0068: MOS

การลงทุนในหุ้นนั้นควรซื้อหุ้นในราคาที่มีส่วนลดจากมูลค่าที่เหมาะสมเสมอเพื่อความปลอดภัย หรือ ที่เรียกว่ามี MOS (Margin of Safety)
หุ้น XYZ มี Fair Value เท่ากับ 20 บาทต่อหุ้น บางคนบอกว่าต้องซื้อต่ำกว่า 20 บาท เพราะถ้าซื้อที่ 20 บาทพอดีก็เท่ากับไม่ได้ผลตอบแทนอะไรเลย อันที่จริงคำกล่าวนี้ยังไม่ถูกต้องทีเดียวนัก การซื้อหุ้นที่ Fair Value พอดีนั้น ถ้าหากราคานั้นเป็น Fair Value จริงๆ การถือลงทุนจะทำให้นักลงทุนมีผลตอบแทนคาดหวังเท่ากับ "ต้นทุนทางการเงิน" ของหุ้นตัวนั้นพอดี เช่น ถ้าธุรกิจของ XYZ ควรได้รับผลตอบแทนอย่างน้อย 10% ต่อปีจึงจะคุ้มค่ากับความเสี่ยงของธุรกิจ นักลงทุนที่ซื้อหุ้น XYZ ที่ 20 บาทพอดีย่อมมีผลตอบแทนคาดหวังเท่ากับ 10% ต่อปีพอดี ไม่ใช่ 0% 
อย่าง ไรก็ตาม เราไม่มีวันรู้ได้อย่างแน่นอนว่า Fair Value ของหุ้น XYZ เป็นเท่าไร เราเพียงแต่ประมาณได้เท่านั้น นอกจากนี้ Fair Value ยังเป็นเรื่องที่ subjective เพราะขึ้นอยู่กับการตั้งสมมติฐานของแต่ละบุคคลอีกด้วย ดังนั้นเพื่อชดเชยความผิดพลาดทั้งหลายในการประมาณ Fair Value ของเรา เราจึงต้องซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่า Fair Value ที่เราคิดไว้เสมอ นี่ต่างหากคือเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมต้องซื้อหุ้นให้มี MOS ด้วย
แล้ว ควรจะมี MOS มากสักเท่าไรดีจึงจะพอเพียง? เรื่องนี้นับว่าตอบได้ยากอยู่ ไม่มีกฏตายตัว เพราะไม่รู้ว่านักลงทุนแต่ละคนคิดรอบคอบขนาดไหนเวลากำหนด Fair Value ของหุ้น อย่างไรก็ตาม คนที่ใช้วิธีหยาบๆ ในการกำหนด Fair Value ควรซื้อหุ้นให้มี MOS สูงกว่าคนที่ใช้วิธีการที่รอบคอบมาก อย่างคนที่ตัดสินใจซื้อหุ้นแต่ละตัวคิดแค่ 5 นาทีก็ย่อมต้องเผื่อความผิดพลาดให้มากกว่าคนที่มักใช้เวลาคิดนานหลายเดือน (และควรซื้อหุ้นแต่ละตัวด้วยเงินจำนวนที่น้อยกว่าเมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ของพอร์ตอีกด้วย)
ความยากในการประเมินมูลค่าก็ มีผลต่อ MOS ด้วย หุ้นของธุรกิจที่ Mature แล้ว มีกำไรที่สม่ำเสมอ หรือหุ้นที่มูลค่าส่วนใหญ่อยู่ในรูปของสินทรัพย์ที่มีตัวตน ย่อมประเมินมูลค่าที่แท้จริงได้ง่ายกว่าหุ้นเติบโตสูงที่มูลค่าของมันขึ้น อยู่กับ Growth หรือหุ้นที่มีสินทรัพย์ไม่มีตัวตนมาก (เช่น สินทรัพย์ทางปัญญา) หรือหุ้นที่ธุรกิจมีความไม่แน่นอนสูง เช่น รับเหมาะก่อสร้าง หุ้นเหล่านี้ประเมินมูลค่าที่แท้จริงได้ยาก โอกาสที่ Fair Value ของเราจะผิดก็ย่อมมีมากตาม จึงควรซื้อหุ้นเหล่านี้ให้มี MOS มากกว่า (ในแง่หนึ่งหุ้นเหล่านี้ก็มีโอกาสสูงที่ราคาหุ้นจะต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง ไปมากด้วย ซึ่งเป็นข้อดี)
ระยะเวลาลงทุน (Investment Horizon) ก็มีผลต่อ MOS เช่นกัน จำไว้ว่านักลงทุนในตลาดหุ้นมีต้นทุนของเงินอยู่เท่ากับ 10% ของเงินต้นทุกปี หุ้นที่เรากะซื้อเพื่อเล่นรอบระยะสั้นสัก 3-4 เดือน เราอาจซื้อที่ MOS ต่ำหน่อยก็ได้ เช่น 5% เพราะเราตั้งใจจะขายภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี ในขณะที่หุ้นที่เราตั้งใจจะซื้อเพื่อลงทุนระยะยาวควรมี MOS ที่สูงกว่านั้น อย่างเช่นตัวผมเอง ถ้าจะซื้อหุ้นเพื่อการลงทุน ผมจะซื้อหุ้นเมื่อมี MOS อย่างน้อย 50% เพราะนั้นหมายความว่าผมมีเวลาประมาณ 5 ปีที่จะรอคอยถ้าหากหุ้นของผมยังไม่ perform ซึ่งถือว่าสมเหตุผล แต่ถ้าผมซื้อหุ้นที่มี MOS แค่ 10% แล้วกะถือยาว หากผ่านไปแล้วหนึ่งปี ราคายังไม่สะท้อนความเป็นจริง ก็มีโอกาสสูงที่เราจะขาดทุนทางการเงินไปแล้ว ซึ่งถือว่าเสี่ยงเกินไปสำหรับหุ้นที่เป็นการลงทุน เป็นต้น
ใน ความเห็นของผม (ซึ่งค่อนข้างขัดกับ conventional belief) เป็นเรื่องแปลกที่ผู้รู้แนะนำว่าถ้าจะซื้อลงทุนระยะยาวควรซื้อพวกหุ้นของ กิจการที่อยู่ตัวแล้ว เพราะแท้จริงแล้ว กิจการที่อยู่ตัวแล้วกำไรจะค่อนข้างสม่ำเสมอ คาดการณ์ไปข้างหน้าได้ง่าย ทำให้ตลาดมักตีมูลค่าหุ้นเหล่านี้ได้ค่อนข้าง แม่นยำ หุ้นเหล่านี้จึงยากที่จะมี MOS สูงๆ พวกมันอาจมี MOS เพียง 5-10% เป็นอย่างมากเท่านั้น ถ้าเราซื้อหุ้นเหล่านี้ไปแล้วถือไว้หลายปี โอกาสที่เราจะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีสูงกว่าต้นทุนทางการเงินของเรานั้นนับ ว่ามีน้อยมากทีเดียว ในความเห็นของผม หุ้นเติบโตเท่านั้นที่ควรจะถือลงทุนในระยะยาว เพราะโอกาสที่หุ้นเหล่านี้จะมี MOS สูงๆ นั้นมีมากกว่า หุ้นของธุรกิจที่อยู่ตัวแล้วนั้น ถ้าหากราคาหุ้นสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงเมื่อไรก็ควรรีบขายออกไปทันที การถือต่อไปในระยะยาวนั้นมีโอกาสน้อยมากที่จะได้ผลตอบแทนใดๆ อีก เพราะหุ้นเหล่านี้แทบจะไม่มีการเติบโตใดๆ แล้ว

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘