101 ปฏิบัติการพลิกชีวิต ตอนที่ 37 "Now Technology"

เมื่อพูดถึงปัญหาเรื่องของความเหลื่อมล้ำทางสังคม ช่องว่างระหว่างคนรวย-คนจน มีชุดตัวเลขอีกชุดหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงภาพของความแตกต่างในเรื่องนี้ที่ ชัดเจนเสียยิ่งกว่า ตัวเลขของโครงสร้างการกระจายรายได้ของประเทศเราเสียอีก เมื่อลองหันไปดูโครงสร้างของนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
  
     คุณเชื่อหรือไม่ ในขณะที่มูลค่าตลาดหลักทรัพย์ฯของไทยมีมูลค่าสุทธิกว่า 7 ล้านล้านบาท (ณ วันที่ 30 สิงหาคม 2553) แต่ก็มาจากบริษัทจดทะเบียนเพียงประมาณ 500-600 บริษัท (ทั้งใน SET และ mai ) โดย มีนักลงทุนที่มีการลงทุนทางตรงเพียงประมาณไม่เกิน 5 แสนราย ในจำนวนนี้ครึ่งหนึ่งเป็นกลุ่มที่มีการซื้อขายในแบบวันต่อวันในลักษณะเก็ง กำไรในหุ้นที่กำลังเป็นที่น่าสนใจ ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นฯมีการเคลื่อนไหวขึ้นๆลงๆแบบทุกวันนี้

     ในขณะที่มีนักลงทุนที่มีการลงทุนทางอ้อมผ่านกองทุนรวม หรือ ลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการอีกประมาณ 1.5 ล้านคนเท่านั้น

     สัดส่วนนักลงทุนของไทย เมื่อเทียบกับประเทศอื่นแล้ว ต้องถือว่าเป็นตัวเลขที่ “ขี้ริ้ว”อย่างมาก เมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหลายที่มีสัดส่วนประมาณ 30% ของประชากร ไม่ว่าจะเป็นประเทศเพื่อบ้านใกล้ๆอย่าง สิงคโปร์ หรือ ไต้หวัน

     ถึงแม้จะมีนักลงทุนเพียงไม่กี่แสนคนที่ซื้อๆขายๆอยู่ในตลาดหุ้นฯ แต่คนกลุ่มนี้ก็มีบทบาทต่อความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นอย่างมาก โดยในปัจจุบันที่ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯสามารถขึ้นไปทดสอบระดับ 900 จุดได้ โดยมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยสูงถึงวันละ 3 หมื่นกว่าล้านบาท

     ทุกวันนี้ สัดส่วนของนักลงทุนรายย่อยเขยิบขึ้นมาสูงถึงประมาณ 21% ในขณะที่นักลงทุนสถาบันมีสัดส่วนประมาณ 57 % และนักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนลดลงเหลือเพียงประมาณ 22 %

     ตลาดหลักทรัพย์ฯอาจจะมีความเชื่อว่า หากสามารถชักชวนให้นักลงทุนต่างชาติเห็นความสำคัญ และเพิ่มน้ำหนักต่อการเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น จะทำให้ตลาดหุ้นไทยยิ่งเติบโตขึ้น ถึงแม้มันจะมีส่วนถูกอยู่บ้าง แต่ก็อาจจะไม่ถูกเสียทั้งหมด ไม่ต่างอะไรกับการแก้ไขปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำทางสังคมของรัฐบาล

     เมื่อไรก็ตามที่ปัจจัยทางการเมืองของเราเริ่มมีเสถียรภาพ เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว และตัวเลขผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนออกมาสวยงาม นักลงทุนต่างชาติเห็นโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีกว่าเมื่อ เทียบกับตลาดอื่น ก็จะมีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุน แต่เมื่อสามารถทำกำไรได้ถึงระดับหนึ่งจากส่วนต่างของราคาก็อาจจะมีการขายออก เพื่อนำเม็ดเงินไปลงทุนในตลาดฯอื่นที่สามารถให้ผลตอบแทนดีกว่า ซึ่งย่อมส่งผลกระทบต่อดัชนีตลาดหุ้นไทย

     ลองคิดในอีกมุมหนึ่ง คือแทนที่จะมุ่งไปให้ความสำคัญกับต่างชาติ ทำไมเราไม่พยายามกระตุ้น และส่งเสริมคนไทยให้รู้จัก และลงทุนในหุ้น เช่นเดียวกับประเทศที่พัฒนาแล้ว เพราะนอกจากจะช่วยให้ตลาดหุ้นฯไทยขยายตัวได้อีกมหาศาล โดยไม่เห็นจำเป็นต้องพึ่งพาเม็ดเงินจากต่างชาติ ยังจะเป็นการแบ่งความรวย หรือ กระจายความมั่งคั่งให้กับประชาชนส่วนใหญ่ได้อย่างเป็นธรรมมากขึ้น

     ทุกวันนี้ เป็นเรื่องน่าเศร้านะครับ เมื่อเวลาเราเห็นตัวเลขผลกำไรของบรรดาบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ที่มีกำไรนับเป็นแสนๆล้านบาท แต่ผลประโยชน์เหล่านี้ตกอยู่ในมือของคนเพียงไม่กี่คนที่อยู่ในฐานะผู้ถือ หุ้น หรือนักเก็งกำไรบางกลุ่มที่อาศัยเป็นจังหวะในการสร้างราคาเพื่อทำกำไรจาก ส่วนต่างของราคาซื้อ-ขาย
   
     ถึงแม้ตลาดหลักทรัพย์ฯจะมีการกำหนดกฏเกณฑ์ให้บรรดาบริษัทจดทะเบียนต้องมีการกระจายหุ้นให้กับประชาชน (Free Float) แต่ทุกวันนี้หุ้นส่วนใหญ่ก็ยังคงอยู่ในความครอบครองของ รัฐหรือ ผู้ถือหุ้นที่เป็นเจ้าของเดิม หรือผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็นหลัก โดยมีการกระจายหุ้นออกมาเพียงประมาณ 39 %

     ความจริง วิธีการง่ายๆที่จะทำให้ โครงสร้างการกระจายรายได้มีความเป็นธรรมมากขึ้น คือ การให้ความรู้ ส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนสามารถจะมีโอกาสเป็นเจ้าของกิจการหรือเป็นผู้ ถือหุ้นของบริษัทจดทะเบียนโดยการเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นฯได้มากขึ้น
  
     แนวคิดในเรื่องของเปิดโอกาสให้พนักงานในบริษัทได้มีส่วนในการร่วมลง ทุนเป็นเจ้าของหุ้นในบริษัทที่ตัวเองทำงานอยู่ที่หลายๆประเทศนำมาใช้ ทั้งโครงการ Employee Stock Options-ESOP หรือ โครงการ Employee Joint Investment Program- EJIP เป็นโครงการที่ทั้งภาครัฐ เอกชน และตลาดหลักทรัพย์ฯน่าจะให้ความสำคัญมากขึ้น    

     สำหรับโครงการ ESOP อาจจะใช้เป็นเครื่องมือในการให้รางวัลแก่พนักงานนอกเหนือจากการให้โบนัสในแต่ละปี ส่วนโครงการ EJIP ก็คล้ายคลึงกับ การร่วมลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ Provident Fund แต่แทนที่จะนำเม็ดเงินที่นายจ้างและลูกจ้างสมทบกันไปลงทุนในกองทุนรวมฯ ก็หันมาส่งเสริมให้พนักงานร่วมลงทุนในหุ้นของบริษัทที่ตัวเองทำงานอยู่ ซึ่งจะทำให้เกิดขวัญกำลังใจในการทำงานมากขึ้นอีกด้วย

     ปัจจุบัน รัฐบาลกำลังมีนโยบายในการจัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติขึ้นมา เพื่อให้ความช่วยเหลือแรงงานนอกระบบ และมีแนวคิดที่จะใช้โครงสร้างแบบเดียวกันขยายครอบคลุมเข้าไปถึงชาวไร่ ชาวนา เพื่อสร้างหลักประกันในยามชราให้กับคนกลุ่มนี้ โดยรัฐบาลมีแนวคิดที่จะสนับสนุนให้มีการออมโดยสมัครใจ โดยรัฐบาลจะจ่ายเงินสมทบให้  

     คงเป็นเรื่องดีไม่น้อยหากกองทุนฯที่จัดตั้งขึ้นจะนำเม็ดเงินที่ได้มาไปลงทุน ในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่สามารถให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ดี เพราะเท่ากับจะช่วยในการกระจายความมั่งคั่งไปให้กับประชาชนอย่างแท้จริง

     แต่ในระหว่างที่พวกเรายังต้องร้องเพลงรอ หรือฝากความหวังไว้กับคนอื่น ตอนนี้ก็รีบหาความรู้ และหัด ตกปลา เลี้ยงปลากันเองไปก่อนนะครับ

     อย่ากังวลจนเกินไปครับ อย่างที่ผมเคยบอก ทุกวันนี้ถ้ามีเรื่องอะไรที่คุณ “ไม่รู้” เพียงแค่ใช้ Search Engine อย่าง กูเกิล คุณก็สามารถที่จะค้นหาข้อมูลเหล่านี้ได้ในระยะเวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาที

     อย่ามัวแต่โทษคนอื่นเลยครับ เพียงแต่คุณลองถามตัวเองว่า คุณใช้ประโยชน์จากโลกในยุค Now Technology อย่างทุกวันนี้ เพื่อหาความรู้เรื่องเงินๆทองๆมากน้อยแค่ไหน คำตอบมันอยู่ตรงนั้นแหละครับ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘