Tuesday, February 27, 2007 2 ขั้วของการลงทุนแบบเน้นคุณค่า

ในระยะหลังๆมานี้ ผมมาสังเกตหุ้นที่อยู่ใน port ของตัวเองแล้วก็เห็นว่า
หา หุ้นที่เป็นหุ้นคุณภาพดีๆ เกรด A แทบจะไม่เจอเลย ... ส่วนใหญ่ที่ถืออยู่ก็จะเป็นหุ้นเกรด B ที่คุณภาพต่ำลงมาหน่อย แต่ซื้อเพราะว่าหุ้นมีราคาถูก pe ของหุ้นก็จะอยู่ประมาณ 4-7 (ซึ่งถือว่าถูกมาก) .... หุ้นส่วนใหญ่ที่ผมถืออยู่จะมีโครงสร้างรายได้มาจากงานประมูลซะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งกิจการที่มีรายได้จากงานประมูลส่วนใหญ่มักจะมีรายได้ที่คาดเดาได้ยากใน ระยะยาว เพราะบางครั้งการประมูลงานแข่งกันนั้นอาจจะเฉือนชนะกันเพียงไม่เท่าไหร่ก็ทำ ให้รายได้นั้นเพิ่มขึ้นอย่างมากหรือลดลงอย่างมากได้ ... จากความไม่แน่นอนของรายได้นั้น ผมว่า pe ที่ควรจะเป็นอย่างมากก็ไม่ควรเกิน 8-9 เท่านั้น

ลองมาย้อนกลับไปดู port ของนักลงทุนอีกกลุ่มที่ลงทุนแบบเน้นคุณค่าเหมือนกันแต่หุ้นที่ถือใน port นั้นเรียกได้ว่าคุณภาพผิดกับของผมลิบลับเลย ... หุ้นส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นที่มีรายได้ที่ค่อนข้างมั่นคง สินค้าหรือบริการมีตราสินค้าเป็นของตัวเอง เรียกได้ว่าบริษัทเหล่านี้มีความได้เปรียบในเรื่องของความมั่นคงของรายได้ เพราะลูกค้าที่ซื้อนั้นมีความจงรักพักดีใน Brand ระดับหนึ่ง ไม่ได้แข่งขันเพียงแค่ราคาเหมือนกับพวกสินค้าที่ไม่มีตรา หรือกิจการที่มีรายได้จากการประมูล เช่น โรงพยาบาล (บำรุงราษฎ์ เกษมราษฏ์ กรุงเทพ) ขนมปังฟาร์เฮ้า (กินกันมาตั้งแต่เด็ก) หรือกลุ่ม Discount store ต่างๆ .... แต่หุ้นเหล่านี้จัดได้ว่าเป็นหุ้นที่มีราคาถูกก็พูดไม่ได้เต็มปากเหมือนกัน .. เพราะส่วนใหญ่แล้วจะมี pe เกิน 10 ขึ้นไปทั้งนั้น .. บางตัวมี pe เพิ่มไปถึง 20 - 30 เลยทีเดียว ถึงคุณภาพดีขนาดไหนผมก็ซื้อไม่ค่อยลงเท่าไหร่ ...

จากการสังเกตุดู style การลงทุน 2 แบบข้างต้น ผมสรุปการลงทุนแบบเน้นคุณค่าออกเป็น 2 ประเภท คือ

  1. เน้นที่หุ้นที่มีราคาถูก แม้คุณภาพอาจจะไม่ได้ดีมาก
  2. เน้นที่คุณภาพของหุ้นก่อน เรื่องราคาถูกหรือแพงนั้นมาทีหลัง
ผม เองก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าการลงทุนแบบเน้นคุณค่ารูปแบบไหนจะให้ผลตอบแทนได้ ดีกว่ากัน .. จริงๆแล้วถ้าผมเลือกได้ ผมก็อาจจะซื้อหุ้นที่มีคุณภาพเกรด A ในราคาที่ถูก แต่ยอมรับจริงๆครับว่าปัจจุบัน หุ้นเกรด A ในตลาดเท่าผมพอจะหาได้ราคามันก็ไม่ค่อยถูกซะแล้ว เพราะผมมักจะมีกรอบในใจไว้อย่างหนึ่งเวลาซื้อหุ้นคือ หุ้นที่มีราคาไม่แพงไม่ควรมี pe เกินอัตราการเติบโตในอนาคตของบริษัท ดังนั้นหุ้นที่มี pe 20 หรือ 30 ก็ทำให้ผมทำใจซื้อยากพอสมควรเพราะผมไม่คิดว่าบริษัทเหล่านี้จะสามารถเติบโต ได้ในระดับเกิน 20-30% ได้หลายปีติดต่อกันนัก จนทำให้ผมต้องมานั่งหาหุ้นที่มีคุณภาพลดลงมาหน่อย แต่มีราคาถูกในระดับที่พอยอมรับได้ ....
ใน ที่นี้ผมจะแบ่งวิเคราะห์ความเสี่ยงของการลงทุนทั้ง 2 รูปแบบโดยแบ่งความเสี่ยงของการลงทุนออกเป็น 2 ส่วน คือ ความเสี่ยงที่รายได้และผลกำไรจะไม่เป็นไปตามที่เราคาดการณ์ และ ความเสี่ยงจากการที่ตลาดลดระดับ pe ที่เหมาะสมของหุ้นนั้นๆ
  • การ ลงทุนแบบเน้นราคาถูก คือ จะมีความเสียงที่รายได้และกำไรจะไม่เป็นไปตามที่คาดค่อนข้างสูง เพราะเนื่องจากบริษัทไม่มีความมั่นคงในด้านรายได้ และไม่มีอำนาจพอที่จะผลักภาระต้นทุกที่เพิ่มขึ้นไปให้ลูกค้าได้ง่ายๆ ทำให้กำไรที่เราคาดการณ์ไว้อาจจะแตกต่างไปจากที่เราคิดไว้พอสมควร แต่ ความเสี่ยงจากการที่ตลาดจะปรับ pe ของหุ้นเหล่านี้ให้ลดลงนั้นค่อนข้างต่ำ เพราะหุ้นพวกนี้ส่วนใหญ่จะมี pe อยู่ประมาณ 4-7 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำอยู่แล้ว ต่อให้รายได้และกำไรลด pe ของหุ้นก็มักจะไม่ลดลงมากเท่าใด ..... ดังนั้นหุ้นกลุ่มนี้จะเป็นที่น่าสนใจมาก ถ้านักลงทุนสามารถคาดการณ์ผลกำไรในอนาคตของบริษัทได้แม่นยำ เพราะจะสามารถขจัดความเสี่ยงส่วนแรกออกไปได้ ในขณะที่ความเสี่ยงส่วนหลังนั้นมีต่ำอยู่แล้ว
  • การ ลงทุนแบบเน้นคุณภาพหุ้น ความเสี่ยงในด้านรายได้และกำไรนั้นค่อนข้างต่ำกว่า เพราะกิจการมีฐานลูกค้าที่มั่นคงมีตราสินค้าที่ดี แม้ต้นทุนจะเปลี่ยนแปลงไปก็สามารถผลักภาระให้กับลูกค้าได้โดยปริมาณการขาย ไม่ลดลงมาก ทำให้คาดการณ์อนาคตได้ง่ายกว่า ... แต่ว่าความเสี่ยงจากการที่ตลาดปรับค่า pe ที่เหมาะสมลดลงนั้นผมว่าถือว่ามีค่อนข้างสูง .... ถ้าเรามองย้อนกลับไปในอดีต คนที่ติดตามตลาดหุ้นมานานจะพอเห็นว่าในแต่ละช่วงเวลา หุ้นบางกลุ่มตลาดนั้นจะให้ pe อยู่ในระดับที่สูงมาก แต่ในบางช่วงเวลากลับให้ pe ในหุ้นกลุ่มเดิมนั้นลดต่ำลงมาได้เช่นกัน ในอดีตเราอาจจะได้เห็นหุ้นกลุ่มสื่อสาร pe อยู่ที่ 15-20 ปัจจุบันเข้าใจว่าลดลงเหลือ 10-15 แล้ว .... เมื่อตอนที่ผมเข้าตลาดหุ้นใหม่ๆ หุ้นโรงพยาบาลมี pe ไม่เกิน 10 ในขณะที่ตอนนี้ pe กลุ่มโรงพยาบาลมี pe เพิ่มไปถึงระดับ 20 ได้สบายๆ หุ้นค้าปลีกก็เช่นกัน ในอดีตไม่ค่อยมีคนสนใจ pe อยู่ในระดับเพียง 8-10 เท่านั้น ปัจจุบันก็เห็นว่า pe ก็ปรับเพิ่มไปถึง 20-25 ได้ .... ผมเองคาดเดาไม่ออกว่าตลาดจะปรับ pe ของหุ้นกลุ่มต่างๆเพิ่มขึ้นหรือลดลงเท่าไหร่เวลาใด .. เพราะฉะนั้นผมเองจึงมองว่าความเสี่ยงที่ตลาดจะปรับ pe ของหุ้นเหล่านี้ลดลงว่าน่ากลัวมาก ... เพราะถ้าเกิดหุ้นโรงพยาบาลหรือค้าปลึกที่มี pe อยู่ประมาณ 20 ในปัจจุบันถูกลดระดับลงมาเหลือ 10 หรือ 15 ผมคงจะเจ็บตัวไม่น้อย ...
สรุป แล้วการลงทุนทั้ง 2 รูปแบบก็มีข้อดีและข้อเสียในตัวมันเอง... พวกแรกคาดการณ์กำไรยาก แต่โอกาสที่ pe จะลดนั้นมีไม่มาก ในขณะที่พวกหุ้นคุณภาพสูง โอกาสที่รายได้หรือกำไรจะลดลงก็คงยาก แต่โอกาสที่ pe จะลดลงนั้นมีผลกระทบต่อราคาหุ้นค่อนข้างสูง ... นักลงทุนต้องเลือกเอาเองครับว่าจะชอบหุ้นแบบไหนมากกว่ากัน .. ส่วนตัวผม ณ เวลานี้เลือกแบบแรกซะส่วนใหญ่ ... แล้วรอดูผลกันครับ ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘