สัญญาณแห่งคุณค่า

ในการค้นหาว่าหุ้นตัวไหนจะมี Value หรือมีคุณค่า หรือมีคุณค่ามากขึ้นนั้น นอกจากกำไรที่ควรจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ต่อไปนี้คือสัญญาณบางอย่างที่จะช่วยบอกเราว่าหุ้นตัวนั้นจะเป็นหุ้น Value ที่น่าสนใจในอนาคตและเป็นหุ้นที่เราควรพิจารณาลงทุน

สัญญาณแรกก็คือ Market Share หรือส่วนแบ่งทางการตลาดของสินค้าของบริษัทเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นี้เป็นสัญญาณที่ดีมาก เนื่องจากมันบอกว่าความสามารถในการแข่งขันของบริษัทกำลังเพิ่มขึ้น และการได้หรือมีธุรกิจมากขึ้นมักจะก่อให้เกิดความได้เปรียบในแง่ของต้นทุน การผลิตและการขายของสินค้าต่อหน่วยซึ่งจะลดลง และนั่นก็จะทำให้ได้เปรียบในการแข่งขันมากขึ้นไปอีก ก่อให้เกิด “วงจรแห่งความรุ่งเรือง” ต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ

สัญญาณข้อที่สองก็คือ บริษัทสามารถควบคุมราคาขายของสินค้าของบริษัทได้ดี นั่นก็คือ บริษัทสามารถกำหนดหรือควบคุมราคาขายสินค้าของบริษัทได้ในระดับที่มีเหตุผล คือมีกำไรที่เพียงพอ นี่เป็น Value หรือคุณค่าของกิจการ ถ้าเราพบว่ากิจการไม่สามารถควบคุมราคาขายได้เช่นกิจการที่ขายสินค้า โภคภัณฑ์ หรือกิจการที่มีการแข่งขันกันรุนแรงมาก แบบนี้เป็นสัญญาณว่ากิจการมีคุณค่าน้อย

สัญญาณที่สามคือ ลูกค้ามีความภักดีต่อสินค้าหรือยี่ห้อของบริษัท ถ้าพบว่าลูกค้ามีความภักดีมาก ไม่เปลี่ยนไปใช้สินค้าหรือบริการของคู่แข่งง่าย ๆ แบบนี้ก็ถือว่าเป็น Value ที่มีคุณค่า ตรงกันข้าม ถ้าลูกค้ามักจะเปลี่ยนไปซื้อสินค้าหรือบริการจากคู่แข่งอยู่เรื่อย ๆ ด้วยเหตุผลสารพัดเช่นเวลาที่มีโปรโมชั่นพิเศษ หรือมีสินค้าหรือบริการใหม่ที่แตกต่างจากเดิมเพียงเล็กน้อย แบบนี้ต้องถือว่าบริษัทไม่ค่อยมี Value เท่าไรนัก

สัญญาณที่สี่ก็คือ Profit Margin หรือเปอร์เซ็นต์กำไรเมื่อเทียบกับยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นี่เป็นสัญญาณที่ต้องมองย้อนหลังไปหลาย ๆ ไตรมาศหรืออาจจะหลายปี ถ้าพบว่า Margin ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเช่น จากเดิมกำไรต่อยอดขายเป็น 3 เปอร์เซ็นต์ ปีต่อมาเป็น 3.2 ปีที่สามเป็น 3.4 ปีที่สี่เป็น 3.5 ปีที่ห้าเป็น 3.6 แบบนี้แปลว่าบริษัทสามารถทำกำไรต่อยอดขายเพิ่มขึ้นซึ่งอาจจะมาจากสาเหตุหลาย อย่างเช่น บริษัทสามารถขายสินค้าในราคาแพงขึ้นหรือสามารถลดต้นทุนลงไปเรื่อย ๆ ซึ่งถือว่าเป็น Value หรือคุณค่าที่ดีมาก

สัญญาณข้อห้า Return On Equity (ROE) หรือ ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นค่อนข้างสูงและสม่ำเสมอหรือเพิ่มขึ้น ตัวเลขที่จะแสดงถึง Value หรือคุณค่านั้นผมคิดว่าน่าจะต้องไม่ต่ำกว่า 14-15% ต่อปี ยิ่งสูงก็ถือว่ามี Value มากขึ้นเท่านั้น แต่นี่ก็ต้องหมายถึงว่าบริษัทไม่ได้กู้หนี้มากเกินกว่าที่ควรเป็นซึ่งก็คือ ควรจะมีหนี้ไม่เกิน 4-5 เท่าของกำไรต่อปี ยกเว้นกิจการที่มีรายได้และกำไรค่อนข้างแน่นอนเช่นพวกกิจการสาธารณูปโภคที่ อาจจะยอมให้มีหนี้มากกว่านั้นได้ เรื่องของ ROE นั้น ผมคิดว่าแทบจะบอกได้เลยว่าถ้ากิจการไหนมี ROE ต่ำมากเช่นต่ำกว่า 10% ต่อปีอย่างต่อเนื่องยาวนาน แบบนี้ต้องบอกว่าหุ้นไม่ค่อยมี Value เท่าไร

สัญญาณข้อที่หก เป็นกิจการที่สร้างกระแสเงินสดดี ไม่ใช่กิจการที่ต้องลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หรือเป็นกิจการที่ต้องใช้เงินเพื่อบำรุงรักษาเครื่องจักร อุปกรณ์ค่อนข้างมากและตลอดเวลา ยิ่งกิจการที่ขยายตัวได้โดยแทบจะไม่ต้องลงทุนเพิ่มก็ต้องถือว่าเป็นกิจการ ที่มีคุณค่าสูง เพราะกิจการแบบนี้เมื่อมีกำไรก็มักจะสามารถจ่ายปันผลได้ในอัตราที่สูง นอกจากนั้น กิจการเหล่านี้เมื่อเวลาผ่านไปก็มักจะกลายเป็นกิจการที่ “ปลอดหนี้” เงินกู้จากสถาบันการเงินซึ่งทำให้ความเสี่ยงของบริษัทลดลงมาก

สัญญาณสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ เรื่องของผู้บริหาร คุณค่าของกิจการนั้นขึ้นอยู่กับตัวผู้บริหารค่อนข้างมาก ผู้บริหารที่มีความโปร่งใส เปิดเผยหรือเปิดตัวต่อสาธารณชนไม่แอบอยู่ใน “มุมมืด” ผู้บริหารที่มีความซื่อสัตย์สุจริต ผู้บริหารที่ทำอะไรมีเหตุมีผล ผู้บริหารที่ตัดสินใจอะไรก็คำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น และที่สำคัญ ผู้บริหารที่จัดสรรผลกำไรอย่างเหมาะสม นั่นคือ จ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นอย่างยุติธรรม เหล่านี้เป็นคุณค่าของบริษัท ตรงกันข้าม ผู้บริหารที่เก็บตัวไม่ยอมให้ข่าวสารกับผู้ถือหุ้น เวลาจัดสรรผลกำไรของกิจการนั้นมองดูไม่สมเหตุสมผล หรือเป็นคนที่เข้าใจได้ยากเวลาตัดสินใจทำอะไรเกี่ยวกับบริษัท แบบนี้เป็นสัญญลักษณ์ของความไม่มีคุณค่า

การมองหา “คุณค่า” นั้น ยังมีสัญญาณอื่น ๆ อีกมาก ที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงบางส่วนที่สำคัญและเป็นเรื่องทั่วไปที่ใช้ได้กับทุก กิจการหรือทุกอุตสาหกรรม นักลงทุนที่มุ่งมั่นและศึกษาบริษัทที่จะลงทุนจะต้องคิดอย่างละเอียดขึ้นว่า หุ้นที่ตนเองสนใจนั้น มีคุณค่าหรือ ด้อยคุณค่าอย่างอื่นที่สำคัญหรือไม่เพื่อที่จะได้วิเคราะห์อย่างถูกต้องว่า หุ้นของตนเองนั้น มี Value หรือกำลังมี Value เพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน

สรุปก็คือ ในการวิเคราะห์ในแบบของ Value Investment นั้น เราจะต้องมองหาคุณค่าของบริษัท ยิ่งบริษัทมีคุณค่าสูงหรือกำลังมีคุณค่าสูงขึ้น นั่นก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะคุณค่านั้นในไม่ช้าก็จะแปลงออกมาเป็นราคาหุ้นที่สูงขึ้น ตรงกันข้าม ถ้าเราพบว่า Value ของกิจการกำลังลดลง แม้ว่าตัวเลขผลประกอบการจะยังดูดีอยู่ แต่ในที่สุด ผลประกอบการก็จะตกต่ำลงตามคุณค่าที่ลดลง และราคาหุ้นก็จะลดลงตามมา

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘