Thursday, May 29, 2008 Evolution 46

นักลงทุนที่ลงทุนมาเป็นระยะเวลานาน และรู้จักที่จะมองย้อนทบทวนผลงานการลงทุนของตัวเองในแต่ละปี รวมถึงพิจารณารูปแบบการลงทุนของตัวเองหรือของคนรอบข้างที่เปลี่ยนแปลงไป อาจจะสังเกตุเห็นการเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้ ซึ่งผมเชื่อว่านอกจาการวิเคราะห์หุ้นแล้วการวิเคราะห์ตัวเองนั้นเป็น คุณสมบัติอย่างหนึ่งที่เราควรจะต้องมีในการจะลงทุนให้ได้ผลตอบแทนที่ดีได้

ผม ลงทุนมาเป็นระยะเวลาประมาณ 5 ปีครึ่ง ผลตอบแทนที่ได้ในแต่ละปีก็มีการผันผวนไปตามทั้งภาวะตลาด และ Style การลงทุนที่ใช้ในแต่ละช่วงเวลา ลองตามมาดูพร้อมๆกันนะครับว่าความสัมพันธ์ระหว่างวิวัฒนาการของรูปแบบการลง ทุนและผลตอบแทนที่เกิดขึ้นนั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างไรบ้าง (ผมเองก็ยังไม่รู้เลยนะ ว่าผลจะเป็นยังไง เพราะระหว่างที่เขียนไปนี่ก็ยังไม่ได้คิดล่วงหน้าไว้ถึงผลสรุปของความ สัมพันธ์ 2 ปัจจัยนี้ กะว่าลองผิดลองถูดวิเคราะห์ไปพร้อมๆกับผู้อ่านเลย)

ปี 46 (ผม เริ่มลงทุนในช่วงปลายปี 45 ด้วยเงินจำนวนที่ไม่มากนัก) ผลตอบแทนในปีนี้ประมาณ 156% ในขณะที่ตลาดให้ผลตอบแทนประมาณ 117% ชนะตลาดประมาณ 39%

- ลักษณะการลงทุนครั้งแรกของผมนั้นยังใหม่อยู่มาก หลักการลงทุนแบบ VI ก็เพิ่งศึกษาได้ไม่นานจากหนังสือตีแตก เพราะฉะนั้นในการลงทุนครั้งแรกของผมก็ใช้หลักการง่ายๆคือดูตัวเลขเป็นสำคัญ โดยหาหุ้นที่มี P/E P/BV ต่ำ และมี Dividend Yield สูงๆ แต่การลงทุนครั้งแรกผมก็เจ็บตัวหนัก (ลองย้อนกลับไปอ่านบทความเรื่องหุ้นตัวแรกในชีวิตผมดูนะครับ)

- หลังจากที่ผมเจ็บตัวจากหุ้นตัวแรก ผมก็พยายามหาจุดผิดพลาดของตัวเอง ก็ได้ข้อสรุปว่าผมดูเน้นแต่ข้อมูลตัวเลขมากเกินไป ซึ่งตัวเลขเหล่านั้นเป็นตัวเลขที่เกิดขึ้นในอดีต แทนที่จะมองอนาคตของธุรกิจเป็นหลัก จากนั้นมาผมก็ให้ความสำคัญกับข้อมูลที่เป็นเชิงคุณภาพมากขึ้นมองที่ความแข็ง แกร่งของตัวธุรกิจมากขึ้น

- หุ้นตัวต่อๆมาที่ผมซื้อในปี 46 Metco ทำธุรกิจรับจ้างผลิตอุปกรณ์ Electronic ซึ่งผมดูตัวเลขย้อนกลับไปหลายๆปีเห็นว่าเป็นบริษัที่มียอดขายเติบโตดี กำไรก็โตเร็ว และที่สำคัญมีราคาไม่แพง ผมเริ่มซื้อตั้งแต่ราคา 130 บาท แล้วไปขายที่ราคาประมาณ 250 บาท แต่ผมก็ยังติดกับดักตัวเลขในอดีตอยู่เช่นเคย คือซื้อหุ้นที่มี P/E P/BV ต่ำเป็นหลัก โดยไม่ได้วิเคราะห์อนาคตของธุรกิจอย่างที่ควรทำ อย่างไรก็ตาม metco ก็เป็นหุ้นที่ผมทำการบ้านหนักกว่าตอนซื้อหุ้น GFPT อยู่พอสมควร คือมีการวิเคราะห์งบการเงินย้อนหลังไปหลายๆปีเพื่อดูแนวโน้มระยะยาว รวมถึงวิเคราะห์งบการเงินรายไตรมาสเพื่อให้เห็นถึงแนวโน้มระยะสั้น ผิดกับตอนซื้อ gfpt ที่มองเพียงแค่ตัวเลข Ratio ต่างๆ ในหนังสือพิมพ์

- หุ้นที่ผมเล่นในปีแรกนั้นมีอยู่อีกหลายตัวดังนี้ egcomp mbk p-fcb pha wacoal tr pr fe charan amata patkol tta psl ticon astl มองย้อนกลับไปแล้วจะเห็นว่าแนวทางการลงทุนจะค่อนข้างกระจัดการจายพอสมควร คือมีการซื้อขายหุ้นค่อนข้างบ่อย อุตสาหกรรมของหุ้นก็ไม่ค่อยจะเชื่อมโยงกันเท่าไหร่ เพราะมีตั้งแต่พลังงาน ห้าง ประกัน โฆษณา สิ่งทอ โรงงาน เรือ และวัสดุก่อสร้าง การตัดสินใจหลักของเลือกหุ้นแต่ละตัวนั้นยังคงอยู่บนหลักพื้นฐานของค่า PE PBV ที่ต่ำ บวกกับการมองพื้นฐานของธุรกิจมากขึ้น เพราะฉะนั้นในช่วงนี้ปีเป็นปีที่ผมเรียนรู้รูปแบบการทำธุรกิจของหุ้นหลายๆ ประเภทเพิ่มขึ้นมาก ซึ่งถือว่าเป็นฐานความรู้ในการเลือกหุ้นได้ดี

สรุปการลงทุนปี 46
ผล ตอบแทนปีนี้ของผมถือว่าสูงมาก แต่อย่างไรก็ตามผมเชื่อว่าส่วนหนึ่งนั้นมาจากโชคที่ผมเริ่มต้นลงทุนในปีที่ Set มีการปรับตัวขึ้นอย่างมาก ทำให้แม้หลายๆครั้งหุ้นที่ผมอาจจะวิเคราะห์ผิดคาดการณ์ผิดผมก็ยังมีกำไรได้ (ซึ่งแบบนี้ไม่ควรนับเป็นความสำเร็จในการลงทุน)

Criteria ในการเลือกหุ้นหลักๆมีอยู่ 2 ข้อคือ P/E P/BV มีค่าต่ำ และบริษัทต้องมีความแข็งแกร่งในตัวเอง การลงทุนช่วงนี้ผมยังไม่เก่งพอที่จะมองอนาคตของธุรกิจได้ขาด เพราะฉะนั้นการตัดสินใจส่วนใหญ่จะมองจากอดีตและปัจจุบันเป็นหลัก เช่นมองว่าอดีตบริษัทนั้นมีผลงานที่ดี มีการเติบโตสูง และปัจจุบันบริษัทมีความแข็งแกร่ง มีส่วนแบ่งการตลาดที่ดี แต่ยังไม่ได้มองว่าอนาคตคู่แข่งจะแซงได้หรือไม่ แนวโน้มอุตสาหกรรมเป็นอย่างไร

การ ลงทุนช่วงนี้ผมยังอ่านงบการเงินไม่ค่อยเป็นเลยครับ พยายามเปิดงบดูก็จริงๆ แต่ส่วนใหญ่ก็ได้แต่ดูแต่ยอดขาย กำไร และก็หนี้เป็นหลัก (หุ้นตัวไหนหนี้ยิ่งน้อยยิ่งดี) ซึ่งการอ่านงบนั้นผมว่าเป็น skill สำคัญการลงทุนเลย (เพราะฉะนั้นที่รอดมาได้ก็บุญโขแล้ว)

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘