101 ปฏิบัติการพลิกชีวิต ตอนที่ 28 "สอนลูกเรื่องเงิน"

คำถามหนึ่งที่ผมมักจะถูกถามอยู่เสมอจากบรรดาคนรุ่นใหม่ที่มีครอบ ครัว และมี”เทวดาตัวน้อย” มาสิงสถิตย์อยู่ในบ้านคือ ทำอย่างไรที่จะสอนลูกๆให้รู้เรื่องเงินๆทองๆ   
     คงต้องยอมรับว่า ในยุคกระแสบริโภคนิยมแบบทุกวันนี้ สื่อโฆษณาและการตลาดได้มีส่วนอย่างมาก ในการกระตุ้น และทำให้ลูกๆของเรามีแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรมเรียกร้องในสิ่งที่พวกเขาต้อง การตลอดเวลา ซึ่งหากเราไม่รู้จักสร้างภูมิต้านทานทางการเงินให้กับลูกๆตั้งแต่อายุยัง น้อย แต่กลับตามใจประเคนในสิ่งต่างๆให้กับพวกเขา เพียงเพื่อชดเชยสิ่งที่ตัวเองไม่เคยได้รับในอดีต โอกาสที่ลูกๆของเราจะต้องเผชิญวิบากกรรมในชีวิต เมื่อเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็มีค่อนข้างสูงทีเดียว

     ผมมีประสบการณ์จริงในการสอนลูกให้รู้จักเรื่องเงินๆทองๆของ วรวรรณ ธาราภูมิ หรือ พี่“ตู่” กรรมการผู้จัดการ บลจ.บัวหลวง หญิงเหล็กคนหนึ่งในวงการกองทุนรวมที่บรรดาคุณพ่อคุณแม่ สามารถที่จะนำไปปรับใช้สำหรับคุณลูก หรือแม้แต่ตัวคุณเองได้อย่างน่าสนใจ

     ถึงแม้จะมีลูกค่อนข้างช้ากว่าคนอื่น คือเมื่อเมื่ออายุย่างเข้า 40 ปี หรือเมื่อ 15 ปีที่แล้ว และเป็นเวลาเดียวกันกับที่เธอเพิ่งจะเริ่มศึกษาเรื่องเงินๆทองๆและการบริหาร เงินของตัวเองและครอบครัว ทำให้เธอเห็นความสำคัญ และพยายามบ่มเพาะ "น้องแสนแสบ" ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ซึ่งขณะนี้มีอายุ 15 ปี ให้รู้จักคุณค่าของเงิน และใช้เงินให้เป็นมาตั้งแต่เล็กๆ

     เชื่อหรือไม่ ทุกวันนี้ลูกชายของเธอ ประสบความสำเร็จในการรู้จักออมและลงทุนในกองทุนรวม จนสามารถต่อยอดเงินออมให้”เพิ่มพูน” โดยมีเป้าหมายเพื่อเก็บเงินไว้ใช้เป็นทุนการศึกษาในระดับปริญญาโทได้แล้ว

     "เพราะอยู่ในวงการกองทุนมานาน และปลูกฝังนิสัยการออมลงทุน ให้กับผู้คนมามาก จึงคิดขึ้นมาว่า เราควรปลูกฝังนิสัยรักการออมให้ลูกตั้งแต่เด็กๆ ไม่ต้องรอให้โต แต่หัดกันแต่เล็กๆ จะทำให้เด็กมีวินัย รับผิดชอบต่อการเงินของตัวเอง ภูมิใจและรู้จักจัดการเงินทองได้  ที่สำคัญ เขาจะมี "แต้มต่อ" ระยะเวลาเก็บเงิน มากกว่า พ่อแม่ที่เพิ่งจะสะสมได้เมื่ออายุย่าง 40 แล้ว"  

     เคล็ดลับของเธอคือ การฝึกให้ลูกรู้จักคุณค่าของเงิน และวิธีใช้เงินไว้ว่า ควรหัดให้ลูกรู้จักค่าของเงินตั้งแต่อายุ 4 ขวบไปจนถึง 9 ขวบ เพราะเด็กๆ จะเรียนรู้ได้ง่ายและเร็ว แต่ต้องให้เขาสามารถ "จับต้องได้" ด้วย

     ตอนลูกยังเด็กๆ เธอจะสอนให้ลูกหยอดเงินใส่กระปุกออมสินด้วยตัวลูกเอง และให้เขาจดใส่สมุดบัญชีไว้ทุกเดือน พอครบปีก็ให้เขาเปิดกระปุกออกมานับของจริง เพื่อเทียบกับยอดบัญชี ซึ่งนอกเหนือจากการสอนให้รู้จักออมแล้ว ยังสอนให้ลูกรู้จัก "เทียบเคียง"  เงินที่มีจริงๆ และจับต้องได้ กับ ตัวเลขในบัญชี

     เมื่อลูกเริ่มโตขึ้นมาหน่อยจนมีอายุตั้งแต่ 10 ขวบขึ้นไป เธอจะให้เงินลูกเป็นรายวันไปโรงเรียน วันละ 100 บาท และเธอจะสอนให้ลูกทำ "บัญชีรายรับ-รายจ่าย" ของเขาเอง

     การทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย นอกจากจะช่วยให้เขาเรียนรู้ ที่จะ "ควบคุม" ค่าใช้จ่าย เทียบเคียงกับ รายได้ของเขาแล้ว ยังช่วยให้เขาสามารถกำหนดเป้าหมาย เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เขารู้ว่า "ออมเงิน" เพื่ออะไร และเป็นการลงมือปฏิบัติด้วยความสมัครใจ "ไม่ใช่" บังคับ

     "อยากสอนเขาว่าถ้าลูกใช้เงินน้อยลงในวันนี้ สะสมทีละเล็กทีละน้อย บางครั้งอาจต้องรอคอย แต่วันข้างหน้าหนูจะมีเงินเท่าไร ถ้าหนูรู้จักคุณค่าของเงิน หนูจะไม่ดูถูกเงิน แม้มูลค่าของมันวันนี้จะน้อยก็ตาม”   

     ถึงจุดหนึ่ง เธอก็เริ่มใช้ "รางวัล" เพื่อสร้าง "แรงจูงใจ" ในการออมให้แก่ลูกชาย ด้วยการ "สมทบ" เงินเพิ่มให้เท่าจำนวนที่ น้องแสนแสบออมได้ในแต่ละเดือน ปรากฏว่าในแต่ละเดือน ลูกของเธอสามารถออมได้เฉลี่ยเดือนละ 2,500 บาท เมื่อเธอจ่ายสมทบอีก 2,500 บาท กลายเป็น 5,000 บาท

     แทนที่จะปล่อยเงินทิ้งไว้ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ เธอเสนอให้น้องแสนแสบมองหาทางเลือกอื่นเพื่อให้ได้ผลตอบแทนมากขึ้น ซึ่งแน่นอนเธอแนะนำให้ลูกของเธอลองนำเงินไปลงทุนในกองทุนรวม

     “อย่ามาหวังมรดกจากแม่นะ วันนี้แม่อายุ 51 ปีแล้ว อยู่เลี้ยงหนูตลอดชีวิตไม่ได้ โตขึ้นหนูต้องหาเลี้ยงตัวเอง แม่ให้หนูได้แต่การศึกษาในระดับปริญญาตรีในประเทศเท่านั้น  ถ้าหนูจะเรียนต่อที่สูงกว่านั้น ก็ต้องส่งเสียตัวเองและต้องเริ่มเก็บเงินเสียตั้งแต่วันนี้"

      วรวรรณ กระตุ้นให้น้องแสนแสบเริ่มลงมือลงทุน เพื่อเป้าหมายสำคัญคือ การหาเงินไว้เพื่อเรียนต่อในระดับปริญญาโทด้วยตัวเอง

     เชื่อหรือไม่เพียงหนึ่งปี น้องแสนแสบ นำเงินไปลงทุนในกองทุนรวม 3 กองทุน ทั้ง กองทุนหุ้น กองทุน "ทองคำ" ในต่างประเทศ  และกองทุนหุ้นในต่างประเทศ   

     "ไม่ควรลงทุนในตราสารหนี้ เพราะลูกยังอายุน้อย  สามารถรับความเสี่ยงจากความผันผวนได้มากเพื่อหวังผลตอบแทนที่ดีกว่าในอนาคต อันยาวไกล และเก็บเงินลงทุนนี้มีเป้าหมายเพื่อศึกษาระดับปริญญาโท"    

     วรวรรณคาดว่า ถ้าลูกจบปริญญาตรีเมื่ออายุ 22 ปี  เท่ากับ มีระยะเวลายาวนานในการสะสมเงินก้อนนี้ทุกเดือน เฉลี่ยเดือนละ 5,000 บาท รวมเป็นระยะเวลาการลงทุน 12 ปี ซึ่งหากมีสมมติฐานผลตอบแทนจากการลงทุนเฉลี่ยต่อปี 10% เม็ดเงินที่ลงทุนจะเพิ่มค่ากลายเป็น 1,382,189.38 บาท  ทำให้น้องแสนแสบกลายเป็นเศรษฐีเงินล้านทันทีที่จบปริญญาตรี 

     "เราต้องคำนวณให้ลูกดูด้วยว่า หากเราฝากเงินกับธนาคาร ได้ผลตอบแทนเหลือ 4%  ผ่านไป 12 ปี  เงินที่ลงทุนทุกเดือนจะกลายเป็น  922,177.38 บาท หรือ กรณีผลตอบแทนเพิ่มสูงเป็น 15% เฉลี่ยต่อปี จะเพิ่มเป็น 1,993,010.38 บาท แต่ถ้าอยากได้ผลตอบแทนสูง 15% เพื่อได้เงินก้อนโตเกือบ 2 ล้านบาท ลูกก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นนะ เพราะเป็นการลงทุนในตลาดหุ้น"     

     เคล็ดลับสำคัญอีกอย่างคือ พี่ตู่จะเลี้ยงลูกแบบไม่ได้กดดันให้ต้องเป็น "คนเก่ง" แต่จะเน้นสอนให้รู้จักการใช้เงินให้เป็นมากกว่า เพราะเธอเชื่อว่า หากลูกโตขึ้น ต่อให้เรียนเก่ง ทำงานหาเงินเก่งอย่างไร ถ้าจัดการบริหารเงินไม่เป็น ความเก่งก็ไร้ค่า การให้ลูกเรียนรู้ที่จะสร้างความมั่งคั่งได้ด้วยตนเองดีที่สุด เพราะลูกจะเติบโตอย่างมีคุณภาพและมีความมั่นคงในชีวิต

     เทคนิคการสอนลูกให้รู้เรื่องเงินของพี่ตู่ วรรวรณ ธาราภูมิ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งหากบรรดาผู้ปกครองยุคใหม่จะนำไปปฏิบัติ นอกจากจะสามารถเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องเงินๆทองๆของลูกๆของคุณ ไม่ให้ต้องตกเป็นทาสของยุคบริโภคนิยม ที่สำคัญมันยังทำให้พวกเขาเติบโตขึ้นมาด้วยความภาคภูมิใจ ในฐานะที่เขาได้มีส่วนในการสร้างความสำเร็จเป็น “เศรษฐีเงินล้าน” ได้ด้วยตัวเขาเอง

     บรรดาคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ ยังไม่สายเกินไปหรอกครับ หากเริ่มต้นเสียตั้งแต่นาทีนี้

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘