101 ปฏิบัติการพลิกชีวิต ตอนที่ 38 "สุขภาพทางการเงิน"

ที่ผ่านมาผมได้พยายามที่จะพาคุณๆที่ไม่ต้องการเป็นคน ธรรมดา เดินผ่านเส้นทางของการเปลี่ยนแปลงในปฏิบัติการเพื่อพลิกชีวิต เพื่อทำให้ตัวเองบรรลุเป้าหมายในการมีอิสรภาพทางการเงิน สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในบั้นปลาย โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงินๆทองๆอีกต่อไป
         
     เพราะมีความเชื่อว่าเหมือนที่ตัวเองเคยมี ประสบการณ์ตรงมาแล้ว คือ คนส่วนใหญ่มักจะเริ่มสนใจเรื่องเงินๆทองๆก็ต่อเมื่อชีวิตเริ่มเกิดอาการ สะดุด มีปัญหาติดๆขัดๆเรื่องเงิน โดยเฉพาะเรื่องหนี้สิน จึงค่อยเริ่มพยายามมองหาทางออกจากหุบเหวแห่งความทุกข์ ซึ่งสำหรับบางคนก็อาจจะเกือบสายเกินไป
          
     ปฏิบัติการพลิกชีวิต จึงเริ่มต้นจากการชี้ให้คุณเห็นความสำคัญต่อ เรื่องเงินๆทองๆ และพยายามปลุกให้คนตื่นมี จิตวิญญาณ ของ“ผู้ไม่ยอมพ่ายแพ้” และมุ่งมั่นกับพันธะสัญญาในการเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งสำคัญที่จะต้องยอม เผชิญกับความยากลำบากอย่างแสนสาหัสในช่วงแรกๆของการเปลี่ยนแปลง
          
     เส้นทางการเปลี่ยนแปลงที่ยากลำบากที่สุดจะอยู่ในช่วงเริ่มต้น ที่คุณจะต้องกลับมาสร้างวินัยในการใช้จ่าย เข้าสู่ปฏิบัติการในการล้างหนี้โดยเริ่มต้นจากหนี้ก้อนเล็กที่สุด เพื่อสร้างให้เกิด “โมเมนตัม” ของลูกบอลหิมะ หรือ Snow Ball ค่อยๆจัดระบบเรื่องเงินๆทองๆในชีวิตเสียใหม่ จนสามารถจะมีรายได้เพียงพอที่จะจ่ายหนี้สินต่างๆที่มีอยู่
          
     เมื่อผ่านช่วงเวลาแห่งความยากลำบากมาได้แล้ว ก็จะเป็นช่วงของการสร้างเกราะป้องกันตัว โดยการสร้าง “กองทุนฉุกเฉิน” ขึ้นมา เพื่อเป็นหลักประกันรองรับ “อุบัติเหตุทางการเงิน” ที่อาจจะพุ่งเข้ามาใส่แบบไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว

     หลังจากนั้น ผมเสนอให้เริ่มคุณทำตัวให้เป็นคนมีวิสัยทัศน์มองไปในระยะยาว โดยการตั้งเป้าหมายของการลงทุนใน “กองทุนเพื่อวัยชรา” ผ่านกลไกที่ภาครัฐสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็น กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนประกันสังคม หรือ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
          
     ในเวลาเดียวกัน เพื่อสร้างกองทุนเพื่อวัยเกษียณให้เพิ่มพูนมากขึ้น ผมยังแนะนำให้รู้จักใช้ประโยชน์ “แต้มต่อ” ในการลงทุนใน การทำประกันชีวิต หรือ การซื้อกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ RMF- Retirement Mutual Fund และ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว LTF Long-term Mutual Fund เพื่อใช้สิทธิ์ประโยชน์การช่วยลดหย่อนภาษี
          
     ในระหว่างเส้นทางการเปลี่ยนแปลง ผมสนับสนุนให้เริ่มเก็บเงินออมและนำเงินไปลงทุนในการสร้าง “กองทุนเพื่อความมั่งคั่ง” โดยนำเม็ดเงินไปลงทุนในทางเลือกในการลงทุนประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สินทรัพย์ทางการเงิน ประเภทตราสารหนี้ หรือ ตราสารทุน หรือ กองทุนรวมประเภทต่างๆ หรือ สินทรัพย์ที่จับต้องได้ เช่น อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ หรือ ของสะสมที่มีมูลค่า โดยยึดหลักการกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง
         
     มาถึงตรงนี้ หลายคนคงอยากจะรู้ว่า อะไรจะเป็นตัวตัดสินได้ว่า ณ ปัจจุบัน สุขภาพทางการเงินของเราดีขึ้นหรือยัง ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการตรวจเช็คสุขภาพร่างกายประจำปี
          
     คงเหมือนคนทั่วๆไปนั่นแหละครับ ในช่วงที่ยังอยู่ในช่วงต้นๆของวัยทำงาน เรามักจะปล่อยชีวิตให้ลื่นไหลไปตามสภาพ ไม่เคยมีความคิดเรื่องการตรวจเช็คสุขภาพอยู่ในสมอง แต่เมื่อก้าวย่างเข้าสู่วัยกลางคน เราจึงเริ่มหันมาสนใจ
          
     ล่าสุดผมใช้เวลาอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่กว่าครึ่งวันในการตรวจทุกอย่าง ทั้งตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ เอ็กซเรย์ปอด เป่าสี อัลตราซาวด์ช่องท้อง วิ่งสายพาน และ ตรวจมะเร็งต่อมลูกหมาก
          
     โชคดีที่สุขภาพโดยรวมของผมอยู่ในเกณฑ์ดีไม่มีปัญหาอะไรน่าหนักใจ ถึงแม้จะระดับน้ำตาลค่อนข้างสูง แต่ก็ยังไม่น่าวิตก แพทย์ลงความเห็นว่า ยังมีชีวิตต่อไปได้อีกนาน หากออกกำลังกายสม่ำเสมอเหมือนในปัจจุบัน แต่ต้องระวังเรื่องการรับประทานของหวาน เพราะเริ่มมี Triglyceride และ LDL สูง
          
     สำหรับการตรวจสุขภาพทางการเงิน ผมมีวิธีเช็คอย่างง่ายๆ โดยดูจาก งบการเงิน หรือ งบที่แสดง “ความมั่งคั่งสุทธิ” โดยการนำเอาหนี้สินที่มีอยู่ทั้งหมด ไปหักออกจากทรัพย์สินที่มีอยู่ทั้งหมด ก็จะทำให้ทราบภาพรวมว่า คุณมีความมั่งคั่งสุทธิมากน้อยแค่ไหน
          
     ขณะเดียวกัน เมื่อหันไปดู งบกระแสเงินสด ซึ่งเป็นตัวสะท้อน รายได้-รายจ่าย และ หนี้สินในแต่ละเดือน จะทำให้ทราบถึงสถานการณ์ทางการเงิน ณ ปัจจุบันและอนาคตของคุณได้ไม่ยาก เพราะหากผลสุทธิออกมาเป็นลบ ก็แสดงว่า คุณอาจจะต้องใช้เงินออมที่มีอยู่ หรือ กู้เงินมาชดเชยรายได้ส่วนที่ขาด ซึ่งทั้งหมดส่งผลให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ หรือ ความมั่งคั่งของคุณลดลง
          
     เพี่อให้สะดวก และ เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น มีอัตราส่วนทางการเงินมาตรฐาน 6 ประการที่อาจจะใช้เป็นตัวชี้วัดว่า สุขภาพทางการเงินของคุณเยี่ยมแค่ไหน คือ
          
     1.อัตราส่วนสภาพคล่องพื้นฐาน หรือ กองทุนฉุกเฉิน ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของ บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ มีอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานคือ 3-6 เดือน ของค่าใช้จ่ายประจำเดือนหรือไม่
          
     2.อัตราส่วนสภาพคล่องพื้นฐาน หรือ บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ มีอยู่มากพอที่จะจ่ายหนี้ระยะสั้นในแต่ละเดือนได้เพียงพอหรือไม่
          
     3.อัตราหนี้สินรวม ไม่ควรจะเกินกว่า ”ครึ่งหนึ่ง” ของ มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ ที่มีอยู่ ณ ขณะนั้น ซึ่งยิ่งต่ำเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น
          
     4.อัตราส่วนในการจ่ายหนี้สินในแต่ละเดือน ไม่ควรสูงกว่า 20% ของรายได้ ถึงแม้ว่า ในหลักการทั่วไป เราอาจจะสามารถมีหนี้สินจากการกู้ยืม เพื่อ ซื้อบ้าน หรือ รถยนต์ ได้ไม่เกิน 28-36% แต่ยิ่งมีหนี้น้อยเท่าไร ก็สะท้อนให้เห็นถึงความเข้มแข็งทางการเงินของเรา
          
     5.อัตราส่วนในการออมเพื่อลงทุนสร้างความมั่งคั่งในแต่ละเดือน ควรเกินกว่า 10% ของรายได้ เพราะยิ่งนำเงินออมไปลงทุนได้มากเท่าไรก็ยิ่งช่วยสร้างความมั่งคั่งสุทธิให้เราเพิ่มมากขึ้น
          
     6.อัตราส่วนในการลงทุน หรือสินทรัพย์การลงทุนของเรามีมากกว่าครึ่งของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของ เราในปัจจุบัน ซึ่งเป็นตัวแสดงให้เห็นว่า มูลค่าความมั่งคั่งสุทธิของเรามีแต่จะเพิ่มพูนขึ้น เพราะสินทรัพย์การลงทุนของเราสามารถให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นตลอดเวลา
          
     อัตราส่วนทางการเงินส่วนบุคคลทั้ง 6 ประการ จะเป็น “ตัวชี้วัด” ที่ดีว่า สุขภาพทางการเงินของคุณเข้มแข็งและมั่นคงมากน้อยแค่ไหน หากคุณมีอย่างหนึ่งอย่างใดต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ผมแนะนำไว้ ก็แสดงว่า คุณอาจจะเริ่มมีสุขภาพทางการเงินในบางเรื่องไม่สู้ดี และ ต้องเร่งแก้ไขชในจุดนั้นทันทีครับ
          
     วิธีตรวสอบที่ผมนำมาแนะนำไว้ ต้องถือว่าเป็นการตรวจเช็คสุขภาพทางการเงินของคุณด้วยตัวเอง หากคุณสามารถสอบผ่านทุกข้อก็แสดงว่า สุขภาพทางการเงินของคุณอยู่ในเกณฑ์เยี่ยมมากครับ และผมก็หวังให้เป็นเช่นนั้นทุกคนนะครับ 

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘