Saturday, January 30, 2010 สรุปการลงทุนปี 51และ 52

ปี 2551 set ลดลงประมาณ 48% ในขณะที่ port ของผมลดลงประมาณ 55% (จริงแล้วแพ้ set มากกว่านี้เพราะว่า port ผมนี่รวมป้นผลแล้ว แต่ set ยังไม่รวม)

ปี นี้คนที่อยู่ในตลาดคงจำกันได้เป็นอย่างดีว่าเป็นปีที่หดหู่พอสมควร ช่วงต้นปีหุ้นดูเหมือนจะดี port ของผมเองก็พุ่งขึ้นทำ New High ใหม่... แต่ผ่านมาได้ซัก 4-5 เดือน หุ้นก็เริ่มไหลลงเป็นน้ำตก จาก 800 มา 700 มา 600 ณ เวลานั้นผมเองก็ซื้อหุ้นเพิ่มเข้าไปอีก เพราะเห็นว่าหุ้นตัวเองนั้นถูกลงในขณะที่ผลประกอบการณ์ทั้งที่ออกมาและที่ คาดไว้ในอนาคตยังคงดีอยู่ แล้วหุ้นก็ไหลลงไปเรื่อยๆ จาก 600 500 400 จนถึง 300 ปลายๆ ... แหมช่วงนี้ใจหายกันหมด มูลค่า port ของผมก็ลดลงมาอย่างมากเช่นกัน หุ้นที่ถือๆอยู่ทยอยประกาศผลประกอบการออกมาเรื่อยๆ หลายๆตัวเป็นไปตามคาด หลายตัวดีกว่าที่คาด แต่หุ้นก็ยังลง

บท เรียนที่ผมได้เรียนรู้จากการลงทุนในปีนี้มีมากเหลือเกิน จะลองยกตัวอย่างเป็นข้อหลักมาให้ดูนะครับๆ อาจจะตกหล่นไปบ้าง เพราะมันก็ผ่านมานานแล้ว แต่ที่ผมไม่เขียนบทสรุปตั้งแต่ปีที่แล้วผมมีเหตุผลอยู่ ซึ่งเดี๋ยวจะเอาไปเล่าตอบจบบทความล่ะกัน

- ราคาหุ้นในระยะสั้นนั้นสามารถไร้เหตุผลได้สิ้นเชิง... จากที่เราเชื่อว่าหุ้นดี กำไรเพิ่ม ราคาถูกนั้น ราคาหุ้นควรจะเพิ่มขึ้น .. ซึ่งมันยังคงจริงในระยะยาว แต่ในระยะสั้นนั้นราคามันอยากจะวิ่งไปทางไหนก็ได้ .. หุ้นที่กำไรโตขึ้น 100% และมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ มี p/e ต่ำเรี่ยเตี้ยดิน หลังประกาศกำไรออกมา หุ้นอาจจะลงไป 10-20% ก็ได้..

- คุณอาจจะได้เห็นหุ้นที่ราคาลดลง 30% ในวันเดียวได้ทั้งๆที่เป็นหุ้นที่แข็งแกร่งมาก อย่าง mint เป็นต้น ซึ่งสาเหตุหนึ่งที่คนอาจจะไม่รู้กันคือ บางคนมีการใช้ Margin เล่นหุ้น ซึ่งเมื่อหุ้นลดลงมาถึงจุดหนึ่ง Broker เค้าจะให้เอาเงินมาลงเพิ่ม เพราะหลักทรัพย์ค้ำประกัน (หุ้น) มีมูลค่าลดลง ถ้าเอาเงินมาลงเพิ่มไม่ได้ (ซึ่งก็เป็นส่วนใหญ่ เพราะถ้ามีเงินคงไม่ต้องมากู้เล่นหุ้นกันหรอก) เค้าก็จะบังคับขายหุ้น แล้วเมื่อถูกบังคับขายหุ้นแล้วไม่ค่อยมีคนซื้อ ก็จำเป็นต้องขายกดราคา ที่นี้ยิ่งขายลงมาหุ้นก็ยิ่งลดลง บังเอิญมีนักลงทุนอีกคนใช้หุ้นตัวเดียวกันเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน เค้าก็โดนบังคับขายอีก.. พอแรงขายเพิ่มขึ้นอีกหุ้นมันก็ยิ่งลงได้อีก แม้ว่ามันจะลงมาเยอะแล้ว.. พอหุ้นลงมาคนที่ถืออยู่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เห็นหุ้นลงแรงๆก็ตกใจ ขายหุ้นตาม สุดท้ายแรงขายเพียบ แรงซื้อไม่มี ก็ไหลเป็นน้ำตกซิครับ... เพราะฉะนั้นในช่วงจังหวะตลาดขาลงแบบนี้การเห็นหุ้นลดลง 20-30% ทั้งที่ไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องปกติ และเป็นโอกาสในการลงทุนอย่างหนึ่งของนักลงทุนระยะยาวได้

- ช่วงนี้ข่าวร้ายจะออกมาเต็มไปหมด เหมือนกับเศรษฐกิจโลกจะพังพินาศ ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปเราก็จะได้รู้ว่าสุดท้ายมันก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นหรอก

- มีนักลงทุน vi บางท่าน ไม่ได้ออกจากตลาดหุ้นเลย ถือหุ้นเต็ม port 100% แต่จบปียังสามารถรักษาผลตอบแทนเป็นบวกไว้ได้ ... ยอดเยี่ยมจริงๆครับ เข้าใจว่าในช่วงต้นปีนั้นทำผลตอบแทนตุนเอาไว้เยอะมาก และในช่วงที่หุ้นลดลงนั้น ก็ใช้วิธี Switch หุ้นตัวที่ลงน้อยไปซื้อตัวที่ลงเยอะ.. ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับเรื่องการจัด port ที่ผมเคยเขียนเอาไว้ (ผมก็ใช้นะ แต่ก็ยังเดี้ยงอยู่ดี 555) แต่จุดต่างคือผมถือหุ้นประมาณ 4-5 ตัว แล้ว 4-5 ตัวที่ว่านี่มันลดลงมาพอๆกันเกือบหมด ผมเลยมีโอกาส ปรับ port ไม่มากนัก บวกกับที่ผมใช้ Margin ด้วยมันเลยยิ่งทำให้ port ผมลดเร็วเป็นพิเศษ ในขณะที่พี่ท่านนั้นถือหุ้นอยู่ 10-20 ตัว หุ้นจำนวนมากขนาดนี้มันก็มีบางตัวขึ้นมาตัวลงสลับกันไปมา โอกาสในการปรับ port เลยเพิ่มขึ้น ... ซึ่งผมเชื่อว่าการลงทุนนั้น ถ้าเราสามารถกระจายการลงทุนหลายๆตัว ความเสียงก็จะลดลง ในขณะที่โอกาสในการปรับ port จะเพิ่มขึ้น แต่ทั้งนี้จะต้องใช้พลังและความขยันมากขึ้น เพราะการจะติดตามหุ้น 10-20 ตัวโดยจำเป็นต้องเจาะลึกและเข้าใจธุรกิจของมันทุกตัวนั้นเหนื่อยมาก.. ส่วนตัวผมก็อยากลงทุนเยอะๆตัวแบบนั้นเหมือนกัน แต่ความขยันและกรอบของธุรกิจที่ผมเข้าใจนั้นมันแคบ เลยทำได้เต็มที่แค่นี้ ...

ปี 2552 set เพิ่มขึ้น 63% port ของผมเพิ่มขึ้น 384% จากที่เคยแพ้ set ไปในปีที่แล้ว ผมสามารถพลิกจากขาดทุนเกินครึ่ง port ในปี 2551 มาเป็นกำไรได้ตั้งแต่ประมาณกลางๆปี 52 นับว่าเป็นปีทองของการลงทุนที่ผมสามารถทำผลตอบแทนได้สูงที่สุดตั้งแต่เคยทำ มา

- ช่วงต้นปีๆ กลยุทธ์การลงทุนของผมคือเลือกหุ้นที่ปลอดภัยไว้ก่อนกำไรในปี 52 ไม่ควรต่ำกว่าปี 51 ถ้าต่ำก็ควรลดลงไม่มาก และมีปันผลเยอะๆ ผมคาดหวังผลตอบแทนในการลงทุนประมาณ 15-20% ทั้งปี ซึ่งในเวลานั้นการหาหุ้นที่มีปันผล 20% นี่เป็นเรื่องไม่ยากเลย สรุปว่าผมหวังว่าหุ้นที่ผมซื้อนั้นจะจ่ายปันผลให้ผมได้ประมาณ 15-20% และไม่ได้หวังกำไรจาก capital gain เลย... ช่วงนั้นความคาดหวังของนักลงทุนส่วนใหญ่ดูจะต่ำเอามากๆ ผมเองก็คนหนึ่ง

- ระหว่างที่ผมหาหุ้นที่เข้าข่ายเกณฑ์ข้างต้นไปเรื่อยๆ ผมก็ได้ไปดูหุ้นอสังหาเริ่มจาก lpn เพราะตอนนั้นหุ้น lpn มี Backlog ที่จะรับรู้ในปี 52 พอสมควร ซึ่งการจะทำกำไรใกล้เคียงกับปี 51 คงไม่ยากนัก ผมคาดหวัง lpn กำไร 0.80 และปันผล 0.40 ตอนนั้นหุ้นราคาประมาณ 2-2.2 คิดเป็นปันผลที่สูงมาก ผมก็ซื้อเข้า port ไว้แล้วก็ติดตามผลงานมันเรื่อยๆ เพราะหุ้นอสังหาเป็นกลุ่มที่ผมไม่คุ้นเคยเท่าไหร่นัก

- พอติดตาม lpn ก็เลยอยากไปดูว่าคู่แข่งเค้าเป็นยังไงบ้าง เลยเจาะดูหุ้นกลุ่มนีไปเรื่อยๆ ก็ได้ไปดู ps spali ap lh qh siri ... ประมาณเดือน 4 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการประชุมผู้ถือหุ้นผมก็เข้าประชุมหุ้นเหล่านี้ แล้วก็ได้พบกับเรื่องเกินคาด คือ แม้ว่าในปี 51 นั้นสถาการณ์ดูแย่ไปหมด แต่ว่ายอดเข้าชมโครงการของบริษัทอสังหาส่วนใหญ่นั้นกลับไม่ลดลงเลย บางบริษัทเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ แม้ว่าการขายจะยังไม่ได้ดีมากนักแต่ก็เห็น Sign ว่าน่าจะดีกว่าที่หลายๆคนคิดกัน.. ความมั่นใจในการถือหุ้นอสังหาผมก็เลยเพิ่มขึ้นและก็เก็บ ps เข้า port เพิ่มอีกตัว เพราะ ps ณ เวลานั้นเป็นตัวที่ยอดขายยังคงทำได้ดีมากและราคาหุ้นก็ลดลงมาต่ำมากเช่นกัน ประมาณ 4 บาท

- เวลาผ่านไปจบ Q2 ยอดขายของอสังหาหลายบริษัทฟื้นตัวขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าในช่วงเดือน 4 จะมีความรุนแรงของการชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงอย่างมาก แต่ยอดขายยังคงดี ผมเลยเชื่อแล้วว่า คนส่วนใหญ่ยังมีกำลังซื้อ แต่ขาดความมั่นใจเท่านั้นทำให้ที่ผ่านมาในช่วง Q4-50 และ Q1-51 มีการชะลอการซื้อเอาไว้สุดท้ายคนอั้นเอาไว้นานต้องการบ้านจริงๆก็คงอั้นเอา ไว้ไม่ไหวก็เลยทยอยกันซื้อบ้านซื้อคอนโดกันเรื่อยๆ ระหว่างนี้ lpn และ ps ก็เพิ่มขึ้นมาอย่างมากจากจุดต่ำแถว 2 บาทและ 4 บาท มาเป็นประมาณ 5 บาทและ 8 บาท

- หุ้นอสังหา 2 ตัวต่อมาที่ผมเจอก็คือ spali .. ซึ่งก็ต้องขอบคุณพี่นักลงทุนท่านหนึ่งที่นั่งบรรยายบริษัทต่างๆในกลุ่มอสัง หาให้ผมฟังเป็นชม. ขณะที่ไปเยี่ยมชมโรงงาน mcs ทำให้ผมกลับมาทำการบ้าน spali อย่างละเอียดขึ้น ก็มาพบว่า spali นั้นเป็นหุ้นอสังหาที่มีผลประกอบการเติบโตมาก gpm opm npm และ roe เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีสูงที่สุดในกลุ่ม ณ เวลานั้นหุ้นอสังหาตัวใหญ่ๆ อย่าง qh lh นั้นมี p/e 10 เท่าขึ้นไป .. ส่วน lpn ps ap ก็มี p/e ประมาณ 6-8 เท่า แต่ spali นั้นมี p/e อยู่ประมาณ 2 กว่าๆเท่านั้นเอง ดูจากผลงานในอดีตและความสามารถในการทำกำไร ผมเชื่อว่า spali นั้นไม่มีด้อยไปกว่าหุ้นอสังหา รายหลัก 5 ตัวเลย แต่ p/e นั้นต่ำกว่ามาก... ผมจึง switch มาซื้อ spali เป็นสัดส่วนที่เยอะของ port

- ผลประกอบการณ์ก็ทยอยออกมาเรื่อยๆ spali นั้นสามารถทำกำไรเพิ่มขึ้นจากปีก่อนได้ร่วมๆ 100% (ทั้งที่เงื่อนไขการลงทุนของผมนั้นขอแค่กำไรทรงๆตัวไม่ลดลงก็พอใจแล้ว) ราคาหุ้นจึงเพิ่มจากจุดต่ำสุดประมาณ 1.5 มาอยู่แถวๆ 6 บาท (ผมไม่ได้ซื้อตั้งแต่ 1.5 นะครับ มาซื้อเอาหนักก็ 3 บาทกว่าๆแล้ว) นอกจากนี้ Pre-sale ของกลุ่มก็ยังออกมาดีมากใน Q3 Q4 ด้วยสาเหตุว่า Demand ของบ้านคอนโดยังคงมีอยู่ แต่ว่า Supply ใหม่ๆนั้นออกมาน้อยมาก แบงค์ไม่ปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการรายเล็ก เพราะฉะนั้น Supply ที่ออกมาจึงมีแต่ผู้ประกอบการรายใหญ่ตลาดที่มีโครงการมาขาย ยอดขายจึงออกมาดีมาก

- นอกจากกลุ่มอสังหาที่ผมเล่นก็มีหุ้น irp อีกตัวที่ซื้อไว้ประมาณกลางๆปี ซึ่งผลงานก็ออกมาโตกว่าปีที่แล้วมาก และก็ยังมี Growth อีกมากที่จะเกิดขึ้นในปี 53 ยอดขายของบริษัทยังเป็นไปได้ดี ใช้กำลังการผลิตล้นตลอด ขยายมาเท่าไหร่ก็ขายหมด เพราะ Demand ของผลิตภัณฑ์นั้นไม่ลดลง (บริษัทขาย Pet resin ซึ่งเอาไปทำขวดน้ำ) ในขณะที่ Supply ลดลงเพราะบริษัทผู้ผลิตหลายรายนั้นมีปัญหาด้านสภาพคล่อง บวกกับการที่บริษัทเป็นผู้ผลิตที่ต้นทุนต่ำที่สุดในโลก กำไรจึงเติบโตขึ้นมาได้มาก และในภาวะที่เศรษฐกิจแย่ๆแบบนี้บริษัท irp ซึ่งมีผลประกอบการที่ดี สภาพคล่องเงินที่ดี จึงมีโอกาสซื้อโรงงานของคู่แข่งที่มีปัญหาในราคาถูก บริษัทจึงสามารถขยายกำลังการผลิตได้ในต้นทุนที่ต่ำลงไปอีก

จะ เห็นว่า Theme หลักของการลงทุนปี 52 นี้มีจุดร่วมอยู่อย่างหนึ่งที่เหมือนกันคือ Supply ลดลง Demand ยังคงที่ ทั้งหุ้นอสังหาและ irp ... ซึ่งพูดให้เป็นประโยคเท่ๆ (ลอก Peter Lynch) มาว่า "ซื้อหุ้นยอดเยี่ยม ในอุตสาหกรรมยอดแย่) นั้นสามารถทำกำไรให้กับผมได้เป็นอย่างดี

...... สาเหตุที่ผมยกเอาบทสรุปของปี 51 มาเขียนรวมกับปี 52 ก็เพราะว่า สิ้นปี 51 ผลตอบแทนของผมแย่มาก ความมั่นใจเลยหายไประดับ แต่ผมยังคงเชื่อมั่นแนวทางการลงทุนแบบ VI ว่าน่าจะสร้างผลตอบแทนได้ดีในระยะยาว ผมจึงกะว่าจะรอให้ผลงานนั้นผ่านมาจนผมมั่นใจแบบเต็มที่ว่าการลงทุนแนว VI นี้จะยังคงเป็นทางเลือกที่ดีในทุกภาวะตลาด แม้อาจจะมีสะดุดบ้างแต่ผลตอบแทนระยะยาวนั้นยังดีเยี่ยมเหมือนเดิม.....

ผลตอบแทนทบต้น 7 ปีย้อนหลังของผมยังคงอยู่ที่ 80% แม้จะผ่านปีที่แย่ๆมาแล้ว ขอบคุณ กูรู VI ทุกท่านที่ทำให้ผมมีวันนี้ครับ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร