แลกเปลี่ยนมุมมองการลงทุนกับ VI สายดำ โดยดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ในงานสังสรรค์ VI Q2


Q: ช่วงนี้ตลาดหุ้นเมืองไทยเป็นอย่างไรบางครับ
A: ช่วงนี้ก็เป็นยุคทองครับ ดูจากประวัติศาสตร์อย่างประเทศญี่ปุ่นก็เคยขึ้นไปสูงสุดถึงสี่หมื่นจุดแต่ปัจจุบันเหลือแค่หมื่นเดียว คนในยุคนั้นทำงาน มีเงิน แล้วเก็บเงิน  ยุคนั้นหุ้นก็บูมมาก แต่พอผ่านยุคหนึ่งมา คนก็เริ่มแก่ขึ้น แล้วนำเงินมากใช้มากขึ้น เมืองไทยก็น่าจะเป็นอย่างนั้น พอผ่านไปยุคหนึ่งคนก็จะเข้าสู่สังคมคนแก่ หุ้นก็จะนิ่งขึ้น แต่ช่วงนี้ก็เรียกว่าเป็นยุคที่ดีมาก ดูจากต้นปีมาเราได้เป็นระดับของโลกเลย ตกๆ ไปเดียวก็ขึ้น ดูจากคนมาร่วมงานจะเห็นว่าคนที่มามีแต่หนุ่มสาว (กิจกรรมไหนที่มีหนุ่มสาวมาร่วมมากจะเป็นอนาคต แต่ถ้ามีแต่คนแก่จะเป็นของชำรุญในประวัติศาสตร์)  อคุยกับลูกบางครั้งก็เหมือนตัวเองเป็นของชำรุญในประวัติศาสตร์ หลายเรื่องถ้าย้อนหลังกลับไป จะเห็นว่าเราก็ผิดเยอะ แม้ลูกจะไม่เป็นนักลงทุนแต่เขาก็วิเคราะห์หุ้นได้ ลูกเคย แนะนำให้ซื้อ APPLE เพราะว่าเพื่อน ๆ ใช้ทุกคน เราก็ไม่รู้เรื่อง หรือว่า แนะนำให้ซื้อGoogle แม้ยุคนั้นอ.จะใช้ yahoo หรือปัจจุบันอย่าง ZARA ซึ่งสาว ๆ ชื่นชอบ เราไม่รู้จักแต่ลูกก็รู้จัก ตอนนี้บริษัทในดีมาก ขนาดประเทศสเปนจะเจ้งแต่หุ้น ZARA ก็ยังขึ้นเอาขึ้นเอา ถ้าเมืองไทยมีอย่างนี้คงดี (สงสัยจะเป็น บอดี้โกฟหรือเปล่า 55 แต่มันยังห่างชั้น)
Q: ธุรกิจที่ขายคอมพิวเตอร์เป็นสิ่งชำรุดในประวัติศาสตร์หรือเปล่า (IT หรือเปล่า)
A: ธุรกิจ Hitech มันตามยาก ดูอย่าง APPLE ก็ยังเคยเกือบตาย ซึ่งเราก็รู้ละว่าแนวไฮเทคก็น่าจะเปลี่ยนเร็ว แต่ส่วนการจัดจำหน่ายมันน่าจะเปลี่ยนช้า แต่เดียวนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนเร็วจนบางครั้งเรานึกไม่ออกเหมือนกัน ซึ่งจุดนี้เราก็ต้องจับตาดูเป็นพิเศษ แต่ถ้าราคามันลงมาเยอะ ๆ มันก็น่าสนใจ เพราะว่าเรามันยังไม่เห็นทิศทางที่ชัดเจน ไม่แน่ว่าก็จัดจำหน่ายแบบเก่า อาจจะกลับมาก็ได้
Q: กลุ่มรับเหมาก่อสร้างดีหรือเปล่า ?
A:  มันก็คงไม่เหมือน HITECH เพราะว่ามันยังคงต้องใข้หิน ดิน ทราย เหมือนเดิม และTecnologyรับเหมาเองก็สามารถซื้อได้ หรือ ทำอย่างอื่นให้ได้มาได้ก็ยังได้ และเมื่อพิจารณา market cap ก็ยังรู้สึกเล็กไปหน่อย ผู้เล่นในตลาดก็มีไม่กี่เจ้า โดยพื้นฐานก็คงไม่แพงอะไร ดูดีไปหมด แต่ ธุรกิจนี้เป็นสีเทา มันอาจจะเจอ surprise ได้ตลอด (แต่เราอาจจะซื้อก็ได้นะ แต่อาจจะทำบุญเพิ่มหน่อย 555)
Q: แล้วธุรกิจเกี่ยวกับการฆ่าสัตว์ละครับ 
A: ผมเชื่อว่าคนเรามีความโลภเท่า ๆ กันนั้นละ คนดีอาจจะเป็นแค่คนโลภเหมือนกันคือโลภทำความดี บางคนใช้ความโลภบางอย่างมากไปอย่างผิดปกติอาจจะทำให้โลกวิวายได้ อย่าง ฮิตเลอร์ ดูประวัติส่วนตัวนี้สุดยอด กินแต่ผัก สรุปว่าเป็นคนดี แต่คนเรามีความโลภ เขาก็เลยแสดงออกมาในรูปของอำนาจ มันก็เลยเกิดปัญหา  ผมเลยต้องกระจายความเสี่ยง(ความโลภ) คือ โลภอย่างละนิดอย่างละหน่อย แต่ทุกอย่างต้องโลภแค่พอสมควร ไม่ใช่โลภมีเงินมาก จนไม่เอาอย่างอื่น  จากที่ผมศึกษา ชาร์วดาวิท จะเห็นว่าคนเราถูกโปรแกรมไว้แล้ว แม้กระทั่งความสุขก็ถูกโปรแกรมไว้ คือคนเราก็มีความสุขพอ ๆ กันนั้นละ แค่ถ้าเรามีเงินจะช่วยให้ศักยภาพของการหาความสุขได้เต็มที บางคนก็ไม่เห็นมีเงินเยอะก็ไม่ได้มีความสุข ดูอย่างประเทศXX(ไม่รู้จัก )เป็นประเทศที่จนเลย แต่ก็มีความสุขกว่าคนไทยหรืออเมริกาด้วยซ้ำไป
Q: เราจะจัดการอย่างไรกับความโลภ
A : เราต้องตระหนักรู้ครับ ต้องระวังตัวตลอดเวลา เช่น เราอาจจะต้องตระหนักว่าการที่ช่วงที่ผ่านมาผลตอบแทนเราดี ไม่ใช่ว่าจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป อย่าง buffet 10กว่า%ก็ดีแล้ว เราต้องอย่าไปคิดว่าเราเก่ง เหมือนกับดารา เราต้องห้ามคิดว่าเราจะอยู่ค้างฟ้า
Q: หุ้นดาราอย่าง modern trade ยังอยู่ต่อไหม ?
A: มันก็น่าจะเป็น megatrand อยู่ เพราะว่า คนไทยเริ่มรวยขึ้นแล้ว ดูอย่างถ้าเราไปเปิดร้านแบบmodern trade ในเวียดนามหรือลาวหรือพม่า มันอาจจะเจ้ง เพราะว่า คนยังไม่มีรายได้พอ แต่ถ้าคนในประเทศนั้นมีรายได้พอแล้วมันก็น่าจะทำให้เกิดการเติบโตไปได้อีกเยอะ เพราะว่า ประสิทธิภาพมันของมันมีเหนือกว่าร้านแบบเก่า สำหรับเรื่องของการเติบโตมันอาจจะจริงที่อัตราการโตอาจจะลดลง แต่ก็มีตัวอย่างที่ขยายได้อย่างต่อเนื่องเหมือนกัน เช่น  tesco จะปรับเปลี่ยนให้ขนาดเล็กลงก็สามารถโตได้อีก ซึ่งจริง ๆ บริษัทพวกนี้จะโตหรือไม่โตตัวบริษัทก็สำคัญและ อย่างนโยบายที่ทำให้คนไทยที่ฐานะดีขึ้น ก็มีผลกับหุ้นเหมือนกัน  
Q: ปัจจัยภายนอกจะมีผลกระทบกับหุ้นไทย ปีหน้าหรือสองปีข้างหน้าไหม
A: อัตตราการว่างงานของคนไทยเราต่ำมาก  ส่วนเรื่องจากต่างประเทศถ้ามีเรื่องเกิดขึ้นก็คงแค่ชั่วคราว อ. ไปคุยกับผู้บริหารกองทุนต่างชาติแนวvi คนหนึ่ง เขามาองว่าเมืองไทยดีมาก เศรษฐกิจก็ดี การเมืองก็ดี เราได้ผ่านเหตุการณ์ร้าย ๆ มาหมดแล้ว ดัชนีน่าจะวิ่งได้อีกเยอะ ซึ่งคำพูดของเขาอาจจะค้านกับนักวิชาการของไทยบาง สรุปว่าเราควรจะต้องฟังหูไว้หู แต่สิ่งหนึ่งที่จำเป็นมาก เราควรจะต้องไปสอบถามมุมมองของคนอื่น ๆ บาง อ.ยกตัวอย่าง หุ้นม่าม่ากับs&P(ซึ่งเป็นหุ้นแข็งแกร่งมาก) ที่ดูไม่เห็นจะเติบโตไปไหน แต่อยู่ดี ๆ ราคาก็พุ่ง  นี้สะท้อนว่า ตราบใดที่ธุรกิจดีมาก ๆ แม้ว่าจะอยู่ในอุตสหกรรมที่ธรรมดา วันหนึ่งราคามันก็จะมา ซึ่งนี้ก็อาจจะเป็นวิธีเลือกหุ้นแบบหนึ่งเมื่อเรากังวัลก็ปัจจัยภายนอกมาก ๆ
Q: สัดส่วนของการลุงทุนของอ.เป็นแบบไหน
A: 70% เป็น super stock ที่เหลือจะเป็นหุ้นธนบัตร  (*เพิ่มเติม หุ้น super stock คือ หุ้นที่แข็งแกร่งมาก  พร้อมยังสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่องไปอีกหลายปี  ส่วนหุ้นธนบัตรเป็นหุ้นที่แข็งแกร่ง แต่มีการเติบโตเล็กน้อย มีกระแสเงินสดมาก ให้ปั่นผลดีต่อเนื่อง)
Q: ธุรกิจสินเชื่อปีนี้เป็นอย่างไรบาง
A: เราต้องเข้าใจธรรมชาติของหุ้นแนวนี้ก่อนว่ามันไม่ใช่หุ้นสุดยอดอะไร คือ ในช่วงเศรษฐกิจดี หุ้นแนวนี้มันจะดีมาก แต่มันจะดีจนกระทั่งมันเจ้ง (มันมีความไม่ดีซ่อนอยู่) ถ้าเราจะเล่นหุ้นกลุ่มนี้ เราก็ต้องค่อยระวังจุดนึ้ให้ดี ดูอย่างเหตุการณ์บ้านเราเองหรือว่าอเมริกาก่อนจะเจ้ง จะเห็นไม่ว่าบริษัทอย่างนี้ดีทุกอย่าง เติบโตดี มีความแข็งแกร่ง แต่อยู่ดี ๆ ก็พังลงมาเฉย ๆ  อาจจะมีคนมาพูดว่าเดียวนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว นั้นมันเรื่องเก่า บริษัทบ้านเราแข็งแกร่งมากนะ แต่เราต้องระวังนะ เพราะว่า วิกฤตมันไม่เคยซ้ำ ดูอย่างสเปนเมื่อสองสามปีก่อน ยังได้ AAA เลย เดียวนี้ดีแต่ข่าวสเปนห่วย  บางครั้งอ.ก็อยากซื้อหุ้นกลุ่มนี้เหมือนกัน เพราะว่ามันดูน่าซื้อมาก อัตราการเติบโตก็สูง กำไรก็สูง PEก็ถูก แถมผู้บริหารก็ดี แต่ ผู้บริหารเองนี้ก็ต้องระวัง อ.เองก็เคยเป็นผู้บริหาร และก็เป็นคนดีและเก่ง(มั่ง) บริษัทก็ยังพัง นั้นคือในมุมของอ. ผู้บริหารไม่ได้ช่วยอะไรบริษัทมาก มันมาจากปัจจัยอื่นมากกว่า
Q: ให้เลือกระหว่างธุรกิจที่ดีมากแต่ผู้บริหารเฉย ๆ กับ ธุรกิจธรรมดาแต่ผู้บริหารดีมาก อ.เลือกบริษัทไหน
A: มันไม่มีหรอก ที่ธุรกิจดีมากแต่ผู้บริหารเฉย ๆ เพราะว่า ถ้าธุรกิจมันดีมาก ผู้บริหารก็จะสุดยอดไปด้วย ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่ว่าผู้บริหารจะไม่เก่ง แต่การประสพความสำเร็จมันมีหลายปัจจัยด้วยกัน เช่น จังหวะดี เพื่อนร่วมงานดี ไม่ใช่ว่าผู้บริหารเก่งแล้วบริษัทจะดีเสมอไป ลองให้พูดบริหารที่บอกว่าเก่ง ย้ายไปบริหารธุรกิจห่วย ๆ ดูแล้วแก้ปัญหาได้อันนี้ก็อีกเรื่องหนึ่ง ลองยกตัวอย่าง buffet ในช่วงที่ซื้อเบริกชาย ถ้าถามว่าผู้บริหารเก่งไหม ก็ต้องบอกว่าเก่ง แต่เก่งยังไงจะไปสู้ธรุกิจท่อผ้ากับเมืองจีนยังไงก็แพ้ สรุปว่า ปัจจัยผู้บริหารเราไม่มีทางรู้จริงว่าเขาเก่งหรือไม่เก่ง
Q: ช่วยวิเคราะห์ OISHI เสริมสุข BJC หน่อยครับ (เจ้าของเดียวกัน)
A:  ในยุคนี้บริษัทที่มีเจ้าของมี power หรือ resource ด้านอื่น ๆ กำลังมาแรงมาก เขาสามารถใช้ประโยชน์จากของหลากหลายของธุรกิจได้ ดูคราว ๆ ก็ไม่เลวนัก แต่อเป็นห่วง BJC มากที่สุด เพราะว่า อ.มองดูสิ่งที่เขาจะทำ จะดูเหมือนว่า BJC สามารถทำได้ทุกอย่าง ซึ่งวิธีการคิดแบบนี้อาจจะทำให้ผิดพลาด อย่างกรณีที่จะ BJC สนใจไปรุกในธุรกิจค้าปลีก ซึ่งเป็นธุรกิจที่มาแรงมาก ๆ ในยุคนี้ ปัญหามันก็อยู่ตรงที่การทำธุรกิจที่เป็น megatrend นั้น เราจำเป็นจะต้องเป็นผู้ชนะเสมอ ถ้าเราไม่ใช่ผู้ชนะ เราก็จะตาย ดูอย่างประวัติที่ผ่านมา อย่างคอมพิวเตอร์ เราจะเห็นแต่ผู้ชนะ แต่จริง ๆ แล้วมันมีบริษัทที่แข็งแกร่งแต่ได้จากไปตั้งเยอะ การที่เรามี resource เยอะ ไม่ได้แปลว่า เราจะชนะเสมอ ในสนามรบนั้นมันสำคัญว่าใครมี firing power มากที่สุด เรามีปืนใหญ่ แต่เอาไปสนามรบไม่ได้ ปืนใหญ่ก็เป็น resource ที่ไร้ค่า  ในช่วงแรก ๆ ที่บริษัททำอย่างนี้ก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้าทำเรื่อย ๆ ก็อาจจะส่งผลกระทบกับบริษัทหลักได้ ดูอย่าง PS    ที่ไปรุกที่ตลาดอินเดีย พอเราฟังนี้ฝันเลย  คนอินเดียมีเป็นพันล้านคน เราเองมีเทคโนโลยีสร้างบ้านที่ดีที่สุด เร็วที่สุด ถูกที่สุด แต่พอเข้าไปทำตลาดอินเดียจริง ๆ กลับต้องถ่อยกลับมา เพราะว่า ในสนามรบของอินเดียมันอาจจะต่างกับเมืองไทย หรืออย่างตัวอย่างสงครามจริงของเวียดนามกับอเมริกา ที่ใคร ๆ ก็มองว่าอเมริกาไม่น่าจะแพ้ แต่สุดท้ายก็แพ้ได้
Q: tesco กับ bigc เห็นแข่งกันมาก ต่อไปจะเป็นอย่างไงบ้าง
A: แม้จะดูว่าเขาแข่งกันมาก แต่จริง ๆ มันไม่ได้เป็นอย่างที่เราเห็น เขาไปแข่งกับร้านค้าท้องถิ่นซะมากกว่า ก็เปรียบเหมือนสามก๊กที่สองก๊กนั้นรวมกันแล้วตีอีกก๊กหนึ่งก่อน แล้วเมื่อไรที่สองก๊กนั้นชนะแล้ว ค่อยมาสู้กันเอง ตอนนี้น่าจะอยู่ในแบบแรกอยู่ จะเห็นว่าอีกหลาย ๆ จังหวัดหรืออำเภอใหญ่ ๆ ก็ยังไม่ได้มี tesco หรือ bigc เลย และมันก็น่าจะขยายไปได้ เพราะว่าคนในต่างจังหวัดก็มีแนวโน้มที่จะมีรายได้มากขึ้น
Q: แล้วธุรกิจเกี่ยวกับวัสดุก่อสร้างละครับเป็นอย่างไร ซึ่งปัจจุบันมีเจ้าใหญ่ถึง เจ้า ?
A: ก็น่าจะคล้ายกับ tesco นะ แต่อาจจะมีก็แข่งขันกันมากกว่า แต่ก็น่าจะยังไม่รุนแรงอะไรมากนัก ก็น่าจะพอไปไหว ส่วนมากก็น่าจะกิน market share จากร้านท้องทิ่นมากกว่า สรุปว่าต้องไปดูราคาหุ้นว่าเป็นอย่างไร
Q: ค่าแรงที่ปรับขึ้น คนจะไปใช้จ่ายไปในส่วนไหน ระหว่าง เครื่องประดับ รถยนต์ หรือ IT
A: คงกระจายไปหมดทุกส่วน แต่สัดส่วนอาจจะต่างกันไป  เครื่องประดับนั้นมันเป็นสัดส่วนที่น้อยในชีวิต ก็คงกระจายไปส่วนนี้น้อย สำหรับรถยนต์ คือ ถ้าคนมีรายได้ถึงจุดหนึ่ง คนก็คงอยากได้ และประกอบกับหลาย ๆ อย่างในเมืองไทย จะทำให้การซื้อรถเป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย (ดอกถูก นโยบายรัฐ) ทำให้รถขายดีมาก ๆ ในช่วงนี้  ส่วน IT ก็เป็นอะไรที่โตได้ แต่จริง ๆ ค่าแรงส่วนหนึ่งน่าจะไปที่เสื้อผ้า แต่เสียดายบ้านเราไม่มีหุ้นเสื้อผ้าดี ๆ
Q: เห็นว่าขายรถดีปีนี้ แล้วมันจะกระทบปีหน้าไหม ?
A: แน่นอนมันต้องลดลง แต่มันก็จะกลับมาอีกครั้งแน่ ๆ แต่ถ้าเราวิเคราะห์บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนนั้นต้องวิเคราะห์อีกเรื่อง เพราะว่า บริษัทผู้ผลิตมักจะถูกบีบเรื่องราคาจากบริษัทรถ ก็บริษัทรถเขารู้ต้นทุนเราอยู่แล้วว่าเท่าไร และถ้าธุรกิจมันโตมาก ก็มีโอกาสให้บริษัทต่างประเทศย้ายฐานมาผลิตแข่งอีก คนที่ happy สุดคงเป็นบริษัทรถยนต์ เพราะว่า ได้ของคุณภาพดี ราคาถูก ดังนั้น โอกาสที่จะเห็นบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วน PE สูง ๆ คงจะยากนิดหน่อย
Q: การเปิด AEC ช่วยอุตสหกรรมรถยนต์จะดี อ.คิดว่ายังไง ?
A: ปัจจุบันเราก็ผลิตไปส่งเพื่อนบ้านอยู่แล้วนะ ปัจจุบันก็แทบจะไม่มีอยู่แล้ว แต่การเติบโตมันต้องเกิดขึ้นอยู่แล้วละ benefit ที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย มันเห็นชัดเจนอยู่แล้ว แต่เม็ดเงินน่าจะไปที่คนงาน กับ บริษัทรถ แต่มันจะไปบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนหรือเปล่านั้น ต้องพิจารณาเอาเอง เพราะว่า ยิ่งอะไรที่โตเร็วมาก ๆ ก็แข่งขันก็ยิ่งจะมีมาก อาจจะมีการย้ายฐานมา แถม ความได้เปรียบอย่าง economy of scale ของธุรกิจแบบนี้มันก็ไม่ค่อยจะมี เพราะว่า บริษัทคู่แข่งก็แค่ซื้อเครื่องจักรมา ซึ่งอาจจะเหมือนหรือดีกว่าที่เรามีก็ได้ ผลิตมาต้นทุนก็ไม่ได้ต่างกันมาก
Q: เพราะว่าปีนี้รถออกมามาก ปีหน้าจะมีปัญหาเรื่องการผ่อนชำระไหม ?
A: ถ้าเศรษฐกิจยังดีอยู่ ยังไงก็ไปได้ ทุกบริษัทคง enjoy แต่ก็ต้องระวังว่าถ้าวันหนึ่งมีอะไรขึ้น ก็อาจจะพังทันที
Q: ตอนนี้ อ.มีการศึกษาหุ้นในกลุ่ม AEC หรือเปล่า ?
A: ในที่สุดแล้วเราคงไม่ได้อยู่แค่ประเทศไทย และรู้สึกลึก ๆ ว่า วันหนึ่งต้องไปซื้อหุ้นต่างประเทศ อย่าง buffet เองก็พึ่งจะไปต่างประเทศ เมื่อสัก 10 ปีเท่านั้น แต่เราต้องอย่าลืมว่า buffet อยู่ในอเมริกา ซึ่งเป็นบริษัทระดับโลก ถึงวันนี้เขายังต้อออกไปนอกประเทศ อย่างเมืองไทยก็เป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ ในอเมริกาเท่านั้น แล้วถ้ามีโอกาสก็ควรอาจไปซื้อหุ้นระดับโลกมั่ง เพราะว่า ถ้าเราอยู่แต่ในประเทสไทยอย่างเดียวต่อไป เราอาจจะแพ้ แต่ตอนนี้ยังไม่อยากจะทำอะไรที่เราเกินไป ขอให้มันเข้ามาก่อน รอให้คุ้นเคยก่อนแล้วค่อยศึกษาก็ได้ เพราะว่า การลงทุนมีโอกาสอยู่เสมอ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘