0057: เลือกหุ้นเพื่อการลงทุน

ในความคิดของผมนั้น ถ้าเราจะเลือกหุ้นสักตัวเพื่อการลงทุน นอกเหนือจากความเป็นองค์กรที่ดีและความน่าเชื่อถือของผู้ถือหุ้นใหญ่แล้ว ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่า "โอกาสในการเติบโตของกิจการ" นั้นๆ ในอนาคต
การ ถือหุ้นเป็นระยะเวลานานๆ นั้น ถ้าเรามุ่งประเด็นไปที่เงินปันผลมากๆ เช่น 7-8% ต่อปี ต่อให้บริษัทสามารถรักษาอัตราจ่ายเงินปันผลให้อยู่ในระดับสูงเช่นนั้นต่อไป ได้จริงในอนาคต แต่ถ้ากิจการของบริษัทไม่มีการเติบโต ผลตอบแทนของการถือหุ้นนั้นไว้เป็นระยะเวลานานๆ ก็แค่เท่ากับ 7-8% ต่อปีเท่านั้น ซึ่งบางคนอาจจะมองว่ามากพอเพราะมากกว่าการฝากธนาคาร แต่หากคิดถึงความเสี่ยงที่ต้องแบกรับจากการลงทุนให้หุ้น (Risk-adjusted return) ซึ่งสูงกว่าการฝากธนาคารเป็นอย่างมากแล้ว ถือว่าได้ผลตอบแทน "ต่ำกว่า" การฝากธนาคาร การลงทุนในหุ้นจะต้องได้ผลตอบแทนอย่างน้อย 10% ต่อปีจึงจะถือว่าชนะการฝากธนาคารจริงๆ
ดังนั้น โดยส่วนตัวแล้ว เวลาผมลงทุน ผมไม่เคยมองเงินปันผลเลย แม้ผมจะถือว่าเงินปันผลเป็นส่วนหนึ่งของผลตอบแทนที่จะได้รับ แต่ผมไม่ได้เอาเงินปันผลมาเป็นปัจจัยในการตัดสินใจเลือกหุ้นเลย เพราะผลตอบแทนส่วนใหญ่ที่คุณจะได้รับจากหุ้น (ถ้าคุณลงทุนได้ผลตอบแทนมากกว่าความเสี่ยง) จะมาจาก Capital Gain เป็นส่วนใหญ่ ผลตอบแทนที่ได้รับจากเงินปันผลนั้นเป็นสัดส่วนที่น้อยมากจนแทบไม่ต้องสนใจ เลยก็ได้ (ยกเว้นว่าคุณลงทุนได้ผลตอบแทนต่ำกว่าความเสี่ยง อันนั้นผลตอบแทนจากเงินปันผลจะมีนัยสำคัญขึ้นมาทันที)
ถ้า ลองติดตามธรรมชาติและความเป็นไปของบริษัทจำนวนมากจะพบว่า หลายบริษัทจะมีช่วงระยะเวลาหนึ่งในชีวิตของมันที่มันสามารถรักษาอัตราการ เติบโตให้อยู่ในระดับสูงเป็นระยะเวลานานได้ (Period of sustainable growth) บางบริษัททำได้ 3 ปี บางบริษัททำได้ 5 ปี บางบริษัททำได้ 10-20 ปีเลยก็มี (แต่มีน้อย) หลังจากนั้นพวกมันจะกลับสู่สภาวะปกติที่มีการเติบโตในระดับ ธรรมดาๆ ที่ไม่น่าสนใจ (หรือถดถอยไปเลยก็มี) ช่วงเวลาที่ว่านี้ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเกิดขึ้นกับบริษัทที่ยังมีขนาดเล็กอยู่เสมอไป บริษัท ขนาดใหญ่จำนวนมากก็เคยเข้าสู่ช่วงเวลาแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายครั้งในชั่ว ชีวิตของมัน ตัวอย่างเช่น หุ้น ปตท.สผ. ซึ่งเป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่และบริษัทก็มีอายุยาวนานมากแล้ว แต่ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ก็ยังสามารถมีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดดที่ต่อเนื่องได้ (การเติบโตสูงๆ แบบนี้จะจบลงในที่สุด แต่เราไม่รู้ว่าเมื่อไร และหลังจากนั้นมันก็สามารถกลับมาเติบโตสูงๆ แบบนี้อีกในอนาคตได้อีกด้วย เมื่อมันมีความพร้อมอีกครั้ง)  นักลงทุนที่เข้าลงทุนได้ทันในช่วงต้นๆ ของระยะเวลาที่ว่านี้จะได้รับผลตอบแทนที่สูงมากจากการหุ้นถือนั้นไว้นานๆโดย ที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยการซื้อๆ ขายๆ ให้ได้ผลตอบแทนสูงเลย การเลือกหุ้นเพื่อ"การลงทุน"นั้นก็ต้องมีจุดมุ่งหมาย ที่จะแสวงหาโอกาสในลักษณะเช่นนี้นี่แหละ พวก Growth investors อยากให้หุ้นทุกตัวในพอร์ตของเขามีแต่หุ้นที่กำลังอยู่ในช่วงเวลาแบบนี้ของ มันตลอดเวลา
ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้บริษัทเข้าสู่ช่วงเวลาที่ว่านี้ ต้องเกิดจากปัจจัยสองอย่างที่เกื้อหนุนกันพอดี คือ อุตสาหกรรมของบริษัทกำลังมี Demand Trend ที่ดี (ความต้องการของตลาดที่สูงทำให้ขนมพายกำลังใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว) และสองคือ บริษัทมีข้อได้เปรียบคู่แข่งที่ชัดเจน (ช้อนของบริษัทใหญ่กว่าช้อนของคู่แข่งรายอื่น) ในช่วงเวลาที่ปัจจัยทั้งสองอย่างนี้เกื้อหนุนมากๆ บริษัทจะสามารถเติบโตได้อย่างที่คาดไม่ถึงเลยทีเดียว อย่างในกรณีของ ปตท.สผ. ความต้องการพลังงานของโลกที่เพิ่มขึ้นได้ทำให้ราคาพลังงานสูงขึ้นอย่างต่อ เนื่อง ในขณะเดียวกัน บริษัทก็อยู่ในฐานะที่ค่อนข้างได้เปรียบคู่แข่งในอ่าวไทยมาโดยตลอด และบริษัทก็สร้างศักยภาพในการเป็น oil operator ขึ้นมาได้ทันกับโอกาสในการแสวงหาการเติบโตในต่างประเทศได้ทันพอดี เป็นต้น 

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘