นตัวเลขสีแดงๆ
ที่เปรียบเหมือนกับการที่มีหลายๆ คนมาพูดกรอกหูคุณว่า ขายเถอะ ขายเถอะ
เห็นไหมตอนนี้คุณขาดทุนไปแล้วเท่าไหร่
และมูลค่าพอร์ตที่ติดลบนี่เอง กระตุ้นให้คุณ ขายขาดทุน
และกลายเป็นรายจ่ายในที่สุด
ถ้าคุณจะเป็นนักลงทุน คุณอาจจะมองดูมูลค่าของมันบ้าง
เพื่อที่จะรู้ว่า สถานการณ์ตอนนี้ ร้านค้าของคุณกำลังจะเข้าสู่วิกฤติหรือไม่
หากยังไม่ถึงขั้นวิกฤติ คุณก็ไม่ต้องกลัวว่า มูลค่าพอร์ต ติดลบอยู่เท่าไหร่
..
เอาล่ะครับ
เรามาดูเทคนิคในการสร้างรายได้จากตลาดหุ้นกัน
ธรรมชาติของหุ้น มีขึ้น และ ลง
ในเมื่อมัน ขึ้นๆ ลงๆ อยู่เป็นธรรมชาติอยู่แล้ว
เราก็เอาธรรมชาติของการขึ้นลงนั่นแหละเป็นการสร้างรายได้
คุณซื้อหุ้นราคาหนึ่ง แล้วไปขายที่ราคาสูงกว่าที่ซื้อมา
มันก็ได้กำไร หรือ รายได้นั่นเอง
เมื่อหุ้นราคาตกลงไปอีก คุณก็มีเงินสำรองซื้อที่ราคานั้น
แล้วรอขายที่ราคาสูงกว่า ขายได้เมื่อไร มันก็คือ มีรายได้เข้ามาอีก
เมื่อราคาหุ้นตกลงไปอีก คุณก็มีเงินสำรองซื้อเข้ามาได้อีก
แล้วรอขายที่ราคาสูงกว่า
ไม่ยุ่งยากซับซ้อนเลยใช่ไหมครับ
ที่มันยากสำหรับคนใหม่ หรือ คนที่ไม่รู้เทคนิค ก็เพราะไปดูมูลค่าพอร์ตนั่นเอง
แต่เทคนิคของระบบ FATS-Revolution นั้น มีรายละเอียดอยู่บ้างครับ
FATS-Revolution (เทคนิคการลงทุนในตลาดหุ้นระยะยาว)
หลักการนี้เราไม่ได้ต้องการการเติบโตแบบรวยเร็ว รวยลัด
แต่เราจะอยู่บนพื้นฐานของการค่อยๆ เติบโตอย่างมั่นคง
สมมุติว่าคุณมีเงินทุนอยู่ 20,000 บาท
และสนใจหุ้นตัวหนึ่ง ที่มีราคาประมาณ 2 บาท
คุณจะวางแผนอย่างไร จึงจะสามารถรองรับกรณีที่หุ้นราคาลดลงมากๆ
หลักการของระบบนี้ หัวใจอยู่ที่ “เงินสำรอง”
ที่เพียงพอจะซื้อหุ้นได้ในทุกช่วงราคา (ไม่ใช่ทุกราคานะครับ)
เดี๋ยวค่อยดูตัวอย่างก็แล้วกันครับ
ลองดูตัวอย่างนี้ครับ
ราคา * จำนวนหุ้นที่ซื้อ = เป็นเงินสำรองซื้อ
2.00 * 100 = 200
1.90 * 200 = 380
1.80 * 300 = 540
1.70 * 400 = 680
1.60 * 500 = 800
1.50 * 600 = 900
1.40 * 700 = 980
1.30 * 800 = 1040
1.20 * 900 = 1080
1.10 * 1000 = 1100
1.00 * 1100 = 1100
0.90 * 1200 = 1080
0.80 * 1300 = 1040
0.70 * 1400 = 980
0.60 * 1500 = 900
0.50 * 1600 = 800
0.40 * 1700 = 680
0.30 * 1800 = 540
0.20 * 1900 = 380
0.10 * 2000 = 200
รวมเงินสำรองทั้งหมด = 15,400 บาท
ทีนี้ไม่ว่าหุ้นมันจะร่วงไปจนติดพื้น เราก็มีเงินพอซื้อได้เสมอ
สังเกตว่า การซื้อหุ้นจะซื้อในรูปแบบปิรามิด คือ ราคาถูกก็จะซื้อในจำนวนที่มากขึ้น
เพราะเราได้ล็อคจำนวนซื้อแต่ละราคาแล้ว
เราจึงรู้ได้ทันทีว่า ในแต่ละราคา เราต้องมีหุ้นอยู่ในมือรวม (สะสม) เท่าไหร่
ที่ราคา —— จำนวนหุ้นสะสม
2.00 ———-> 100
1.90 ———-> 300
1.80 ———-> 600
1.70 ———-> 1000
1.60 ———-> 1500
1.50 ———-> 2100
1.40 ———-> 2800
1.30 ———-> 3600
1.20 ———-> 4500
1.10 ———-> 5500
1.00 ———-> 6600
0.90 ———-> 7800
0.80 ———-> 9100
0.70 ———-> 10500
0.60 ———-> 12000
0.50 ———-> 13600
0.40 ———-> 15300
0.30 ———-> 17100
0.20 ———-> 19000
0.10 ———-> 21000
การขายทำกำไร จะขายเหนือกว่าจุดซื้อ 1 ช่วงตัว
เช่น
ซื้อที่ราคา——-> ราคาเป้าหมายขายทำกำไร
2.00 ———-> 2.10
1.90 ———-> 2.00
1.80 ———-> 1.90
1.70 ———-> 1.80
1.60 ———-> 1.70
1.50 ———-> 1.60
1.40 ———-> 1.50
1.30 ———-> 1.40
1.20 ———-> 1.30
1.10 ———-> 1.20
1.00 ———-> 1.10
0.90 ———-> 1.00
0.80 ———-> 0.90
0.70 ———-> 0.80
0.60 ———-> 0.70
0.50 ———-> 0.60
0.40 ———-> 0.50
0.30 ———-> 0.40
0.20 ———-> 0.30
0.10 ———-> 0.20
ทำอย่างไร ถ้าหากหุ้นมีราคาสูงขึ้น จนกระทั่งเราขายไปจนหมด
เราก็ต้องปรับแผนใหม่ ด้วยการปรับช่วงราคาซื้อขายใหม่ตามเงินทุนที่มีอยู่
เช่น หุ้นขึ้นไปที่ 2.50 เราก็ต้องเปลี่ยนช่วงใหม่ อาจจะเป็นแบบนี้ครับ
2.50 * 100 = 250
2.36 * 200 = 472
2.22 * 300 = 666
2.08 * 400 = 832
1.94 * 500 = 970
1.80 * 600 = 1080
1.66 * 700 = 1162
1.52 * 800 = 1216
1.38 * 900 = 1242
1.24 * 1000 = 1240
1.10 * 1100 = 1210
0.96 * 1200 = 1152
0.82 * 1300 = 1066
0.68 * 1400 = 952
0.54 * 1500 = 810
0.40 * 1600 = 640
0.26 * 1700 = 442
0.12 * 1800 = 216
เงินทุนสำรอง = 15,618 บาท
เราจะใช้ excel เป็นตัวช่วยคำนวณ
เมื่อเรากรอกจำนวนหุ้นที่มีอยู่
โปรแกรมก็จะบอกว่า ที่ราคาเป้าหมายใดๆ
หากมีหุ้นมากกว่าเป้าหมายหุ้นสะสม (ที่เราล็อคไว้แล้ว)
ก็จะให้ขายออกไปจำนวนหนึ่ง เพื่อให้เหลือเท่ากับที่ต้องการ
หากมีหุ้นน้อยกว่าเป้าหมายหุ้นสะสม
ก็จะให้ซื้อเข้ามาจำนวนหนึ่ง เพื่อให้ได้จำนวนเท่ากับที่ต้องการ
เช่น
ตอนนี้เราซื้อๆ ขายๆ จนมีหุ้นอยู่ในมือ 4,500 หุ้น
แต่ราคาหุ้น ไปอยู่ที่ระดับราคา 1.40
ซึ่งเป้าหมายหุ้นสะสม = 2,800 หุ้น
จึงต้องขายออกไป = 4,500 - 2,800 = 2,100 หุ้น
ให้ดูรายละเอียดในไฟล์ excel นะครับ
http://www.keepandshare.com/doc/view.php?id=500087&da=y
แค่ทำตามนั้นครับ
หน้าที่เราสำคัญอยู่ที่การวางแผนช่วงซื้อขาย
ว่าจะกำหนดราคาและจำนวนอย่างไร
ที่เหลือก็ทำตามที่โปรแกรมบอกให้ซื้อหรือขาย เป็นจำนวนเท่าไหร่
ไม่ถึงราคาซื้อก็ยังไม่ซื้อ ไม่ถึงราคาขายก็ยังไม่ขาย เราแค่ทำตาม
คุณอาจจะคิดว่า เงินสำรองมีมากเกินไป
ทำให้ประสิทธิภาพของการทำรายได้อาจจะน้อยเกินไป
แต่หลักการนี้ ช่วยให้คุณลดความเสี่ยงลงได้มาก เพราะเงินสดยังอยู่ในมือคุณ
และแน่นอนว่า คุณยังได้ดอกเบี้ย (จากโบรกเกอร์หรือธนาคาร)
ส่วนหุ้นที่ยังไม่ได้ขาย
คุณก็จะได้รับส่วนเงินปันผล (หากว่าคุณเลือกหุ้นที่น่าจะได้ปันผลรายปี)
หลักการนี้จึงเปรียบเสมือนเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพเงินฝาก
จากที่อาจจะได้เพียงสองสามเปอร์เซ็นต์ต่อปี
ก็สามารถเพิ่มขึ้นเป็น 5 หรือ 10 เปอร์เซ็นต์ หรือมากกว่านั้นได้
ที่สำคัญ หลักการนี้สามารถทำได้ง่ายๆ และทำได้ตลอดไป
จนกว่าตลาดหุ้นจะสูญหายไปจากระบบเศรษฐกิจ
…………….
ควรศึกษาให้เข้าใจจริงๆ ก่อนนำไปใช้ครับ
และผมไม่รับประกันว่า ทำตามระบบนี้จะประสบความสำเร็จได้ทุกคน
เพราะการลงทุนมีความเสี่ยงเสมอครับ
(Fusion Advance Trading System)
ลิงค์สำหรับไฟล์ประกอบนะครับ
http://www.keepandshare.com/doc/view.php?id=500087&da=y
ลงทุน เพื่ออะไร
บางทีคุณอาจคิดว่า การลงทุนก็เพื่อหวังผลกำไร
แต่สำหรับผม ผมคิดว่า การลงทุนนั้น
ก็เพื่อที่จะสร้างระบบที่จะดึงดูดรายได้เข้ามา
และแน่นอนว่า หากมันยังดึงดูดเงินเข้ามาเรื่อยๆ
เวลาผ่านไป รายได้ที่เข้ามานั้น ก็จะเท่ากับเงินที่ได้ลงทุนไปในคราวแรก
และหลังจากนั้น สิ่งที่ได้เข้ามาก็คือของฟรี
จะเรียกว่ากำไรก็ได้ครับ แต่ผมจะเรียกมันว่า “ของฟรี”
เราลงทุน เพื่อที่จะได้ของฟรี (นี่เป็นนิยามของการลงทุนแบบผม)
เราจะได้ของฟรี ได้อย่างไร
ขั้นแรก เราลงทุนด้วยเงินก้อนหนึ่ง ลงทุนกับอะไรก็แล้วแต่
ซึ่งสิ่งที่ลงทุนนั้น จะสามารถทำให้เงิน ไหลมาทีละเล็กทีละน้อย
สมมุติว่า คุณลงทุนด้วยเงิน 5 ล้านบาท กับแฟรนไชส์อย่าง 7-eleven
เงินที่คุณลงทุนไป มันได้หายไปต่อหน้าต่อตาคุณแล้ว
และคุณอาจจะไม่มีทางได้คืน 5 ล้านบาท เมื่อคุณเปลี่ยนใจไม่อยากมีร้านนั้นแล้ว
คุณอาจจะขายร้านนี้ต่อให้ใครสักคน หากคุณต้องการเงินคืนอย่างเร่งด่วน
โอกาสที่คุณจะขายได้มากกว่า 5 ล้านนั้น ค่อนข้างยาก
เพราะเงินจำนวนมากอย่างนั้นไม่ได้มีอยู่กับทุกคน
แต่จะง่ายกว่า หากคุณจะขายขาดทุนไปในราคาที่ต่ำกว่า 5 ล้าน
เช่น คุณขายได้เพียง 4 ล้านบาท คุณก็จะขาดทุนไปทันที 1 ล้านบาท
เมื่อลงทุนเปิดร้านไปแล้ว ก็อาศัยการซื้อสินค้าเข้ามาในร้าน แล้วก็ขายให้ลูกค้า
ส่วนต่างของราคาสินค้า คือ กำไร
และกำไรสุทธิที่เหลือหลังหักค่าใช้จ่าย ส่วนนั้น คือ รายได้
ร้านค้าอย่าง 7-eleven เหลือรายได้วันละเท่าไหร่
อาจจะวันละ 1,000 หรือระดับ หลายหมื่นต่อวัน
สมมุติว่า ร้านนี้มีรายได้วันละ 1,000 บาท
แสดงว่า 1 ปี จะมีเงินรายได้ 365,000 บาท
ใช้เวลากี่ปีจึงจะได้เงิน 5 ล้านคืน ก็ลองคำนวณดูครับ
แต่ถ้าร้านนี้มีรายได้วันละ 10,000 บาท
1 ปี ก็จะมีรายได้ 3,650,000 บาท
ก็คงใช้เวลาไม่ถึงสองปีที่จะได้เงิน 5 ล้านคืน
ส่วนที่เกิน 5 ล้านไปแล้ว ที่เหลือนั้นก็คือ ของฟรีครับ
ในตลาดหุ้น ก็มีของฟรี ไม่ต่างจากร้านค้าอย่าง 7-eleven
หากเราลงทุนในตลาดหุ้น ตัวหุ้นเป็นสินค้าที่ใช้ซื้อขายได้
- หุ้นสามารถสร้างรายได้ หากคุณขายหุ้นได้ราคาสูงกว่าที่คุณซื้อมา
- ในขณะเดียวกัน มันก็กลายเป็นรายจ่าย หากคุณขายหุ้นในราคาต่ำกว่าที่ซื้อมา
คุณควรเรียนรู้วิธีการที่จะทำให้หุ้นสร้างรายได้ แทนที่จะให้มันกลายเป็นรายจ่าย
เพราะเมื่อคุณสร้างรายได้เข้ามาเรื่อยๆ รายได้รวมก็จะมาถึงจุดที่คุณได้ลงทุนไป
ส่วนที่เหลือหลังจากนั้น ก็จะกลายเป็น “ของฟรี”
แต่ถ้าคุณปล่อยให้มันสร้างแต่รายจ่าย คุณอาจจะสูญเงินที่คุณลงทุนไปทั้งหมดก็เป็นไปได้
แทนที่จะได้ของฟรี คุณกลับทิ้งเงินที่มีอยู่ออกไปอย่างน่าเสียดาย
คนจำนวนมากสูญเงินไปกับตลาดหุ้น เพราะเขาไม่สามารถสร้างรายได้เข้ามา
และปล่อยให้มันสร้างแต่รายจ่าย
(หรือบางที การมีรายจ่ายมากกว่ารายได้ มันก็ได้ผลลัพธ์รวมเท่ากับการมีรายจ่ายนั่นเอง)
ที่เขาขาดทุนในการเล่นหุ้น ก็เพราะ รายจ่ายที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนั่นเอง
ทำไมหลายคนจึงขาดทุน
หากเปรียบกับร้านค้าอย่าง 7-eleven
คุณคงจะไม่รีบร้อนขายร้านค้านั้นทิ้งไป
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม
ไม่ว่าจะมีคนมาบอกกับคุณว่าแถวนี้ไม่ค่อยมีลูกค้า
ถ้าไม่อยากขาดทุนมาก คุณจะขายให้ฉันไหม ฉันให้ราคา 4 ล้านบาท
คุณอาจจะเริ่มหวั่นไหว หากมีคนที่สองมาบอกกับคุณว่า ทำเลแถวนี้มีขโมยเยอะ
ถ้าไม่อยากขาดทุนมาก คุณจะขายให้ฉันไหม ฉันให้ราคา 3 ล้านบาท
คุณอาจจะเริ่มหวั่นไหวขึ้นไปอีก
หากมีคนที่สาม มาบอกกับคุณว่า
โอ้ย แถวนี้ลูกค้าไม่ค่อยมีเงินซื้อหรอก ขายให้ผมล้านนึง ผมยังไม่ซื้อเลย
เห็นไหมครับ ว่า คนที่ขาดทุนในหุ้นนั้นเพราะอะไร
เพราะเขาเพิ่งจะลงทุนไปหยกๆ แล้วมีคนมาบอกเค้าว่า
ราคาหุ้นตัวนี้ไม่น่าสนใจ ราคาน่าจะต่ำกว่าที่คุณซื้อมา
เมื่อคุณยอมขายไป มันก็คือ การขาดทุน
และการขาดทุน ก็คือ รายจ่ายใช่ไหมครับ
และถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้บ่อยๆ รายจ่ายนั้นก็ทำให้คุณหมดตัวได้ครับ
มูลค่าพอร์ต คือ คำพูดของคนสองสามคนนั้น
อาจจะจริงอย่างที่คนสองสามคนพูด คือ
สถานการณ์บางอย่าง ทำให้ราคาหุ้นตกลงไปมากกว่าที่คุณซื้อมา
เพราะเมื่อคุณดูราคาหุ้นตอนนี้ ราคามันต่ำลงไป
ก็จะเห็นตัวเลขสีแดงๆ
ที่เปรียบเหมือนกับการที่มีหลายๆ คนมาพูดกรอกหูคุณว่า ขายเถอะ ขายเถอะ
เห็นไหมตอนนี้คุณขาดทุนไปแล้วเท่าไหร่
และมูลค่าพอร์ตที่ติดลบนี่เอง กระตุ้นให้คุณ ขายขาดทุน
และกลายเป็นรายจ่ายในที่สุด
ถ้าคุณจะเป็นนักลงทุน คุณอาจจะมองดูมูลค่าของมันบ้าง
เพื่อที่จะรู้ว่า สถานการณ์ตอนนี้ ร้านค้าของคุณกำลังจะเข้าสู่วิกฤติหรือไม่
หากยังไม่ถึงขั้นวิกฤติ คุณก็ไม่ต้องกลัวว่า มูลค่าพอร์ต ติดลบอยู่เท่าไหร่
..
เอาล่ะครับ
เรามาดูเทคนิคในการสร้างรายได้จากตลาดหุ้นกัน
ธรรมชาติของหุ้น มีขึ้น และ ลง
ในเมื่อมัน ขึ้นๆ ลงๆ อยู่เป็นธรรมชาติอยู่แล้ว
เราก็เอาธรรมชาติของการขึ้นลงนั่นแหละเป็นการสร้างรายได้
คุณซื้อหุ้นราคาหนึ่ง แล้วไปขายที่ราคาสูงกว่าที่ซื้อมา
มันก็ได้กำไร หรือ รายได้นั่นเอง
เมื่อหุ้นราคาตกลงไปอีก คุณก็มีเงินสำรองซื้อที่ราคานั้น
แล้วรอขายที่ราคาสูงกว่า ขายได้เมื่อไร มันก็คือ มีรายได้เข้ามาอีก
เมื่อราคาหุ้นตกลงไปอีก คุณก็มีเงินสำรองซื้อเข้ามาได้อีก
แล้วรอขายที่ราคาสูงกว่า
ไม่ยุ่งยากซับซ้อนเลยใช่ไหมครับ
ที่มันยากสำหรับคนใหม่ หรือ คนที่ไม่รู้เทคนิค ก็เพราะไปดูมูลค่าพอร์ตนั่นเอง
แต่เทคนิคของระบบ FATS-Revolution นั้น มีรายละเอียดอยู่บ้างครับ
FATS-Revolution (เทคนิคการลงทุนในตลาดหุ้นระยะยาว)
หลักการนี้เราไม่ได้ต้องการการเติบโตแบบรวยเร็ว รวยลัด
แต่เราจะอยู่บนพื้นฐานของการค่อยๆ เติบโตอย่างมั่นคง
สมมุติว่าคุณมีเงินทุนอยู่ 20,000 บาท
และสนใจหุ้นตัวหนึ่ง ที่มีราคาประมาณ 2 บาท
คุณจะวางแผนอย่างไร จึงจะสามารถรองรับกรณีที่หุ้นราคาลดลงมากๆ
หลักการของระบบนี้ หัวใจอยู่ที่ “เงินสำรอง”
ที่เพียงพอจะซื้อหุ้นได้ในทุกช่วงราคา (ไม่ใช่ทุกราคานะครับ)
เดี๋ยวค่อยดูตัวอย่างก็แล้วกันครับ
ลองดูตัวอย่างนี้ครับ
ราคา * จำนวนหุ้นที่ซื้อ = เป็นเงินสำรองซื้อ
2.00 * 100 = 200
1.90 * 200 = 380
1.80 * 300 = 540
1.70 * 400 = 680
1.60 * 500 = 800
1.50 * 600 = 900
1.40 * 700 = 980
1.30 * 800 = 1040
1.20 * 900 = 1080
1.10 * 1000 = 1100
1.00 * 1100 = 1100
0.90 * 1200 = 1080
0.80 * 1300 = 1040
0.70 * 1400 = 980
0.60 * 1500 = 900
0.50 * 1600 = 800
0.40 * 1700 = 680
0.30 * 1800 = 540
0.20 * 1900 = 380
0.10 * 2000 = 200
รวมเงินสำรองทั้งหมด = 15,400 บาท
ทีนี้ไม่ว่าหุ้นมันจะร่วงไปจนติดพื้น เราก็มีเงินพอซื้อได้เสมอ
สังเกตว่า การซื้อหุ้นจะซื้อในรูปแบบปิรามิด คือ ราคาถูกก็จะซื้อในจำนวนที่มากขึ้น
เพราะเราได้ล็อคจำนวนซื้อแต่ละราคาแล้ว
เราจึงรู้ได้ทันทีว่า ในแต่ละราคา เราต้องมีหุ้นอยู่ในมือรวม (สะสม) เท่าไหร่
ที่ราคา —— จำนวนหุ้นสะสม
2.00 ———-> 100
1.90 ———-> 300
1.80 ———-> 600
1.70 ———-> 1000
1.60 ———-> 1500
1.50 ———-> 2100
1.40 ———-> 2800
1.30 ———-> 3600
1.20 ———-> 4500
1.10 ———-> 5500
1.00 ———-> 6600
0.90 ———-> 7800
0.80 ———-> 9100
0.70 ———-> 10500
0.60 ———-> 12000
0.50 ———-> 13600
0.40 ———-> 15300
0.30 ———-> 17100
0.20 ———-> 19000
0.10 ———-> 21000
การขายทำกำไร จะขายเหนือกว่าจุดซื้อ 1 ช่วงตัว
เช่น
ซื้อที่ราคา——-> ราคาเป้าหมายขายทำกำไร
2.00 ———-> 2.10
1.90 ———-> 2.00
1.80 ———-> 1.90
1.70 ———-> 1.80
1.60 ———-> 1.70
1.50 ———-> 1.60
1.40 ———-> 1.50
1.30 ———-> 1.40
1.20 ———-> 1.30
1.10 ———-> 1.20
1.00 ———-> 1.10
0.90 ———-> 1.00
0.80 ———-> 0.90
0.70 ———-> 0.80
0.60 ———-> 0.70
0.50 ———-> 0.60
0.40 ———-> 0.50
0.30 ———-> 0.40
0.20 ———-> 0.30
0.10 ———-> 0.20
ทำอย่างไร ถ้าหากหุ้นมีราคาสูงขึ้น จนกระทั่งเราขายไปจนหมด
เราก็ต้องปรับแผนใหม่ ด้วยการปรับช่วงราคาซื้อขายใหม่ตามเงินทุนที่มีอยู่
เช่น หุ้นขึ้นไปที่ 2.50 เราก็ต้องเปลี่ยนช่วงใหม่ อาจจะเป็นแบบนี้ครับ
2.50 * 100 = 250
2.36 * 200 = 472
2.22 * 300 = 666
2.08 * 400 = 832
1.94 * 500 = 970
1.80 * 600 = 1080
1.66 * 700 = 1162
1.52 * 800 = 1216
1.38 * 900 = 1242
1.24 * 1000 = 1240
1.10 * 1100 = 1210
0.96 * 1200 = 1152
0.82 * 1300 = 1066
0.68 * 1400 = 952
0.54 * 1500 = 810
0.40 * 1600 = 640
0.26 * 1700 = 442
0.12 * 1800 = 216
เงินทุนสำรอง = 15,618 บาท
เราจะใช้ excel เป็นตัวช่วยคำนวณ
เมื่อเรากรอกจำนวนหุ้นที่มีอยู่
โปรแกรมก็จะบอกว่า ที่ราคาเป้าหมายใดๆ
หากมีหุ้นมากกว่าเป้าหมายหุ้นสะสม (ที่เราล็อคไว้แล้ว)
ก็จะให้ขายออกไปจำนวนหนึ่ง เพื่อให้เหลือเท่ากับที่ต้องการ
หากมีหุ้นน้อยกว่าเป้าหมายหุ้นสะสม
ก็จะให้ซื้อเข้ามาจำนวนหนึ่ง เพื่อให้ได้จำนวนเท่ากับที่ต้องการ
เช่น
ตอนนี้เราซื้อๆ ขายๆ จนมีหุ้นอยู่ในมือ 4,500 หุ้น
แต่ราคาหุ้น ไปอยู่ที่ระดับราคา 1.40
ซึ่งเป้าหมายหุ้นสะสม = 2,800 หุ้น
จึงต้องขายออกไป = 4,500 - 2,800 = 2,100 หุ้น
ให้ดูรายละเอียดในไฟล์ excel นะครับ
http://www.keepandshare.com/doc/view.php?id=500087&da=y
แค่ทำตามนั้นครับ
หน้าที่เราสำคัญอยู่ที่การวางแผนช่วงซื้อขาย
ว่าจะกำหนดราคาและจำนวนอย่างไร
ที่เหลือก็ทำตามที่โปรแกรมบอกให้ซื้อหรือขาย เป็นจำนวนเท่าไหร่
ไม่ถึงราคาซื้อก็ยังไม่ซื้อ ไม่ถึงราคาขายก็ยังไม่ขาย เราแค่ทำตาม
คุณอาจจะคิดว่า เงินสำรองมีมากเกินไป
ทำให้ประสิทธิภาพของการทำรายได้อาจจะน้อยเกินไป
แต่หลักการนี้ ช่วยให้คุณลดความเสี่ยงลงได้มาก เพราะเงินสดยังอยู่ในมือคุณ
และแน่นอนว่า คุณยังได้ดอกเบี้ย (จากโบรกเกอร์หรือธนาคาร)
ส่วนหุ้นที่ยังไม่ได้ขาย
คุณก็จะได้รับส่วนเงินปันผล (หากว่าคุณเลือกหุ้นที่น่าจะได้ปันผลรายปี)
หลักการนี้จึงเปรียบเสมือนเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพเงินฝาก
จากที่อาจจะได้เพียงสองสามเปอร์เซ็นต์ต่อปี
ก็สามารถเพิ่มขึ้นเป็น 5 หรือ 10 เปอร์เซ็นต์ หรือมากกว่านั้นได้
ที่สำคัญ หลักการนี้สามารถทำได้ง่ายๆ และทำได้ตลอดไป
จนกว่าตลาดหุ้นจะสูญหายไปจากระบบเศรษฐกิจ
…………….
ควรศึกษาให้เข้าใจจริงๆ ก่อนนำไปใช้ครับ
และผมไม่รับประกันว่า ทำตามระบบนี้จะประสบความสำเร็จได้ทุกคน
เพราะการลงทุนมีความเสี่ยงเสมอครับ